เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

 

 

“ช่างน่าเศร้านัก”

 

“การบ่มเพาะของระดับอรหันต์นั้นแตกต่างจากวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นโดยสิ้นเชิง”

 

“นี่มันก็นานมากแล้ว ข้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงคอขวดของระดับชั้นที่สองเลย”

 

ซูฉินที่นั่งไขว้ขาอยู่ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการบ่มเพาะช่างยากลำบากยิ่งนัก

 

“แต่ก็รู้สึกได้ว่า ตราบใดที่ข้าใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกสักหลายสิบเม็ดคงพอจะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่สองได้”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ยาที่มากมายรอให้ซูฉินดูดซับเท่านั้น แต่ยังทำให้ซูฉินเข้าสู่สภาวะ ‘รู้แจ้งฉับพลัน‘ อยู่ตลอดการออกฤทธิ์ของตัวยา ส่งผลให้ควบคุมพลังฟ้าดินได้ดียิ่งขึ้น

 

“ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนในการดูดซึมโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่ง หากเป็นหลายสิบเม็ดก็ต้องใช้เวลาประมาณร้อยเดือน หรือก็คือไม่ถึงสิบปี?

 

ซูฉินคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ เขารู้สึกพอใจขึ้นมาอีกหน่อย

 

การใช้ระยะเวลาสิบปีในการเข้าสู้ขอบเขตนภาชั้นที่สองนั้นเป็นที่น่าพอใจ ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

 

ถ้าเหล่าอรหันต์ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาของวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธจากภายนอกได้ล่วงรู้ความคิดของซูฉินยามนี้ เกรงว่าคงต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดเพราะความโกรธ

 

รู้หรือไม่ว่าเหล่าตำนานยุทธหรืออรหันต์นั้น หากต้องการจะพัฒนาจากระดับนภาชั้นที่หนึ่งไปยังนภาชั้นที่สองโดยไม่มีโอกาสอื่นๆ จากภายนอกเข้ามาช่วย จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็เป็นร้อยปีหรือหลายร้อยปีในการฝึกฝนด้วยตัวของตัวเอง

 

ตำนานยุทธจำนวนมากยังคงติดอยู่กับระดับนภาชั้นที่หนึ่งจนกระทั่งถึงอายุขัยห้าร้อยปี

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

แค่สิบปีกลับจะไปถึงระดับนั้นแล้ว แต่เขายังรู้สึก ‘ไม่ได้มีความสุข‘ เท่าใดนัก?

 

หลังจากเวลานั้นซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง…

 

ลงชื่อเข้าใช้ กลับมาฝึกฝน…

 

ทำสิ่งเหล่านี้วนเวียนไปเรื่อย

 

สำหรับบางคนชีวิตเช่นนี้สุดแสนจะน่าเบื่อ ทั้งหงอยเหงาและน่าเศร้าด้วยซ้ำ

 

แต่ในใจของซูฉินนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสุขสันต์

 

ไม่ว่าสิ่งใดในโลก

 

อำนาจ?

 

ความงาม?

 

ทรัพย์สมบัติ?

 

มันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป

 

จะมีอะไรสบายใจไปกว่าการที่รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นทุกวันอีกเล่า?

 

และในตอนที่ซูฉินหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนและการลงชื่อเข้าใช้

 

วัดเส้าหลินก็กลับมาสงบเงียบเช่นกัน หลังจากข่าวการตายของจอมมารแพร่ออกไป ผู้คนจำนวนมากในยุทธภพต่างต้องการเข้าเยี่ยมพบซูฉิน

 

แต่ทุกคนก็ถูกปฏิเสธโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ซูฉินเคยร้องขอเจ้าอาวาสตั้งแต่แรกแล้วว่าหากไม่มีอะไรที่เป็นภัยต่อวัดเส้าหลินอย่าได้รบกวนเขา

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่วัดเส้าหลินรับศิษย์ใหม่เข้ามาอีกครั้ง

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินจำเป็นต้องรับลูกศิษย์เพิ่มจำนวนหนึ่งทุกๆ ปี เพื่อสืบทอดสำนักต่อไป

 

จำนวนที่รับเพิ่มก็ต้องไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

ถ้ามีมากเกินไปการจัดสรรทรัพยากรจะไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นลานโพธิ์หรือตำหนักอื่นๆ ทรัพยากรด้านการฝึกยุทธและโอสถต่างมีจำนวนจำกัดในแต่ละปี

 

ยิ่งมีศิษย์มากเท่าไร ทรัพยากรที่แจกจ่ายก็จะยิ่งมีสัดส่วนน้อยลง หากเป็นเช่นนั้นอัจฉริยะบางคนอาจจะไม่มีวันได้รุ่งโรจน์

 

แต่จะน้อยเกินไปก็ไม่ได้

 

หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา การสืบทอดมรดกก็อาจจะล้มเหลวได้

 

ไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือพรรคใดในยุทธภพ การล้มเหลวในการสืบทอดมรดกของพรรคถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างมาก

 

ในอดีตมีสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพเช่นเส้าหลินหลายต่อหลายแห่งล้มหายตายจากไปเพราะไม่มีผู้สืบทอด

 

 

ที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เหลือต่างมารวมตัวกันที่นี่

 

นอกจากพวกเขาแล้วยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งดูจากขนาดตัวแล้วคงจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้หายใจออกมา ราวกับว่ามีเสียงสวดดังคลอออกมาด้วยตลอด ฟังดูน่าพิศวงเป็นที่ยิ่ง

 

แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ มีเพียงยอดยุทธในสามระดับบนที่กายเนื้อถูกชำระด้วยพลังฟ้าดินเท่านั้นจึงจะรับรู้สิ่งนี้ได้

 

“เด็กชายคนนี้คือผู้ถูกเลือกตามประสงค์แห่งองค์ยูไล…”

 

หัวหน้าลานธรรมมองที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจสงสัย

 

เด็กคนนี้ไม่เคยฝึกฝนศาสตร์ทางพุทธใดๆ มาก่อนเลย แต่กลับแสดงปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้ออกมา เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะมีคนลักษณะแบบนี้ในรอบร้อยปี

 

“ไม่เลว”

 

“ตอนข้าเห็นทีแรกก็ไม่อาจจะทำใจเชื่อได้ลง”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์พยักหน้าแล้วกล่าวคำ “ด้วยความสามารถที่แสดงออกมานี้ ตราบที่เขาไม่ตกตายไปเสียก่อน ความสำเร็จของเขาในอนาคตย่อมไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

คำกล่าวที่ออกมา

 

ไม่มีหัวหน้าตำหนักคนใดคัดค้าน

 

แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังนั่งนิ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยได้ทำการประเมินไว้อย่างสูงยิ่ง

 

เด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่สรุปว่าความสำเร็จในอนาคตจะต้องไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

สิ่งนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?

 

มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สูงล้ำ

 

แม้ว่าตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ย่อมต้องดี แต่ไม่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีความมั่นใจมากแค่ไหน ตอนที่เขาอายุสิบขวบเขาก็คงไม่กล้าบอกว่าตนจะต้องไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ หรอก

 

ในด้านการฝึกวิทยายุทธ หากต้องการไปสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ทางยุทธก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มันยังต้องมีโอกาส จิตใจที่สงบนิ่งแน่วแน่ และโชค สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

แต่ในตอนนี้

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลับระบุว่าอีกฝ่ายสามารถเข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงดูจากพรสวรรค์เพียงเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ

 

จากสิ่งดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้เลยว่าในใจของหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสวางเด็กคนนี้ไว้สูงเพียงใด

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นสีหน้าของเด็กชายเริ่มซีดขาวก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังหวาดกลัวอยู่เป็นแน่ จึงได้ให้ศิษย์วัดพาเด็กชายไปพักผ่อน

 

“เอาล่ะ”

 

“ไหนลองกล่าวมา”

 

“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปมองหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ

 

หัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันเอง จนในที่สุดหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรียนเจ้าอาวาส ถึงแม้จะมีศิษย์จำนวนมากอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์อยู่แล้ว แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้การได้ คงจะดีถ้าให้เขามาอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์…”

 

“ไร้สาระ!”

 

ก่อนที่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จะกล่าวจบ หัวหน้าลานอรหันต์ก็กล่าวขัดจังหวะ “ลูกศิษย์เกือบครึ่งที่นมัสการเข้าร่วมวัดเส้าหลินต่างก็อยู่ในตำหนักของเจ้า กลับกันลานอรหันต์ของข้านั้นช่างน่าสังเวชอย่างแท้จริง…”

 

เมื่อหัวหน้าลานอรหันต์กล่าวเช่นนั้นเขาก็หยุดพูด มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรว่า “แต่ว่า หากเขายอมรับที่จะเข้าร่วมกับลานอรหันต์ละก็…”

 

“ตำหนักวินัยสงฆ์ของข้าก็ขาดคนอยู่มากเหมือนกันช่วงนี้…”

 

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างแข่งขันกัน เขาดูแอบตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

 

“ทุกคนจงหยุด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโบกมือ

 

“ไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับเด็กคนนั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่กลุ่มคนและในที่สุดก็กล่าวเสริมต่อว่า “แม้แต่ข้าก็เช่นกัน”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างงงงวยกันในทันที

 

ถ้าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติ แล้วใครเล่าจะมีคุณสมบัติ?

 

มีเพียงหัวหน้าลานธรรมเท่านั้นที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่ง ก่อนจะกล่าวถามว่า “ท่านเจ้าอาวาส คิดเห็นอย่างไรหากร้องขอให้ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งยอมรับเขาเป็นศิษย์…”

 

“ไม่เลว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ฟัง แต่พอคิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่

 

ด้วยพรสวรรค์ที่เด็กคนนั้นแสดงออกมา แม้ว่าพวกเขาจะรับเข้ามาเป็นศิษย์จริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะแนะแนวทางให้อย่างไร

 

 

วันถัดมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพาเด็กชายเดินลัดเลาะไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“เจ้าอาวาสขอรับ เราจะไปที่ไหนกันหรือ”

 

เด็กชายกะพริบตา ใบหน้าสับสน

 

“จะไปไหนเช่นนั้นน่ะรึ?”

 

เจ้าอาวาสหยุดยืน เงียบนิ่งไปชั่วขณะประหนึ่งเกรงกลัวอะไรบางอย่าง

 

“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับ…”

 

“องค์ยูไล!!!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

 

 

“ช่างน่าเศร้านัก”

 

“การบ่มเพาะของระดับอรหันต์นั้นแตกต่างจากวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นโดยสิ้นเชิง”

 

“นี่มันก็นานมากแล้ว ข้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงคอขวดของระดับชั้นที่สองเลย”

 

ซูฉินที่นั่งไขว้ขาอยู่ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการบ่มเพาะช่างยากลำบากยิ่งนัก

 

“แต่ก็รู้สึกได้ว่า ตราบใดที่ข้าใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกสักหลายสิบเม็ดคงพอจะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่สองได้”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ยาที่มากมายรอให้ซูฉินดูดซับเท่านั้น แต่ยังทำให้ซูฉินเข้าสู่สภาวะ ‘รู้แจ้งฉับพลัน‘ อยู่ตลอดการออกฤทธิ์ของตัวยา ส่งผลให้ควบคุมพลังฟ้าดินได้ดียิ่งขึ้น

 

“ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนในการดูดซึมโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่ง หากเป็นหลายสิบเม็ดก็ต้องใช้เวลาประมาณร้อยเดือน หรือก็คือไม่ถึงสิบปี?

 

ซูฉินคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ เขารู้สึกพอใจขึ้นมาอีกหน่อย

 

การใช้ระยะเวลาสิบปีในการเข้าสู้ขอบเขตนภาชั้นที่สองนั้นเป็นที่น่าพอใจ ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

 

ถ้าเหล่าอรหันต์ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาของวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธจากภายนอกได้ล่วงรู้ความคิดของซูฉินยามนี้ เกรงว่าคงต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดเพราะความโกรธ

 

รู้หรือไม่ว่าเหล่าตำนานยุทธหรืออรหันต์นั้น หากต้องการจะพัฒนาจากระดับนภาชั้นที่หนึ่งไปยังนภาชั้นที่สองโดยไม่มีโอกาสอื่นๆ จากภายนอกเข้ามาช่วย จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็เป็นร้อยปีหรือหลายร้อยปีในการฝึกฝนด้วยตัวของตัวเอง

 

ตำนานยุทธจำนวนมากยังคงติดอยู่กับระดับนภาชั้นที่หนึ่งจนกระทั่งถึงอายุขัยห้าร้อยปี

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

แค่สิบปีกลับจะไปถึงระดับนั้นแล้ว แต่เขายังรู้สึก ‘ไม่ได้มีความสุข‘ เท่าใดนัก?

 

หลังจากเวลานั้นซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง…

 

ลงชื่อเข้าใช้ กลับมาฝึกฝน…

 

ทำสิ่งเหล่านี้วนเวียนไปเรื่อย

 

สำหรับบางคนชีวิตเช่นนี้สุดแสนจะน่าเบื่อ ทั้งหงอยเหงาและน่าเศร้าด้วยซ้ำ

 

แต่ในใจของซูฉินนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสุขสันต์

 

ไม่ว่าสิ่งใดในโลก

 

อำนาจ?

 

ความงาม?

 

ทรัพย์สมบัติ?

 

มันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป

 

จะมีอะไรสบายใจไปกว่าการที่รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นทุกวันอีกเล่า?

 

และในตอนที่ซูฉินหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนและการลงชื่อเข้าใช้

 

วัดเส้าหลินก็กลับมาสงบเงียบเช่นกัน หลังจากข่าวการตายของจอมมารแพร่ออกไป ผู้คนจำนวนมากในยุทธภพต่างต้องการเข้าเยี่ยมพบซูฉิน

 

แต่ทุกคนก็ถูกปฏิเสธโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ซูฉินเคยร้องขอเจ้าอาวาสตั้งแต่แรกแล้วว่าหากไม่มีอะไรที่เป็นภัยต่อวัดเส้าหลินอย่าได้รบกวนเขา

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่วัดเส้าหลินรับศิษย์ใหม่เข้ามาอีกครั้ง

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินจำเป็นต้องรับลูกศิษย์เพิ่มจำนวนหนึ่งทุกๆ ปี เพื่อสืบทอดสำนักต่อไป

 

จำนวนที่รับเพิ่มก็ต้องไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

ถ้ามีมากเกินไปการจัดสรรทรัพยากรจะไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นลานโพธิ์หรือตำหนักอื่นๆ ทรัพยากรด้านการฝึกยุทธและโอสถต่างมีจำนวนจำกัดในแต่ละปี

 

ยิ่งมีศิษย์มากเท่าไร ทรัพยากรที่แจกจ่ายก็จะยิ่งมีสัดส่วนน้อยลง หากเป็นเช่นนั้นอัจฉริยะบางคนอาจจะไม่มีวันได้รุ่งโรจน์

 

แต่จะน้อยเกินไปก็ไม่ได้

 

หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา การสืบทอดมรดกก็อาจจะล้มเหลวได้

 

ไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือพรรคใดในยุทธภพ การล้มเหลวในการสืบทอดมรดกของพรรคถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างมาก

 

ในอดีตมีสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพเช่นเส้าหลินหลายต่อหลายแห่งล้มหายตายจากไปเพราะไม่มีผู้สืบทอด

 

 

ที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เหลือต่างมารวมตัวกันที่นี่

 

นอกจากพวกเขาแล้วยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งดูจากขนาดตัวแล้วคงจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้หายใจออกมา ราวกับว่ามีเสียงสวดดังคลอออกมาด้วยตลอด ฟังดูน่าพิศวงเป็นที่ยิ่ง

 

แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ มีเพียงยอดยุทธในสามระดับบนที่กายเนื้อถูกชำระด้วยพลังฟ้าดินเท่านั้นจึงจะรับรู้สิ่งนี้ได้

 

“เด็กชายคนนี้คือผู้ถูกเลือกตามประสงค์แห่งองค์ยูไล…”

 

หัวหน้าลานธรรมมองที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจสงสัย

 

เด็กคนนี้ไม่เคยฝึกฝนศาสตร์ทางพุทธใดๆ มาก่อนเลย แต่กลับแสดงปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้ออกมา เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะมีคนลักษณะแบบนี้ในรอบร้อยปี

 

“ไม่เลว”

 

“ตอนข้าเห็นทีแรกก็ไม่อาจจะทำใจเชื่อได้ลง”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์พยักหน้าแล้วกล่าวคำ “ด้วยความสามารถที่แสดงออกมานี้ ตราบที่เขาไม่ตกตายไปเสียก่อน ความสำเร็จของเขาในอนาคตย่อมไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

คำกล่าวที่ออกมา

 

ไม่มีหัวหน้าตำหนักคนใดคัดค้าน

 

แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังนั่งนิ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยได้ทำการประเมินไว้อย่างสูงยิ่ง

 

เด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่สรุปว่าความสำเร็จในอนาคตจะต้องไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

สิ่งนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?

 

มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สูงล้ำ

 

แม้ว่าตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ย่อมต้องดี แต่ไม่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีความมั่นใจมากแค่ไหน ตอนที่เขาอายุสิบขวบเขาก็คงไม่กล้าบอกว่าตนจะต้องไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ หรอก

 

ในด้านการฝึกวิทยายุทธ หากต้องการไปสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ทางยุทธก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มันยังต้องมีโอกาส จิตใจที่สงบนิ่งแน่วแน่ และโชค สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

แต่ในตอนนี้

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลับระบุว่าอีกฝ่ายสามารถเข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงดูจากพรสวรรค์เพียงเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ

 

จากสิ่งดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้เลยว่าในใจของหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสวางเด็กคนนี้ไว้สูงเพียงใด

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นสีหน้าของเด็กชายเริ่มซีดขาวก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังหวาดกลัวอยู่เป็นแน่ จึงได้ให้ศิษย์วัดพาเด็กชายไปพักผ่อน

 

“เอาล่ะ”

 

“ไหนลองกล่าวมา”

 

“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปมองหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ

 

หัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันเอง จนในที่สุดหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรียนเจ้าอาวาส ถึงแม้จะมีศิษย์จำนวนมากอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์อยู่แล้ว แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้การได้ คงจะดีถ้าให้เขามาอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์…”

 

“ไร้สาระ!”

 

ก่อนที่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จะกล่าวจบ หัวหน้าลานอรหันต์ก็กล่าวขัดจังหวะ “ลูกศิษย์เกือบครึ่งที่นมัสการเข้าร่วมวัดเส้าหลินต่างก็อยู่ในตำหนักของเจ้า กลับกันลานอรหันต์ของข้านั้นช่างน่าสังเวชอย่างแท้จริง…”

 

เมื่อหัวหน้าลานอรหันต์กล่าวเช่นนั้นเขาก็หยุดพูด มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรว่า “แต่ว่า หากเขายอมรับที่จะเข้าร่วมกับลานอรหันต์ละก็…”

 

“ตำหนักวินัยสงฆ์ของข้าก็ขาดคนอยู่มากเหมือนกันช่วงนี้…”

 

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างแข่งขันกัน เขาดูแอบตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

 

“ทุกคนจงหยุด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโบกมือ

 

“ไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับเด็กคนนั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่กลุ่มคนและในที่สุดก็กล่าวเสริมต่อว่า “แม้แต่ข้าก็เช่นกัน”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างงงงวยกันในทันที

 

ถ้าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติ แล้วใครเล่าจะมีคุณสมบัติ?

 

มีเพียงหัวหน้าลานธรรมเท่านั้นที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่ง ก่อนจะกล่าวถามว่า “ท่านเจ้าอาวาส คิดเห็นอย่างไรหากร้องขอให้ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งยอมรับเขาเป็นศิษย์…”

 

“ไม่เลว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ฟัง แต่พอคิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่

 

ด้วยพรสวรรค์ที่เด็กคนนั้นแสดงออกมา แม้ว่าพวกเขาจะรับเข้ามาเป็นศิษย์จริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะแนะแนวทางให้อย่างไร

 

 

วันถัดมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพาเด็กชายเดินลัดเลาะไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“เจ้าอาวาสขอรับ เราจะไปที่ไหนกันหรือ”

 

เด็กชายกะพริบตา ใบหน้าสับสน

 

“จะไปไหนเช่นนั้นน่ะรึ?”

 

เจ้าอาวาสหยุดยืน เงียบนิ่งไปชั่วขณะประหนึ่งเกรงกลัวอะไรบางอย่าง

 

“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับ…”

 

“องค์ยูไล!!!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+