เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 94 จากไป

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 94 จากไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 94 จากไป

 

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“โอสถหมุนวนเก้าโคจรทั้งร้อยชุดนี่ แม้ข้าจะใช้มันวันละครั้งก็คงเพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นเวลาครึ่งปี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นแรงยิ่งกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ แม้แต่ตัวซูฉินในตอนนี้ก็ยังต้องใช้เวลากว่าสิบวันถึงหนึ่งเดือนในการย่อยโอสถหมุนวนเก้าโคจรจนหมด ฉะนั้นในความเป็นจริงแล้วจำนวนร้อยชุดที่ได้มาใหม่นี้ก็เพียงพอให้ซูฉินใช้ไปหลายปี

 

“ดูเหมือนว่าสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น ศาลาพระคัมภีร์ ลานโพธิ์ และหอคอยสะกดมาร พวกสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้ทั้งหลาย เมื่อลงชื่อเป็นครั้งสุดท้ายจะมีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา…”

 

ดวงตาของซูฉินดูมีแววขบคิด

 

เช่นเดียวกับการลงชื่อเข้าใช้ครั้งสุดท้ายที่หอคอยสะกดมาร ซูฉินได้รับตราประทับสะกดมารซึ่งสามารถปราบเหล่าจอมยุทธวิถีมารทั้งหลายได้ และแม้แต่การดำรงอยู่ของมารพุทธะก็ยังถูกปราบเมื่อเจอกับตราประทับสะกดมารอันนี้

 

ถึงแม้ว่ามารพุทธะจะถูกสะกดมานานกว่าเก้าร้อยปีจนความแข็งแกร่งถดถอยลงไปมาก แต่พลังในการปราบปรามของตราประทับสะกดมารก็มิสามารถดูแคลนได้

 

นอกจากนี้ที่ศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินยังได้รับเคล็ดวิชาชั้นสูงอย่าง ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘ ในการลงชื่อเข้าใช้เป็นครั้งสุดท้าย

 

เคล็ดวิชานี้เป็นทักษะสำหรับการโจมตี สามารถควบแน่นแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นลูกปัดยี่สิบสี่เม็ดเพื่อใช้จัดการศัตรู พลังของมันมากพอที่จะจัดอันดับให้อยู่ในสองร้อยอันดับแรกในหมู่วิชาที่ซูฉินมี

 

“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”

 

ซูฉินยังคงอยู่ในลานโพธิ์ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกลับไปพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

 

ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาเรื่องพระไตรปิฎกและเรื่องวิทยายุทธ

 

นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของพวกเขา แต่ละคนไม่เคยหยุดนิ่งที่จะใฝ่รู้

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กำลังอยู่ในอารมณ์ยินดี เมื่อวานเขาเพิ่งตัดผ่านคอขวดและเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเป็นทางการ

 

“ตอนนี้วัดเส้าหลินของพวกเรามีระดับชั้นที่สองถึงสามคนและระดับชั้นที่หนึ่งอีกหนึ่งคน แม้จะนำไปเปรียบเทียบกับสุดยอดพรรคในยุทธภพก็ไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป…”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กล่าว

 

เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากของวัดเส้าหลินเมื่อหลายสิบปีก่อน หัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังล่องลอยในความฝัน

 

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจและกล่าวคำช้าๆ

 

“จริงดังท่านว่า”

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ วัดเส้าหลินคงจะถูกทำลายไปนานแล้ว…”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย

 

บางทีเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในวัดเส้าหลินอาจไม่รู้ แต่ในฐานะ‘ผู้อาวุโส‘ ที่อยู่ทันเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อหลายสิบปีก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ช่วยเหลือวัดเส้าหลินมามากเพียงใด

 

เมื่อยามที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังจะพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย

 

ทันใดนั้นเสียงสงบเย็น ฟังดูสบาย ก็ลอยเข้ามาในหูของพวกเขา

 

“พวกเจ้าจงเข้ามาที่ภูเขาด้านหลังกันให้หมดเถิด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกประหลาดใจ

 

“นั่นคือท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นี่”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์เรียกพวกเราให้ไปที่ภูเขาด้านหลัง”

 

หัวหน้าตำหนักต่างแสดงอาการมึนงงสงสัย

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ขอให้พวกเขาทั้งหมดไปที่ภูเขาด้านหลังพร้อมกัน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…

 

ในอดีตผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จะแจ้งใครสักคนเพียงคนเดียว แม้จะมีสิ่งที่ต้องการ…

 

ถึงตอนนี้ แม้แต่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อารมณ์ร้อนก็ยังตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

 

“อย่าคิดให้มากความ”

 

“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ บอกให้พวกเราไป พวกเราก็จะไป”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปทางภูเขาด้านหลัง

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากันแล้วจึงติดตามเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไป

 

ในไม่ช้า

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายก็มาหาซูฉิน

 

“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโค้งคำนับเล็กน้อย เปล่งเสียงกล่าวคำด้วยความเคารพ

 

“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน

 

“ทุกคนเงยหน้าขึ้นเถิด” ซูฉินโบกมือและพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

 

“ข้าให้พวกเจ้ามาหาในวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกกล่าว”

 

ซูฉินพูดอย่างใจเย็น “วันนี้ข้าจะออกจากวัดเส้าหลิน ไปท่องยุทธภพ”

 

คำกล่าวนั้น

 

ท่าทีของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกลายเป็นแข็งค้าง

 

“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ไปแล้ว”

 

ซูฉินมองไปยังทุกคนแล้วจึงพูดออกมา

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมีอาการหมองหม่น ถ้อยคำที่กล่าวตอบเบาราวกระซิบ

 

วัดเส้าหลินตั้งอยู่มาหลายพันปีแล้ว และเหล่าอรหันต์ในอดีตก็มักจะเดินทางออกจากวัดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะไม่อยากยอมรับมัน แต่พวกเขาก็เข้าใจได้

 

สุดท้ายแล้วการออกธุดงค์ไปทั่วแดนดินของอรหันต์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พึงปฏิบัติ

 

หากพวกเขาขัดขวางมันก็เหมือนเป็นการทำลายการบ่มเพาะของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่มีใครกล้าที่จะแบกรับความผิดอันนี้ไว้

 

“หลังจากที่ข้าจากไป ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาที่นี่”

 

ซูฉินที่หยุดไปชั่วขณะก็พูดต่อ

 

เขาก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่อย่าง ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘เอาไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และไม่ได้ตั้งใจจะเอามันไปด้วยเมื่อเขาจากไป

 

อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งค่ายกลเช่นนี้ตราบใดที่ซูฉินมีหยกเพียงพอ เขาก็สามารถก่อตั้งอันใหม่ได้ตามต้องการ

 

สาเหตุที่ซูฉินไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาที่นี่เป็นเพราะความเข้มข้นของพลังงานด้านในนี้สูงเกินไป

 

จอมยุทธที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตอรหันต์เมื่อมาฝึกฝนที่นี่อาจจะร่างระเบิดด้วยพลังฟ้าดินในทันที

 

ซูฉินไม่ต้องการจะเห็นเลือดนองอยู่ที่นี่ยามเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าไปพร้อมๆ กับเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ทรงสมณศักดิ์ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กล่าวบอกเรื่องนี้ พวกเขาก็จะระบุให้ทุกคนทราบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม

 

“ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ…”

 

ในตอนนั้น หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

 

เขาถามคำถามนี้ด้วยใจจริง ไม่ได้มีความนัยแอบแฝงแต่อย่างใด

 

“เมื่อไรข้าจึงจะกลับมา?”

 

ซูฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบกลับไป

 

สำหรับซูฉินนั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาที่วัดเส้าหลินอีกครั้งในอนาคต เขาก็จะกลับมาแบบเงียบๆ ไม่รบกวนใคร

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้วหละ” หลังจากซูฉินพูดจบ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลง

 

คราวนี้ซูฉินขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมาที่นี่เพื่อที่จะแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ จะอย่างไรเขาก็อยู่ที่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้ว ถ้าเขาจะจากไปจริงๆ เขาก็ควรจะแจ้งอะไรสักอย่างก่อนไป ไม่ใช่จากไปอย่างเงียบๆ

 

“ขอรับ”

 

ในที่สุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมดต่างก็โค้งคารวะต่อหน้าซูฉินอย่างสุดซึ้ง และออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังไป

 

“ทิ้งทุกอย่างที่ควรทิ้ง ทำทุกอย่างที่สมควรทำเรียบร้อย ข้าควรจะจากไปได้เสียที”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจตนอย่างเงียบๆ

 

สำหรับวัดเส้าหลินหรือสุดยอดพรรคใดๆ ในยุทธภพ สิ่งที่สำคัญเสมอคือผู้คน หาใช่เคล็ดวิชาไม่

 

ตัวอย่างเช่นในวัดเส้าหลิน แม้ว่าศาลาพระคัมภีร์จะมีเคล็ดวิชามากมายนับไม่ถ้วน แต่หากไม่ใช่เพราะซูฉิน คนในรุ่นนี้ก็อาจจะไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ

 

ครึ่งวันต่อมา

 

ซูฉินออกจากวัดเส้าหลินไปอย่างเงียบๆ

 

ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง

 

ซูฉินก้าวเท้าออกไปเป็นระยะหลายร้อยเมตรในคราวเดียว เคลื่อนที่ไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“อยู่ในกรงมานานเกินไปแล้ว ในที่สุดข้าก็กลับสู่ธรรมชาติอันกว้างใหญ่เสียที”

 

ทุกก้าวที่ก้าวไปจะมีผมสีดำหนาเข้มงอกออกมา จากนั้นเพียงไม่กี่ก้าว ผมสีดำก็กระจายตัวพลิ้วไหวเสมอไหล่ของเขา ดวงตาสดใส ผิวขาวใสราวกับหยก มองไปแล้วดูไม่เหมือนคนมีอายุเลยสักนิด

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็สามารถสร้างแขนขาขึ้นมาได้ใหม่หากมันหักไป นับประสาอะไรกับผมบนหัวเล่า

 

“เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สืบทอดมรดกยาวนานกว่าสิบราชวงศ์ ‘เต๋าสะสม‘จะต้องมีมากกว่าวัดเส้าหลินเป็นแน่ และนี่แหละจะเป็นสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ถัดไปของข้า”

 

“และกลายเป็นว่าตระกูลซูก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้วด้วย”

 

ซูฉินหยุดคิดสักพักและรีบมุ่งหน้าไปเมืองฉางอัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 94 จากไป

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 94 จากไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 94 จากไป

 

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“โอสถหมุนวนเก้าโคจรทั้งร้อยชุดนี่ แม้ข้าจะใช้มันวันละครั้งก็คงเพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นเวลาครึ่งปี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นแรงยิ่งกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ แม้แต่ตัวซูฉินในตอนนี้ก็ยังต้องใช้เวลากว่าสิบวันถึงหนึ่งเดือนในการย่อยโอสถหมุนวนเก้าโคจรจนหมด ฉะนั้นในความเป็นจริงแล้วจำนวนร้อยชุดที่ได้มาใหม่นี้ก็เพียงพอให้ซูฉินใช้ไปหลายปี

 

“ดูเหมือนว่าสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น ศาลาพระคัมภีร์ ลานโพธิ์ และหอคอยสะกดมาร พวกสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้ทั้งหลาย เมื่อลงชื่อเป็นครั้งสุดท้ายจะมีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา…”

 

ดวงตาของซูฉินดูมีแววขบคิด

 

เช่นเดียวกับการลงชื่อเข้าใช้ครั้งสุดท้ายที่หอคอยสะกดมาร ซูฉินได้รับตราประทับสะกดมารซึ่งสามารถปราบเหล่าจอมยุทธวิถีมารทั้งหลายได้ และแม้แต่การดำรงอยู่ของมารพุทธะก็ยังถูกปราบเมื่อเจอกับตราประทับสะกดมารอันนี้

 

ถึงแม้ว่ามารพุทธะจะถูกสะกดมานานกว่าเก้าร้อยปีจนความแข็งแกร่งถดถอยลงไปมาก แต่พลังในการปราบปรามของตราประทับสะกดมารก็มิสามารถดูแคลนได้

 

นอกจากนี้ที่ศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินยังได้รับเคล็ดวิชาชั้นสูงอย่าง ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘ ในการลงชื่อเข้าใช้เป็นครั้งสุดท้าย

 

เคล็ดวิชานี้เป็นทักษะสำหรับการโจมตี สามารถควบแน่นแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นลูกปัดยี่สิบสี่เม็ดเพื่อใช้จัดการศัตรู พลังของมันมากพอที่จะจัดอันดับให้อยู่ในสองร้อยอันดับแรกในหมู่วิชาที่ซูฉินมี

 

“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”

 

ซูฉินยังคงอยู่ในลานโพธิ์ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกลับไปพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

 

ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาเรื่องพระไตรปิฎกและเรื่องวิทยายุทธ

 

นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของพวกเขา แต่ละคนไม่เคยหยุดนิ่งที่จะใฝ่รู้

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กำลังอยู่ในอารมณ์ยินดี เมื่อวานเขาเพิ่งตัดผ่านคอขวดและเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเป็นทางการ

 

“ตอนนี้วัดเส้าหลินของพวกเรามีระดับชั้นที่สองถึงสามคนและระดับชั้นที่หนึ่งอีกหนึ่งคน แม้จะนำไปเปรียบเทียบกับสุดยอดพรรคในยุทธภพก็ไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป…”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กล่าว

 

เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากของวัดเส้าหลินเมื่อหลายสิบปีก่อน หัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังล่องลอยในความฝัน

 

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจและกล่าวคำช้าๆ

 

“จริงดังท่านว่า”

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ วัดเส้าหลินคงจะถูกทำลายไปนานแล้ว…”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย

 

บางทีเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในวัดเส้าหลินอาจไม่รู้ แต่ในฐานะ‘ผู้อาวุโส‘ ที่อยู่ทันเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อหลายสิบปีก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ช่วยเหลือวัดเส้าหลินมามากเพียงใด

 

เมื่อยามที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังจะพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย

 

ทันใดนั้นเสียงสงบเย็น ฟังดูสบาย ก็ลอยเข้ามาในหูของพวกเขา

 

“พวกเจ้าจงเข้ามาที่ภูเขาด้านหลังกันให้หมดเถิด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกประหลาดใจ

 

“นั่นคือท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นี่”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์เรียกพวกเราให้ไปที่ภูเขาด้านหลัง”

 

หัวหน้าตำหนักต่างแสดงอาการมึนงงสงสัย

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ขอให้พวกเขาทั้งหมดไปที่ภูเขาด้านหลังพร้อมกัน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…

 

ในอดีตผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จะแจ้งใครสักคนเพียงคนเดียว แม้จะมีสิ่งที่ต้องการ…

 

ถึงตอนนี้ แม้แต่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อารมณ์ร้อนก็ยังตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

 

“อย่าคิดให้มากความ”

 

“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ บอกให้พวกเราไป พวกเราก็จะไป”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปทางภูเขาด้านหลัง

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากันแล้วจึงติดตามเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไป

 

ในไม่ช้า

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายก็มาหาซูฉิน

 

“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโค้งคำนับเล็กน้อย เปล่งเสียงกล่าวคำด้วยความเคารพ

 

“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน

 

“ทุกคนเงยหน้าขึ้นเถิด” ซูฉินโบกมือและพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

 

“ข้าให้พวกเจ้ามาหาในวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกกล่าว”

 

ซูฉินพูดอย่างใจเย็น “วันนี้ข้าจะออกจากวัดเส้าหลิน ไปท่องยุทธภพ”

 

คำกล่าวนั้น

 

ท่าทีของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกลายเป็นแข็งค้าง

 

“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ไปแล้ว”

 

ซูฉินมองไปยังทุกคนแล้วจึงพูดออกมา

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมีอาการหมองหม่น ถ้อยคำที่กล่าวตอบเบาราวกระซิบ

 

วัดเส้าหลินตั้งอยู่มาหลายพันปีแล้ว และเหล่าอรหันต์ในอดีตก็มักจะเดินทางออกจากวัดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะไม่อยากยอมรับมัน แต่พวกเขาก็เข้าใจได้

 

สุดท้ายแล้วการออกธุดงค์ไปทั่วแดนดินของอรหันต์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พึงปฏิบัติ

 

หากพวกเขาขัดขวางมันก็เหมือนเป็นการทำลายการบ่มเพาะของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่มีใครกล้าที่จะแบกรับความผิดอันนี้ไว้

 

“หลังจากที่ข้าจากไป ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาที่นี่”

 

ซูฉินที่หยุดไปชั่วขณะก็พูดต่อ

 

เขาก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่อย่าง ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘เอาไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และไม่ได้ตั้งใจจะเอามันไปด้วยเมื่อเขาจากไป

 

อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งค่ายกลเช่นนี้ตราบใดที่ซูฉินมีหยกเพียงพอ เขาก็สามารถก่อตั้งอันใหม่ได้ตามต้องการ

 

สาเหตุที่ซูฉินไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาที่นี่เป็นเพราะความเข้มข้นของพลังงานด้านในนี้สูงเกินไป

 

จอมยุทธที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตอรหันต์เมื่อมาฝึกฝนที่นี่อาจจะร่างระเบิดด้วยพลังฟ้าดินในทันที

 

ซูฉินไม่ต้องการจะเห็นเลือดนองอยู่ที่นี่ยามเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าไปพร้อมๆ กับเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ทรงสมณศักดิ์ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กล่าวบอกเรื่องนี้ พวกเขาก็จะระบุให้ทุกคนทราบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม

 

“ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ…”

 

ในตอนนั้น หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

 

เขาถามคำถามนี้ด้วยใจจริง ไม่ได้มีความนัยแอบแฝงแต่อย่างใด

 

“เมื่อไรข้าจึงจะกลับมา?”

 

ซูฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบกลับไป

 

สำหรับซูฉินนั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาที่วัดเส้าหลินอีกครั้งในอนาคต เขาก็จะกลับมาแบบเงียบๆ ไม่รบกวนใคร

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้วหละ” หลังจากซูฉินพูดจบ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลง

 

คราวนี้ซูฉินขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมาที่นี่เพื่อที่จะแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ จะอย่างไรเขาก็อยู่ที่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้ว ถ้าเขาจะจากไปจริงๆ เขาก็ควรจะแจ้งอะไรสักอย่างก่อนไป ไม่ใช่จากไปอย่างเงียบๆ

 

“ขอรับ”

 

ในที่สุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมดต่างก็โค้งคารวะต่อหน้าซูฉินอย่างสุดซึ้ง และออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังไป

 

“ทิ้งทุกอย่างที่ควรทิ้ง ทำทุกอย่างที่สมควรทำเรียบร้อย ข้าควรจะจากไปได้เสียที”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจตนอย่างเงียบๆ

 

สำหรับวัดเส้าหลินหรือสุดยอดพรรคใดๆ ในยุทธภพ สิ่งที่สำคัญเสมอคือผู้คน หาใช่เคล็ดวิชาไม่

 

ตัวอย่างเช่นในวัดเส้าหลิน แม้ว่าศาลาพระคัมภีร์จะมีเคล็ดวิชามากมายนับไม่ถ้วน แต่หากไม่ใช่เพราะซูฉิน คนในรุ่นนี้ก็อาจจะไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ

 

ครึ่งวันต่อมา

 

ซูฉินออกจากวัดเส้าหลินไปอย่างเงียบๆ

 

ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง

 

ซูฉินก้าวเท้าออกไปเป็นระยะหลายร้อยเมตรในคราวเดียว เคลื่อนที่ไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“อยู่ในกรงมานานเกินไปแล้ว ในที่สุดข้าก็กลับสู่ธรรมชาติอันกว้างใหญ่เสียที”

 

ทุกก้าวที่ก้าวไปจะมีผมสีดำหนาเข้มงอกออกมา จากนั้นเพียงไม่กี่ก้าว ผมสีดำก็กระจายตัวพลิ้วไหวเสมอไหล่ของเขา ดวงตาสดใส ผิวขาวใสราวกับหยก มองไปแล้วดูไม่เหมือนคนมีอายุเลยสักนิด

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็สามารถสร้างแขนขาขึ้นมาได้ใหม่หากมันหักไป นับประสาอะไรกับผมบนหัวเล่า

 

“เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สืบทอดมรดกยาวนานกว่าสิบราชวงศ์ ‘เต๋าสะสม‘จะต้องมีมากกว่าวัดเส้าหลินเป็นแน่ และนี่แหละจะเป็นสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ถัดไปของข้า”

 

“และกลายเป็นว่าตระกูลซูก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้วด้วย”

 

ซูฉินหยุดคิดสักพักและรีบมุ่งหน้าไปเมืองฉางอัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+