เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน, ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน, ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม

 

 

“คัมภีร์เก้าสุริยัน?”

 

ซูฉินดีใจเป็นอย่างมาก

 

‘วิชาเก้าสุริยัน‘เป็นหนึ่งในวิชาคัมภีร์ชั้นยอดของวัดเส้าหลิน เมื่อฝึกสำเร็จไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วว่ากันว่าร่างกายจะคล้ายกลับกลายเป็นดวงสุริยันลูกมหึมา แผดเผาให้ภูเขาต้องลุกโชน น้ำทะเลยังต้องเดือดเป็นไอ!

 

น่าเสียดายนัก เช่นเดียวกันกับ‘ฝ่ามือยูไล‘ ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘ ก็ได้สูญหายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน

 

ทว่าการสูญหายไปของคัมภีร์เก้าสุริยันนั้นต่างไปจากตอนที่ฝ่ามือยูไลหายสาบสูญ

 

ฝ่ามือยูไลนั้นสาบสูญไปอย่างสมบูรณ์พร้อมๆ กับการมรณภาพของ ‘อรหันต์‘ รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลิน ไม่มีร่องรอยการคงอยู่ของฝ่ามือยูไลเลยยกเว้นพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตาม กับคัมภีร์เก้าสุริยัน ได้หลุดรอดออกจากวัดเส้าหลินไปสู่โลกภายนอก

 

ลือกันว่าที่นักพรตจางสายเลือดจอมยุทธแห่งเขาหวู่ตั้งประสบความสำเร็จมาได้ถึงขนาดนี้เพราะเขาได้คัมภีร์บางส่วนของวิชาเก้าสุริยันมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ใช้หยินส่งเสริมหยางเพื่อสร้างพลังงานฉี สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ…

 

“ไม่เลวๆ“

 

ซูฉินรู้สึกถึงความละเอียดลออและงดงามหมดจดของวิชาเก้าสุริยันประทับลงในจิตของเขา จากนั้นจึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย

 

ด้วยระดับในปัจจุบันของซูฉินเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นว่า ‘วิชาเก้าสุริยัน‘ เป็นวิชาอันสูงส่ง ซึ่งอยู่ในขอบเขตของระดับ‘อรหันต์‘

 

แม้จะยังด้อยกว่าฝ่ามือยูไลไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาของมารพุทธะแล้วก็ไม่ทิ้งห่างกันมากนัก

 

ช่วงเวลาต่อมาชีวิตของซูฉินก็กลับสู่ปกติสุขอีกครั้ง

 

สิ่งที่แตกต่างออกไปเพียงอย่างเดียวก็คือ ซูฉินไม่จำเป็นต้องกวาดลานทุกวี่วันอีกต่อไป

 

เนื่องจากความแข็งแกร่งของซูฉินถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักที่รู้สึกราวกับซูฉินเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ ไหนเลยจะกล้าให้เขากวาดพื้นต่อไป?

 

และซูฉินก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ระดับอรหันต์ เขาก็ต้องการเวลาพอสมควรในการทำความคุ้นเคยกับพลังใหม่ที่สูงขึ้นและเพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง

 

ส่วนเรื่องการลงชื่อเข้าใช้….

 

ซูฉินจะรอจนฟ้ามืด ยามที่ไม่มีใครเพ่นพ่านแล้ว เขาจะออกมาลงชื่อเข้าใช้

 

ระบบลงชื่อเข้าใช้เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของซูฉิน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้ใครล่วงรู้

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

 

การตายของจอมมารและข่าวการล่มสลายของพรรคมารแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรถังราวกับพายุโหม

 

หลังจากที่จอมมารกลับเข้าสู่ยุทธภพ เขาไม่ได้ขึ้นเขาไปเยือนวัดเส้าหลินเป็นที่แรก แต่กลับไล่กวาดล้างสำนักพรรคธรรมะในราชวงศ์ถังเสียก่อน

 

ในช่วงเวลานั้นความแข็งแกร่งระดับชั้นที่หนึ่งของจอมมารเป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่วทั้งยุทธภพมาตั้งนานแล้ว

 

แม้แต่จอมยุทธที่มากไปด้วยชื่อเสียงก็ยังเชื่อว่าจอมมารไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดธรรมดาๆ แต่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังของตนไปอย่างน้อยสองครั้งแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจอมมารที่หมายจะปกครองโลกเช่นนี้ ต้องมาสิ้นชื่อที่วัดเส้าหลิน?

 

อาณาจักรต้าถัง

 

วังหลวง

 

บรรยากาศภายในวังนั้นเย็นยะเยือก

 

ชายชราสวมชุดคลุมลายมังกรกำลังจ้องมองเอกสารในมือ

 

“ระดับตำนานยุทธ?”

 

“วัดเส้าหลินมีตำนานยุทธผุดขึ้นมา และสังหารจอมมารจนแดดิ้นไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ชายชราที่สวมชุดคลุมลายมังกรแน่นอนว่าต้องเป็นองค์จักรพรรดิถัง คิ้วของเขาขมวดอยู่เล็กน้อยราวกับไม่สามารถคิดตัดสินใจในบางประการได้

 

“จ้าวกงกง”

 

องค์จักรพรรดิถังวางแผ่นเอกสารในมือแล้วกล่าวเบาๆ

 

“ขอรับฝ่าบาท”

 

ปรากฏร่างขันทีสวมใส่เครื่องแบบตามฉบับของขันทีหลวงสีม่วงสดโผล่มาที่ด้านข้างขององค์จักรพรรดิถังอย่างเงียบเชียบแล้วจึงโค้งคำนับ

 

“เจ้าว่าข่าวนี้จริงเท็จประการใด?”

 

จักรพรรดิถังมองไปที่จ้าวกงกงแล้วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทุ้มลุ่มลึก

 

แม้ตามข้อมูลจะระบุว่าจอมมารได้คำรามลั่นและตะโกนว่า “เจ้าคือระดับตำนานยุทธ” ก่อนที่เขาจะสิ้นชีพ

 

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลานั้น องค์จักรพรรดิถังไม่สามารถยืนยันมั่นใจได้เพียงแค่อาศัยเชื่อถือข้อมูลชุดนี้

 

สุดท้ายแล้วนี่ก็ไม่ใช่แมวหมา แต่เป็นตำนานยุทธที่อยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหลาย

 

“เรียนฝ่าบาท ข้ารับใช้เฒ่ามิสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้”

 

จ้าวกงกงที่สวมชุดม่วงโค้งคำนับและกล่าวด้วยความอ่อนน้อม

 

“เฮ่อ”

 

“น่าเสียดายแล้ว”

 

องค์จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเบาๆ “เวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว”

 

ในความเป็นจริงนั้น

 

ถ้าไม่ให้จ้าวกงกงสละฐานการบ่มเพาะบางส่วนและบังคับยืดอายุขัยให้กับตน

 

องค์จักรพรรดิถังน่าจะสวรรคตด้วยโรคชราไปตั้งแต่ไม่กี่ปีก่อนแล้ว

 

แต่กระนั้นก็ไม่สามารถยืดอายุขัยขององค์จักรพรรดิถังให้นานไปกว่านี้ได้มากนัก

 

“การศึกษาร่ำเรียนของบุตรข้าช่วงนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”

 

“สามารถมองแก่นของสถานการณ์ภาพรวมได้บ้างหรือยัง?”

 

จักรพรรดิถังถูนวดไปตามแนวคิ้วของพระองค์และเอ่ยถามอย่างช้าๆ

 

“องค์รัชทายาทของพระองค์ทรงเรียนรู้ว่องไวมากและทรงดำเนินตามแนวทางที่พระองค์ทรงคาดหวังเอาไว้ได้อย่างดี” จ้าวกงกงกล่าวตอบ

 

“นั่นเยี่ยมมาก”

 

“ข้าได้สัญญากับมารดาของเขาเอาไว้แล้ว”

 

เสียงของจักรพรรดิถังเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

จ้าวกงกงก้มหน้าและไม่ได้พูดอะไร

 

“ฝ่าบาท มีอีกสิ่งที่ผู้รับใช้เฒ่าผู้นี้มิรู้ว่าควรจะกล่าวออกไปดีหรือไม่” จ้าวกงกงลังเลอยู่สักพักแล้วจึงพูด

 

“เรื่องอะไรงั้นรึ?” จักรพรรดิถังขมวดคิ้ว

 

“ก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับวัง พระองค์ได้อภิเษกกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และกล่าวว่าจะไม่ตบแต่งกับหญิงอื่นใดอีกในชั่วชีวิตนี้” จ้าวกงกงกล่าว

 

เหตุการณ์นี้เกือบจะทำให้เหล่าว่าที่นางสนมตระกูลหลี่สะดุ้งโหยง

 

รู้หรือไม่ว่าอาณาจักรถังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสืบทอดวงศ์ตระกูล ในฐานะของลูกหลานตระกูลในราชวงศ์ หากไม่มีชายาสาม สนมสี่ ก็คงจะเป็นเรื่องขบขันให้กล่าวสืบต่อกันต่อไป

 

“โอ้?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิถัง “เด็กคนนี้เหมือนข้าตอนยังเด็กมิผิด”

 

เมื่อจักรพรรดิถังกล่าวเช่นนั้น ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไม่ได้ใส่ใจอีก “เนื่องจากเขาไม่ต้องการจะอภิเษกกับหญิงใดอีก ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ข้าทำตามกฎมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว จะไปอยากให้เขาต้องมาเดินตามกฎเกณฑ์เช่นเดียวกับข้าได้อย่างไร?”

 

“ตามพระบัญชา”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น จ้าวกงกงก็ค่อยๆ ถอยกลับไปในความมืด

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

 

ชายร่างสูงนัยน์ตาลุ่มลึก มองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากที่ราบตอนกลาง[1]สักคนหนึ่งมาที่นี่ เขาต้องรู้ได้อย่างแน่นอนว่าชายร่างสูงผู้มีพลังอันน่าพรั่นพรึงผู้นี้คือผู้ที่อยู่เหนือสุดในอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

เขายึดครองไปทั่วทั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวนด้วยความแข็งแกร่งของตน และตอนนี้ก็กำลังพุ่งเป้าไปยังที่ราบตอนกลาง

 

แม้แต่ผู้นำอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังต้องโค้งคารวะก่อนที่จะเข้าพบยอดปรมาจารย์ ราชครูผู้นี้

 

ในสายตาของผู้คนในอาณาจักรเหมิ่งหยวนสถานะของราชครูแห่งอาณาจักรเทียบเคียงได้กับเทพเจ้า

 

ในขณะนั้นเอง มีร่างๆ หนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับและยื่นจดหมายให้

 

“ท่านราชครู”

 

“นี่คือข้อมูลจากอาณาจักรถัง”

 

ร่างนั้นกล่าวด้วยความเคารพ

 

ชายร่างสูงหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วชำเลืองมองดู

 

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปครู่ใหญ่

 

แผ่นจดหมายถูกทำลายทิ้งอย่างไร้สุ้มเสียง

 

ชายร่างสูงถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา “พระเจ้านั้นลำเอียงรักดินแดนที่ราบตอนกลางหรืออย่างไร…”

 

ร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมาว่า “เพียงมีท่านราชครู อาณาจักรของเราก็สามารถยึดครองได้แม้แต่ผืนฟ้าอย่างแน่นอน!”

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิบนพื้นอยู่ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“หลังจากเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ การบ่มเพาะเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด…”

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาด้วยความผิดหวังอยู่เล็กน้อย

 

ก่อนที่จะกลายเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นลำดับเกือบทุกวัน

 

ยกเว้นไว้แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่จำเป็นจะต้องแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ในช่วงเวลาอื่นนอกเหนือจากนั้นเขามักจะตัดผ่านระดับขั้นได้ในทุกๆ ช่วงเวลาสองถึงสามปี

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงความยากลำบากในการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

“มันน่าจะเป็นเพราะข้าแข็งแกร่งเกินไป ความเพียรในระดับธรรมดาไม่สามารถทำให้เห็นผลใดๆ ได้เลย”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจตนเองเงียบๆ

 

ตัวอย่างมันคล้ายกับ หากมีเงินอยู่สิบเหรียญแล้วจึงเพิ่มเงินเข้าไปอีกหนึ่งเหรียญ เป็นปกติที่จะรับรู้การเพิ่มขึ้นของเงินที่มีอยู่อย่างชัดเจน

 

แต่ถ้ามีเงินอยู่ร้อยเหรียญ พันเหรียญ หรือหมื่นเหรียญ แล้วได้เหรียญเพิ่มมาสักเหรียญก็คงไม่รู้สึกว่ามีเงินเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไหร่

 

ซูฉินกำลังเผชิญหน้ากับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตอนนี้

 

เขาแข็งแกร่งเกินไป

 

หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ซูฉินไม่เพียงแต่จะสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพลังของโลก พลังของฟ้าดินได้อีกด้วย

 

 

—————————————————-

[1] ที่ราบตอนกลางหมายถึงอาณาจักรต้าถัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน, ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน, ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม

 

 

“คัมภีร์เก้าสุริยัน?”

 

ซูฉินดีใจเป็นอย่างมาก

 

‘วิชาเก้าสุริยัน‘เป็นหนึ่งในวิชาคัมภีร์ชั้นยอดของวัดเส้าหลิน เมื่อฝึกสำเร็จไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วว่ากันว่าร่างกายจะคล้ายกลับกลายเป็นดวงสุริยันลูกมหึมา แผดเผาให้ภูเขาต้องลุกโชน น้ำทะเลยังต้องเดือดเป็นไอ!

 

น่าเสียดายนัก เช่นเดียวกันกับ‘ฝ่ามือยูไล‘ ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘ ก็ได้สูญหายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน

 

ทว่าการสูญหายไปของคัมภีร์เก้าสุริยันนั้นต่างไปจากตอนที่ฝ่ามือยูไลหายสาบสูญ

 

ฝ่ามือยูไลนั้นสาบสูญไปอย่างสมบูรณ์พร้อมๆ กับการมรณภาพของ ‘อรหันต์‘ รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลิน ไม่มีร่องรอยการคงอยู่ของฝ่ามือยูไลเลยยกเว้นพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตาม กับคัมภีร์เก้าสุริยัน ได้หลุดรอดออกจากวัดเส้าหลินไปสู่โลกภายนอก

 

ลือกันว่าที่นักพรตจางสายเลือดจอมยุทธแห่งเขาหวู่ตั้งประสบความสำเร็จมาได้ถึงขนาดนี้เพราะเขาได้คัมภีร์บางส่วนของวิชาเก้าสุริยันมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ใช้หยินส่งเสริมหยางเพื่อสร้างพลังงานฉี สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ…

 

“ไม่เลวๆ“

 

ซูฉินรู้สึกถึงความละเอียดลออและงดงามหมดจดของวิชาเก้าสุริยันประทับลงในจิตของเขา จากนั้นจึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย

 

ด้วยระดับในปัจจุบันของซูฉินเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นว่า ‘วิชาเก้าสุริยัน‘ เป็นวิชาอันสูงส่ง ซึ่งอยู่ในขอบเขตของระดับ‘อรหันต์‘

 

แม้จะยังด้อยกว่าฝ่ามือยูไลไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาของมารพุทธะแล้วก็ไม่ทิ้งห่างกันมากนัก

 

ช่วงเวลาต่อมาชีวิตของซูฉินก็กลับสู่ปกติสุขอีกครั้ง

 

สิ่งที่แตกต่างออกไปเพียงอย่างเดียวก็คือ ซูฉินไม่จำเป็นต้องกวาดลานทุกวี่วันอีกต่อไป

 

เนื่องจากความแข็งแกร่งของซูฉินถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักที่รู้สึกราวกับซูฉินเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ ไหนเลยจะกล้าให้เขากวาดพื้นต่อไป?

 

และซูฉินก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ระดับอรหันต์ เขาก็ต้องการเวลาพอสมควรในการทำความคุ้นเคยกับพลังใหม่ที่สูงขึ้นและเพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง

 

ส่วนเรื่องการลงชื่อเข้าใช้….

 

ซูฉินจะรอจนฟ้ามืด ยามที่ไม่มีใครเพ่นพ่านแล้ว เขาจะออกมาลงชื่อเข้าใช้

 

ระบบลงชื่อเข้าใช้เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของซูฉิน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้ใครล่วงรู้

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

 

การตายของจอมมารและข่าวการล่มสลายของพรรคมารแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรถังราวกับพายุโหม

 

หลังจากที่จอมมารกลับเข้าสู่ยุทธภพ เขาไม่ได้ขึ้นเขาไปเยือนวัดเส้าหลินเป็นที่แรก แต่กลับไล่กวาดล้างสำนักพรรคธรรมะในราชวงศ์ถังเสียก่อน

 

ในช่วงเวลานั้นความแข็งแกร่งระดับชั้นที่หนึ่งของจอมมารเป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่วทั้งยุทธภพมาตั้งนานแล้ว

 

แม้แต่จอมยุทธที่มากไปด้วยชื่อเสียงก็ยังเชื่อว่าจอมมารไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดธรรมดาๆ แต่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังของตนไปอย่างน้อยสองครั้งแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจอมมารที่หมายจะปกครองโลกเช่นนี้ ต้องมาสิ้นชื่อที่วัดเส้าหลิน?

 

อาณาจักรต้าถัง

 

วังหลวง

 

บรรยากาศภายในวังนั้นเย็นยะเยือก

 

ชายชราสวมชุดคลุมลายมังกรกำลังจ้องมองเอกสารในมือ

 

“ระดับตำนานยุทธ?”

 

“วัดเส้าหลินมีตำนานยุทธผุดขึ้นมา และสังหารจอมมารจนแดดิ้นไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ชายชราที่สวมชุดคลุมลายมังกรแน่นอนว่าต้องเป็นองค์จักรพรรดิถัง คิ้วของเขาขมวดอยู่เล็กน้อยราวกับไม่สามารถคิดตัดสินใจในบางประการได้

 

“จ้าวกงกง”

 

องค์จักรพรรดิถังวางแผ่นเอกสารในมือแล้วกล่าวเบาๆ

 

“ขอรับฝ่าบาท”

 

ปรากฏร่างขันทีสวมใส่เครื่องแบบตามฉบับของขันทีหลวงสีม่วงสดโผล่มาที่ด้านข้างขององค์จักรพรรดิถังอย่างเงียบเชียบแล้วจึงโค้งคำนับ

 

“เจ้าว่าข่าวนี้จริงเท็จประการใด?”

 

จักรพรรดิถังมองไปที่จ้าวกงกงแล้วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทุ้มลุ่มลึก

 

แม้ตามข้อมูลจะระบุว่าจอมมารได้คำรามลั่นและตะโกนว่า “เจ้าคือระดับตำนานยุทธ” ก่อนที่เขาจะสิ้นชีพ

 

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลานั้น องค์จักรพรรดิถังไม่สามารถยืนยันมั่นใจได้เพียงแค่อาศัยเชื่อถือข้อมูลชุดนี้

 

สุดท้ายแล้วนี่ก็ไม่ใช่แมวหมา แต่เป็นตำนานยุทธที่อยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหลาย

 

“เรียนฝ่าบาท ข้ารับใช้เฒ่ามิสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้”

 

จ้าวกงกงที่สวมชุดม่วงโค้งคำนับและกล่าวด้วยความอ่อนน้อม

 

“เฮ่อ”

 

“น่าเสียดายแล้ว”

 

องค์จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเบาๆ “เวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว”

 

ในความเป็นจริงนั้น

 

ถ้าไม่ให้จ้าวกงกงสละฐานการบ่มเพาะบางส่วนและบังคับยืดอายุขัยให้กับตน

 

องค์จักรพรรดิถังน่าจะสวรรคตด้วยโรคชราไปตั้งแต่ไม่กี่ปีก่อนแล้ว

 

แต่กระนั้นก็ไม่สามารถยืดอายุขัยขององค์จักรพรรดิถังให้นานไปกว่านี้ได้มากนัก

 

“การศึกษาร่ำเรียนของบุตรข้าช่วงนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”

 

“สามารถมองแก่นของสถานการณ์ภาพรวมได้บ้างหรือยัง?”

 

จักรพรรดิถังถูนวดไปตามแนวคิ้วของพระองค์และเอ่ยถามอย่างช้าๆ

 

“องค์รัชทายาทของพระองค์ทรงเรียนรู้ว่องไวมากและทรงดำเนินตามแนวทางที่พระองค์ทรงคาดหวังเอาไว้ได้อย่างดี” จ้าวกงกงกล่าวตอบ

 

“นั่นเยี่ยมมาก”

 

“ข้าได้สัญญากับมารดาของเขาเอาไว้แล้ว”

 

เสียงของจักรพรรดิถังเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

จ้าวกงกงก้มหน้าและไม่ได้พูดอะไร

 

“ฝ่าบาท มีอีกสิ่งที่ผู้รับใช้เฒ่าผู้นี้มิรู้ว่าควรจะกล่าวออกไปดีหรือไม่” จ้าวกงกงลังเลอยู่สักพักแล้วจึงพูด

 

“เรื่องอะไรงั้นรึ?” จักรพรรดิถังขมวดคิ้ว

 

“ก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับวัง พระองค์ได้อภิเษกกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และกล่าวว่าจะไม่ตบแต่งกับหญิงอื่นใดอีกในชั่วชีวิตนี้” จ้าวกงกงกล่าว

 

เหตุการณ์นี้เกือบจะทำให้เหล่าว่าที่นางสนมตระกูลหลี่สะดุ้งโหยง

 

รู้หรือไม่ว่าอาณาจักรถังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสืบทอดวงศ์ตระกูล ในฐานะของลูกหลานตระกูลในราชวงศ์ หากไม่มีชายาสาม สนมสี่ ก็คงจะเป็นเรื่องขบขันให้กล่าวสืบต่อกันต่อไป

 

“โอ้?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิถัง “เด็กคนนี้เหมือนข้าตอนยังเด็กมิผิด”

 

เมื่อจักรพรรดิถังกล่าวเช่นนั้น ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไม่ได้ใส่ใจอีก “เนื่องจากเขาไม่ต้องการจะอภิเษกกับหญิงใดอีก ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ข้าทำตามกฎมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว จะไปอยากให้เขาต้องมาเดินตามกฎเกณฑ์เช่นเดียวกับข้าได้อย่างไร?”

 

“ตามพระบัญชา”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น จ้าวกงกงก็ค่อยๆ ถอยกลับไปในความมืด

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

 

ชายร่างสูงนัยน์ตาลุ่มลึก มองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากที่ราบตอนกลาง[1]สักคนหนึ่งมาที่นี่ เขาต้องรู้ได้อย่างแน่นอนว่าชายร่างสูงผู้มีพลังอันน่าพรั่นพรึงผู้นี้คือผู้ที่อยู่เหนือสุดในอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

เขายึดครองไปทั่วทั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวนด้วยความแข็งแกร่งของตน และตอนนี้ก็กำลังพุ่งเป้าไปยังที่ราบตอนกลาง

 

แม้แต่ผู้นำอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังต้องโค้งคารวะก่อนที่จะเข้าพบยอดปรมาจารย์ ราชครูผู้นี้

 

ในสายตาของผู้คนในอาณาจักรเหมิ่งหยวนสถานะของราชครูแห่งอาณาจักรเทียบเคียงได้กับเทพเจ้า

 

ในขณะนั้นเอง มีร่างๆ หนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับและยื่นจดหมายให้

 

“ท่านราชครู”

 

“นี่คือข้อมูลจากอาณาจักรถัง”

 

ร่างนั้นกล่าวด้วยความเคารพ

 

ชายร่างสูงหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วชำเลืองมองดู

 

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปครู่ใหญ่

 

แผ่นจดหมายถูกทำลายทิ้งอย่างไร้สุ้มเสียง

 

ชายร่างสูงถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา “พระเจ้านั้นลำเอียงรักดินแดนที่ราบตอนกลางหรืออย่างไร…”

 

ร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมาว่า “เพียงมีท่านราชครู อาณาจักรของเราก็สามารถยึดครองได้แม้แต่ผืนฟ้าอย่างแน่นอน!”

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิบนพื้นอยู่ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“หลังจากเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ การบ่มเพาะเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด…”

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาด้วยความผิดหวังอยู่เล็กน้อย

 

ก่อนที่จะกลายเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นลำดับเกือบทุกวัน

 

ยกเว้นไว้แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่จำเป็นจะต้องแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ในช่วงเวลาอื่นนอกเหนือจากนั้นเขามักจะตัดผ่านระดับขั้นได้ในทุกๆ ช่วงเวลาสองถึงสามปี

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงความยากลำบากในการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

“มันน่าจะเป็นเพราะข้าแข็งแกร่งเกินไป ความเพียรในระดับธรรมดาไม่สามารถทำให้เห็นผลใดๆ ได้เลย”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจตนเองเงียบๆ

 

ตัวอย่างมันคล้ายกับ หากมีเงินอยู่สิบเหรียญแล้วจึงเพิ่มเงินเข้าไปอีกหนึ่งเหรียญ เป็นปกติที่จะรับรู้การเพิ่มขึ้นของเงินที่มีอยู่อย่างชัดเจน

 

แต่ถ้ามีเงินอยู่ร้อยเหรียญ พันเหรียญ หรือหมื่นเหรียญ แล้วได้เหรียญเพิ่มมาสักเหรียญก็คงไม่รู้สึกว่ามีเงินเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไหร่

 

ซูฉินกำลังเผชิญหน้ากับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตอนนี้

 

เขาแข็งแกร่งเกินไป

 

หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ซูฉินไม่เพียงแต่จะสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพลังของโลก พลังของฟ้าดินได้อีกด้วย

 

 

—————————————————-

[1] ที่ราบตอนกลางหมายถึงอาณาจักรต้าถัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+