เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 87 เขตแดนพิสุทธิ์

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 87 เขตแดนพิสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 87 เขตแดนพิสุทธิ์

 

 

คำพูดของชายในชุดผ้าไหมทองที่เปล่งออกมา

 

นักร้องนักดนตรีที่กำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ด้านล่างต่างคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความตื่นตระหนก ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมา

 

“องค์ชายเฉิน โปรดระวังด้วย…”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายจะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวรีบเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ถูกต้องตามพิธีการ ต่อมาจ้าวกงกงถึงกับออกไปรับและเสด็จไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกัน”

 

“นี่เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจขององค์จักรพรรดิ”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นที่ปรึกษากล่าวอย่างรวดเร็ว “หากคำพูดขององค์ชายเฉินได้ยินไปถึงหูองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่ามันย่อมไปถึงหูของจ้าวกงกงด้วยเช่นกัน…”

 

ด้วยคำที่กล่าวออก

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินในชุดไหมทองปักดอกก็เปลี่ยนไป

 

เขาเหลือบมองไปที่นักร้องนักดนตรีทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเขาก็สงบลงแล้วพูดขึ้นว่า “ลากพวกมันออกไป”

 

“ขอรับ”

 

ทันใดนั้นทหารหลายสิบคนในชุดเกราะสีดำก็เดินมาและลากนักร้องนักดนตรีที่ดูเป็นกังวลอย่างมากเหล่านั้นออกไป

 

“แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?”

 

“จะให้เฝ้ามองไอ้ลูกหมูนั่นขึ้นครองบัลลังก์งั้นหรือ?”

 

องค์ชายเฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

 

ในช่วงหลายปีมานี้ จักรพรรดิถังชราภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งของเขากับองค์ชายคนอื่นๆ ก็ยิ่งเพิ่มพูน

 

กระนั้นองค์ชายเฉินยังไม่ยอมแพ้

 

เพราะเขารู้ว่าตนเองมีหวังที่จะได้นั่งตำแหน่งนั้น

 

แต่ในตอนนี้ การที่มีผู้ได้รับแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิโดยตรง การต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างองค์ชายก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไปเลยมิใช่หรือ?

 

หากองค์ชายคนอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แม้ว่าองค์ชายเฉินจะไม่ยินยอม แต่ก็คงไม่ขุ่นเคืองมากเท่าตอนนี้

 

แต่หลี่เชิง…

 

ในสายตาขององค์ชายเฉิน หลี่เชิงก็แค่ลูกหมูนอกคอกที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างดีจากองค์จักรพรรดิ แล้วตอนนี้มันยังกล้าที่จะรับตำแหน่งองค์รัชทายาทรุกล้ำราชบัลลังก์?

 

“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งร้อนใจไป”

 

ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นที่ปรึกษาเหลือบมองไปรอบข้าง ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงราชบัลลังก์ในตอนนี้…”

 

“หืม?”

 

ดวงตาขององค์ชายเฉินสว่างไสวขึ้นมา จ้องมองไปยังที่ปรึกษาข้างกายแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

 

“ใต้ฝ่าพระบาท…”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนที่ปรึกษากล่าวอย่างมีลับลมคมนัยว่า “องค์เหนือหัวชราภาพมากแล้ว ถึงแม้จะมีการปกป้องคุ้มกันจากจ้าวกงกง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกสิ่งอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์ทั้งหมด”

 

องค์ชายเฉินหรี่ตาลงในทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

“เจ้าพูดถูก”

 

องค์ชายเฉินมองไปยังที่ปรึกษาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

 

“เสด็จพ่อชราภาพมากแล้ว…”

 

 

 

วัดเส้าหลิน

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินนั่งไขว้ขามองไปที่หยกคุณภาพเยี่ยมหลายพันชิ้นที่วางกองอยู่ตรงหน้าเขา

 

หินหยกคุณภาพดีเหล่านี้ทั้งใสแจ๋วและล้ำค่า หากเอาไปวางไว้ภายนอกวัดคงได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่

 

แต่ขณะนี้ หินหยกเหล่านี้เหมือนเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาๆ ที่วางอยู่เบื้องหน้าของซูฉิน

 

“ประสิทธิภาพในการจัดหาสิ่งของของวัดเส้าหลินนั้นสูงมาก”

 

ซูฉินรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

 

เขาขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรวบรวมหยกมาเมื่อวานนี้ และหินหยกจำนวนเท่านี้ก็พลันมากองอยู่ที่นี่ในวันนี้ จำนวนมันมากกว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าก้อนที่เขาต้องการเสียอีก

 

“ในเมื่อรวบรวมหินหยกมาได้แล้ว ข้าก็ควรเริ่มก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินเสียที”

 

เพียงสั่งทางกระแสจิตทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวของซูฉินอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะคุ้นเคยกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ อันนี้มาจากการฝังข้อมูลของระบบ ถึงจะคุ้นเคยแต่ก็จำต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก

 

ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นกลางทาง หินหยกเหล่านี้จะต้องสูญเปล่าไป

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินฝังหยกแต่ละชิ้นไว้ในตำแหน่งพิเศษจำเพาะของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และสุดท้ายจึงใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนชักนำพลังฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้รอบตัวเข้ามา

 

และนี่คือกุญแจหลักในการก่อค่ายกลฟ้าดิน

 

ไม่ว่าจะเป็นหยกหรือสื่อกลางอื่นๆ ทั้งหมดเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น และสิ่งที่ตัดสินได้ว่าการก่อค่ายกลขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ก็คือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต้องครอบคลุมอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่เพียงพอ

 

โดยทั่วไปมีเพียงผู้สูงศักดิ์ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายพลังฟ้าดินได้

 

หวึ่ง!!!

 

ด้วยการชักนำอย่างต่อเนื่องด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน หยกที่ฝังอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เปล่งประกายพวยพุ่งออกมาเป็นหมอกที่ดูงดงาม

 

ทันใดนั้นพลังฟ้าดินที่ดูราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง

 

ฉับพลัน

 

หยกทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นก็ได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง หมอกควันพลันเจิดจรัสดึงดูดพลังฉีฟ้าดินออกไปในระยะทางกว่าหลายสิบลี้ให้เข้ามา

 

ฟ่าว!

 

ด้วยความเร็วที่ตาเกือบมองตามไม่ทัน พลังฉีฟ้าดินภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดพลันกลั่นตัวเป็นหมอกอย่างต่อเนื่อง และแพร่กระจายออกไปรอบนอกภูเขาด้านหลังในทุกทิศทาง

 

ในช่วงเวลานั้นเอง

 

ศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนต่างเบิกตากว้าง จ้องมองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว

 

“ดูเหมือนจะมีหมอกออกมาจากภูเขาด้านหลัง…”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินอุทานเสียงดัง

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้จะมีเสียงดังผิดปกติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการรวมตัวกันของพลังฟ้าดินและไม่ช้ามันก็จะหายไป

 

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเป็นทะเลหมอกเหมือนอย่างตอนนี้ และกินเวลายาวนานจนเหมือนกันอยู่บนสรวงสวรรค์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทำไมภูเขาด้านหลังถึงมีหมอกออกมา”

 

ศิษย์คนหนึ่งเดินมาทางภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ตัวและพูดออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“หืม?”

 

“ไม่ใช่ว่า หมอกนี่มันแปลกๆ หรอกหรือ?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินคนนั้นสูดดมละอองหมอกเข้าไป ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

หมอกที่เขาสูดดมเป็นเพียงร่องรอยอันเจือจางที่ลอยมาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

แต่กระนั้นศิษย์วัดเส้าหลินคนนั้นก็รู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นฉ่ำผ่านเข้ามาในกาย ทำให้เขารู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก

 

“ข้าก็รู้สึกได้เหมือนกัน”

 

“ทะเลหมอกนี่นับเป็นสิ่งที่ดี”

 

“ข้ารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับมาระหว่างฝึกฝนวิชา อาการกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

“หมอกนี่เป็นพลังฉีศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ?”

 

ศิษย์หลายคนไม่เชื่อและมีการพูดถึงมันกันอย่างมากมาย

 

 

และในตอนนี้

 

เมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ที่กำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างตกใจกันเสียยิ่งกว่า

 

“หมอกพวกนี้!”

 

“มันเกิดจากการกลั่นตัวของพลังฟ้าดินใช่หรือไม่?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ตกตะลึงและเสียงของเขาก็สั่น

 

พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธในขอบเขตระดับชั้นที่สามเป็นอย่างน้อย ร่างกายได้รับการชำระล้างจากพลังฟ้าดินมาแล้วและเข้าใจแจ่มแจ้งถึงประโยชน์ของพลังฟ้าดินที่เหล่าผู้ฝึกยุทธจะได้รับ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

 

“เราควรไปหาผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แล้วถามท่านว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป

 

ในตอนนี้ หมอกจากภูเขาดึงดูดความสนใจมากเกินไป แม้พวกเขาจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนซูฉิน แต่พวกเขาก็ต้องกลั้นใจรวมตัวกันไปเข้าพบ

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ถ้าพลังฉีที่ด้านนอกภูเขาด้านหลังกลั่นตัวเป็นหมอก จุดนี้ก็ก่อตัวเป็นก้อนพลังหนาแน่น

 

ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ซูฉินรู้สึกว่าการโคจรแก่นแท้แห่งพลังภายในกายตนทำได้รวดเร็วขึ้นมาก

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าอรหันต์หรือแม้แต่ตำนานยุทธจำนวนมากต้องการที่จะเข้าใจผังค่ายกลพลังฟ้าดินเหล่านี้ ปรากฏว่ามันมีประโยชน์มหาศาลเช่นนี้นี่เอง…”

 

ซูฉินรู้สึกว่าเลือดเนื้อทุกส่วนภายในร่างกายกำลังเต้นตุบๆ

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

สายตาของเขาก็เคลื่อนมองออกไปนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“พวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ?”

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมายืนอยู่ปากทางเข้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง กำลังลังเลสงสัยว่าควรจะเข้ามาดีหรือไม่

 

“พวกเจ้าเข้ามาได้”

 

เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังมองกันไปมาอยู่ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังนั้น เสียงสงบนิ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูของพวกเขา

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ อนุญาตแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ดูมีความสุขและเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอย่างสำรวม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

 

และในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปเรื่อยๆ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงพลังที่หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพลังอันมหาศาลของฟ้าดิน

 

ในที่สุดคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ก็เดินเข้าไปถึงส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและได้เห็นซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ หมอกสีขาวลอยอวลอยู่ทั่วร่าง ลมหายใจเข้าออกยาวนาน มองดูสูงส่งราวองค์ยูไล

 

“คารวะผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ โค้งคำนับทำความเคารพ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 87 เขตแดนพิสุทธิ์

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 87 เขตแดนพิสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 87 เขตแดนพิสุทธิ์

 

 

คำพูดของชายในชุดผ้าไหมทองที่เปล่งออกมา

 

นักร้องนักดนตรีที่กำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ด้านล่างต่างคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความตื่นตระหนก ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมา

 

“องค์ชายเฉิน โปรดระวังด้วย…”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายจะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวรีบเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ถูกต้องตามพิธีการ ต่อมาจ้าวกงกงถึงกับออกไปรับและเสด็จไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกัน”

 

“นี่เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจขององค์จักรพรรดิ”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นที่ปรึกษากล่าวอย่างรวดเร็ว “หากคำพูดขององค์ชายเฉินได้ยินไปถึงหูองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่ามันย่อมไปถึงหูของจ้าวกงกงด้วยเช่นกัน…”

 

ด้วยคำที่กล่าวออก

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินในชุดไหมทองปักดอกก็เปลี่ยนไป

 

เขาเหลือบมองไปที่นักร้องนักดนตรีทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเขาก็สงบลงแล้วพูดขึ้นว่า “ลากพวกมันออกไป”

 

“ขอรับ”

 

ทันใดนั้นทหารหลายสิบคนในชุดเกราะสีดำก็เดินมาและลากนักร้องนักดนตรีที่ดูเป็นกังวลอย่างมากเหล่านั้นออกไป

 

“แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?”

 

“จะให้เฝ้ามองไอ้ลูกหมูนั่นขึ้นครองบัลลังก์งั้นหรือ?”

 

องค์ชายเฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

 

ในช่วงหลายปีมานี้ จักรพรรดิถังชราภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งของเขากับองค์ชายคนอื่นๆ ก็ยิ่งเพิ่มพูน

 

กระนั้นองค์ชายเฉินยังไม่ยอมแพ้

 

เพราะเขารู้ว่าตนเองมีหวังที่จะได้นั่งตำแหน่งนั้น

 

แต่ในตอนนี้ การที่มีผู้ได้รับแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิโดยตรง การต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างองค์ชายก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไปเลยมิใช่หรือ?

 

หากองค์ชายคนอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แม้ว่าองค์ชายเฉินจะไม่ยินยอม แต่ก็คงไม่ขุ่นเคืองมากเท่าตอนนี้

 

แต่หลี่เชิง…

 

ในสายตาขององค์ชายเฉิน หลี่เชิงก็แค่ลูกหมูนอกคอกที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างดีจากองค์จักรพรรดิ แล้วตอนนี้มันยังกล้าที่จะรับตำแหน่งองค์รัชทายาทรุกล้ำราชบัลลังก์?

 

“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งร้อนใจไป”

 

ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นที่ปรึกษาเหลือบมองไปรอบข้าง ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงราชบัลลังก์ในตอนนี้…”

 

“หืม?”

 

ดวงตาขององค์ชายเฉินสว่างไสวขึ้นมา จ้องมองไปยังที่ปรึกษาข้างกายแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

 

“ใต้ฝ่าพระบาท…”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนที่ปรึกษากล่าวอย่างมีลับลมคมนัยว่า “องค์เหนือหัวชราภาพมากแล้ว ถึงแม้จะมีการปกป้องคุ้มกันจากจ้าวกงกง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกสิ่งอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์ทั้งหมด”

 

องค์ชายเฉินหรี่ตาลงในทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

“เจ้าพูดถูก”

 

องค์ชายเฉินมองไปยังที่ปรึกษาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

 

“เสด็จพ่อชราภาพมากแล้ว…”

 

 

 

วัดเส้าหลิน

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินนั่งไขว้ขามองไปที่หยกคุณภาพเยี่ยมหลายพันชิ้นที่วางกองอยู่ตรงหน้าเขา

 

หินหยกคุณภาพดีเหล่านี้ทั้งใสแจ๋วและล้ำค่า หากเอาไปวางไว้ภายนอกวัดคงได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่

 

แต่ขณะนี้ หินหยกเหล่านี้เหมือนเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาๆ ที่วางอยู่เบื้องหน้าของซูฉิน

 

“ประสิทธิภาพในการจัดหาสิ่งของของวัดเส้าหลินนั้นสูงมาก”

 

ซูฉินรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

 

เขาขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรวบรวมหยกมาเมื่อวานนี้ และหินหยกจำนวนเท่านี้ก็พลันมากองอยู่ที่นี่ในวันนี้ จำนวนมันมากกว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าก้อนที่เขาต้องการเสียอีก

 

“ในเมื่อรวบรวมหินหยกมาได้แล้ว ข้าก็ควรเริ่มก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินเสียที”

 

เพียงสั่งทางกระแสจิตทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวของซูฉินอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะคุ้นเคยกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ อันนี้มาจากการฝังข้อมูลของระบบ ถึงจะคุ้นเคยแต่ก็จำต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก

 

ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นกลางทาง หินหยกเหล่านี้จะต้องสูญเปล่าไป

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินฝังหยกแต่ละชิ้นไว้ในตำแหน่งพิเศษจำเพาะของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และสุดท้ายจึงใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนชักนำพลังฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้รอบตัวเข้ามา

 

และนี่คือกุญแจหลักในการก่อค่ายกลฟ้าดิน

 

ไม่ว่าจะเป็นหยกหรือสื่อกลางอื่นๆ ทั้งหมดเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น และสิ่งที่ตัดสินได้ว่าการก่อค่ายกลขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ก็คือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต้องครอบคลุมอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่เพียงพอ

 

โดยทั่วไปมีเพียงผู้สูงศักดิ์ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายพลังฟ้าดินได้

 

หวึ่ง!!!

 

ด้วยการชักนำอย่างต่อเนื่องด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน หยกที่ฝังอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เปล่งประกายพวยพุ่งออกมาเป็นหมอกที่ดูงดงาม

 

ทันใดนั้นพลังฟ้าดินที่ดูราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง

 

ฉับพลัน

 

หยกทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นก็ได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง หมอกควันพลันเจิดจรัสดึงดูดพลังฉีฟ้าดินออกไปในระยะทางกว่าหลายสิบลี้ให้เข้ามา

 

ฟ่าว!

 

ด้วยความเร็วที่ตาเกือบมองตามไม่ทัน พลังฉีฟ้าดินภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดพลันกลั่นตัวเป็นหมอกอย่างต่อเนื่อง และแพร่กระจายออกไปรอบนอกภูเขาด้านหลังในทุกทิศทาง

 

ในช่วงเวลานั้นเอง

 

ศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนต่างเบิกตากว้าง จ้องมองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว

 

“ดูเหมือนจะมีหมอกออกมาจากภูเขาด้านหลัง…”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินอุทานเสียงดัง

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้จะมีเสียงดังผิดปกติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการรวมตัวกันของพลังฟ้าดินและไม่ช้ามันก็จะหายไป

 

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเป็นทะเลหมอกเหมือนอย่างตอนนี้ และกินเวลายาวนานจนเหมือนกันอยู่บนสรวงสวรรค์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทำไมภูเขาด้านหลังถึงมีหมอกออกมา”

 

ศิษย์คนหนึ่งเดินมาทางภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ตัวและพูดออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“หืม?”

 

“ไม่ใช่ว่า หมอกนี่มันแปลกๆ หรอกหรือ?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินคนนั้นสูดดมละอองหมอกเข้าไป ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

หมอกที่เขาสูดดมเป็นเพียงร่องรอยอันเจือจางที่ลอยมาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

แต่กระนั้นศิษย์วัดเส้าหลินคนนั้นก็รู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นฉ่ำผ่านเข้ามาในกาย ทำให้เขารู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก

 

“ข้าก็รู้สึกได้เหมือนกัน”

 

“ทะเลหมอกนี่นับเป็นสิ่งที่ดี”

 

“ข้ารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับมาระหว่างฝึกฝนวิชา อาการกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

“หมอกนี่เป็นพลังฉีศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ?”

 

ศิษย์หลายคนไม่เชื่อและมีการพูดถึงมันกันอย่างมากมาย

 

 

และในตอนนี้

 

เมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ที่กำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างตกใจกันเสียยิ่งกว่า

 

“หมอกพวกนี้!”

 

“มันเกิดจากการกลั่นตัวของพลังฟ้าดินใช่หรือไม่?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ตกตะลึงและเสียงของเขาก็สั่น

 

พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธในขอบเขตระดับชั้นที่สามเป็นอย่างน้อย ร่างกายได้รับการชำระล้างจากพลังฟ้าดินมาแล้วและเข้าใจแจ่มแจ้งถึงประโยชน์ของพลังฟ้าดินที่เหล่าผู้ฝึกยุทธจะได้รับ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

 

“เราควรไปหาผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แล้วถามท่านว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป

 

ในตอนนี้ หมอกจากภูเขาดึงดูดความสนใจมากเกินไป แม้พวกเขาจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนซูฉิน แต่พวกเขาก็ต้องกลั้นใจรวมตัวกันไปเข้าพบ

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ถ้าพลังฉีที่ด้านนอกภูเขาด้านหลังกลั่นตัวเป็นหมอก จุดนี้ก็ก่อตัวเป็นก้อนพลังหนาแน่น

 

ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ซูฉินรู้สึกว่าการโคจรแก่นแท้แห่งพลังภายในกายตนทำได้รวดเร็วขึ้นมาก

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าอรหันต์หรือแม้แต่ตำนานยุทธจำนวนมากต้องการที่จะเข้าใจผังค่ายกลพลังฟ้าดินเหล่านี้ ปรากฏว่ามันมีประโยชน์มหาศาลเช่นนี้นี่เอง…”

 

ซูฉินรู้สึกว่าเลือดเนื้อทุกส่วนภายในร่างกายกำลังเต้นตุบๆ

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

สายตาของเขาก็เคลื่อนมองออกไปนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“พวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ?”

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมายืนอยู่ปากทางเข้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง กำลังลังเลสงสัยว่าควรจะเข้ามาดีหรือไม่

 

“พวกเจ้าเข้ามาได้”

 

เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังมองกันไปมาอยู่ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังนั้น เสียงสงบนิ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูของพวกเขา

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ อนุญาตแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ดูมีความสุขและเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอย่างสำรวม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

 

และในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปเรื่อยๆ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงพลังที่หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพลังอันมหาศาลของฟ้าดิน

 

ในที่สุดคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ก็เดินเข้าไปถึงส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและได้เห็นซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ หมอกสีขาวลอยอวลอยู่ทั่วร่าง ลมหายใจเข้าออกยาวนาน มองดูสูงส่งราวองค์ยูไล

 

“คารวะผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ โค้งคำนับทำความเคารพ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+