เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น!

 

 

โคมไฟในเมืองฉางอันยังคงสว่างไสว

 

ซูฉินยังยืนอยู่ที่เดิม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ดวงตาสงบนิ่ง มุมปากยกยิ้มให้กับซูเยว่หยุนและสมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ

 

เมื่อเขามาถึงเมืองฉางอันในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อตามหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับลงชื่อเข้าใช้ จากนั้นจึงค่อยมาพบหน้าตระกูลซู

 

“เจ้าคือ?!”

 

เมื่อซูเยว่หยุนเห็นซูฉิน ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง รู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านั้นคุ้นมากแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

 

ซูเยว่หยุนอายุเพียงสามขวบตอนที่ซูฉินได้เข้าสู่วัดเส้าหลิน ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าสามสิบปี ความทรงจำในวัยเด็กของเธอค่อนข้างรางเลือน

 

“เจ้าคือ…”

 

“เจ้าคือฉินเอ๋อใช่หรือเปล่า?”

 

ซูชื่อหมินกล่าวถามด้วยเสียงสั่นเครือ

 

แตกต่างจากซูเยว่หยุน ซูชื่อหมินจำซูฉินได้ทันที เขาเห็นซูฉินครั้งสุดท้ายก็เมื่อยามที่ซูฉินไปเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินตอนอายุได้สิบขวบ ตอนนี้ขนคิ้วของซูฉินยาวขึ้นมาเล็กน้อย

 

แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามสิบปี ซูชื่อหมินก็ยังจำภาพของซูฉินในวัยสิบขวบได้จนถึงตอนนี้

 

“ฉินเอ๋อ?”

 

“นี่คือน้องสามงั้นหรือ?”

 

ทั้งสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันอย่างเหลือเชื่อ

 

“เป็นข้าเอง” ซูฉินกล่าวตอบเบาๆ

 

“เป็นน้องสามจริงๆ”

 

“น้องสาม เจ้ามาถึงฉางอันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

สองพี่น้องตระกูลซูวิ่งเข้าไปหาซูฉินทันที มองขึ้นๆ ลงๆ ความรู้สึกครึ่งหนึ่งก็ประหลาดใจ อีกครึ่งหนึ่งก็มีความสุขยิ่ง

 

“ฉินเอ๋อเรื่องมันเป็นมาอย่างไร?”

 

ซูชื่อหมินเดินไปข้างหน้าและมองไปยังซูฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

เมื่อคำถามนี้กล่าวออก สองพี่น้องทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ต่างก็มองไปที่ซูฉินอย่างสงสัยใคร่รู้

 

“ข้าอยู่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้วและไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป ดังนั้นจึงออกมาเสียเลย…”

 

ซูฉินกล่าวอย่างใจเย็น

 

“ไม่อยากจะอยู่ต่ออีกต่อไป…”

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ วัดเส้าหลินเป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพและมีข่าวลือเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่า มีอรหันต์กำเนิดขึ้นที่นั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะปล่อยให้ศิษย์วัดออกมาได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?

 

“ฉินเอ๋อ บอกพ่อมาตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง เจ้าหนีออกมาหรือไม่?”

 

ท่าทีของซูชื่อหมินเปลี่ยนไป ในที่สุดเขาก็ถามออกอย่างเคร่งขรึม

 

นี่คือสิ่งที่ซูชื่อหมินกังวลมากที่สุดเพราะกลัวว่าซูฉินจะเลือกทางผิด ก็รู้อยู่ว่าภูมิหลังในปัจจุบันของวัดเส้าหลินเป็นเช่นไร หากซูฉินทำอะไรพลั้งพลาดในวัดเส้าหลินขึ้นมา ใครจะปกป้องเขาได้?

 

“ท่านพ่อ ถ้าข้าทำอะไรผิดมาจริงๆ ข้าจะออกจากวัดเส้าหลินมาได้อย่างไรเล่า?”

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคำ

 

เมื่อซูชื่อหมินได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลงทันที

 

จริงแท้แน่นอน

 

ตอนนี้เขาจะกังวลอย่างไร้เหตุผลไปไย? หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาส ซูฉินจะออกมาได้หรือ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“คาดไม่ถึงว่าเทศกาลโคมไฟในวันนี้จะเป็นวันที่ครอบครัวของพวกเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง…”

 

ซูชื่อหมินอยู่ในอารมณ์ที่ดียิ่ง

 

“ฉินน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลซูของเราได้ย้ายมาฉางอันแล้ว?” ซูเฉิงฮ่าวถามด้วยความสงสัย

 

“นี่…” ซูฉินเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากลับไปที่เยี่ยนเฉิงมา และได้ยินจากคนที่นั่นว่าพวกเจ้าย้ายมาที่นี่แล้ว”

 

“เป็นเช่นนี้เอง”

 

ซูชื่อหมินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เรื่องที่ตระกูลซูย้ายออกจากคังโจวไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ไม่ว่าถามใครก็ย่อมให้คำตอบได้

 

“ฉินน้อย ครานี้ตระกูลของเราเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว เจ้าลองทายสิว่าน้องสาวของเจ้าแต่งงานกับใคร? องค์รัชทายาทเชียวนะ”

 

“ตระกูลซูของพวกเราตอนนี้ถือเป็นพระญาติขององค์จักรพรรดิแล้ว”

 

ซูเฉิงยู่กำลังอิ่มเอมใจ จึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ นานาให้ซูฉินฟังทันที

 

“พี่ชายสาม”

 

ใบหน้าสะสวยของซูเยว่หยุนเต็มไปด้วยความสุข

 

พวกเขาคุยกันไปสักพัก ทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ผลัดกันถามคำถาม

 

หลังจากการสนทนานี้ทุกคนก็ไม่สงสัยในตัวตนของซูฉินอีกต่อไป

 

หากบังเอิญจริงๆ ที่จะมีคนสองคนที่หน้าคล้ายกันบนโลกนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับตระกูลซูมากขนาดนี้ย่อมเป็นซูฉินตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ

 

มีบางเรื่องที่ไม่ใช่แค่เฉพาะซูฉิน แม้แต่ซูเฉิงฮ่าวหรือซูเฉิงยู่ก็ลืมเลือนไปแล้ว

 

“พี่ชาย เวลาก็ผ่านไปตั้งหลายปี ทำมีท่านดูเด็กจังเลย…”

 

ซูเยว่หยุนมองไปที่ซูฉินด้วยความอิจฉา

 

ซูฉินถูกส่งตัวไปวัดเส้าหลินตอนอายุสิบขวบ และตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบสามสิบปี ช่วงวัยนี้ของซูฉินควรจะเป็นวัยกลางคน ควรจะมีริ้วรอยแห่งวัยบ้าง

 

แต่ตอนนี้ซูฉินกลับมีดวงตาเปล่งประกายสดใส ผมดำยาว ผิวสวยราวกับหยก ดูกระฉับกระเฉงเสียยิ่งกว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปี

 

คนอื่นๆ ในตระกูลซูก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน พวกเขาต่างประหลาดใจ

 

“บางทีการละทางโลกอยู่กับพระพุทธรูปโบราณและโคมไฟสีฟ้าในวัดเส้าหลินอาจจะช่วยชะลอวัยก็เป็นได้?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

 

แม้ว่าระดับอรหันต์จะสามารถคงความเยาว์วัยเอาไว้ได้ แต่คนธรรมดาก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้เช่นกันหากพวกเขาปลีกวิเวกจากความวุ่นวายในโลกหล้า

 

“สงสัยจะเป็นจริงดังเจ้าว่า…”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

สิ่งที่ซูฉินพูดนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่จะมีสักกี่คนในโลกที่สามารถละทิ้งทุกอย่างและยินดีที่จะอยู่ท่ามกลางโคมไฟสีฟ้า อยู่ใต้พระพุทธรูปโบราณ?

 

“ฉินน้อย ข้าได้ยินมาว่ามี‘อรหันต์‘กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน เจ้าเคยพบท่านบ้างไหม ในเมื่อเจ้าก็อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน?”

 

ทันใดนั้นซูเฉิงฮ่าวก็นึกอะไรบางอย่างออก และถามด้วยความสนใจ

 

สำหรับพวกเขา ตำนานยุทธและระดับอรหันต์เป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม มันไม่ต่างไปจากตำนาน ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน พวกเขาก็จะไม่ถามขึ้นมา

 

ดวงตาของซูชื่อหมินพลันสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว “ฉินเอ๋อ เจ้าเคยเห็นผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ หรือไม่?”

 

“ท่านเป็นคนเช่นไรกัน?”

 

เมื่อซูชื่หมินเอ่ยปากถาม แม้แต่เขาเองก็ต้องลดเสียงลงราวกับกลัวว่าอรหันต์ที่อยู่ห่างไกลจะได้ยิน

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เกือบจะเหมือนข้าเลย”

 

เมื่อซูเฉิงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นก็หยุดหายใจไปครู่ใหญ่ “ฉินน้อยนี่ช่างล้อเล่นได้เก่งจริงๆ”

 

สมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคิดว่าซูฉินน่าจะไม่เคยพบอรหันต์ในวัดเส้าหลินมาก่อน

 

“ฉินเอ๋อ อย่าได้พูดเช่นนั้นอีกในอนาคต ระดับอรหันต์นั้นมีอานุภาพมากเสียจนอาจจะรู้ว่าเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับท่านเข้าสักวัน…”

 

ซูชื่อหมินกล่าวตักเตือนซูฉิน

 

ไม่นานทุกคนก็กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู

 

“ว่าแต่ฉินเอ๋อเจ้ามีแผนจะทำอะไรเมื่อเจ้ากลับมาในครั้งนี้?”

 

ซูชื่อหมินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม

 

ด้วยสถานะปัจจุบันของตระกูลซู แม้ซูฉินจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาก็สามารถเลี้ยงดูซูฉินไปได้ตลอดชีวิต

 

แต่ซูชื่อหมินเกิดมาเพื่อเป็นจอมยุทธ เขาเกลียดเด็กจากตระกูลที่ร่ำรวยที่เอาแต่ดื่มกินสนุกสนาน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่จึงเข้าร่วมกองทัพ

 

“ฉินน้อยมาที่กองทัพสิ พี่สามารถแนะนำเจ้าให้กับท่านแม่ทัพได้” ซูเฉิงฮ่าวแนะนำในทันที

 

“นั่นไม่ดีเท่าไหร่ ฉินน้อยไม่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ หากเข้าร่วมกับกองทัพจริงๆ ไม่เพียงยากที่จะเลื่อนขั้น แต่ยังจะถูกเหยียดหยามอีกด้วย”

 

ซูเฉิงยู่คัดค้าน

 

กฎในกองทัพนั้นเรียบง่ายและเข้มงวด ใครกำปั้นใหญ่ที่สุดย่อมเหนือกว่า

 

ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของซูฉิน คงจะมีแต่ผู้อื่นคอยกลั่นแกล้ง

 

ซูเยว่หยุนลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเรียนถามองค์รัชทายาทว่าจะให้พี่ชายสามเข้าไปในวังได้หรือไม่?”

 

“ตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังขาดแคลนกำลังคน พี่ชายสามสามารถไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออกในฐานะที่ปรึกษาได้ ไม่ต้องกังวลเพียงแค่ลงนามเอาไว้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย”

 

คำพูดของซูเยว่หยุนทำให้สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่พยักหน้าเห็นด้วยจนคอแทบหลุด

 

ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทต้องได้เบี้ยเลี้ยงดีอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ดีกว่าทหารในกองทัพตั้งไม่รู้เท่าไหร่

 

“ฉินเอ๋อ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?

 

ซูชื่อหมินก็รู้สึกค่อนข้างพอใจกับข้อเสนอนี้ และถามออกไป

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ต้องดูว่าซูฉินคิดเห็นอย่างไร หากซูฉินไม่เต็มใจ ตระกูลซูก็จะไม่บังคับ

 

“พระราชวัง…”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองตรงไปที่วังหลวง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น!

 

 

โคมไฟในเมืองฉางอันยังคงสว่างไสว

 

ซูฉินยังยืนอยู่ที่เดิม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ดวงตาสงบนิ่ง มุมปากยกยิ้มให้กับซูเยว่หยุนและสมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ

 

เมื่อเขามาถึงเมืองฉางอันในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อตามหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับลงชื่อเข้าใช้ จากนั้นจึงค่อยมาพบหน้าตระกูลซู

 

“เจ้าคือ?!”

 

เมื่อซูเยว่หยุนเห็นซูฉิน ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง รู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านั้นคุ้นมากแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

 

ซูเยว่หยุนอายุเพียงสามขวบตอนที่ซูฉินได้เข้าสู่วัดเส้าหลิน ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าสามสิบปี ความทรงจำในวัยเด็กของเธอค่อนข้างรางเลือน

 

“เจ้าคือ…”

 

“เจ้าคือฉินเอ๋อใช่หรือเปล่า?”

 

ซูชื่อหมินกล่าวถามด้วยเสียงสั่นเครือ

 

แตกต่างจากซูเยว่หยุน ซูชื่อหมินจำซูฉินได้ทันที เขาเห็นซูฉินครั้งสุดท้ายก็เมื่อยามที่ซูฉินไปเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินตอนอายุได้สิบขวบ ตอนนี้ขนคิ้วของซูฉินยาวขึ้นมาเล็กน้อย

 

แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามสิบปี ซูชื่อหมินก็ยังจำภาพของซูฉินในวัยสิบขวบได้จนถึงตอนนี้

 

“ฉินเอ๋อ?”

 

“นี่คือน้องสามงั้นหรือ?”

 

ทั้งสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันอย่างเหลือเชื่อ

 

“เป็นข้าเอง” ซูฉินกล่าวตอบเบาๆ

 

“เป็นน้องสามจริงๆ”

 

“น้องสาม เจ้ามาถึงฉางอันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

สองพี่น้องตระกูลซูวิ่งเข้าไปหาซูฉินทันที มองขึ้นๆ ลงๆ ความรู้สึกครึ่งหนึ่งก็ประหลาดใจ อีกครึ่งหนึ่งก็มีความสุขยิ่ง

 

“ฉินเอ๋อเรื่องมันเป็นมาอย่างไร?”

 

ซูชื่อหมินเดินไปข้างหน้าและมองไปยังซูฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

เมื่อคำถามนี้กล่าวออก สองพี่น้องทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ต่างก็มองไปที่ซูฉินอย่างสงสัยใคร่รู้

 

“ข้าอยู่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้วและไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป ดังนั้นจึงออกมาเสียเลย…”

 

ซูฉินกล่าวอย่างใจเย็น

 

“ไม่อยากจะอยู่ต่ออีกต่อไป…”

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ วัดเส้าหลินเป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพและมีข่าวลือเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่า มีอรหันต์กำเนิดขึ้นที่นั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะปล่อยให้ศิษย์วัดออกมาได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?

 

“ฉินเอ๋อ บอกพ่อมาตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง เจ้าหนีออกมาหรือไม่?”

 

ท่าทีของซูชื่อหมินเปลี่ยนไป ในที่สุดเขาก็ถามออกอย่างเคร่งขรึม

 

นี่คือสิ่งที่ซูชื่อหมินกังวลมากที่สุดเพราะกลัวว่าซูฉินจะเลือกทางผิด ก็รู้อยู่ว่าภูมิหลังในปัจจุบันของวัดเส้าหลินเป็นเช่นไร หากซูฉินทำอะไรพลั้งพลาดในวัดเส้าหลินขึ้นมา ใครจะปกป้องเขาได้?

 

“ท่านพ่อ ถ้าข้าทำอะไรผิดมาจริงๆ ข้าจะออกจากวัดเส้าหลินมาได้อย่างไรเล่า?”

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคำ

 

เมื่อซูชื่อหมินได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลงทันที

 

จริงแท้แน่นอน

 

ตอนนี้เขาจะกังวลอย่างไร้เหตุผลไปไย? หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาส ซูฉินจะออกมาได้หรือ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“คาดไม่ถึงว่าเทศกาลโคมไฟในวันนี้จะเป็นวันที่ครอบครัวของพวกเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง…”

 

ซูชื่อหมินอยู่ในอารมณ์ที่ดียิ่ง

 

“ฉินน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลซูของเราได้ย้ายมาฉางอันแล้ว?” ซูเฉิงฮ่าวถามด้วยความสงสัย

 

“นี่…” ซูฉินเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากลับไปที่เยี่ยนเฉิงมา และได้ยินจากคนที่นั่นว่าพวกเจ้าย้ายมาที่นี่แล้ว”

 

“เป็นเช่นนี้เอง”

 

ซูชื่อหมินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เรื่องที่ตระกูลซูย้ายออกจากคังโจวไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ไม่ว่าถามใครก็ย่อมให้คำตอบได้

 

“ฉินน้อย ครานี้ตระกูลของเราเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว เจ้าลองทายสิว่าน้องสาวของเจ้าแต่งงานกับใคร? องค์รัชทายาทเชียวนะ”

 

“ตระกูลซูของพวกเราตอนนี้ถือเป็นพระญาติขององค์จักรพรรดิแล้ว”

 

ซูเฉิงยู่กำลังอิ่มเอมใจ จึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ นานาให้ซูฉินฟังทันที

 

“พี่ชายสาม”

 

ใบหน้าสะสวยของซูเยว่หยุนเต็มไปด้วยความสุข

 

พวกเขาคุยกันไปสักพัก ทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ผลัดกันถามคำถาม

 

หลังจากการสนทนานี้ทุกคนก็ไม่สงสัยในตัวตนของซูฉินอีกต่อไป

 

หากบังเอิญจริงๆ ที่จะมีคนสองคนที่หน้าคล้ายกันบนโลกนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับตระกูลซูมากขนาดนี้ย่อมเป็นซูฉินตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ

 

มีบางเรื่องที่ไม่ใช่แค่เฉพาะซูฉิน แม้แต่ซูเฉิงฮ่าวหรือซูเฉิงยู่ก็ลืมเลือนไปแล้ว

 

“พี่ชาย เวลาก็ผ่านไปตั้งหลายปี ทำมีท่านดูเด็กจังเลย…”

 

ซูเยว่หยุนมองไปที่ซูฉินด้วยความอิจฉา

 

ซูฉินถูกส่งตัวไปวัดเส้าหลินตอนอายุสิบขวบ และตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบสามสิบปี ช่วงวัยนี้ของซูฉินควรจะเป็นวัยกลางคน ควรจะมีริ้วรอยแห่งวัยบ้าง

 

แต่ตอนนี้ซูฉินกลับมีดวงตาเปล่งประกายสดใส ผมดำยาว ผิวสวยราวกับหยก ดูกระฉับกระเฉงเสียยิ่งกว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปี

 

คนอื่นๆ ในตระกูลซูก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน พวกเขาต่างประหลาดใจ

 

“บางทีการละทางโลกอยู่กับพระพุทธรูปโบราณและโคมไฟสีฟ้าในวัดเส้าหลินอาจจะช่วยชะลอวัยก็เป็นได้?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

 

แม้ว่าระดับอรหันต์จะสามารถคงความเยาว์วัยเอาไว้ได้ แต่คนธรรมดาก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้เช่นกันหากพวกเขาปลีกวิเวกจากความวุ่นวายในโลกหล้า

 

“สงสัยจะเป็นจริงดังเจ้าว่า…”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

สิ่งที่ซูฉินพูดนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่จะมีสักกี่คนในโลกที่สามารถละทิ้งทุกอย่างและยินดีที่จะอยู่ท่ามกลางโคมไฟสีฟ้า อยู่ใต้พระพุทธรูปโบราณ?

 

“ฉินน้อย ข้าได้ยินมาว่ามี‘อรหันต์‘กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน เจ้าเคยพบท่านบ้างไหม ในเมื่อเจ้าก็อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน?”

 

ทันใดนั้นซูเฉิงฮ่าวก็นึกอะไรบางอย่างออก และถามด้วยความสนใจ

 

สำหรับพวกเขา ตำนานยุทธและระดับอรหันต์เป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม มันไม่ต่างไปจากตำนาน ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน พวกเขาก็จะไม่ถามขึ้นมา

 

ดวงตาของซูชื่อหมินพลันสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว “ฉินเอ๋อ เจ้าเคยเห็นผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ หรือไม่?”

 

“ท่านเป็นคนเช่นไรกัน?”

 

เมื่อซูชื่หมินเอ่ยปากถาม แม้แต่เขาเองก็ต้องลดเสียงลงราวกับกลัวว่าอรหันต์ที่อยู่ห่างไกลจะได้ยิน

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เกือบจะเหมือนข้าเลย”

 

เมื่อซูเฉิงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นก็หยุดหายใจไปครู่ใหญ่ “ฉินน้อยนี่ช่างล้อเล่นได้เก่งจริงๆ”

 

สมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคิดว่าซูฉินน่าจะไม่เคยพบอรหันต์ในวัดเส้าหลินมาก่อน

 

“ฉินเอ๋อ อย่าได้พูดเช่นนั้นอีกในอนาคต ระดับอรหันต์นั้นมีอานุภาพมากเสียจนอาจจะรู้ว่าเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับท่านเข้าสักวัน…”

 

ซูชื่อหมินกล่าวตักเตือนซูฉิน

 

ไม่นานทุกคนก็กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู

 

“ว่าแต่ฉินเอ๋อเจ้ามีแผนจะทำอะไรเมื่อเจ้ากลับมาในครั้งนี้?”

 

ซูชื่อหมินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม

 

ด้วยสถานะปัจจุบันของตระกูลซู แม้ซูฉินจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาก็สามารถเลี้ยงดูซูฉินไปได้ตลอดชีวิต

 

แต่ซูชื่อหมินเกิดมาเพื่อเป็นจอมยุทธ เขาเกลียดเด็กจากตระกูลที่ร่ำรวยที่เอาแต่ดื่มกินสนุกสนาน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่จึงเข้าร่วมกองทัพ

 

“ฉินน้อยมาที่กองทัพสิ พี่สามารถแนะนำเจ้าให้กับท่านแม่ทัพได้” ซูเฉิงฮ่าวแนะนำในทันที

 

“นั่นไม่ดีเท่าไหร่ ฉินน้อยไม่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ หากเข้าร่วมกับกองทัพจริงๆ ไม่เพียงยากที่จะเลื่อนขั้น แต่ยังจะถูกเหยียดหยามอีกด้วย”

 

ซูเฉิงยู่คัดค้าน

 

กฎในกองทัพนั้นเรียบง่ายและเข้มงวด ใครกำปั้นใหญ่ที่สุดย่อมเหนือกว่า

 

ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของซูฉิน คงจะมีแต่ผู้อื่นคอยกลั่นแกล้ง

 

ซูเยว่หยุนลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเรียนถามองค์รัชทายาทว่าจะให้พี่ชายสามเข้าไปในวังได้หรือไม่?”

 

“ตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังขาดแคลนกำลังคน พี่ชายสามสามารถไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออกในฐานะที่ปรึกษาได้ ไม่ต้องกังวลเพียงแค่ลงนามเอาไว้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย”

 

คำพูดของซูเยว่หยุนทำให้สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่พยักหน้าเห็นด้วยจนคอแทบหลุด

 

ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทต้องได้เบี้ยเลี้ยงดีอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ดีกว่าทหารในกองทัพตั้งไม่รู้เท่าไหร่

 

“ฉินเอ๋อ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?

 

ซูชื่อหมินก็รู้สึกค่อนข้างพอใจกับข้อเสนอนี้ และถามออกไป

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ต้องดูว่าซูฉินคิดเห็นอย่างไร หากซูฉินไม่เต็มใจ ตระกูลซูก็จะไม่บังคับ

 

“พระราชวัง…”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองตรงไปที่วังหลวง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+