เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ, เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ, เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน

 

 

หวึ่ง!!!

 

หนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งเปล่งประกายแสงออกมาจางๆ

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินหลั่งไหลเข้าไป แสงบนหนังสัตว์ก็จางลงเรื่อยๆ และหลังจากกดลงไป แผ่นหนังสัตว์ก็แตกเป็นผุยผงกระจายไปในอากาศ

 

ในขณะนี้

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาอย่างปลอดโปร่งโล่งสบาย

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพึมพำ

 

การคาดเดาของซูฉินถูกต้อง หนังสัตว์ชิ้นนี้บันทึกข้อมูลบางอย่างเอาไว้ คนปกติไม่สามารถเห็นเนื้อหาภายในได้ มีเพียงยอดปรมาจารย์ที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว หรือไม่ก็ระดับตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถ ‘อ่าน‘ ข้อมูลที่บันทึกอยู่ภายในได้

 

“ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีระดับ ‘อรหันต์‘ เหลืออยู่ในยุทธภพเลย นี่มันเกี่ยวกับกระแสแห่งพลังชีวิตจากเมื่อแปดร้อยปีก่อนนี่เอง…”

 

ซูฉินขบคิด

 

ตามข้อมูลที่ ‘บันทึกไว้‘ ในหนังสัตว์แผ่นนั้น เมื่อแปดร้อยปีก่อนพลังฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จอมยุทธระดับตำนานยุทธหลายคนในยุคนั้นรู้สึกได้ถึงพลังแห่งชีวิตที่ยืนยาววิ่งทะลุผ่านน่านฟ้าแล้วหายลับไปยังดินแดนอื่น

 

พลังชีวิตอันยืนยาวนั้นทำให้เหล่าตำนานยุทธในยุคนั้นถึงกับคลั่ง

 

เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีว่าถึงแม้จะเข้าถึงขอบเขตตำนานยุทธแล้วก็ตาม อายุขัยก็จะถูกยืดไปถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ช่วงชีวิตห้าร้อยปีดูเหมือนจะยาวนานมาก แต่แท้ที่จริงสำหรับจอมยุทธระดับตำนานยุทธนั้น เพียงแค่ปิดด่านฝึกตนครั้งหนึ่งหมายความว่าเวลาก็ผ่านเลยไปหลายสิบปีแล้ว

 

แต่เมื่อแปดร้อยปีที่แล้วกลับมีกระแสแห่งพลังชีวิตอันยืนยาวพุ่งฝ่าอากาศไป ซึ่งมันคงจะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับเหล่าตำนานยุทธได้

 

ดังนั้น

 

พวกเขาจึงไล่ตามข้ามน้ำข้ามทะเลไปและทิ้ง ‘ข้อมูล‘ ไว้ อย่างเช่นบนหนังสัตว์ที่ซูฉินไปพบเข้า ต่อแต่นี้ตำนานยุทธรุ่นต่อๆ ไปก็ไม่จำเป็นต้องอุดอู้อยู่ในทวีปนี้นานจนเกินไป เพียงเดินตามทางที่พวกเขาปูไว้แล้วก็พอ

 

และแน่นอน

 

ข้อมูลเหล่านี้จะวนเวียนอยู่กับสำนักพรรคที่ครั้งหนึ่งมีระดับตำนานยุทธกำเนิดเกิดขึ้น

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินเองจะมีระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่เหมือนกัน แต่อรหันต์องค์ล่าสุดก็คืออรหันต์ถัวเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

อรหันต์ถัว มรณภาพไปก่อนวัยอันควรเนื่องจากต้องปราบมารพุทธะ และเขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อแปดร้อยปีก่อน

 

ดังนั้นในวัดเส้าหลินจึงไม่ได้สืบทอดความลับนี้ต่อมา

 

“ข้าพลาดเองแหละ…”

 

ซูฉินดูเคร่งขรึม

 

เดิมทีเขาเคยคิดว่าจะไม่ต้องสนใจเรื่องการเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่แล้วเสียอีก ในเมื่อไม่มีตัวตนระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าแม้ตอนนี้จะไม่มีอยู่ภายในทวีป แต่นอกทวีป นอกมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะยังมีจอมยุทธระดับตำนานยุทธอยู่

 

สำหรับเหล่าตำนานยุทธ เป็นดั่งเซียนที่อิ่มทิพย์ เพียงดูดกลืนพลังฉีก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารจากภายนอกใดๆ เข้าไป

 

นอกจากนี้ตำนานยุทธยังสามารถขี่ลมและควบคุมลมคุมอากาศได้ และการข้ามน้ำข้ามทะเลก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายราวกับการกินดื่ม

 

“กระแสแห่งอายุวัฒนะ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

แม้ว่าหนังสัตว์แผ่นนั้นจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อแปดร้อยปีก่อนเอาไว้ แต่เรื่องเกี่ยวกับกระแสพลังชีวิตอันยืนยาวนั้นราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม เพียงกล่าวถึงแค่ไม่กี่คำแล้วก็ไม่ได้อธิบายต่อ

 

“อย่างไรก็ตามถ้ามีตำนานยุทธคนอื่นอีกล่ะ?”

 

ซูฉินคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

อย่างน้อยตำนานยุทธเหล่านั้นก็อยู่ไกลออกไปในโพ้นทะเล ต่างดินแดน คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อซูฉิน

 

“พวกเจ้าทุกคนไล่ตามกระแสแห่งอายุวัฒนะไปเนี่ยนะ”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

ตำนานยุทธคนอื่นๆ อาจมีความกระตือรือร้นที่จะยืดอายุขัยของพวกเขาด้วยกระแสแห่งอายุวัฒนะ

 

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นจากสี่ร้อยปี ไปเป็นแปดร้อยปี

 

ซูฉินนั้นมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรอีกต่อไปในอนาคต แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็จะหยุดอยู่ที่จุดนี้ แล้วถ้าเขาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วรับของอะไรที่เกี่ยวข้องกับการยืดอายุขัยออกมาได้ เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวลไปได้อีกตั้งเจ็ดร้อยเจ็ดสิบปี

 

“ทำไมช่วงชีวิตของข้าถึงได้ยาวนานกว่าตำนานยุทธทั่วๆ ไป ถึงสามร้อยปี?”

 

ซูฉินรู้สึกงงงวยอยู่เล็กน้อย

 

โดยปกติไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็มีอายุขัยอยู่ที่ห้าร้อยปีกันทั้งนั้น

 

แต่อายุขัยของซูฉินมีมากถึงแปดร้อยปี

 

“เป็นเพราะข้าขัดเกลากายเนื้อด้วยพลังหยินและพลังหยางใช่หรือไม่นะ?”

 

ทันใดนั้นซูฉินก็ลองคิดๆ ดู

 

หลังจากการลงชื่อเข้าอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ซูฉินก็พอจะเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ต้องการจะแปรสภาพร่างกายของตน พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยาง

 

แต่กลับขึ้นอยู่กับร่างกายของพวกเขาเอง

 

ตัวอย่างเช่น ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีร่างกายโน้มเอียงไปทางธาตุหยาง ก็จะดำเนินไปตามเส้นทางแห่ง ‘หยาง‘ เพื่อแปรสภาพร่างกายของพวกเขา

 

ยอดปรมาจารย์ที่มีร่างกายเอนเอียงไปทางธาตุหยิน ก็จะแปรสภาพร่างกายของพวกเขาด้วยเส้นทางแห่ง ‘หยิน‘

 

คนเช่นซูฉินที่ขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยางผสานกันไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“ต้องยกความดีความชอบให้ดวงตาแห่งสัจจะใช่หรือไม่เนี่ย?”

 

ซูฉินหรี่ตาลง

 

เป็นดวงตาแห่งสัจจะนี่เองที่เตือนให้เขาเฝ้ามองหาวิชากำลังภายนอกที่เป็นธาตุหยินมาฝึกร่วมกับวิชากายาวัชระคงกระพันเพื่อดับพลังอันร้อนแรง

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังนั่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็พลันรู้สึกตัวแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“พวกเขามาแล้ว…”

 

ด้วยระดับการรับรู้ในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เขาก็ล่วงรู้ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบได้

 

ในตอนนี้ซูฉินสัมผัสได้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรีบร้อนมาที่ลานจิปาถะ

 

สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ซูฉินไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร

 

ตอนที่เขากลับมาที่ลานจิปาถะ เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ศิษย์หลายคนในลานจิปาถะก็ย่อมมีคนเห็นเขาเดินผ่านไปอยู่บ้าง

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายกำลังเดินทางมาที่ลานจิปาถะด้วยความวิตกกังวล

 

“เจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นกลับมาที่ลานจิปาถะ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่เณรน้อยที่กำลังทำหน้าที่นำทางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

“เจ้าอาวาส”

 

“ข้าได้เห็นหลวงลุงเจินกวนมาก็หลายครั้ง ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน”

 

เณรน้อยที่เป็นผู้นำทางตบอกตนให้คำมั่น

 

แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้าอาวาสถึงตามหาซูฉิน แต่ดูจากการแสดงออกของพวกเขาแล้ว มันน่าจะเป็นการลงโทษซูฉินหรืออะไรสักอย่าง

 

สามเณรมั่นอกมั่นใจในเรื่องนี้จึงหาญกล้านำทางให้

 

“อื๋อ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อยู่ด้านข้างพลันหน้าแข็งค้าง

 

ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่พวกเขาเรียกขานซูฉินว่า ‘ผู้อาวุโส‘ แต่ตัวตนอย่างเณรน้อยรุ่น ‘เฉียน‘ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวัดกลับเรียกซูฉินว่า ‘หลวงลุง‘

 

นี่ไม่ได้หมายความว่าตัวตนของพวกเขาสู้ไม่ได้แม้แต่เณรเหล่านี้เลยหรือไง

 

“ต่อไปนี้ห้ามเรียกว่าหลวงลุงอีกเป็นอันขาด!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จ้องเขม็งไปที่เณรน้อยและเกือบจะทำให้เขาร้องไห้

 

ไม่นานนัก

 

คณะสงฆ์กลุ่มนี้เดินเข้าไปในลานจิปาถะและยืนอยู่ด้านหน้าห้องของซูฉินอย่างระมัดระวัง

 

“เจ้าออกไปก่อน”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เณรน้อยผู้นำทาง แล้วสะบัดมือให้ออกไป

 

“ขอรับ”

 

เณรน้อยวิ่งออกไปอย่างเศร้าสร้อย

 

หลังจากเณรรูปดังกล่าวออกไป

 

พื้นที่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบโดยทันที

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าตึงเครียด มิรู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีหรือไม่

 

ประตูที่อยู่ตรงหน้าบานนี้ความจริงก็บอบบางราวกับแผ่นกระดาษสำหรับพวกเขา

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้

 

ประตูนี้ประดุจน้ำตกอันกว้างใหญ่

 

สูงชะลูดเสียดฟ้า

 

หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ที่อยู่ภายใน แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ จะมีความกล้าหาญมากมายเพียงใดก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามเปิดประตู

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลใจว่าจะขานเรียกดีหรือไม่

 

เสียงสงบเย็นก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างไม่รีบเร่ง

 

“พวกเจ้าทุกคนเข้ามาเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ, เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ, เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน

 

 

หวึ่ง!!!

 

หนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งเปล่งประกายแสงออกมาจางๆ

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินหลั่งไหลเข้าไป แสงบนหนังสัตว์ก็จางลงเรื่อยๆ และหลังจากกดลงไป แผ่นหนังสัตว์ก็แตกเป็นผุยผงกระจายไปในอากาศ

 

ในขณะนี้

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาอย่างปลอดโปร่งโล่งสบาย

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพึมพำ

 

การคาดเดาของซูฉินถูกต้อง หนังสัตว์ชิ้นนี้บันทึกข้อมูลบางอย่างเอาไว้ คนปกติไม่สามารถเห็นเนื้อหาภายในได้ มีเพียงยอดปรมาจารย์ที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว หรือไม่ก็ระดับตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถ ‘อ่าน‘ ข้อมูลที่บันทึกอยู่ภายในได้

 

“ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีระดับ ‘อรหันต์‘ เหลืออยู่ในยุทธภพเลย นี่มันเกี่ยวกับกระแสแห่งพลังชีวิตจากเมื่อแปดร้อยปีก่อนนี่เอง…”

 

ซูฉินขบคิด

 

ตามข้อมูลที่ ‘บันทึกไว้‘ ในหนังสัตว์แผ่นนั้น เมื่อแปดร้อยปีก่อนพลังฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จอมยุทธระดับตำนานยุทธหลายคนในยุคนั้นรู้สึกได้ถึงพลังแห่งชีวิตที่ยืนยาววิ่งทะลุผ่านน่านฟ้าแล้วหายลับไปยังดินแดนอื่น

 

พลังชีวิตอันยืนยาวนั้นทำให้เหล่าตำนานยุทธในยุคนั้นถึงกับคลั่ง

 

เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีว่าถึงแม้จะเข้าถึงขอบเขตตำนานยุทธแล้วก็ตาม อายุขัยก็จะถูกยืดไปถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ช่วงชีวิตห้าร้อยปีดูเหมือนจะยาวนานมาก แต่แท้ที่จริงสำหรับจอมยุทธระดับตำนานยุทธนั้น เพียงแค่ปิดด่านฝึกตนครั้งหนึ่งหมายความว่าเวลาก็ผ่านเลยไปหลายสิบปีแล้ว

 

แต่เมื่อแปดร้อยปีที่แล้วกลับมีกระแสแห่งพลังชีวิตอันยืนยาวพุ่งฝ่าอากาศไป ซึ่งมันคงจะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับเหล่าตำนานยุทธได้

 

ดังนั้น

 

พวกเขาจึงไล่ตามข้ามน้ำข้ามทะเลไปและทิ้ง ‘ข้อมูล‘ ไว้ อย่างเช่นบนหนังสัตว์ที่ซูฉินไปพบเข้า ต่อแต่นี้ตำนานยุทธรุ่นต่อๆ ไปก็ไม่จำเป็นต้องอุดอู้อยู่ในทวีปนี้นานจนเกินไป เพียงเดินตามทางที่พวกเขาปูไว้แล้วก็พอ

 

และแน่นอน

 

ข้อมูลเหล่านี้จะวนเวียนอยู่กับสำนักพรรคที่ครั้งหนึ่งมีระดับตำนานยุทธกำเนิดเกิดขึ้น

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินเองจะมีระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่เหมือนกัน แต่อรหันต์องค์ล่าสุดก็คืออรหันต์ถัวเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

อรหันต์ถัว มรณภาพไปก่อนวัยอันควรเนื่องจากต้องปราบมารพุทธะ และเขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อแปดร้อยปีก่อน

 

ดังนั้นในวัดเส้าหลินจึงไม่ได้สืบทอดความลับนี้ต่อมา

 

“ข้าพลาดเองแหละ…”

 

ซูฉินดูเคร่งขรึม

 

เดิมทีเขาเคยคิดว่าจะไม่ต้องสนใจเรื่องการเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่แล้วเสียอีก ในเมื่อไม่มีตัวตนระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าแม้ตอนนี้จะไม่มีอยู่ภายในทวีป แต่นอกทวีป นอกมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะยังมีจอมยุทธระดับตำนานยุทธอยู่

 

สำหรับเหล่าตำนานยุทธ เป็นดั่งเซียนที่อิ่มทิพย์ เพียงดูดกลืนพลังฉีก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารจากภายนอกใดๆ เข้าไป

 

นอกจากนี้ตำนานยุทธยังสามารถขี่ลมและควบคุมลมคุมอากาศได้ และการข้ามน้ำข้ามทะเลก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายราวกับการกินดื่ม

 

“กระแสแห่งอายุวัฒนะ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

แม้ว่าหนังสัตว์แผ่นนั้นจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อแปดร้อยปีก่อนเอาไว้ แต่เรื่องเกี่ยวกับกระแสพลังชีวิตอันยืนยาวนั้นราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม เพียงกล่าวถึงแค่ไม่กี่คำแล้วก็ไม่ได้อธิบายต่อ

 

“อย่างไรก็ตามถ้ามีตำนานยุทธคนอื่นอีกล่ะ?”

 

ซูฉินคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

อย่างน้อยตำนานยุทธเหล่านั้นก็อยู่ไกลออกไปในโพ้นทะเล ต่างดินแดน คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อซูฉิน

 

“พวกเจ้าทุกคนไล่ตามกระแสแห่งอายุวัฒนะไปเนี่ยนะ”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

ตำนานยุทธคนอื่นๆ อาจมีความกระตือรือร้นที่จะยืดอายุขัยของพวกเขาด้วยกระแสแห่งอายุวัฒนะ

 

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นจากสี่ร้อยปี ไปเป็นแปดร้อยปี

 

ซูฉินนั้นมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรอีกต่อไปในอนาคต แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็จะหยุดอยู่ที่จุดนี้ แล้วถ้าเขาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วรับของอะไรที่เกี่ยวข้องกับการยืดอายุขัยออกมาได้ เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวลไปได้อีกตั้งเจ็ดร้อยเจ็ดสิบปี

 

“ทำไมช่วงชีวิตของข้าถึงได้ยาวนานกว่าตำนานยุทธทั่วๆ ไป ถึงสามร้อยปี?”

 

ซูฉินรู้สึกงงงวยอยู่เล็กน้อย

 

โดยปกติไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็มีอายุขัยอยู่ที่ห้าร้อยปีกันทั้งนั้น

 

แต่อายุขัยของซูฉินมีมากถึงแปดร้อยปี

 

“เป็นเพราะข้าขัดเกลากายเนื้อด้วยพลังหยินและพลังหยางใช่หรือไม่นะ?”

 

ทันใดนั้นซูฉินก็ลองคิดๆ ดู

 

หลังจากการลงชื่อเข้าอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ซูฉินก็พอจะเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ต้องการจะแปรสภาพร่างกายของตน พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยาง

 

แต่กลับขึ้นอยู่กับร่างกายของพวกเขาเอง

 

ตัวอย่างเช่น ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีร่างกายโน้มเอียงไปทางธาตุหยาง ก็จะดำเนินไปตามเส้นทางแห่ง ‘หยาง‘ เพื่อแปรสภาพร่างกายของพวกเขา

 

ยอดปรมาจารย์ที่มีร่างกายเอนเอียงไปทางธาตุหยิน ก็จะแปรสภาพร่างกายของพวกเขาด้วยเส้นทางแห่ง ‘หยิน‘

 

คนเช่นซูฉินที่ขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยางผสานกันไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“ต้องยกความดีความชอบให้ดวงตาแห่งสัจจะใช่หรือไม่เนี่ย?”

 

ซูฉินหรี่ตาลง

 

เป็นดวงตาแห่งสัจจะนี่เองที่เตือนให้เขาเฝ้ามองหาวิชากำลังภายนอกที่เป็นธาตุหยินมาฝึกร่วมกับวิชากายาวัชระคงกระพันเพื่อดับพลังอันร้อนแรง

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังนั่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็พลันรู้สึกตัวแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“พวกเขามาแล้ว…”

 

ด้วยระดับการรับรู้ในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เขาก็ล่วงรู้ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบได้

 

ในตอนนี้ซูฉินสัมผัสได้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรีบร้อนมาที่ลานจิปาถะ

 

สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ซูฉินไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร

 

ตอนที่เขากลับมาที่ลานจิปาถะ เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ศิษย์หลายคนในลานจิปาถะก็ย่อมมีคนเห็นเขาเดินผ่านไปอยู่บ้าง

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายกำลังเดินทางมาที่ลานจิปาถะด้วยความวิตกกังวล

 

“เจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นกลับมาที่ลานจิปาถะ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่เณรน้อยที่กำลังทำหน้าที่นำทางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

“เจ้าอาวาส”

 

“ข้าได้เห็นหลวงลุงเจินกวนมาก็หลายครั้ง ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน”

 

เณรน้อยที่เป็นผู้นำทางตบอกตนให้คำมั่น

 

แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้าอาวาสถึงตามหาซูฉิน แต่ดูจากการแสดงออกของพวกเขาแล้ว มันน่าจะเป็นการลงโทษซูฉินหรืออะไรสักอย่าง

 

สามเณรมั่นอกมั่นใจในเรื่องนี้จึงหาญกล้านำทางให้

 

“อื๋อ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อยู่ด้านข้างพลันหน้าแข็งค้าง

 

ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่พวกเขาเรียกขานซูฉินว่า ‘ผู้อาวุโส‘ แต่ตัวตนอย่างเณรน้อยรุ่น ‘เฉียน‘ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวัดกลับเรียกซูฉินว่า ‘หลวงลุง‘

 

นี่ไม่ได้หมายความว่าตัวตนของพวกเขาสู้ไม่ได้แม้แต่เณรเหล่านี้เลยหรือไง

 

“ต่อไปนี้ห้ามเรียกว่าหลวงลุงอีกเป็นอันขาด!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จ้องเขม็งไปที่เณรน้อยและเกือบจะทำให้เขาร้องไห้

 

ไม่นานนัก

 

คณะสงฆ์กลุ่มนี้เดินเข้าไปในลานจิปาถะและยืนอยู่ด้านหน้าห้องของซูฉินอย่างระมัดระวัง

 

“เจ้าออกไปก่อน”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เณรน้อยผู้นำทาง แล้วสะบัดมือให้ออกไป

 

“ขอรับ”

 

เณรน้อยวิ่งออกไปอย่างเศร้าสร้อย

 

หลังจากเณรรูปดังกล่าวออกไป

 

พื้นที่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบโดยทันที

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าตึงเครียด มิรู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีหรือไม่

 

ประตูที่อยู่ตรงหน้าบานนี้ความจริงก็บอบบางราวกับแผ่นกระดาษสำหรับพวกเขา

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้

 

ประตูนี้ประดุจน้ำตกอันกว้างใหญ่

 

สูงชะลูดเสียดฟ้า

 

หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ที่อยู่ภายใน แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ จะมีความกล้าหาญมากมายเพียงใดก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามเปิดประตู

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลใจว่าจะขานเรียกดีหรือไม่

 

เสียงสงบเย็นก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างไม่รีบเร่ง

 

“พวกเจ้าทุกคนเข้ามาเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+