เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 64 อวตารแห่งองค์ยูไล, คัมภีร์เก้าสุริยัน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 64 อวตารแห่งองค์ยูไล คัมภีร์เก้าสุริยัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 64 อวตารแห่งองค์ยูไล, คัมภีร์เก้าสุริยัน

 

 

“พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามาเถิด”

 

เสียงนี้เหมือนดังมาจากทุกทิศทาง ก้องอยู่ในหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

“นี่คือ?”

 

ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

แม้ว่าเขาจะแน่ใจว่ามาจากห้องตรงหน้าแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าดังมาจากจุดไหน

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างมองหน้ากัน ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดประตูออกอย่างระมัดระวังแล้วจึงเดินเข้าไป

 

การตกแต่งภายในห้องนั้นแสนจะธรรมดา ตราบใดที่อยู่ในวัดเส้าหลินมามากกว่าสิบปี ใครๆ ก็สามารถมีห้องส่วนตัวแบบนี้ได้

 

ในฐานะของสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินมีพื้นที่กว้างขวางอย่างมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ดินที่พักอาศัยว่าจะไม่เพียงพอ

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักเดินเข้าไปในห้อง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองซูฉินที่นั่งเอาขาไขว้กันอยู่บนเตียง

 

ในขณะนี้ซูฉินได้เก็บซ่อนกลิ่นอายเอาไว้อย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเขาได้หลอมรวมไปกับความว่างโล่งของอากาศธาตุ หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ได้มองเห็นอยู่ล่ะก็ เขาก็จะไม่เชื่อถือเด็ดขาดว่ามีคนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา

 

“พวกเราขอเข้าพบซุนเจ่อ[1] (ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง)…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างก้มหัวลงกล่าวคำราวกับเสียงกระซิบ

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเป็นชื่อที่ใช้ในการให้ความเคารพพระสงฆ์เส้าหลินที่บรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ ซุนเจ่อในทางพุทธนั้นมีหลายความหมาย แต่ส่วนใหญ่นั้นหมายถึง ‘พระสมณะ‘ และ ‘ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่‘

 

“ลุกขึ้นเถิด”

 

ซูฉินมองลงไปยังเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังทำความเคารพเขา

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากโถงประชุมใหญ่ ซูฉินก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมินึกแปลกใจ

 

หลังจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินลุกขึ้นพร้อมๆ กับหัวหน้าตำหนัก พวกเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

 

“หากมีคำถามอันใด พวกเจ้าสามารถถามออกมาได้เลย”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่เจ้าอาวาสที่ใบหน้าเรียบนิ่ง เขาถอนหายใจแล้วพูดออกมาอย่างสบายๆ

 

ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาไม่เปิดปากกล่าวคำ คนเหล่านี้ก็จะยืนอยู่ที่นี่ตลอดไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองหน้ากัน และในที่สุดหัวหน้าลานอรหันต์ก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างสุขุม “ขออนุญาตกล่าวถามผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง เมื่อสิบปีก่อนยามเมื่อศิษย์ของข้าที่ถูกล่อลวงด้วยเศษเสี้ยวจิตมาร เป็นท่านที่สังหารเขาเช่นนั้นหรือ?”

 

สิบปีที่แล้วครอบครัวของอัจฉริยะคนหนึ่งในลานอรหันต์ถูกสังหารทั้งตระกูล และตัวเขาก็ถูกหลอกใช้จากจิตมารสุดท้ายก็กลายไปเป็นทายาทของมารพุทธะที่หมายทำลายวัดเส้าหลิน

 

ในเวลานั้นทายาทมารพุทธะขวัญกระเจิงเพียงเพราะใบไม้แห้งใบเดียวและสุดท้ายก็พบเป็นร่างไร้ชีวิตที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจะคาดเดาว่าเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เรื่องราวนี้ก็ไม่เคยได้รับการยืนยัน

 

“เป็นข้าเอง”

 

ซูฉินกล่าวคำเบาๆ

 

เจินซิ่งถูกล่อลวงโดยมารพุทธะจนจิตใจบิดเบี้ยวไปตั้งนานแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้

 

ที่จริงแล้ว เจินซิ่งไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นจิตมารอวตารของมารพุทธะ

 

ซูฉินจึงทำได้แค่สังหารเขาลงเพียงเท่านั้น

 

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งด้วย ที่ลงมือสำเร็จโทษมารร้ายผู้นั้น”

 

ดวงตาของหัวหน้าลานอรหันต์หรี่ลงและเขาก็ถอยออกไป

 

ในตอนที่หัวหน้าลานอรหันต์เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เรียกความกล้าที่จะถามสิ่งที่คั่งค้างสงสัยในใจ

 

ตัวอย่างเช่นทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตจึงตกตายอยู่ที่ด้านนอกหอคอยสะกดมาร การเปลี่ยนแปลงของตราประทับที่พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังและเรื่องอื่นๆ

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ตอบคำถามทีละคน

 

ตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขอบเขตระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไร้ผู้ต่อกรในอาณาจักรแห่งนี้ ตราบใดที่ประเด็นที่ถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลับอะไร เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะโป้ปด

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก แล้วจึงพูดเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็กลับกันไปได้แล้วหละ”

 

ในครึ่งชั่วโมงนี้ เหล่าชายชราเหล่านี้ต่างถามคำถามราวกับเป็นเจ้าหนูจำไมที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าวปลาอาหารตลอดยี่สิบปีที่เขาได้ดื่มกินมา เขาคงขับไล่คนเหล่านี้ออกไปแล้ว

 

หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างไม่กล้าขัดคำกล่าวของผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง รีบลากลับทันที

 

ซูฉินได้ไขข้อสงสัยให้พวกเขาไปได้มากยกเว้นไว้แต่บางคำถามเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหรือหัวหน้าตำหนัก พวกเขาต่างได้รับอะไรกลับไปมากมายจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครึ่งชั่วโมงนี้

 

โดยเฉพาะหัวหน้าตำหนักหลายคนที่ตอนนี้กำลังคิดใคร่ครวญ เกรงว่าหากปิดด่านฝึกตนไปสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง คงจะก้าวหน้าไปถึงระดับชั้นที่สองได้เป็นแน่

 

 

ลานธรรม

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักออกจากลานจิปาถะ พวกเขาก็มุ่งมาที่นี่

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งนั้นเชี่ยวชาญศาสตร์หลากหลายแขนง ท่านช่างรอบรู้อย่างแท้จริง…” หัวหน้าลานโพธิ์เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แววตาของเขาจ้องมองไปทางลานจิปาถะอย่างหวาดเกรงสุดซึ้ง

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต่างถามคำถามกันอย่างต่อเนื่อง คนนู้นถามจบคนนั้นถามต่อ ซึ่งเป็นการถามคำถามที่ครอบคลุมถึง กำลังภายใน กำลังภายนอก การขัดเกลาร่างกาย การสะสมพลังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องเลยก็ว่าได้

 

แต่ซูฉินตอบพวกเขาทีละคนๆ ไม่เพียงแต่ตอบคำถามของพวกเขาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่ลึกซึ้งได้ด้วยวิธีการง่ายๆ พูดถึงหลักการอันยิ่งใหญ่ที่คนธรรมดาอาจจะไม่มีวันเข้าใจไปชั่วชีวิตได้ด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำ

 

นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธเองต่างก็มีพลังงานที่จำกัด

 

ตลอดระยะเวลาหลายพันปีของวัดเส้าหลิน นอกเหนือจาก ‘ปรมาจารย์โพธิธรรม‘ ที่รอบรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ มากมายจนหาตัวจับยาก ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งคนอื่นๆ ที่ไปถึงระดับ‘อรหันต์‘ก็เชี่ยวชาญแค่บางด้านเท่านั้น

 

ห่างไกลจากการเป็นดั่งเช่นซูฉินที่รู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดี

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างก็แอบพยักหน้าเห็นด้วย

 

พวกเขาเองก็มีความคิดเช่นนั้น

 

“บางทีผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งอาจมิใช่ปุถุชน…”

 

ในตอนนั้นเองดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เปล่งประกายแล้วกล่าวออกมาว่า

 

“เจ้าจำสิ่งที่เกิดขึ้นที่ศาลาการประชุมใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อนได้หรือไม่?”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตกตะลึง

 

เมื่อยี่สิบปีก่อนมีองค์ยูไลสีทององค์ใหญ่ยักษ์ปรากฏอยู่ด้านหน้าศาลาการประชุมใหญ่ และทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นองค์ยูไลทรงสำแดงเดช

 

“ข้าจำได้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งก็เข้านมัสการวัดเส้าหลินเมื่อยี่สิบปีก่อนเช่นเดียวกัน”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้ ท่านก็หยุดไปชั่วครู่ราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ของตน “บางทีผู้ทรงสมณศักดิ์อังสูงส่งอาจจะเป็นปางอวตารขององค์ยูไลสักพระองค์หนึ่ง ดังนั้นเมื่อตอนที่ท่านมาถึงวัดเส้าหลิน ท่านจึงดึงดูดความสนใจขององค์ยูไล และได้กลายมาเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด”

 

“องค์…ปางอวตารแห่งองค์ยูไล?”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างตกอกตกใจ

 

รู้หรือไม่ว่าปางอวตารแห่งองค์ยูไลกับการสำเร็จระดับอรหันต์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“อรหันต์” เป็นที่เคารพนับถือ อยู่เหนือสรรพสัตว์ทั้งมวล แต่ท้ายที่สุดก็เป็นตัวตนที่ยังคงยืนอยู่บนโลกหล้า

 

แต่องค์ยูไล…

 

ได้ตัดขาดออกจากโลกนี้ไปแล้ว

 

กลุ่มหัวหน้าตำหนักต่างคิดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ดูมีเค้าความจริงอยู่มาก

 

เนื่องจากซูฉินเพิ่งจะเข้าวัดเส้าหลินมาได้เพียงยี่สิบปี

 

ในเวลายี่สิบปี จากคนธรรมดาที่ไม่แม้แต่จะแตะระดับชั้นที่เก้าได้กลายมาเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ถ้านี่ไม่ใช่ปางอวตารขององค์ยูไล เกรงว่าเล่าให้ใครฟังจะไม่มีใครเชื่อเอา

 

“อืมเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของวัดเส้าหลิน รอจนกว่าจะแน่ชัด ห้ามแพร่งพรายออกไปภายนอก!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกวาดตามองเหล่าหัวหน้าตำหนักแล้วจึงกล่าวคำ

 

“ใช่”

 

“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน”

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายตัดสินใจและพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิทำความคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของตัวเองอยู่ตลอด

 

ตกดึก

 

พระจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่บนนภาสูง

 

ร่างของซูฉินวูบไหวแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าศาลาพระคัมภีร์

 

“ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เสียที”

 

ซูฉินมองไปที่ศาลาพระคัมภีร์

 

แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว แต่เขาก็จะไม่ยอมละทิ้งโอกาสลงชื่อเข้าใช้ในแต่ละวันไปแน่

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘[2]]

 

 

 

——————————————

[1] 尊者 Zūn zhě ใช้สำหรับเรียกพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูง

[2] 九阳功 เป็นคัมภีร์ที่ใช้เคล็ดหยินเกื้อหนุนหยาง แต่ใช้ชื่อ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘ที่พูดถึงเพียงแต่หยาง ต่างกับ‘คัมภีร์เก้าอิม‘ที่เน้นเพียงธาตุหยินเป็นหลัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 64 อวตารแห่งองค์ยูไล, คัมภีร์เก้าสุริยัน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 64 อวตารแห่งองค์ยูไล คัมภีร์เก้าสุริยัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 64 อวตารแห่งองค์ยูไล, คัมภีร์เก้าสุริยัน

 

 

“พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามาเถิด”

 

เสียงนี้เหมือนดังมาจากทุกทิศทาง ก้องอยู่ในหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

“นี่คือ?”

 

ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

แม้ว่าเขาจะแน่ใจว่ามาจากห้องตรงหน้าแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าดังมาจากจุดไหน

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างมองหน้ากัน ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดประตูออกอย่างระมัดระวังแล้วจึงเดินเข้าไป

 

การตกแต่งภายในห้องนั้นแสนจะธรรมดา ตราบใดที่อยู่ในวัดเส้าหลินมามากกว่าสิบปี ใครๆ ก็สามารถมีห้องส่วนตัวแบบนี้ได้

 

ในฐานะของสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินมีพื้นที่กว้างขวางอย่างมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ดินที่พักอาศัยว่าจะไม่เพียงพอ

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักเดินเข้าไปในห้อง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองซูฉินที่นั่งเอาขาไขว้กันอยู่บนเตียง

 

ในขณะนี้ซูฉินได้เก็บซ่อนกลิ่นอายเอาไว้อย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเขาได้หลอมรวมไปกับความว่างโล่งของอากาศธาตุ หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ได้มองเห็นอยู่ล่ะก็ เขาก็จะไม่เชื่อถือเด็ดขาดว่ามีคนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา

 

“พวกเราขอเข้าพบซุนเจ่อ[1] (ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง)…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างก้มหัวลงกล่าวคำราวกับเสียงกระซิบ

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเป็นชื่อที่ใช้ในการให้ความเคารพพระสงฆ์เส้าหลินที่บรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ ซุนเจ่อในทางพุทธนั้นมีหลายความหมาย แต่ส่วนใหญ่นั้นหมายถึง ‘พระสมณะ‘ และ ‘ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่‘

 

“ลุกขึ้นเถิด”

 

ซูฉินมองลงไปยังเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังทำความเคารพเขา

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากโถงประชุมใหญ่ ซูฉินก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมินึกแปลกใจ

 

หลังจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินลุกขึ้นพร้อมๆ กับหัวหน้าตำหนัก พวกเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

 

“หากมีคำถามอันใด พวกเจ้าสามารถถามออกมาได้เลย”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่เจ้าอาวาสที่ใบหน้าเรียบนิ่ง เขาถอนหายใจแล้วพูดออกมาอย่างสบายๆ

 

ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาไม่เปิดปากกล่าวคำ คนเหล่านี้ก็จะยืนอยู่ที่นี่ตลอดไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองหน้ากัน และในที่สุดหัวหน้าลานอรหันต์ก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างสุขุม “ขออนุญาตกล่าวถามผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง เมื่อสิบปีก่อนยามเมื่อศิษย์ของข้าที่ถูกล่อลวงด้วยเศษเสี้ยวจิตมาร เป็นท่านที่สังหารเขาเช่นนั้นหรือ?”

 

สิบปีที่แล้วครอบครัวของอัจฉริยะคนหนึ่งในลานอรหันต์ถูกสังหารทั้งตระกูล และตัวเขาก็ถูกหลอกใช้จากจิตมารสุดท้ายก็กลายไปเป็นทายาทของมารพุทธะที่หมายทำลายวัดเส้าหลิน

 

ในเวลานั้นทายาทมารพุทธะขวัญกระเจิงเพียงเพราะใบไม้แห้งใบเดียวและสุดท้ายก็พบเป็นร่างไร้ชีวิตที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจะคาดเดาว่าเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เรื่องราวนี้ก็ไม่เคยได้รับการยืนยัน

 

“เป็นข้าเอง”

 

ซูฉินกล่าวคำเบาๆ

 

เจินซิ่งถูกล่อลวงโดยมารพุทธะจนจิตใจบิดเบี้ยวไปตั้งนานแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้

 

ที่จริงแล้ว เจินซิ่งไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นจิตมารอวตารของมารพุทธะ

 

ซูฉินจึงทำได้แค่สังหารเขาลงเพียงเท่านั้น

 

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งด้วย ที่ลงมือสำเร็จโทษมารร้ายผู้นั้น”

 

ดวงตาของหัวหน้าลานอรหันต์หรี่ลงและเขาก็ถอยออกไป

 

ในตอนที่หัวหน้าลานอรหันต์เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เรียกความกล้าที่จะถามสิ่งที่คั่งค้างสงสัยในใจ

 

ตัวอย่างเช่นทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตจึงตกตายอยู่ที่ด้านนอกหอคอยสะกดมาร การเปลี่ยนแปลงของตราประทับที่พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังและเรื่องอื่นๆ

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ตอบคำถามทีละคน

 

ตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขอบเขตระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไร้ผู้ต่อกรในอาณาจักรแห่งนี้ ตราบใดที่ประเด็นที่ถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลับอะไร เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะโป้ปด

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก แล้วจึงพูดเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็กลับกันไปได้แล้วหละ”

 

ในครึ่งชั่วโมงนี้ เหล่าชายชราเหล่านี้ต่างถามคำถามราวกับเป็นเจ้าหนูจำไมที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าวปลาอาหารตลอดยี่สิบปีที่เขาได้ดื่มกินมา เขาคงขับไล่คนเหล่านี้ออกไปแล้ว

 

หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างไม่กล้าขัดคำกล่าวของผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง รีบลากลับทันที

 

ซูฉินได้ไขข้อสงสัยให้พวกเขาไปได้มากยกเว้นไว้แต่บางคำถามเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหรือหัวหน้าตำหนัก พวกเขาต่างได้รับอะไรกลับไปมากมายจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครึ่งชั่วโมงนี้

 

โดยเฉพาะหัวหน้าตำหนักหลายคนที่ตอนนี้กำลังคิดใคร่ครวญ เกรงว่าหากปิดด่านฝึกตนไปสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง คงจะก้าวหน้าไปถึงระดับชั้นที่สองได้เป็นแน่

 

 

ลานธรรม

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักออกจากลานจิปาถะ พวกเขาก็มุ่งมาที่นี่

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งนั้นเชี่ยวชาญศาสตร์หลากหลายแขนง ท่านช่างรอบรู้อย่างแท้จริง…” หัวหน้าลานโพธิ์เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แววตาของเขาจ้องมองไปทางลานจิปาถะอย่างหวาดเกรงสุดซึ้ง

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต่างถามคำถามกันอย่างต่อเนื่อง คนนู้นถามจบคนนั้นถามต่อ ซึ่งเป็นการถามคำถามที่ครอบคลุมถึง กำลังภายใน กำลังภายนอก การขัดเกลาร่างกาย การสะสมพลังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องเลยก็ว่าได้

 

แต่ซูฉินตอบพวกเขาทีละคนๆ ไม่เพียงแต่ตอบคำถามของพวกเขาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่ลึกซึ้งได้ด้วยวิธีการง่ายๆ พูดถึงหลักการอันยิ่งใหญ่ที่คนธรรมดาอาจจะไม่มีวันเข้าใจไปชั่วชีวิตได้ด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำ

 

นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธเองต่างก็มีพลังงานที่จำกัด

 

ตลอดระยะเวลาหลายพันปีของวัดเส้าหลิน นอกเหนือจาก ‘ปรมาจารย์โพธิธรรม‘ ที่รอบรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ มากมายจนหาตัวจับยาก ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งคนอื่นๆ ที่ไปถึงระดับ‘อรหันต์‘ก็เชี่ยวชาญแค่บางด้านเท่านั้น

 

ห่างไกลจากการเป็นดั่งเช่นซูฉินที่รู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดี

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างก็แอบพยักหน้าเห็นด้วย

 

พวกเขาเองก็มีความคิดเช่นนั้น

 

“บางทีผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งอาจมิใช่ปุถุชน…”

 

ในตอนนั้นเองดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เปล่งประกายแล้วกล่าวออกมาว่า

 

“เจ้าจำสิ่งที่เกิดขึ้นที่ศาลาการประชุมใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อนได้หรือไม่?”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตกตะลึง

 

เมื่อยี่สิบปีก่อนมีองค์ยูไลสีทององค์ใหญ่ยักษ์ปรากฏอยู่ด้านหน้าศาลาการประชุมใหญ่ และทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นองค์ยูไลทรงสำแดงเดช

 

“ข้าจำได้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งก็เข้านมัสการวัดเส้าหลินเมื่อยี่สิบปีก่อนเช่นเดียวกัน”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้ ท่านก็หยุดไปชั่วครู่ราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ของตน “บางทีผู้ทรงสมณศักดิ์อังสูงส่งอาจจะเป็นปางอวตารขององค์ยูไลสักพระองค์หนึ่ง ดังนั้นเมื่อตอนที่ท่านมาถึงวัดเส้าหลิน ท่านจึงดึงดูดความสนใจขององค์ยูไล และได้กลายมาเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด”

 

“องค์…ปางอวตารแห่งองค์ยูไล?”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างตกอกตกใจ

 

รู้หรือไม่ว่าปางอวตารแห่งองค์ยูไลกับการสำเร็จระดับอรหันต์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“อรหันต์” เป็นที่เคารพนับถือ อยู่เหนือสรรพสัตว์ทั้งมวล แต่ท้ายที่สุดก็เป็นตัวตนที่ยังคงยืนอยู่บนโลกหล้า

 

แต่องค์ยูไล…

 

ได้ตัดขาดออกจากโลกนี้ไปแล้ว

 

กลุ่มหัวหน้าตำหนักต่างคิดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ดูมีเค้าความจริงอยู่มาก

 

เนื่องจากซูฉินเพิ่งจะเข้าวัดเส้าหลินมาได้เพียงยี่สิบปี

 

ในเวลายี่สิบปี จากคนธรรมดาที่ไม่แม้แต่จะแตะระดับชั้นที่เก้าได้กลายมาเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ถ้านี่ไม่ใช่ปางอวตารขององค์ยูไล เกรงว่าเล่าให้ใครฟังจะไม่มีใครเชื่อเอา

 

“อืมเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของวัดเส้าหลิน รอจนกว่าจะแน่ชัด ห้ามแพร่งพรายออกไปภายนอก!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกวาดตามองเหล่าหัวหน้าตำหนักแล้วจึงกล่าวคำ

 

“ใช่”

 

“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน”

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายตัดสินใจและพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิทำความคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของตัวเองอยู่ตลอด

 

ตกดึก

 

พระจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่บนนภาสูง

 

ร่างของซูฉินวูบไหวแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าศาลาพระคัมภีร์

 

“ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เสียที”

 

ซูฉินมองไปที่ศาลาพระคัมภีร์

 

แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว แต่เขาก็จะไม่ยอมละทิ้งโอกาสลงชื่อเข้าใช้ในแต่ละวันไปแน่

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘[2]]

 

 

 

——————————————

[1] 尊者 Zūn zhě ใช้สำหรับเรียกพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูง

[2] 九阳功 เป็นคัมภีร์ที่ใช้เคล็ดหยินเกื้อหนุนหยาง แต่ใช้ชื่อ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘ที่พูดถึงเพียงแต่หยาง ต่างกับ‘คัมภีร์เก้าอิม‘ที่เน้นเพียงธาตุหยินเป็นหลัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+