เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ

 

 

ชายในชุดขาวตัวสั่นเทา คุกเข่าลงกับพื้น ตราประทับจางๆ รูปมีดบินบนหน้าผากพังทลายลง

 

ต้องทราบว่าทายาทมีดบินที่มีมากว่าหลายชั่วอายุคนนั้น ไม่ได้ฝึกฝนกายเนื้อและกำลังภายในมาสักเท่าไหร่ แต่มุ่งเน้นไปที่การสะสม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

แน่นอนว่ามิได้หมายความว่าทายาทมีดบินมิรู้วิชายุทธอื่น เพียงแต่เมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือล้ำ กำลังภายในและกายเนื้อของพวกเขานับว่าไม่โดดเด่น

 

เพราะพลังอันเหนือล้ำนั้นทำให้ทายาทมีดบินแต่ละรุ่นเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้คน

 

แต่ในขณะนี้รอยประทับรูปมีดสั้นที่สื่อถึง‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ กำลังค่อยๆ พังทลายลง

 

นี่มันน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกันเชียว?

 

บางทีระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อาจสามารถสังหารชายชุดขาวได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถทำลาย ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขา

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ไม่เพียงแต่จะแสดงถึงระดับการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อความศรัทธาของชายชุดขาวด้วย

 

แม้ตัวจะตายได้ แต่ความศรัทธามิใช่จะทำลายกันได้ง่ายๆ

 

“นั่นคือ?!!”

 

ดวงตาของทายาทมีดบินมีเลือดไหลออกมา

 

เขาเพียงกระจายการรับรู้ผ่านเคล็ดมีดบิน แทบไม่ได้เข้าไปใกล้พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเลย ทั้งยังมองจากระยะไกลเพียงไม่นานอีกด้วย

 

แต่ผลที่ได้กลับเจอดวงอาทิตย์เก้าดวงหมุนวนเคลื่อนผ่าน ให้ความรู้สึกนึกย้อนไปถึงยุคโบราณกาล บรรยากาศอันเก่าแก่และดิบเถื่อนรั่วซึมออกมา ทรงพลังเกินจะต้านไหว

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของชายชุดขาวจะทานทนต่อสิ่งตรงหน้านั้นได้อย่างไร มันแตกหัก พังทลายในทันที ถึงขนาดที่มีพลังอันพิศวงส่งกลับมาปะทะกายเนื้อของเขา

 

“มันมี ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่กว้างใหญ่จนน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นบนโลกได้เยี่ยงไร?”

 

เสียงของชายชุดขาวอดไม่ได้ที่จะสั่นเครือ

 

โดยปกติแล้ว ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของคนธรรมดาแทบจะเล็กจิ๋วเท่า‘จุดแสง‘ ส่วน‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของผู้ฝึกยุทธอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย

 

แต่ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันก็ไม่ควรจะใหญ่ไปกว่าลูกไฟลูกหนึ่ง

 

แต่บัดนี้ชายในเครื่องแต่งกายสีขาวรู้สึกว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่มาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเปรียบเสมือนความเวิ้งว้างอันลึกล้ำครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่ง

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาในระหว่างการโคจรพลังเก้าสุริยัน

 

“มีคนแอบจับตาดูข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตอนที่เขากำลังฝึกฝนอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่ค่อนข้างคลุมเครือ

 

แต่ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามาแอบดู มันเหมือนกับมดตัวหนึ่งบังเอิญหันมามองจากที่ไกลๆ

 

ถ้าเขาไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตระดับอรหันต์ ซูฉินอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยเพราะการจ้องมองเมื่อครู่ไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก แต่หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ความสามารถในการควบคุมตนเองและสิ่งแวดล้อมของซูฉินนั้นย่อมเป็นเลิศ

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถจับสัมผัสการจ้องมองนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินลุกขึ้นและก้าวเท้าออกไปด้านหน้า

 

ในทันที

 

ซูฉินก็ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และมาถึงมุมหนึ่งของวัดเส้าหลิน

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีชายในชุดขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวสั่นเทา

 

“นี่เจ้าคือทายาทมีดบินรุ่นปัจจุบันอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินเพียงมองดูก็เข้าใจเหตุและผลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

แม้ว่าโดยมากซูฉินแทบไม่ได้ออกจากวัดเส้าหลินไปไหน แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของ ‘ทายาทของลี้น้อยมีดบิน‘ มาไม่น้อย

 

วัดเส้าหลินคงอยู่มาหลายพันปีแล้ว มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หลายรูปที่กำเนิดขึ้นที่นี่และได้ต่อสู้กับทายาทของมีดบิน หลังจากกลับมาที่วัดเส้าหลินพวกท่านก็ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือโบราณ นำไปบรรจุเก็บไว้ในศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินใช้ชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่ายี่สิบปี เรื่องราวเหล่านี้มักจะผ่านหูผ่านตามาจากในศาลาพระคัมภีร์อยู่แล้ว

 

ตามบันทึกของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในครั้งอดีต ระบุว่าศาสตร์ที่ทายาทมีดบินเชี่ยวชาญนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่บริสุทธิ์และลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง

 

มันคล้ายคลึงกับวิชาจิตมารแยกวิถีของมารพุทธะ คล้ายกับวิชากลมารฟ้าของพรรคมาร

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาพังทลายลงไปแล้ว ต่อให้เขารอดชีวิตไปได้ เขาก็จะกลายเป็นขยะไร้ค่า”

 

ความคิดของซูฉินปั่นป่วน และสุดท้ายก็ตัดสินใจ

 

ในตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมชายชุดขาวจึงมาลงเอยเช่นนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการกดดันเอาชนะตัวเองและต้องการจะใช้เคล็ดมีดบินมาสอดแนม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉิน

 

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉินได้กลั่นตัวเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มานมนานแล้ว และด้วยการสำเร็จระดับ‘อรหันต์‘ ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งมันพุ่งขึ้นไปกี่เท่าต่อกี่เท่า

 

นอกจากนี้ซูฉินยังฝึกวิชาเก้าสุริยันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ในเวลานั้นพลังแห่งดวงสุริยันทั้งเก้ากระจายตัวออกไปส่องแสงแผดเผา จะเป็นไปได้อย่างไรที่ชายชุดขาวจะมา ‘แอบตรวจสอบ‘ ได้?

 

“ข้าขอคำนับ… ขอคำนับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”

 

เมื่อเห็นซูฉินปรากฏตัวขึ้นจากอากาศธาตุ ชายชุดขาวก็รู้สึกชัดเจนถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เสียงของเขาพลันกล่าวออกอย่างขมขื่น

 

ในตอนนี้เขาจะยังไม่รู้อีกหรือว่ามีอรหันต์อยู่ในวัดเส้าหลินจริงหรือไม่?

 

ถ้าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าชายชุดขาวจะมั่นใจและหยิ่งยโสแค่ไหน เขาก็ไม่คิดมาแอบจ้องมองตัวตนระดับเทพเซียนเช่น อรหันต์ผู้นี้หรอก

 

“ช่างน่าเสียดายนัก”

 

ซูฉินมองไปที่ชายชุดขาวพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือชายชุดขาวที่มีจุดจบเช่นนี้ คนผู้นี้จะต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่สามารถโทษใครได้

 

นอกจากนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พังทลายลงไปแล้ว แม้ซูฉินจะอยากช่วยเหลือแค่ไหน แต่เขาก็กู้อะไรกลับคืนมาไม่ได้

 

เมื่อนึกได้แบบนั้นซูฉินก็หมุนตัวจากไป และกลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์เก้าสุริยันต่อ

 

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น

 

ทางวัดเส้าหลินก็พบชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจดจำได้ว่าชายชุดขาวผู้นี้เป็นทายาทของมีดบินรุ่นปัจจุบัน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้ไปรบกวนผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งที่อยู่ในวัดแห่งนี้ ความผิดของข้านั้นสมควรต้องตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าอาวาสจะยินดีรับข้าเข้านมัสการพระพุทธรูปอันเก่าแก่ และพำนักอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าไปตลอดชีวิต”

 

ชายในชุดสีขาวลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

ก่อนที่จะมายังวัดเส้าหลิน ชายชุดขาวมุ่งมั่นที่จะบรรลุจุดสูงสุดของวิทยายุทธมาโดยตลอด แต่หลังจากเข้ามาในวัดเส้าหลินและแอบตรวจสอบผู้ซึ่งเทียบได้กับปลายยอดน้ำแข็งท่ามกลางหมู่ชนที่เขตหวงห้ามเพียงครู่เดียว มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพียงใด

 

ไฉนยังกล้าใฝ่หาจุดสูงสุดของวิทยายุทธ? เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง เขานับเป็นเพียงหยดน้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรใหญ่ ความห่างชั้นนั้นช่างไกลเกินเอื้อมถึง

 

รอยแผลบนผิวหนังควบคู่กับการพังทลายของพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชายชุดขาวรู้สึกท้อแท้กับชีวิต และมีความคิดที่จะหลีกหนีเรื่องวุ่นวายทางโลก ปลีกวิเวกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นี่

 

“ผู้แสวงบุญ ประสกต้องคิดให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปทางหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึง แล้วกล่าวคำอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าชายชุดขาวจะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ไปเสียแล้วในตอนนี้ แต่เขาก็เป็นถึงทายาทมีดบินในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดความอ่าน ความเข้าใจของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาไปมากนัก

 

หากชายชุดขาวสักการะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลินจริงๆ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อรากฐานของวัดเส้าหลิน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”

 

ชายชุดขาวถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ต้อยต่ำผู้นี้จะเป็นผู้ปลงผมให้เจ้าเอง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพนมมือสวดมนต์พิธีและกล่าวคำ

 

เวลาผ่านไปนานเป็นปี

 

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ วัน ซูฉินยังฝึกฝนและทำความเข้าใจในศาสตร์วิชาอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากทราบเรื่องที่ยังคงมีตำนานยุทธอยู่ด้านนอกแผ่นดินใหญ่ นอกมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่น ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ของซูฉินก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธ หากต้องการจะเติบโต แข็งแกร่ง และก้าวไปสู่ระดับที่ทรงพลังน่าทึ่งยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องกระทำมิใช่แค่ฝึกฝนตนเอง แต่ยังต้องเข้าใจพลังแห่งฟ้าดินด้วย!”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ดวงตาของเขาสว่างไสว

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทั้งความพยายามของเขาเองและด้วยการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอย่างต่อเนื่อง การบ่มเพาะของเขาในขอบเขตระดับอรหันต์ค่อนข้างราบรื่นทีเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ

 

 

ชายในชุดขาวตัวสั่นเทา คุกเข่าลงกับพื้น ตราประทับจางๆ รูปมีดบินบนหน้าผากพังทลายลง

 

ต้องทราบว่าทายาทมีดบินที่มีมากว่าหลายชั่วอายุคนนั้น ไม่ได้ฝึกฝนกายเนื้อและกำลังภายในมาสักเท่าไหร่ แต่มุ่งเน้นไปที่การสะสม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

แน่นอนว่ามิได้หมายความว่าทายาทมีดบินมิรู้วิชายุทธอื่น เพียงแต่เมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือล้ำ กำลังภายในและกายเนื้อของพวกเขานับว่าไม่โดดเด่น

 

เพราะพลังอันเหนือล้ำนั้นทำให้ทายาทมีดบินแต่ละรุ่นเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้คน

 

แต่ในขณะนี้รอยประทับรูปมีดสั้นที่สื่อถึง‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ กำลังค่อยๆ พังทลายลง

 

นี่มันน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกันเชียว?

 

บางทีระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อาจสามารถสังหารชายชุดขาวได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถทำลาย ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขา

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ไม่เพียงแต่จะแสดงถึงระดับการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อความศรัทธาของชายชุดขาวด้วย

 

แม้ตัวจะตายได้ แต่ความศรัทธามิใช่จะทำลายกันได้ง่ายๆ

 

“นั่นคือ?!!”

 

ดวงตาของทายาทมีดบินมีเลือดไหลออกมา

 

เขาเพียงกระจายการรับรู้ผ่านเคล็ดมีดบิน แทบไม่ได้เข้าไปใกล้พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเลย ทั้งยังมองจากระยะไกลเพียงไม่นานอีกด้วย

 

แต่ผลที่ได้กลับเจอดวงอาทิตย์เก้าดวงหมุนวนเคลื่อนผ่าน ให้ความรู้สึกนึกย้อนไปถึงยุคโบราณกาล บรรยากาศอันเก่าแก่และดิบเถื่อนรั่วซึมออกมา ทรงพลังเกินจะต้านไหว

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของชายชุดขาวจะทานทนต่อสิ่งตรงหน้านั้นได้อย่างไร มันแตกหัก พังทลายในทันที ถึงขนาดที่มีพลังอันพิศวงส่งกลับมาปะทะกายเนื้อของเขา

 

“มันมี ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่กว้างใหญ่จนน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นบนโลกได้เยี่ยงไร?”

 

เสียงของชายชุดขาวอดไม่ได้ที่จะสั่นเครือ

 

โดยปกติแล้ว ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของคนธรรมดาแทบจะเล็กจิ๋วเท่า‘จุดแสง‘ ส่วน‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของผู้ฝึกยุทธอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย

 

แต่ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันก็ไม่ควรจะใหญ่ไปกว่าลูกไฟลูกหนึ่ง

 

แต่บัดนี้ชายในเครื่องแต่งกายสีขาวรู้สึกว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่มาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเปรียบเสมือนความเวิ้งว้างอันลึกล้ำครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่ง

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาในระหว่างการโคจรพลังเก้าสุริยัน

 

“มีคนแอบจับตาดูข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตอนที่เขากำลังฝึกฝนอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่ค่อนข้างคลุมเครือ

 

แต่ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามาแอบดู มันเหมือนกับมดตัวหนึ่งบังเอิญหันมามองจากที่ไกลๆ

 

ถ้าเขาไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตระดับอรหันต์ ซูฉินอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยเพราะการจ้องมองเมื่อครู่ไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก แต่หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ความสามารถในการควบคุมตนเองและสิ่งแวดล้อมของซูฉินนั้นย่อมเป็นเลิศ

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถจับสัมผัสการจ้องมองนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินลุกขึ้นและก้าวเท้าออกไปด้านหน้า

 

ในทันที

 

ซูฉินก็ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และมาถึงมุมหนึ่งของวัดเส้าหลิน

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีชายในชุดขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวสั่นเทา

 

“นี่เจ้าคือทายาทมีดบินรุ่นปัจจุบันอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินเพียงมองดูก็เข้าใจเหตุและผลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

แม้ว่าโดยมากซูฉินแทบไม่ได้ออกจากวัดเส้าหลินไปไหน แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของ ‘ทายาทของลี้น้อยมีดบิน‘ มาไม่น้อย

 

วัดเส้าหลินคงอยู่มาหลายพันปีแล้ว มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หลายรูปที่กำเนิดขึ้นที่นี่และได้ต่อสู้กับทายาทของมีดบิน หลังจากกลับมาที่วัดเส้าหลินพวกท่านก็ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือโบราณ นำไปบรรจุเก็บไว้ในศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินใช้ชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่ายี่สิบปี เรื่องราวเหล่านี้มักจะผ่านหูผ่านตามาจากในศาลาพระคัมภีร์อยู่แล้ว

 

ตามบันทึกของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในครั้งอดีต ระบุว่าศาสตร์ที่ทายาทมีดบินเชี่ยวชาญนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่บริสุทธิ์และลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง

 

มันคล้ายคลึงกับวิชาจิตมารแยกวิถีของมารพุทธะ คล้ายกับวิชากลมารฟ้าของพรรคมาร

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาพังทลายลงไปแล้ว ต่อให้เขารอดชีวิตไปได้ เขาก็จะกลายเป็นขยะไร้ค่า”

 

ความคิดของซูฉินปั่นป่วน และสุดท้ายก็ตัดสินใจ

 

ในตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมชายชุดขาวจึงมาลงเอยเช่นนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการกดดันเอาชนะตัวเองและต้องการจะใช้เคล็ดมีดบินมาสอดแนม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉิน

 

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉินได้กลั่นตัวเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มานมนานแล้ว และด้วยการสำเร็จระดับ‘อรหันต์‘ ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งมันพุ่งขึ้นไปกี่เท่าต่อกี่เท่า

 

นอกจากนี้ซูฉินยังฝึกวิชาเก้าสุริยันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ในเวลานั้นพลังแห่งดวงสุริยันทั้งเก้ากระจายตัวออกไปส่องแสงแผดเผา จะเป็นไปได้อย่างไรที่ชายชุดขาวจะมา ‘แอบตรวจสอบ‘ ได้?

 

“ข้าขอคำนับ… ขอคำนับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”

 

เมื่อเห็นซูฉินปรากฏตัวขึ้นจากอากาศธาตุ ชายชุดขาวก็รู้สึกชัดเจนถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เสียงของเขาพลันกล่าวออกอย่างขมขื่น

 

ในตอนนี้เขาจะยังไม่รู้อีกหรือว่ามีอรหันต์อยู่ในวัดเส้าหลินจริงหรือไม่?

 

ถ้าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าชายชุดขาวจะมั่นใจและหยิ่งยโสแค่ไหน เขาก็ไม่คิดมาแอบจ้องมองตัวตนระดับเทพเซียนเช่น อรหันต์ผู้นี้หรอก

 

“ช่างน่าเสียดายนัก”

 

ซูฉินมองไปที่ชายชุดขาวพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือชายชุดขาวที่มีจุดจบเช่นนี้ คนผู้นี้จะต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่สามารถโทษใครได้

 

นอกจากนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พังทลายลงไปแล้ว แม้ซูฉินจะอยากช่วยเหลือแค่ไหน แต่เขาก็กู้อะไรกลับคืนมาไม่ได้

 

เมื่อนึกได้แบบนั้นซูฉินก็หมุนตัวจากไป และกลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์เก้าสุริยันต่อ

 

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น

 

ทางวัดเส้าหลินก็พบชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจดจำได้ว่าชายชุดขาวผู้นี้เป็นทายาทของมีดบินรุ่นปัจจุบัน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้ไปรบกวนผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งที่อยู่ในวัดแห่งนี้ ความผิดของข้านั้นสมควรต้องตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าอาวาสจะยินดีรับข้าเข้านมัสการพระพุทธรูปอันเก่าแก่ และพำนักอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าไปตลอดชีวิต”

 

ชายในชุดสีขาวลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

ก่อนที่จะมายังวัดเส้าหลิน ชายชุดขาวมุ่งมั่นที่จะบรรลุจุดสูงสุดของวิทยายุทธมาโดยตลอด แต่หลังจากเข้ามาในวัดเส้าหลินและแอบตรวจสอบผู้ซึ่งเทียบได้กับปลายยอดน้ำแข็งท่ามกลางหมู่ชนที่เขตหวงห้ามเพียงครู่เดียว มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพียงใด

 

ไฉนยังกล้าใฝ่หาจุดสูงสุดของวิทยายุทธ? เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง เขานับเป็นเพียงหยดน้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรใหญ่ ความห่างชั้นนั้นช่างไกลเกินเอื้อมถึง

 

รอยแผลบนผิวหนังควบคู่กับการพังทลายของพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชายชุดขาวรู้สึกท้อแท้กับชีวิต และมีความคิดที่จะหลีกหนีเรื่องวุ่นวายทางโลก ปลีกวิเวกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นี่

 

“ผู้แสวงบุญ ประสกต้องคิดให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปทางหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึง แล้วกล่าวคำอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าชายชุดขาวจะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ไปเสียแล้วในตอนนี้ แต่เขาก็เป็นถึงทายาทมีดบินในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดความอ่าน ความเข้าใจของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาไปมากนัก

 

หากชายชุดขาวสักการะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลินจริงๆ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อรากฐานของวัดเส้าหลิน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”

 

ชายชุดขาวถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ต้อยต่ำผู้นี้จะเป็นผู้ปลงผมให้เจ้าเอง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพนมมือสวดมนต์พิธีและกล่าวคำ

 

เวลาผ่านไปนานเป็นปี

 

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ วัน ซูฉินยังฝึกฝนและทำความเข้าใจในศาสตร์วิชาอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากทราบเรื่องที่ยังคงมีตำนานยุทธอยู่ด้านนอกแผ่นดินใหญ่ นอกมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่น ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ของซูฉินก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธ หากต้องการจะเติบโต แข็งแกร่ง และก้าวไปสู่ระดับที่ทรงพลังน่าทึ่งยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องกระทำมิใช่แค่ฝึกฝนตนเอง แต่ยังต้องเข้าใจพลังแห่งฟ้าดินด้วย!”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ดวงตาของเขาสว่างไสว

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทั้งความพยายามของเขาเองและด้วยการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอย่างต่อเนื่อง การบ่มเพาะของเขาในขอบเขตระดับอรหันต์ค่อนข้างราบรื่นทีเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+