เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์

 

 

“แต่ว่า”

 

“สิ่งใดในยุทธภพกันแน่ที่สามารถสร้างอันตรายถึงแก่ชีวิตให้กับเฉียนขู่ได้?”

 

ซูฉินรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย

 

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ซูฉินมีสถานะเป็นถึงระดับอรหันต์อันสูงส่ง ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัดเส้าหลินก็เหมือนเขานั่งมองดูฝ่ามือของตนเอง

 

ยามเมื่อเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไปท่องยุทธภพ หัวหน้าลานธรรมก็หายตัวไปจากวัดเส้าหลินด้วย

 

เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าลานธรรมได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้ติดตาม ‘เฉียนขู่‘ เพื่อปกป้องเขาอย่างลับๆ

 

รู้หรือไม่ตอนนี้นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน คนที่แข็งแกร่งในวัดเส้าหลินก็มีเพียงปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอีกแค่สองคน

 

การที่จะแบ่งใครสักคนไปเพื่อคุ้มครองเฉียนขู่ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว

 

ความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่สามารถออกจากวัดได้ จำเป็นต้องอยู่ประจำที่วัดเส้าหลิน เขาก็คงต้องตามไปคุ้มครองเฉียนขู่ด้วยตัวเอง

 

เนื่องจากเฉียนขู่มีความสำคัญต่อวัดเส้าหลินมาก

 

แต่กระนั้น ถึงจะมีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองลอบเร้นติดตามเฉียนขู่ไป ก็ยังเกิดบางสิ่งกระตุ้นเจตจำนงดาบด้านในดาบไม้ขึ้นมาได้…

 

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง

 

แต่ถึงจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมันอย่างจริงจังมากนัก

 

“น่าเสียดาย”

 

“ไม่ว่าจะเป็นเจตจำนงแห่งดาบหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมันล้วนมาจากข้าทั้งหมด หากวันใดข้าสิ้นลมไป ทั้งเจตจำนงดาบและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์คงมลายสิ้น”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมวัดเส้าหลินซึ่งมีมานานหลายพันปี มีอรหันต์กำเนิดขึ้นก็จำนวนมาก แต่ยังคงเสื่อมถอยลงๆ จนมาถึงยุคนี้

 

บางที ยามเมื่ออรหันต์คงอยู่ วัดเส้าหลินก็เรืองอำนาจจนไม่มีใครกล้ายั่วยุ แต่เมื่ออรหันต์มรณภาพไปแล้ว ทุกอย่างก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

 

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งของตนเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ…”

 

ซูฉินทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ถ้ามีความแข็งแกร่งเท่าองค์ยูไลทองคำ จะยังมีอะไรในโลกนี้ที่ยากลำบากอีกหรือ?

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น ซูฉินก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะอีกครั้ง

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สาม ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่บอกว่า‘ช้าลง‘ ก็ยังเทียบเท่าได้กับความเร็วตอนบ่มเพาะขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นอยู่ดี

 

หากเทียบกับอรหันต์รูปอื่นๆ ภายในวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธคนอื่นๆ ความเร็วในการฝึกของซูฉินยังคงเร็วจนน่าประหลาดใจ

 

ฮู่!

 

ชี่!

 

ระหว่างที่ซูฉินบ่มเพาะ ภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เหมือนกำลังสั่นไหวไปพร้อมๆ กับจังหวะหายใจของเขา

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

หนึ่งวันต่อมาที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักมารวมตัวกันอีกครั้ง

 

“จดหมายจากฮุ่ยจื๋อบอกว่า ‘เฉียนขู่‘ ถูกโจมตีโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระหว่างเดินทาง!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หัวหน้าตำหนักแล้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงทุ้ม

 

ฮุ่ยจื๋อเป็นหัวหน้าลานธรรมและเขาก็เป็นศิษย์รุ่น ‘ฮุ่ย‘ เช่นเดียวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

หัวหน้าลานธรรมแอบติดตามเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไป ศิษย์สาวกคนอื่นอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่เหล่าหัวหน้าตำหนักรู้เรื่องนี้ดี

 

นี่เป็นผลจากการหารือระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพและกลุ่มนิกายทั่วๆ ไปไม่กล้ายั่วยุวัดเส้าหลิน แต่พวกเขาก็ต้องสร้างความแน่ใจเผื่อในกรณีที่ไม่คาดฝัน…

 

ด้วยพรสวรรค์ของเฉียนขู่และคำชี้แนะจากซูฉิน อาจจะไม่ต้องถึงขนาดที่สามารถไปถึงระดับอรหันต์ได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งได้เหมือนอย่างราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือไม่ก็นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งเป็นแน่

 

วัดเส้าหลินจะสามารถละทิ้งอัจฉริยะที่กว่าจะมีสักคนในรอบหลายร้อยปีเช่นนี้ไปได้เช่นไร?

 

อย่างไรก็ตามเหล่าหัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดว่าด้วยการเตรียมการป้องกันทั้งหมดจากพวกเขา เฉียนขู่ก็ยังตกอยู่ในอันตรายจากการออกไปท่องยุทธภพอีก

 

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

“ยอดปรมาจารย์คนใดกัน ถึงขนาดกล้าสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธจัดและลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน

 

ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ดูบิดเบี้ยวเช่นกัน

 

ในมุมของพวกเขา การที่เฉียนขู่เผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คงจะไม่รอดชีวิตเป็นแน่

 

ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าพรสวรรค์จะดีเพียงไร ก็ต้องใช้เวลาในการขัดเกลาบ่มเพาะ

 

“ไม่ต้องกังวล เฉียนขู่ไม่ได้เป็นอะไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น

 

ไม่เป็นอะไร…

 

หัวหน้าตำหนักเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาคิดไม่ออกว่าจะช่วยชีวิตเฉียนขู่ที่มีความแข็งแกร่งในระดับชั้นที่สามจากเงื้อมมือของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างไร?

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบดาบไม้ให้แก่เฉียนขู่ก่อนจะออกจากวัดไป มันเป็นดาบไม้อันนี้เองที่ปลดปล่อยพลังผ่าผืนฟ้าตัดสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งลง”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“ดาบไม้?”

 

“สังหารยอดปรมาจารย์?”

 

หัวหน้าตำหนักทั้งกลุ่มหันมองหน้ากัน ไม่อาจจะจินตนาการได้ถึงความตกตะลึงในใจของพวกเขา

 

พวกเขาทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของซูฉินเป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ

 

แต่สิ่งที่หัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดคือ ซูฉินสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโดยอาศัยเพียงดาบไม้เท่านั้น ทั้งที่นั่นยังห่างไกลจากที่นี่ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

 

นี่ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?

 

ถึงอรหันต์จะไร้เทียมทาน แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็หาใช่มดปลวกไม่…

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ คือปางอวตารขององค์ยูไล วิธีการของท่านมิใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าใจได้”

 

หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ก็กระซิบคำแผ่วเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง

 

 

“ได้เวลาลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเดินมาที่ศาลาพระคัมภีร์อย่างสบายๆ ในใจก็คิดบางสิ่ง

 

ในช่วงนี้เพื่อชดเชยโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เสียไป ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์อยู่บ่อยครั้ง เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้มาที่ศาลาพระคัมภีร์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวคำในใจเงียบๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับผังค่ายกล ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ]

 

“ผังค่ายกล?”

 

“ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์?”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างขึ้น เขาพอจะเดาออกว่าการลงชื่อครั้งนี้ได้อะไรกลับมา

 

“มันควรจะเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพลังฟ้าดิน!”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจของตน

 

หลังจากผู้ฝึกยุทธก้าวเข้าสู่ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธ จะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งฟ้าดินรวมถึงควบคุมมันได้ตามประสงค์

 

และอรหันต์บางรูปก็ได้สร้างค่ายกลจากพลังเหล่านี้

 

ผลกระทบของค่ายกลพลังฟ้าดินมีความแตกต่างกันไปในแต่ละแบบ บางรูปแบบมีแนวโน้มไปทางการซ่อนเร้น บางแบบมีแนวโน้มไปทางการสะกดปราบปราม และบางรูปแบบก็มีแนวโน้มไปในทางรักษา

 

ตัวอย่างเช่นหอคอยสะกดมารของวัดเส้าหลินและประตูหินที่อรหันต์ถัวได้ล่วงลับไป ล้วนเป็นค่ายกลจากพลังฟ้าดิน

 

ในช่วงยี่สิบปีมานี้ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับค่ายกลฟ้าดินมาหลายสิบรูปแบบ

 

และที่ได้รับมาวันนี้คือ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ต้องเป็นค่ายกลฟ้าดินอีกอันหนึ่งแน่ๆ

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ก็พุ่งเข้ามาในจิตของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ลืมตาขึ้นทันที

 

“ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นค่ายกลสำหรับรวบรวมพลังฟ้าดิน!”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับค่ายกลฟ้าดินประเภทนี้

 

ต้องรู้ไว้ว่าก่อนที่จะไปถึงขอบเขตสามระดับบนแทบจะไม่มีการพึ่งพาพลังฟ้าดินในการบ่มเพาะเลย แต่เมื่อเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ร่างกายจะถูกชำระด้วยพลังฟ้าดิน และเวลานั้นเองความสำคัญของพลังฟ้าดินจึงถูกหงายเปิด

 

ยิ่งพลังฟ้าดินมีความหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธเท่านั้น

 

แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดา เมื่ออยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดินหนาแน่น พวกเขาก็จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งยังมีอายุยืนยาว

 

ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินที่มีอรหันต์กำเนิดขึ้นมากมาย ย่อมต้องเต็มเปี่ยมด้วยพลังฟ้าดินตามธรรมชาติ

 

อย่างไรก็ตามพลังฟ้าดินเหล่านี้มากพอสำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป แต่ในสายตาของขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามอย่างซูฉิน ไม่นับว่าเพียงพออะไรเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์

 

 

“แต่ว่า”

 

“สิ่งใดในยุทธภพกันแน่ที่สามารถสร้างอันตรายถึงแก่ชีวิตให้กับเฉียนขู่ได้?”

 

ซูฉินรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย

 

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ซูฉินมีสถานะเป็นถึงระดับอรหันต์อันสูงส่ง ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัดเส้าหลินก็เหมือนเขานั่งมองดูฝ่ามือของตนเอง

 

ยามเมื่อเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไปท่องยุทธภพ หัวหน้าลานธรรมก็หายตัวไปจากวัดเส้าหลินด้วย

 

เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าลานธรรมได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้ติดตาม ‘เฉียนขู่‘ เพื่อปกป้องเขาอย่างลับๆ

 

รู้หรือไม่ตอนนี้นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน คนที่แข็งแกร่งในวัดเส้าหลินก็มีเพียงปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอีกแค่สองคน

 

การที่จะแบ่งใครสักคนไปเพื่อคุ้มครองเฉียนขู่ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว

 

ความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่สามารถออกจากวัดได้ จำเป็นต้องอยู่ประจำที่วัดเส้าหลิน เขาก็คงต้องตามไปคุ้มครองเฉียนขู่ด้วยตัวเอง

 

เนื่องจากเฉียนขู่มีความสำคัญต่อวัดเส้าหลินมาก

 

แต่กระนั้น ถึงจะมีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองลอบเร้นติดตามเฉียนขู่ไป ก็ยังเกิดบางสิ่งกระตุ้นเจตจำนงดาบด้านในดาบไม้ขึ้นมาได้…

 

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง

 

แต่ถึงจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมันอย่างจริงจังมากนัก

 

“น่าเสียดาย”

 

“ไม่ว่าจะเป็นเจตจำนงแห่งดาบหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมันล้วนมาจากข้าทั้งหมด หากวันใดข้าสิ้นลมไป ทั้งเจตจำนงดาบและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์คงมลายสิ้น”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมวัดเส้าหลินซึ่งมีมานานหลายพันปี มีอรหันต์กำเนิดขึ้นก็จำนวนมาก แต่ยังคงเสื่อมถอยลงๆ จนมาถึงยุคนี้

 

บางที ยามเมื่ออรหันต์คงอยู่ วัดเส้าหลินก็เรืองอำนาจจนไม่มีใครกล้ายั่วยุ แต่เมื่ออรหันต์มรณภาพไปแล้ว ทุกอย่างก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

 

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งของตนเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ…”

 

ซูฉินทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ถ้ามีความแข็งแกร่งเท่าองค์ยูไลทองคำ จะยังมีอะไรในโลกนี้ที่ยากลำบากอีกหรือ?

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น ซูฉินก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะอีกครั้ง

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สาม ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่บอกว่า‘ช้าลง‘ ก็ยังเทียบเท่าได้กับความเร็วตอนบ่มเพาะขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นอยู่ดี

 

หากเทียบกับอรหันต์รูปอื่นๆ ภายในวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธคนอื่นๆ ความเร็วในการฝึกของซูฉินยังคงเร็วจนน่าประหลาดใจ

 

ฮู่!

 

ชี่!

 

ระหว่างที่ซูฉินบ่มเพาะ ภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เหมือนกำลังสั่นไหวไปพร้อมๆ กับจังหวะหายใจของเขา

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

หนึ่งวันต่อมาที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักมารวมตัวกันอีกครั้ง

 

“จดหมายจากฮุ่ยจื๋อบอกว่า ‘เฉียนขู่‘ ถูกโจมตีโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระหว่างเดินทาง!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หัวหน้าตำหนักแล้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงทุ้ม

 

ฮุ่ยจื๋อเป็นหัวหน้าลานธรรมและเขาก็เป็นศิษย์รุ่น ‘ฮุ่ย‘ เช่นเดียวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

หัวหน้าลานธรรมแอบติดตามเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไป ศิษย์สาวกคนอื่นอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่เหล่าหัวหน้าตำหนักรู้เรื่องนี้ดี

 

นี่เป็นผลจากการหารือระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพและกลุ่มนิกายทั่วๆ ไปไม่กล้ายั่วยุวัดเส้าหลิน แต่พวกเขาก็ต้องสร้างความแน่ใจเผื่อในกรณีที่ไม่คาดฝัน…

 

ด้วยพรสวรรค์ของเฉียนขู่และคำชี้แนะจากซูฉิน อาจจะไม่ต้องถึงขนาดที่สามารถไปถึงระดับอรหันต์ได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งได้เหมือนอย่างราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือไม่ก็นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งเป็นแน่

 

วัดเส้าหลินจะสามารถละทิ้งอัจฉริยะที่กว่าจะมีสักคนในรอบหลายร้อยปีเช่นนี้ไปได้เช่นไร?

 

อย่างไรก็ตามเหล่าหัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดว่าด้วยการเตรียมการป้องกันทั้งหมดจากพวกเขา เฉียนขู่ก็ยังตกอยู่ในอันตรายจากการออกไปท่องยุทธภพอีก

 

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

“ยอดปรมาจารย์คนใดกัน ถึงขนาดกล้าสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธจัดและลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน

 

ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ดูบิดเบี้ยวเช่นกัน

 

ในมุมของพวกเขา การที่เฉียนขู่เผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คงจะไม่รอดชีวิตเป็นแน่

 

ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าพรสวรรค์จะดีเพียงไร ก็ต้องใช้เวลาในการขัดเกลาบ่มเพาะ

 

“ไม่ต้องกังวล เฉียนขู่ไม่ได้เป็นอะไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น

 

ไม่เป็นอะไร…

 

หัวหน้าตำหนักเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาคิดไม่ออกว่าจะช่วยชีวิตเฉียนขู่ที่มีความแข็งแกร่งในระดับชั้นที่สามจากเงื้อมมือของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างไร?

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบดาบไม้ให้แก่เฉียนขู่ก่อนจะออกจากวัดไป มันเป็นดาบไม้อันนี้เองที่ปลดปล่อยพลังผ่าผืนฟ้าตัดสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งลง”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“ดาบไม้?”

 

“สังหารยอดปรมาจารย์?”

 

หัวหน้าตำหนักทั้งกลุ่มหันมองหน้ากัน ไม่อาจจะจินตนาการได้ถึงความตกตะลึงในใจของพวกเขา

 

พวกเขาทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของซูฉินเป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ

 

แต่สิ่งที่หัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดคือ ซูฉินสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโดยอาศัยเพียงดาบไม้เท่านั้น ทั้งที่นั่นยังห่างไกลจากที่นี่ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

 

นี่ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?

 

ถึงอรหันต์จะไร้เทียมทาน แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็หาใช่มดปลวกไม่…

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ คือปางอวตารขององค์ยูไล วิธีการของท่านมิใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าใจได้”

 

หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ก็กระซิบคำแผ่วเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง

 

 

“ได้เวลาลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเดินมาที่ศาลาพระคัมภีร์อย่างสบายๆ ในใจก็คิดบางสิ่ง

 

ในช่วงนี้เพื่อชดเชยโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เสียไป ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์อยู่บ่อยครั้ง เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้มาที่ศาลาพระคัมภีร์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวคำในใจเงียบๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับผังค่ายกล ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ]

 

“ผังค่ายกล?”

 

“ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์?”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างขึ้น เขาพอจะเดาออกว่าการลงชื่อครั้งนี้ได้อะไรกลับมา

 

“มันควรจะเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพลังฟ้าดิน!”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจของตน

 

หลังจากผู้ฝึกยุทธก้าวเข้าสู่ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธ จะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งฟ้าดินรวมถึงควบคุมมันได้ตามประสงค์

 

และอรหันต์บางรูปก็ได้สร้างค่ายกลจากพลังเหล่านี้

 

ผลกระทบของค่ายกลพลังฟ้าดินมีความแตกต่างกันไปในแต่ละแบบ บางรูปแบบมีแนวโน้มไปทางการซ่อนเร้น บางแบบมีแนวโน้มไปทางการสะกดปราบปราม และบางรูปแบบก็มีแนวโน้มไปในทางรักษา

 

ตัวอย่างเช่นหอคอยสะกดมารของวัดเส้าหลินและประตูหินที่อรหันต์ถัวได้ล่วงลับไป ล้วนเป็นค่ายกลจากพลังฟ้าดิน

 

ในช่วงยี่สิบปีมานี้ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับค่ายกลฟ้าดินมาหลายสิบรูปแบบ

 

และที่ได้รับมาวันนี้คือ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ต้องเป็นค่ายกลฟ้าดินอีกอันหนึ่งแน่ๆ

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ก็พุ่งเข้ามาในจิตของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ลืมตาขึ้นทันที

 

“ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นค่ายกลสำหรับรวบรวมพลังฟ้าดิน!”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับค่ายกลฟ้าดินประเภทนี้

 

ต้องรู้ไว้ว่าก่อนที่จะไปถึงขอบเขตสามระดับบนแทบจะไม่มีการพึ่งพาพลังฟ้าดินในการบ่มเพาะเลย แต่เมื่อเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ร่างกายจะถูกชำระด้วยพลังฟ้าดิน และเวลานั้นเองความสำคัญของพลังฟ้าดินจึงถูกหงายเปิด

 

ยิ่งพลังฟ้าดินมีความหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธเท่านั้น

 

แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดา เมื่ออยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดินหนาแน่น พวกเขาก็จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งยังมีอายุยืนยาว

 

ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินที่มีอรหันต์กำเนิดขึ้นมากมาย ย่อมต้องเต็มเปี่ยมด้วยพลังฟ้าดินตามธรรมชาติ

 

อย่างไรก็ตามพลังฟ้าดินเหล่านี้มากพอสำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป แต่ในสายตาของขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามอย่างซูฉิน ไม่นับว่าเพียงพออะไรเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+