เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง

 

 

“การบ่มเพาะในระดับอรหันต์ยากเย็นเสียจริง”

 

“ข้าใช้เวลาเป็นปีกว่าจะสำเร็จจุดสูงสุดของนภาชั้นที่สอง”

 

ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก

 

ในขณะนี้ร่างกายของซูฉินราวกับมีสายน้ำไหลเวียนไปทั่วร่างตลอดเวลา พลังฉีและเส้นเลือดเหมือนกับมหาสมุทรอันไพศาล

 

เมื่อฝึกฝนวิทยายุทธมาถึงระดับนี้ กล่าวได้ว่าอยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง สามารถบดขยี้ขอบเขตที่ต่ำกว่าได้อย่างง่ายดาย

 

“เนื่องจากระดับนภาชั้นที่สองได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ข้าก็ควรจะคิดเรื่องการทะลวงขั้นต่อไปได้แล้ว”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

ระดับนภาทั้งเก้าชั้นของขอบเขตอรหันต์ ช่องว่างของนภาแต่ละชั้นห่างไกลกันเสียยิ่งกว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

“แต่ไม่ควรจะเร่งรีบเกินไป ใช้เวลาให้เต็มที่”

 

“ควรรอสักพักก่อนจะเริ่มการทะลวงขั้น”

 

ถึงซูฉินจะมีความคิดที่จะทะลวงผ่าน แต่ก็ไม่ได้มุทะลุ

 

เมื่อเทียบกับการฝึกฝนวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ขอบเขตอรหันต์นั้นข้องเกี่ยวกับพลังฉีที่ควบคุมโลกนี้เอาไว้ จำต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

 

สำหรับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการฝึกฝน ซูฉินก็สามารถพึ่งพาร่างกายที่แข็งแกร่งมาต้านทานเอาไว้ได้

 

แต่กับขอบเขตระดับอรหันต์

 

หากมีบางสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น ผลกระทบที่จะตกมาถึงซูฉินย่อมมีมาก

 

ในกรณีดังกล่าว แม้ซูฉินจะมาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สองแล้วและไม่มีทางจะพัฒนาได้ต่อ เขาก็ยังต้องการเวลาพักฟื้นและปรับสภาพตนให้ถึงพร้อมที่สุด

 

อย่างไรก็ตามซูฉินนั้นแตกต่างไปจากเซียนเฒ่าทั้งหลายที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยเต็มที เขานั้นยังมีเวลาอีกเจ็ดร้อยกว่าปี จึงไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด

 

สามเดือนถัดมา

 

ซูฉินได้ปรับสภาพตนเองให้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดแล้ว

 

“ข้าสามารถเริ่มทะลวงขั้นได้แล้ว”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่บนภูเขาด้านหลัง

 

ในชั่วพริบตา แก่นแท้แห่งพลังก็เริ่มโคจรไปตามหลักวิชาอมิตาภาบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

 

ฟู่ว

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดเกิดพายุหมุนวนอีกครั้ง และยังคงแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง

 

ทันใดนั้น

 

พายุจากพลังฟ้าดินก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดเส้าหลิน

 

เห็นได้ชัดว่าครานี้เหล่าศิษย์วัดคุ้นเคยกับมันแล้ว และพวกเขาไม่เอะอะโวยวายเหมือนตอนที่เจอมันเป็นครั้งแรก

 

เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แม้แต่ศิษย์ที่ใจเสาะหน่อยก็ไม่ได้ตกใจกับมันแล้ว

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ทะลวงขั้นอีกครั้งแล้ว…”

 

ไม่ว่าหัวหน้าตำหนักจะงงงวยแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขามีท่าทีตกใจในขณะนี้

 

ในบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินไม่ได้บอกไว้ว่าการฝึกฝนของเหล่าอรหันต์นั้นยากเย็นราวกับปีนป่ายสวรรค์หรอกหรือ?

 

เหตุไฉนซูฉินจึงทะลวงขั้นได้ง่ายดายราวกับการดื่มกินข้าวปลาอาหารเพียงเท่านั้น

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เมื่อพลังฉีฟ้าดินอันไม่มีที่สิ้นสุดกำลังวิ่งเข้าหาซูฉินอยู่นั้น ซูฉินก็ยัดเม็ดโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเข้าไปราวกับมันเป็นขนมขบเคี้ยว

 

ความก้าวหน้าของซูฉินค่อยๆ ลดลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“มาถึงนภาชั้นที่สามในที่สุด”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้น ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏชัดบนใบหน้า

 

การพัฒนาระดับในครั้งนี้ก็ยังเหมือนครั้งอดีต ไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ

 

“ความรู้สึกถึงพลังขุมนี้…”

 

ซูฉินสูดหายใจเข้าลึก ก่อนหน้านี้ ตอนที่มาจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สองนั้น ความแข็งแกร่งเขาก็มากกว่าครั้งแรกที่เพิ่งเข้าสู่นภาชั้นที่สองเป็นเท่าตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

 

ส่วนตอนนี้ซูฉินสามารถสัมผัสพลังอันมหาศาลที่อยู่ภายในกายได้อย่างชัดเจน ราวกับเขาสามารถทุบทำลายมิติที่อยู่ตรงหน้าให้ขาดวิ่นได้เลย

 

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกหลังจากความแข็งแกร่งพุ่งขึ้นสูงเฉยๆ ไม่ต้องพูดถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามเลย แม้แต่อรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าผู้ทรงพลังไร้พ่ายก็คงไม่สามารถฉีกทลายมิติได้

 

หลังจากที่ผ่านเข้าสู่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ซูฉินก็ไม่ได้รู้สึกพึงพอใจใดๆ ยังคงหมกมุ่นอยู่การฝึกฝนวิทยายุทธทุกวัน

 

ในช่วงเวลานี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ‘เฉียนขู่‘ ต่อแต่นี้จะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลิน

 

สำหรับตำแหน่งนี้ไม่มีศิษย์รุ่นหลังคนใดในวัดเส้าหลินมีความเห็นแย้ง

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เฝ้าดูเฉียนขู่ค่อยๆ กลายเป็นจอมยุทธในสามระดับกลางและขึ้นมาเป็นยอดฝีมือในระดับชั้นที่สาม ความเชื่อมั่นของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติ

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ ที่อยู่สูงกว่ารุ่น ‘เฉียน‘ แต่คนส่วนใหญ่ยังวนเวียนติดอยู่ในสามระดับต่ำอยู่เลย นับประสาอะไรกับคนรุ่น ‘เฉียน‘ เล่า?

 

ยกเว้นแต่ ‘เฉียนขู่‘ ศิษย์รุ่น ‘เฉียน‘ คนอื่นๆ ล้วนติดอยู่ระหว่างระดับชั้นที่เก้าและระดับชั้นที่แปด นับประสาอะไรกับสามระดับกลางและระดับชั้นที่สาม ไม่มีใครไปถึงระดับชั้นที่เจ็ดด้วยซ้ำ

 

นอกจากนี้เฉียนขู่มักจะได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่อยู่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง…

 

ทั้งวัดเส้าหลินไม่มีใครคิดว่าเฉียนขู่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลินหรอก

 

ในวันนี้ เฉียนขู่มาที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อขอเข้าพบซูฉิน

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“ศิษย์จักขอลงจากเขาเพื่อไปท่องยุทธภพสักหนึ่งเดือน”

 

เฉียนขู่ยืนในอาการสำรวจต่อหน้าซูฉินแล้วกล่าวคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“ลงจากเขาไปท่องยุทธภพเช่นนั้นรึ?” ซูฉินมองไปที่เฉียนขู่พร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

 

“ใช่แล้วขอรับ”

 

เฉียนขู่กล่าวอย่างจริงจัง “มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีทั้งการล่อลวงและความเสี่ยงอันใหญ่หลวงที่โลกภายนอกนั่น กระนั้นหลังจากที่ประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย จึงจะสามารถข้ามทะเลแห่งความขื่นขมไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งได้”

 

“นี่คือธุระของเจ้า ตราบใดที่เจ้าตัดสินใจจะทำ ก็แค่ลงมือทำเท่านั้นเอง”

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วพูดอย่างไม่แยแส

 

ในความจริง แม้เฉียนขู่จะไม่ได้มีแผนจะลงจากเขาไปท่องยุทธภพในตอนนี้ แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าซูฉินก็จะเป็นคนให้เขาลงจากภูเขานี้ไปเอง

 

วัดเส้าหลินอาศัยอะไรถึงอยู่ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพได้?

 

พระคัมภีร์?

 

พระธรรม?

 

อย่าได้ล้อเล่นไป

 

วัดเส้าหลินนั้นตั้งสูงตระหง่าน เป็นอันดับหนึ่งในทั้งสี่สำนักสายพุทธได้ก็เพราะอาศัยความแข็งแกร่งมาโดยตลอด!

 

หากไม่มีความแข็งแกร่ง วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

 

แต่ถ้าต้องการจะพัฒนาความแข็งแกร่ง มันไม่สามารถทำแค่ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง สิ่งสำคัญคือต้องลงจากเขาไปท่องยุทธภพ พบปะทำความรู้จักกับจอมยุทธทั่วยุทธภพ

 

นี่คือเหตุผลที่วัดเส้าหลินในทุกๆ รุ่นจะต้องส่งศิษย์ลงจากภูเขาไป

 

ประการหนึ่งก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้วัดเส้าหลิน อีกประการหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนตัวลูกศิษย์ของวัด

 

ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินเท่านั้น แต่พรรคนิกายใหญ่ๆ ในยุทธภพล้วนเป็นเช่นเดียวกันมาหลายพันปีแล้ว ศิษย์สายตรงของนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งก็ได้ลงจากภูเขาเพื่อท่องโลกท้าประลองเหล่าผู้ฝึกยุทธด้วยคมดาบเช่นกัน

 

“ขอบคุณขอรับ”

 

เฉียนขู่รีบกล่าวเมื่อเห็นซูฉินไม่มีท่าทีคัดค้าน

 

“เอาล่ะ ไปได้แล้ว”

 

ซูฉินโบกมือและกล่าวคำ

 

“ขอรับ” เฉียนขู่รีบออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทันทีด้วยความนอบน้อม

 

 

ตกดึก

 

พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงเด่น

 

“สิทธิ์การลงชื่อเข้าใช้ในวันนี้มาอีกครั้งแล้ว”

 

ร่างของซูฉินวูบไหวมาปรากฏตัวที่หน้าลานโพธิ์

 

ลานโพธิ์เป็นสถานที่ปรุงกลั่นโอสถของวัดเส้าหลิน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของวัดเส้าหลิน มีภิกษุจำนวนมากคอยตรวจตราเฝ้าระวังเป็นเวลาสิบสองชั่วโมงต่อวัน

 

ไม่ว่าอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน แม้เขาจะเดินไปอยู่ตรงหน้าของภิกษุที่ลาดตระเวนอยู่ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีทางพบเจอเขาได้

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินยืนอยู่ที่หน้าลานโพธิ์ กำหนดจิตคิดอยู่ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘โอสถหมุนวนเก้าโคจร‘ ]

 

“โอสถหมุนวนเก้าโคจร?”

 

ดวงตาของซูฉินพลันสว่างขึ้น

 

โอสถหมุนวนเก้าโคจรเหมือนกับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เป็นโอสถระดับอรหันต์

 

เพียงแค่ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นมีพลังมากกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำหลายสิบเท่า

 

ถ้าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเปรียบเหมือนกระแสน้ำไหลเอื่อย โอสถหมุนวนเก้าโคจรก็เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

 

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซูฉินจึงเลือกใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แทนที่จะเป็นโอสถหมุนวนเก้าโคจร

 

เนื่องจากร่างกายของซูฉินก่อนหน้านี้ไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของโอสถหมุนวนเก้าโคจรได้

 

“ตอนนี้ข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามแล้ว ข้าควรจะลองใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจรดีหรือไม่?”

 

ความคิดนี้แวบขึ้นมาในใจของซูฉิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง

 

 

“การบ่มเพาะในระดับอรหันต์ยากเย็นเสียจริง”

 

“ข้าใช้เวลาเป็นปีกว่าจะสำเร็จจุดสูงสุดของนภาชั้นที่สอง”

 

ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก

 

ในขณะนี้ร่างกายของซูฉินราวกับมีสายน้ำไหลเวียนไปทั่วร่างตลอดเวลา พลังฉีและเส้นเลือดเหมือนกับมหาสมุทรอันไพศาล

 

เมื่อฝึกฝนวิทยายุทธมาถึงระดับนี้ กล่าวได้ว่าอยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง สามารถบดขยี้ขอบเขตที่ต่ำกว่าได้อย่างง่ายดาย

 

“เนื่องจากระดับนภาชั้นที่สองได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ข้าก็ควรจะคิดเรื่องการทะลวงขั้นต่อไปได้แล้ว”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

ระดับนภาทั้งเก้าชั้นของขอบเขตอรหันต์ ช่องว่างของนภาแต่ละชั้นห่างไกลกันเสียยิ่งกว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

“แต่ไม่ควรจะเร่งรีบเกินไป ใช้เวลาให้เต็มที่”

 

“ควรรอสักพักก่อนจะเริ่มการทะลวงขั้น”

 

ถึงซูฉินจะมีความคิดที่จะทะลวงผ่าน แต่ก็ไม่ได้มุทะลุ

 

เมื่อเทียบกับการฝึกฝนวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ขอบเขตอรหันต์นั้นข้องเกี่ยวกับพลังฉีที่ควบคุมโลกนี้เอาไว้ จำต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

 

สำหรับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการฝึกฝน ซูฉินก็สามารถพึ่งพาร่างกายที่แข็งแกร่งมาต้านทานเอาไว้ได้

 

แต่กับขอบเขตระดับอรหันต์

 

หากมีบางสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น ผลกระทบที่จะตกมาถึงซูฉินย่อมมีมาก

 

ในกรณีดังกล่าว แม้ซูฉินจะมาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สองแล้วและไม่มีทางจะพัฒนาได้ต่อ เขาก็ยังต้องการเวลาพักฟื้นและปรับสภาพตนให้ถึงพร้อมที่สุด

 

อย่างไรก็ตามซูฉินนั้นแตกต่างไปจากเซียนเฒ่าทั้งหลายที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยเต็มที เขานั้นยังมีเวลาอีกเจ็ดร้อยกว่าปี จึงไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด

 

สามเดือนถัดมา

 

ซูฉินได้ปรับสภาพตนเองให้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดแล้ว

 

“ข้าสามารถเริ่มทะลวงขั้นได้แล้ว”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่บนภูเขาด้านหลัง

 

ในชั่วพริบตา แก่นแท้แห่งพลังก็เริ่มโคจรไปตามหลักวิชาอมิตาภาบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

 

ฟู่ว

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดเกิดพายุหมุนวนอีกครั้ง และยังคงแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง

 

ทันใดนั้น

 

พายุจากพลังฟ้าดินก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดเส้าหลิน

 

เห็นได้ชัดว่าครานี้เหล่าศิษย์วัดคุ้นเคยกับมันแล้ว และพวกเขาไม่เอะอะโวยวายเหมือนตอนที่เจอมันเป็นครั้งแรก

 

เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แม้แต่ศิษย์ที่ใจเสาะหน่อยก็ไม่ได้ตกใจกับมันแล้ว

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ทะลวงขั้นอีกครั้งแล้ว…”

 

ไม่ว่าหัวหน้าตำหนักจะงงงวยแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขามีท่าทีตกใจในขณะนี้

 

ในบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินไม่ได้บอกไว้ว่าการฝึกฝนของเหล่าอรหันต์นั้นยากเย็นราวกับปีนป่ายสวรรค์หรอกหรือ?

 

เหตุไฉนซูฉินจึงทะลวงขั้นได้ง่ายดายราวกับการดื่มกินข้าวปลาอาหารเพียงเท่านั้น

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เมื่อพลังฉีฟ้าดินอันไม่มีที่สิ้นสุดกำลังวิ่งเข้าหาซูฉินอยู่นั้น ซูฉินก็ยัดเม็ดโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเข้าไปราวกับมันเป็นขนมขบเคี้ยว

 

ความก้าวหน้าของซูฉินค่อยๆ ลดลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“มาถึงนภาชั้นที่สามในที่สุด”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้น ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏชัดบนใบหน้า

 

การพัฒนาระดับในครั้งนี้ก็ยังเหมือนครั้งอดีต ไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ

 

“ความรู้สึกถึงพลังขุมนี้…”

 

ซูฉินสูดหายใจเข้าลึก ก่อนหน้านี้ ตอนที่มาจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สองนั้น ความแข็งแกร่งเขาก็มากกว่าครั้งแรกที่เพิ่งเข้าสู่นภาชั้นที่สองเป็นเท่าตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

 

ส่วนตอนนี้ซูฉินสามารถสัมผัสพลังอันมหาศาลที่อยู่ภายในกายได้อย่างชัดเจน ราวกับเขาสามารถทุบทำลายมิติที่อยู่ตรงหน้าให้ขาดวิ่นได้เลย

 

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกหลังจากความแข็งแกร่งพุ่งขึ้นสูงเฉยๆ ไม่ต้องพูดถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามเลย แม้แต่อรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าผู้ทรงพลังไร้พ่ายก็คงไม่สามารถฉีกทลายมิติได้

 

หลังจากที่ผ่านเข้าสู่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ซูฉินก็ไม่ได้รู้สึกพึงพอใจใดๆ ยังคงหมกมุ่นอยู่การฝึกฝนวิทยายุทธทุกวัน

 

ในช่วงเวลานี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ‘เฉียนขู่‘ ต่อแต่นี้จะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลิน

 

สำหรับตำแหน่งนี้ไม่มีศิษย์รุ่นหลังคนใดในวัดเส้าหลินมีความเห็นแย้ง

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เฝ้าดูเฉียนขู่ค่อยๆ กลายเป็นจอมยุทธในสามระดับกลางและขึ้นมาเป็นยอดฝีมือในระดับชั้นที่สาม ความเชื่อมั่นของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติ

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ ที่อยู่สูงกว่ารุ่น ‘เฉียน‘ แต่คนส่วนใหญ่ยังวนเวียนติดอยู่ในสามระดับต่ำอยู่เลย นับประสาอะไรกับคนรุ่น ‘เฉียน‘ เล่า?

 

ยกเว้นแต่ ‘เฉียนขู่‘ ศิษย์รุ่น ‘เฉียน‘ คนอื่นๆ ล้วนติดอยู่ระหว่างระดับชั้นที่เก้าและระดับชั้นที่แปด นับประสาอะไรกับสามระดับกลางและระดับชั้นที่สาม ไม่มีใครไปถึงระดับชั้นที่เจ็ดด้วยซ้ำ

 

นอกจากนี้เฉียนขู่มักจะได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่อยู่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง…

 

ทั้งวัดเส้าหลินไม่มีใครคิดว่าเฉียนขู่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลินหรอก

 

ในวันนี้ เฉียนขู่มาที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อขอเข้าพบซูฉิน

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“ศิษย์จักขอลงจากเขาเพื่อไปท่องยุทธภพสักหนึ่งเดือน”

 

เฉียนขู่ยืนในอาการสำรวจต่อหน้าซูฉินแล้วกล่าวคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“ลงจากเขาไปท่องยุทธภพเช่นนั้นรึ?” ซูฉินมองไปที่เฉียนขู่พร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

 

“ใช่แล้วขอรับ”

 

เฉียนขู่กล่าวอย่างจริงจัง “มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีทั้งการล่อลวงและความเสี่ยงอันใหญ่หลวงที่โลกภายนอกนั่น กระนั้นหลังจากที่ประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย จึงจะสามารถข้ามทะเลแห่งความขื่นขมไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งได้”

 

“นี่คือธุระของเจ้า ตราบใดที่เจ้าตัดสินใจจะทำ ก็แค่ลงมือทำเท่านั้นเอง”

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วพูดอย่างไม่แยแส

 

ในความจริง แม้เฉียนขู่จะไม่ได้มีแผนจะลงจากเขาไปท่องยุทธภพในตอนนี้ แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าซูฉินก็จะเป็นคนให้เขาลงจากภูเขานี้ไปเอง

 

วัดเส้าหลินอาศัยอะไรถึงอยู่ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพได้?

 

พระคัมภีร์?

 

พระธรรม?

 

อย่าได้ล้อเล่นไป

 

วัดเส้าหลินนั้นตั้งสูงตระหง่าน เป็นอันดับหนึ่งในทั้งสี่สำนักสายพุทธได้ก็เพราะอาศัยความแข็งแกร่งมาโดยตลอด!

 

หากไม่มีความแข็งแกร่ง วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

 

แต่ถ้าต้องการจะพัฒนาความแข็งแกร่ง มันไม่สามารถทำแค่ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง สิ่งสำคัญคือต้องลงจากเขาไปท่องยุทธภพ พบปะทำความรู้จักกับจอมยุทธทั่วยุทธภพ

 

นี่คือเหตุผลที่วัดเส้าหลินในทุกๆ รุ่นจะต้องส่งศิษย์ลงจากภูเขาไป

 

ประการหนึ่งก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้วัดเส้าหลิน อีกประการหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนตัวลูกศิษย์ของวัด

 

ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินเท่านั้น แต่พรรคนิกายใหญ่ๆ ในยุทธภพล้วนเป็นเช่นเดียวกันมาหลายพันปีแล้ว ศิษย์สายตรงของนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งก็ได้ลงจากภูเขาเพื่อท่องโลกท้าประลองเหล่าผู้ฝึกยุทธด้วยคมดาบเช่นกัน

 

“ขอบคุณขอรับ”

 

เฉียนขู่รีบกล่าวเมื่อเห็นซูฉินไม่มีท่าทีคัดค้าน

 

“เอาล่ะ ไปได้แล้ว”

 

ซูฉินโบกมือและกล่าวคำ

 

“ขอรับ” เฉียนขู่รีบออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทันทีด้วยความนอบน้อม

 

 

ตกดึก

 

พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงเด่น

 

“สิทธิ์การลงชื่อเข้าใช้ในวันนี้มาอีกครั้งแล้ว”

 

ร่างของซูฉินวูบไหวมาปรากฏตัวที่หน้าลานโพธิ์

 

ลานโพธิ์เป็นสถานที่ปรุงกลั่นโอสถของวัดเส้าหลิน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของวัดเส้าหลิน มีภิกษุจำนวนมากคอยตรวจตราเฝ้าระวังเป็นเวลาสิบสองชั่วโมงต่อวัน

 

ไม่ว่าอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน แม้เขาจะเดินไปอยู่ตรงหน้าของภิกษุที่ลาดตระเวนอยู่ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีทางพบเจอเขาได้

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินยืนอยู่ที่หน้าลานโพธิ์ กำหนดจิตคิดอยู่ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘โอสถหมุนวนเก้าโคจร‘ ]

 

“โอสถหมุนวนเก้าโคจร?”

 

ดวงตาของซูฉินพลันสว่างขึ้น

 

โอสถหมุนวนเก้าโคจรเหมือนกับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เป็นโอสถระดับอรหันต์

 

เพียงแค่ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นมีพลังมากกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำหลายสิบเท่า

 

ถ้าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเปรียบเหมือนกระแสน้ำไหลเอื่อย โอสถหมุนวนเก้าโคจรก็เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

 

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซูฉินจึงเลือกใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แทนที่จะเป็นโอสถหมุนวนเก้าโคจร

 

เนื่องจากร่างกายของซูฉินก่อนหน้านี้ไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของโอสถหมุนวนเก้าโคจรได้

 

“ตอนนี้ข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามแล้ว ข้าควรจะลองใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจรดีหรือไม่?”

 

ความคิดนี้แวบขึ้นมาในใจของซูฉิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+