เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต

 

 

ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้งานระบบครั้งแรก เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลิน สืบทอดมาจากองค์ยูไล

 

ในขณะที่ฝ่ามือยูไลก็ยังเป็นเคล็ดวิชาที่ระดับสูงที่สุดในบรรดาวิชาคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินได้รับมาหลังจากลงชื่อเข้าใช้กว่ายี่สิบปีอีกด้วย

 

“ในเมื่อ ‘อรหันต์ถัว‘ สามารถปราบมารพุทธะได้ด้วยฝ่ามือยูไล ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าควรจะใช้ฝ่ามือยูไลได้แล้ว”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไป จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังก็ค่อยๆ ไหลเข้าสู่ระหว่างคิ้วของเขา

 

หวึ่ง!!!

 

ซูฉินเหมือนเข้าไปอยู่ในห้วงความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาล แลดูเพ้อฝัน ลึกซึ้ง เปล่งประกายเจิดจรัส

 

ที่ด้านหน้ามีองค์ยูไลทองคำตั้งอยู่บนพื้นดินสูงจรดฟ้า เสียงธรรมล่องลอยอยู่ช่วยเสริมเติมเต็มความว่างเปล่า

 

“สูงกว่าพิภพ เหนือกว่าสวรรค์ เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”

 

ทันใดนั้นภายในจิตใจของซูฉินก็เหมือนมีอักขระนับไม่ถ้วน เสียงสวดรายล้อมถาโถมเข้ามาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือน และในที่สุดก็ก่อตัวเป็นองค์ยูไลทองคำ ยืนนิ่งสงบมองลงมาดูสรรพสัตว์

 

ขณะนั้นเองซูฉินก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ จึงรีบถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกจากหว่างคิ้วโดยไม่รู้ตัว

 

“นี่คือ?”

 

เมื่อซูฉินลืมตาขึ้น ใบหน้าเขาก็แสดงอาการตกใจ

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ซูฉินเข้าใจถึงเคล็ดบางอย่างเกี่ยวกับฝ่ามือยูไล

 

ฝ่ามือยูไลแบ่งออกเป็นเก้าประเภท ซึ่งแต่ละประเภทนั้นทั้งเป็นอิสระต่อกันและพึ่งพากัน ไม่มีประเภทไหนสูงกว่าหรือต่ำกว่า

 

ในตอนนี้ซูฉินเชี่ยวชาญฝ่ามือยูไลรูปแบบแรกแล้วนั่นคือ : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด

 

สิ่งนี้แสดงถึงพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นระดับอรหันต์ก่อนจึงจะสามารถกระตุ้นใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ได้

 

ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ออกมาจริงๆ เขาคงสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้อย่างแน่นอน

 

และแน่นอน

 

ซูฉินรู้ดีว่านั้นเป็นเพียงความรู้สึกลวงตาที่เกิดขึ้น

 

ไม่ว่าฝ่ามือยูไลจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้เองด้วย

 

ถ้าซูฉินมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงองค์ยูไล และใช้กระบวนท่ารูปแบบที่หนึ่ง : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่เขารู้สึก

 

แต่ตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะใช้กระบวนท่านั้น อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้เพียงจัดการกับระดับเดียวกันกับตนเท่านั้น

 

การที่จะทะยานฟ้าขึ้นไปสู้รบตบมือกับเหล่าเทพ เหล่าเซียน เหล่าอสูรนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง

 

ที่ซูฉินเห็นภาพลวงตาว่าสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้เป็นเพราะเขาเพิ่งรับมรดกตกทอด ‘ฝ่ามือยูไล‘ มา เขาจึงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมมองขององค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถเข้าใจแค่รูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลเท่านั้นหรือ?”

 

ซูฉินนวดเค้นไปตามแนวคิ้วพลางคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

ตอนที่เขาจมอยู่ในกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เขาเพิ่งจะได้รับมาเพียงกระบวนท่าแรกเท่านั้นและถูกบังคับให้ออกมาเพราะความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงบริเวณหัวใจ

 

“แต่ไม่เป็นไร”

 

“เพียงรูปแบบแรกของกระบวนท่าก็เพียงพอที่จะให้ข้าศึกษาทำความเข้าใจไปเป็นเวลานานทีเดียว”

 

ซูฉินไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย แต่กลับมองไปยังทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้ามากขึ้นอีก

 

อีกนัยหนึ่ง มรดกแห่งฝ่ามือยูไลก็อยู่กับองค์ยูไลทองคำที่บริเวณหว่างคิ้วของเขา ไม่ได้หนีไปไหน ตราบใดที่พลังของซูฉินถึงขั้น เขาก็จะสามารถเรียนรู้ส่วนที่เหลือได้

 

ซูฉินจึงไม่ได้รู้สึกอะไรอื่นอีก

 

“ฝ่ามือยูไลมีระดับสูงจนเกินไป”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โดยที่หัวใจของเขาเร่าร้อนเป็นพิเศษ

 

เดิมทีซูฉินคิดว่าฝ่ามือยูไลเป็นวิชายุทธระดับอรหันต์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าระดับอรหันต์จะเป็นเพียงเกณฑ์ต่ำสุดเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นใช้ฝ่ามือยูไลได้

 

“เก้าร้อยปีก่อน ฝ่ามือยูไลที่ใช้ปราบมารพุทธะไม่ควรจะเป็นรูปแบบแรก เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด”

 

ซูฉินหันมองไปที่ภูเขาด้านหลัง ความคิดตีกันไปมา

 

รูปแบบทั้งเก้าของฝ่ามือยูไลนั้นเป็นเอกเทศ พึ่งพากัน และไม่มีความต่างระหว่างระดับว่ารูปแบบไหนสูงรูปแบบไหนต่ำกว่า

 

ทั้งเก้ารูปแบบล้วนแตกต่างกันมีความเด่นเฉพาะทาง บางประเภทโดดเด่นในการทำลายล้าง บางประเภทเด่นในด้านการสะกดปราบปราม และบางประเภทก็เหมาะจะใช้สำหรับการป้องกัน…

 

ซูฉินเดาว่าฝ่ามือยูไลที่อรหันต์ถัวใช้ปราบมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อน น่าจะเอนเอียงไปทางการปราบปราม

 

มิฉะนั้นหากเป็นฝ่ามือยูไลที่เด่นด้านการทำลายล้างเช่นเดียวกันรูปแบบแรกที่ซูฉินเรียนรู้ เกรงว่ามารพุทธะคงถูกปราบไปตั้งแต่เก้าร้อยปีที่แล้ว ไม่อยู่รอดมาจนถึงบัดนี้หรอก?

 

“ครั้งสุดท้ายที่ข้าทำการเสริมผนึกตราประทับ มารพุทธะกล่าวไว้เกี่ยวกับ ‘ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต‘ ซึ่งน่าจะหมายถึงองค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของข้า”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ในใจตน

 

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เขาได้ค้นดูบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินจำนวนนับไม่ถ้วน และเข้าใจแล้วว่าความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นคืออะไร

 

หากจะกล่าวว่าในประวัติศาสตร์หลายพันปีของวัดเส้าหลิน ฝ่ามือยูไลนั้นพอจะมีร่องรอยให้ได้เห็นอยู่บ้าง แต่กับความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นก็เหมือนกับมีอยู่เพียงในตำนานที่เล่าขานมาเท่านั้น

 

พูดอย่างง่ายๆ ก็คือทั้งเก้ารูปแบบของฝ่ามือยูไลนั้นมีความแตกต่างกัน และไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถควบคุมให้รูปแบบทั้งเก้าสามารถใช้ออกได้ในเวลาเดียวกันเลย

 

แต่หากมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไป

 

ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต นั้นเทียบได้กับ ‘แผนผังหลัก‘ ของฝ่ามือยูไล มีบทบาทในการควบคุมฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ

 

 

 

การรับมรดกฝ่ามือยูไลรูปแบบแรก ทำให้ชีวิตของซูฉินกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

 

นอกเหนือจากลงชื่อเข้าใช้และการบ่มเพาะที่ทำทุกวันแล้ว การทำความเข้าใจรูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลก็ถูกเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันด้วย

 

เติมเต็มชีวิตให้มีอะไรทำมากขึ้น

 

“เหมือนว่าเต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์ควรจะเหลือไม่มากแล้ว”

 

ในวันนี้ซูฉินได้ไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์ และหลังจากกลับมาถึงพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเขาก็พลันคิดเรื่องราวอย่างรอบคอบ

 

“ยามใดที่เต๋าสะสมหมดลง ข้าควรจะออกไปจากวัดเส้าหลิน”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

“ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่จะต้องทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้วัดเส้าหลินแล้วสินะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

 

เขาไม่กล้ากล่าวว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยต่อวัดเส้าหลินหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่มามากกว่ายี่สิบปี ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาซูฉินไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรักความเอาใจใส่รวมถึงอาหารในแต่ละมื้อที่วัดเส้าหลินมีให้กับเขาได้

 

“ข้าควรจะทิ้งอะไรไว้ดี?”

 

ซูฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด

 

ซูฉินนึกถึงปัญหานี้มานานแล้ว ก่อนจะเข้าสู่ระดับอรหันต์เสียอีก

 

ในเวลานั้นซูฉินคิดว่าหากศิษย์ของเส้าหลินไม่สามารถรักษามรดกที่เขาทิ้งไว้ได้ ก็คงไม่มีความหมายที่เขาจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง

 

ก่อนหน้านี้ก็มิใช่ว่ามีอรหันต์กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินอยู่บ้างมิใช่หรือ?

 

ก่อนที่จะละสังขาร อรหันต์ทั้งหลายคนได้ก่อสร้างรากฐานบางอย่างไว้ให้กับวัดเส้าหลิน

 

แต่มรดกเหล่านั้นก็สามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบหลายร้อยปี แม้แต่มรดกอันยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปในที่สุด

 

“เนื่องจากไม่มีอะไรมีประโยชน์เลย หรือข้าควรจะทิ้งคนไว้เป็นมรดกให้แก่เส้าหลินดี”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน และสุดท้ายก็เข้าไปห่อหุ้มลานธรรม

 

ภายในลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาธรรมกับเฉียนขู่

 

ล่าสุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำ‘เฉียนขู่‘ไปเข้าพบซูฉินเป็นการส่วนตัว โดยหวังว่าซูฉินจะรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์

 

แม้ซูฉินจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพียงกล่าวว่าจะลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูก่อน

 

“ดวงใจพุทธะที่เสียหาย…”

 

“ต้องทำเช่นไรจึงจะซ่อมแซมมันให้สมบูรณ์ได้นะ”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและก้าวเท้าออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

 

ณ ลานธรรม

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านผู้นั้นว่ากระไรบ้าง?”

 

หัวหน้าลานธรรมมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วเอ่ยถาม

 

“ท่านว่าให้เวลาท่านคิดสักพัก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวออกไปตามจริง

 

ให้เวลาคิดสักพัก…

 

ทันทีที่กล่าวออกมาเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ ก็เงียบลง

 

แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งจะไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่าท่านจะไม่สนใจรับลูกศิษย์นี่สิ

 

ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเลย

 

“น่าเสียดายพรสวรรค์ของเฉียนขู่นัก…” หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ส่ายศีรษะ

 

เมื่อเฉียนขู่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก หัวเขาก็ค้อมต่ำลงราวกับตนทำผิดร้ายแรง

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างคิดไปแล้วว่าเฉียนขู่คงไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นเสียแล้ว

 

หวึ่ง!

 

รัศมีแสงแห่งองค์ยูไลก็แผ่กระจายออกมาจางๆ

 

เสียงสวดดังขึ้นต่อเนื่อง ดอกบัวสีทองอันพิสุทธิ์ไม่มีแม้รอยเปื้อนเบ่งบานออก

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ

 

เห็นเป็นร่างคนก้าวย่างเชื่องช้า ทั่วทั้งกายปกคลุมไปด้วยแสงทอประกายวาววับ ช่างดูสูงส่งยิ่ง มีดอกบัวสีทองรองใต้เท้ายามก้าวเดิน เสียงสวดลอยล่องมาตามลม ดูตระหง่านราวกับองค์ยูไลผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตมาอยู่ที่นี่แล้ว

 

ร่างนั้นเดินไปที่ด้านหน้าของ ‘เฉียนขู่‘ ทีละก้าวๆ และยกมือขวาขึ้นเหยียดนิ้วอันเรียวยาวและทรงพลังทั้งห้านิ้วแตะลงไปบนหน้าผากของ ‘เฉียนขู่‘

 

สัมผัสแห่งองค์ยูไล ยามนี้เจ้าได้มองเห็นทางอันชัดแจ้งบนถนนที่ตถาคตได้ล่วงไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต

 

 

ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้งานระบบครั้งแรก เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลิน สืบทอดมาจากองค์ยูไล

 

ในขณะที่ฝ่ามือยูไลก็ยังเป็นเคล็ดวิชาที่ระดับสูงที่สุดในบรรดาวิชาคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินได้รับมาหลังจากลงชื่อเข้าใช้กว่ายี่สิบปีอีกด้วย

 

“ในเมื่อ ‘อรหันต์ถัว‘ สามารถปราบมารพุทธะได้ด้วยฝ่ามือยูไล ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าควรจะใช้ฝ่ามือยูไลได้แล้ว”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไป จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังก็ค่อยๆ ไหลเข้าสู่ระหว่างคิ้วของเขา

 

หวึ่ง!!!

 

ซูฉินเหมือนเข้าไปอยู่ในห้วงความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาล แลดูเพ้อฝัน ลึกซึ้ง เปล่งประกายเจิดจรัส

 

ที่ด้านหน้ามีองค์ยูไลทองคำตั้งอยู่บนพื้นดินสูงจรดฟ้า เสียงธรรมล่องลอยอยู่ช่วยเสริมเติมเต็มความว่างเปล่า

 

“สูงกว่าพิภพ เหนือกว่าสวรรค์ เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”

 

ทันใดนั้นภายในจิตใจของซูฉินก็เหมือนมีอักขระนับไม่ถ้วน เสียงสวดรายล้อมถาโถมเข้ามาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือน และในที่สุดก็ก่อตัวเป็นองค์ยูไลทองคำ ยืนนิ่งสงบมองลงมาดูสรรพสัตว์

 

ขณะนั้นเองซูฉินก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ จึงรีบถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกจากหว่างคิ้วโดยไม่รู้ตัว

 

“นี่คือ?”

 

เมื่อซูฉินลืมตาขึ้น ใบหน้าเขาก็แสดงอาการตกใจ

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ซูฉินเข้าใจถึงเคล็ดบางอย่างเกี่ยวกับฝ่ามือยูไล

 

ฝ่ามือยูไลแบ่งออกเป็นเก้าประเภท ซึ่งแต่ละประเภทนั้นทั้งเป็นอิสระต่อกันและพึ่งพากัน ไม่มีประเภทไหนสูงกว่าหรือต่ำกว่า

 

ในตอนนี้ซูฉินเชี่ยวชาญฝ่ามือยูไลรูปแบบแรกแล้วนั่นคือ : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด

 

สิ่งนี้แสดงถึงพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นระดับอรหันต์ก่อนจึงจะสามารถกระตุ้นใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ได้

 

ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ออกมาจริงๆ เขาคงสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้อย่างแน่นอน

 

และแน่นอน

 

ซูฉินรู้ดีว่านั้นเป็นเพียงความรู้สึกลวงตาที่เกิดขึ้น

 

ไม่ว่าฝ่ามือยูไลจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้เองด้วย

 

ถ้าซูฉินมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงองค์ยูไล และใช้กระบวนท่ารูปแบบที่หนึ่ง : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่เขารู้สึก

 

แต่ตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะใช้กระบวนท่านั้น อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้เพียงจัดการกับระดับเดียวกันกับตนเท่านั้น

 

การที่จะทะยานฟ้าขึ้นไปสู้รบตบมือกับเหล่าเทพ เหล่าเซียน เหล่าอสูรนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง

 

ที่ซูฉินเห็นภาพลวงตาว่าสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้เป็นเพราะเขาเพิ่งรับมรดกตกทอด ‘ฝ่ามือยูไล‘ มา เขาจึงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมมองขององค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถเข้าใจแค่รูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลเท่านั้นหรือ?”

 

ซูฉินนวดเค้นไปตามแนวคิ้วพลางคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

ตอนที่เขาจมอยู่ในกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เขาเพิ่งจะได้รับมาเพียงกระบวนท่าแรกเท่านั้นและถูกบังคับให้ออกมาเพราะความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงบริเวณหัวใจ

 

“แต่ไม่เป็นไร”

 

“เพียงรูปแบบแรกของกระบวนท่าก็เพียงพอที่จะให้ข้าศึกษาทำความเข้าใจไปเป็นเวลานานทีเดียว”

 

ซูฉินไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย แต่กลับมองไปยังทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้ามากขึ้นอีก

 

อีกนัยหนึ่ง มรดกแห่งฝ่ามือยูไลก็อยู่กับองค์ยูไลทองคำที่บริเวณหว่างคิ้วของเขา ไม่ได้หนีไปไหน ตราบใดที่พลังของซูฉินถึงขั้น เขาก็จะสามารถเรียนรู้ส่วนที่เหลือได้

 

ซูฉินจึงไม่ได้รู้สึกอะไรอื่นอีก

 

“ฝ่ามือยูไลมีระดับสูงจนเกินไป”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โดยที่หัวใจของเขาเร่าร้อนเป็นพิเศษ

 

เดิมทีซูฉินคิดว่าฝ่ามือยูไลเป็นวิชายุทธระดับอรหันต์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าระดับอรหันต์จะเป็นเพียงเกณฑ์ต่ำสุดเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นใช้ฝ่ามือยูไลได้

 

“เก้าร้อยปีก่อน ฝ่ามือยูไลที่ใช้ปราบมารพุทธะไม่ควรจะเป็นรูปแบบแรก เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด”

 

ซูฉินหันมองไปที่ภูเขาด้านหลัง ความคิดตีกันไปมา

 

รูปแบบทั้งเก้าของฝ่ามือยูไลนั้นเป็นเอกเทศ พึ่งพากัน และไม่มีความต่างระหว่างระดับว่ารูปแบบไหนสูงรูปแบบไหนต่ำกว่า

 

ทั้งเก้ารูปแบบล้วนแตกต่างกันมีความเด่นเฉพาะทาง บางประเภทโดดเด่นในการทำลายล้าง บางประเภทเด่นในด้านการสะกดปราบปราม และบางประเภทก็เหมาะจะใช้สำหรับการป้องกัน…

 

ซูฉินเดาว่าฝ่ามือยูไลที่อรหันต์ถัวใช้ปราบมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อน น่าจะเอนเอียงไปทางการปราบปราม

 

มิฉะนั้นหากเป็นฝ่ามือยูไลที่เด่นด้านการทำลายล้างเช่นเดียวกันรูปแบบแรกที่ซูฉินเรียนรู้ เกรงว่ามารพุทธะคงถูกปราบไปตั้งแต่เก้าร้อยปีที่แล้ว ไม่อยู่รอดมาจนถึงบัดนี้หรอก?

 

“ครั้งสุดท้ายที่ข้าทำการเสริมผนึกตราประทับ มารพุทธะกล่าวไว้เกี่ยวกับ ‘ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต‘ ซึ่งน่าจะหมายถึงองค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของข้า”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ในใจตน

 

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เขาได้ค้นดูบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินจำนวนนับไม่ถ้วน และเข้าใจแล้วว่าความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นคืออะไร

 

หากจะกล่าวว่าในประวัติศาสตร์หลายพันปีของวัดเส้าหลิน ฝ่ามือยูไลนั้นพอจะมีร่องรอยให้ได้เห็นอยู่บ้าง แต่กับความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นก็เหมือนกับมีอยู่เพียงในตำนานที่เล่าขานมาเท่านั้น

 

พูดอย่างง่ายๆ ก็คือทั้งเก้ารูปแบบของฝ่ามือยูไลนั้นมีความแตกต่างกัน และไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถควบคุมให้รูปแบบทั้งเก้าสามารถใช้ออกได้ในเวลาเดียวกันเลย

 

แต่หากมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไป

 

ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต นั้นเทียบได้กับ ‘แผนผังหลัก‘ ของฝ่ามือยูไล มีบทบาทในการควบคุมฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ

 

 

 

การรับมรดกฝ่ามือยูไลรูปแบบแรก ทำให้ชีวิตของซูฉินกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

 

นอกเหนือจากลงชื่อเข้าใช้และการบ่มเพาะที่ทำทุกวันแล้ว การทำความเข้าใจรูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลก็ถูกเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันด้วย

 

เติมเต็มชีวิตให้มีอะไรทำมากขึ้น

 

“เหมือนว่าเต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์ควรจะเหลือไม่มากแล้ว”

 

ในวันนี้ซูฉินได้ไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์ และหลังจากกลับมาถึงพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเขาก็พลันคิดเรื่องราวอย่างรอบคอบ

 

“ยามใดที่เต๋าสะสมหมดลง ข้าควรจะออกไปจากวัดเส้าหลิน”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

“ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่จะต้องทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้วัดเส้าหลินแล้วสินะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

 

เขาไม่กล้ากล่าวว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยต่อวัดเส้าหลินหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่มามากกว่ายี่สิบปี ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาซูฉินไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรักความเอาใจใส่รวมถึงอาหารในแต่ละมื้อที่วัดเส้าหลินมีให้กับเขาได้

 

“ข้าควรจะทิ้งอะไรไว้ดี?”

 

ซูฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด

 

ซูฉินนึกถึงปัญหานี้มานานแล้ว ก่อนจะเข้าสู่ระดับอรหันต์เสียอีก

 

ในเวลานั้นซูฉินคิดว่าหากศิษย์ของเส้าหลินไม่สามารถรักษามรดกที่เขาทิ้งไว้ได้ ก็คงไม่มีความหมายที่เขาจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง

 

ก่อนหน้านี้ก็มิใช่ว่ามีอรหันต์กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินอยู่บ้างมิใช่หรือ?

 

ก่อนที่จะละสังขาร อรหันต์ทั้งหลายคนได้ก่อสร้างรากฐานบางอย่างไว้ให้กับวัดเส้าหลิน

 

แต่มรดกเหล่านั้นก็สามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบหลายร้อยปี แม้แต่มรดกอันยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปในที่สุด

 

“เนื่องจากไม่มีอะไรมีประโยชน์เลย หรือข้าควรจะทิ้งคนไว้เป็นมรดกให้แก่เส้าหลินดี”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน และสุดท้ายก็เข้าไปห่อหุ้มลานธรรม

 

ภายในลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาธรรมกับเฉียนขู่

 

ล่าสุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำ‘เฉียนขู่‘ไปเข้าพบซูฉินเป็นการส่วนตัว โดยหวังว่าซูฉินจะรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์

 

แม้ซูฉินจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพียงกล่าวว่าจะลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูก่อน

 

“ดวงใจพุทธะที่เสียหาย…”

 

“ต้องทำเช่นไรจึงจะซ่อมแซมมันให้สมบูรณ์ได้นะ”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและก้าวเท้าออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

 

ณ ลานธรรม

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านผู้นั้นว่ากระไรบ้าง?”

 

หัวหน้าลานธรรมมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วเอ่ยถาม

 

“ท่านว่าให้เวลาท่านคิดสักพัก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวออกไปตามจริง

 

ให้เวลาคิดสักพัก…

 

ทันทีที่กล่าวออกมาเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ ก็เงียบลง

 

แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งจะไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่าท่านจะไม่สนใจรับลูกศิษย์นี่สิ

 

ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเลย

 

“น่าเสียดายพรสวรรค์ของเฉียนขู่นัก…” หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ส่ายศีรษะ

 

เมื่อเฉียนขู่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก หัวเขาก็ค้อมต่ำลงราวกับตนทำผิดร้ายแรง

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างคิดไปแล้วว่าเฉียนขู่คงไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นเสียแล้ว

 

หวึ่ง!

 

รัศมีแสงแห่งองค์ยูไลก็แผ่กระจายออกมาจางๆ

 

เสียงสวดดังขึ้นต่อเนื่อง ดอกบัวสีทองอันพิสุทธิ์ไม่มีแม้รอยเปื้อนเบ่งบานออก

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ

 

เห็นเป็นร่างคนก้าวย่างเชื่องช้า ทั่วทั้งกายปกคลุมไปด้วยแสงทอประกายวาววับ ช่างดูสูงส่งยิ่ง มีดอกบัวสีทองรองใต้เท้ายามก้าวเดิน เสียงสวดลอยล่องมาตามลม ดูตระหง่านราวกับองค์ยูไลผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตมาอยู่ที่นี่แล้ว

 

ร่างนั้นเดินไปที่ด้านหน้าของ ‘เฉียนขู่‘ ทีละก้าวๆ และยกมือขวาขึ้นเหยียดนิ้วอันเรียวยาวและทรงพลังทั้งห้านิ้วแตะลงไปบนหน้าผากของ ‘เฉียนขู่‘

 

สัมผัสแห่งองค์ยูไล ยามนี้เจ้าได้มองเห็นทางอันชัดแจ้งบนถนนที่ตถาคตได้ล่วงไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+