เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 100 ในที่สุดก็ได้พบกัน

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 100 ในที่สุดก็ได้พบกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยออกไปก็ไม่ได้ย้อนกลับมาเลย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย แม้ว่าหญิงสาวสามคนนั้นอาจจะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ไม่ดี แต่อย่างไรก็ย่อมคิดหาวิธีเหนี่ยวรั้งซั่งกวนเจวี๋ยอย่างแน่นอน และทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คงจะหาวิธีทุกวิธีทางเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกนางเช่นกัน จุดนี้ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นฝ่ายเอ่ยปากให้ซั่งกวนเจวี๋ยเข้าไปหาก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว ถึงกระนั้นก็ยังคงผิดหวังอยู่บ้าง

“สะใภ้ใหญ่ เคราฤาษีนั้นได้จัดการตามคำสั่งของท่านแล้วเจ้าค่ะ ติดไม้ไผ่ไว้ที่ชายคาเรียบร้อยแล้ว ท่านจะเข้าไปดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” ม่านเหอกล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ คล้ายกับจมดิ่งในความคิด แววตานั้นปรากฏความรู้สึกเห็นใจวาบผ่านไป หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยออกไป สะใภ้ใหญ่ก็คล้ายกับจิตใจไม่อยู่กับตัว ทั้งรอยยิ้มก็ถูกพรากจากไปเช่นกัน เอาแต่นั่งในห้องอ่านหนังสือเช่นนี้ไม่ขยับไปไหน

“ก็ดีเหมือนกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ส่งรอยยิ้มให้กับม่านเหอ ทำให้ม่านเหอที่มีความกังวลมาโดยตลอดวางใจได้เล็กน้อย

“สะใภ้ใหญ่ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ พืชต้นนี้ดูแล้วงดงามจริงๆ!” ม่านเหอกล่าวยิ้มๆ “คล้ายกับผ้าม่านที่ถูกถักทอ แต่ว่ามันสามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ดินปลูกจริงๆ หรือเจ้าคะ?”

“ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิตในใต้หล้าล้วนแต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันไปทั้งนั้น เคราฤาษีนี้จึงได้ดูน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้!”เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเคราฤาษีที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อยแล้ว กล่าวทั้งเผยยิ้ม “หลังจากนี้มันจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้ว ทุกวันต้องให้น้ำให้เพียงพอ พรมน้ำครั้งละหนึ่งทั้งเช้าและเย็น พวกจื่อหลัวนั้นก็ขี้ขลาดเสียด้วยสิ!”

“นั่นไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จื่อหลัวนั้นมีงานในมือมากแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มอบให้บ่าวเป็นคนทำเถิดเจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ หลังจากที่ได้เริ่มคุ้นเคยกัน นางก็รู้สึกดีกับม่านเหอไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีความคิดที่จะปีนขึ้นเตียงเจ้านายเพื่อเป็นอนุภรรยา ได้ยินว่านางนั้นมีคนรักที่คบหากันอยู่แล้ว อายุอานามก็พอๆ กัน หลังจากถูกปล่อยออกไปก็คงได้แต่งงานกัน

“ม่านเหอ พรุ่งนี้เจ้าไปที่เรือนไร้เดี่ยว นำเสื้อผ้าและรองเท้าของสามี เอาจำพวกที่ผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว ข้าอยากจะตัดเย็บตัดแต่งเสื้อผ้าให้เขาเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยรอยยิ้มเล็กน้อย นางไม่เชื่อว่าจอมยุทธ์หญิงพวกนั้นจะถือเข็มมาเย็บปักถักร้อยได้หรอก

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอยิ้มตอบ “ฝีมือปักเย็บของสะใภ้ใหญ่ดีขนาดนั้น คุณชายต้องชื่นชอบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”

“เรื่องนี้อย่าให้สามีรู้เป็นอันขาด ข้าอยากจะทำให้เขาประหลาดใจเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวาน ม่านเหอรีบรับคำสั่งอย่างทันที

“สะใภ้ใหญ่ อาหารเย็นได้เตรียมเกือบเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านเข้าไปดูว่าพอเหมาะพอควรแล้วหรือยังเจ้าคะ!” เซียงชุ่ยกล่าวยิ้มๆ หลังจากที่จิงอิ๋งและหลิงหลงไปแล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ จัดการกับเรื่องในบ้าน แต่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรครบกวนความใกล้ชิดของสองสามีภรรยา จึงได้แต่ให้นางดูแลเรื่องครัวชั่วคราวไปก่อน ก่อนที่อาหารจะขึ้นโต๊ะล้วนเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ต้องไปดูถึงห้องครัว ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเซียงชุ่ยที่รับหน้าที่เฝ้าดู

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า เวลานี้ซั่งกวนฮ่าวสองสามีภรรยานั้นคงจะรับรู้แล้วว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ทำเรื่องดีอะไรลงไป เพียงแค่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอย่างไร?

“แม่นมหนิงคนข้างกายของฮูหยินใหญ่กล่าวว่า เย็นวันนี้ยังมีแขกอีกสามท่านจะมาร่วมโต๊ะด้วย กำชับให้ทำอาหารเพิ่มอีกไม่กี่อย่างเจ้าค่ะ!” เซียงชุ่ยบอกเป็นนัย นางไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้เรื่องนี้หรือยัง ยิ่งไปกว่านั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังเรียกตัวซั่งกวนเจวี๋ยไปจากที่นี่อีก

“ข้ารู้แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นแข็งทื่อไปอยู่บ้าง นางถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้ากับจื่อ หลัวที่เดินเข้ามา พาม่านเหอและเซียงชุ่ยไปยังห้องครัว แต่หลังจากที่กลับมาจากห้องครัวจื่อหลัวก็พาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปเปลี่ยนชุดใหม่ทันที

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปทันเวลาพอดี นางยึดตามเวลาปกติในช่วงนี้ เมื่อเห็นพวกสาวใช้จัดวางเครื่องชามอย่างเรียบร้อยแล้ว แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น ก็ค่อยๆ เดินไปยังโถงบุปผา…กฎของตระกูลซั่งกวน ก่อนรับประทานอาหาร ยามที่ยังไม่ได้ไปเชิญก็ไม่อาจขึ้นโต๊ะได้ ทั้งไม่อาจรอที่ห้องอาหารได้ด้วย แต่ปกติก็มักจะนั่งรอแถวข้างๆ โถงบุปผา พูดคุยอะไรกันไปก่อน

ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไป คนของตระกูลซั่งกวนก็ได้กระจัดกระจายนั่งในโถงบุปผาแล้ว ซั่งกวนฮ่าวกำลังพูดคุยกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย มีซั่งกวนพิงถิงนั่งอยู่ด้านข้างนาง แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงกำลังตำหนิซั่งกวนอิงด้วยใบหน้าที่ท้อใจอยู่ ซั่งกวนอวี่ฮ่าวนั่งฟังอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ซั่งกวนอวี่ไข่กลับเผยใบหน้ายินดีที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ และที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกขัดหูขัดตาก็เป็นซั่งกวนเจวี๋ยที่กำลังถูกหญิงสาวทั้งสามห้อมล้อมอยู่

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งจะเข้ามา ทั่วทั้งโถงบุปผาก็เกิดชะงักขึ้นในชั่วพริบตา คล้อยหลังทุกคนต่างก็พร้อมใจหยุดโดยไม่ได้นัดหมาย หันไปมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นตาเดียว…

“อาหารเย็นจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เชิญฮูหยินใหญ่เลยเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้หยุดชะงักอันใด ยังคงทำเหมือนเช่นวันปกติ เดินไปยังผู้อาวุโสที่มีอายุมากที่สุดของตระกูลซั่งกวน ค่อยๆ คำนับ ก่อนจะกล่าวประโยคนั้นเหมือนดั่งทุกวัน

“มี่เอ๋อร์ อาหารเย็นไม่ต้องรีบหรอก วันนี้มีแขกมาสามท่าน เจ้ามาทำความรู้จักสักหน่อยสิ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างมีเมตตา “ภายหลังก็ล้วนจะเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ไม่อาจทำเป็นคนแปลกหน้าไปได้!”

พี่น้อง? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเย็นในใจ ทว่าใบหน้ายังคงเผยท่าทีนอบน้อม แววตาประกายความเศร้าเล็กน้อย กล่าวรับคำไป “ตามที่ฮูหยินใหญ่ว่าเจ้าค่ะ!”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเค้นเสียงหึออกมา นางไม่พอใจที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรับหญิงสาวทั้งสามที่ถูกจงใจลืมนั้นกลับมาอย่างกะทันหัน จึงกล่าวอย่างเรียบเย็น “มี่เอ๋อร์ ทั้งสามคนล้วนมีอายุมากกว่าเจ้า เป็นพี่เจ้ากันทั้งนั้น อย่าได้ละเลยเชียว”

“มี่เอ๋อร์เข้าใจแล้ว ขอท่านแม่วางใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คำนับให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเช่นกัน หลังจากนั้นจื่อหลังก็ค่อยๆ ประคองนางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซั่งกวนเจวี๋ยและหญิงสาวทั้งสามคน เห็นใบหน้าที่รู้สึกผิดอยู่บ้างของซั่งกวนเจวี๋ย นางก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “สามี ท่านยังไม่แนะนำพี่สาวทั้งสามคนให้มี่เอ๋อร์เลย?”

สือหย่าฉีและอวี้เมิ่งเหยายังไม่ทันฟังออก แต่หวงเซียวเซียวกลับตกใจไปแล้ว พี่สาว? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นภรรยาเอก ภรรยารองหรืออนุภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ยไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมากล้วนต้องเรียกนางว่าพี่ ยามนี้นางกลับชิงเรียกเช่นนี้ขึ้นก่อน หรือกำลังจะบอกเป็นนัยว่าไม่ยินดีที่จะรับพวกนาง?

“ตัวน้องนามว่าหวงเซียวเซียงยินดีที่ได้พบสะใภ้คนใหม่!” หวงเซียวเซียงเป็นฝ่ายหยัดกายขึ้นก่อน ประสานมือคารวะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อันดับแรกก็วางตัวเองไว้ในตำแหน่งน้องเสียก่อน นางไม่เชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังจะสามารถพูดพี่สาวน้องสาวอะไรนั่นได้อีก

“สะใภ้คนใหม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสีหน้าลำบากใจอยู่เลือนราง แต่ก็รีบปกปิดอย่างรวดเร็ว ฝืนยิ้มกล่าว “คุณหนูหวง คำเรียกนี้นับว่าแปลกใหม่จริงๆ ได้ยินว่าคุณหนูหวงนั้นบริสุทธิ์สดใส งดงามอ่อนหวาน วันนี้ได้พบ ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง! คุณหนูหวงได้มาเป็นแขกของที่นี่ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง หากมีอะไรที่ต้องการ ก็ขอให้คุณหนูเซียวเซียงอย่าได้เกรงใจ”

ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นสีหน้าที่ลำบากใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เรียกว่าอะไรนะ สะใภ้คนใหม่? หรือซั่งกวนเจวี๋ยนั้นจะมีสะใภ้คนเก่าอะไรได้อีก คำพูดของหวงเซียวเซียงเสียมารยาทเกินไปแล้ว

หวงเซียวเซียงตกตะลึง นางไม่เคยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในสายตามาก่อน ก็แค่หญิงสาวต่ำต้อยในตระกูลพ่อค้าคนหนึ่งไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะเกิดมาหน้าตางดงาม แต่นอกจากนั้นนางจะมีอะไรได้อีก? แม่ของนางซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฮูหยินซั่งกวนก็ตายไปตั้งนานแล้ว ไม่อาจหนุนหลังให้นางได้ ต่อหน้าทั่วป๋าซูเยวี่ยนางก็เรียกเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ได้คิดว่าไม่มีอะไรถูกตรงไหน แต่ยามนี้มาถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจพูดออกมา กลับทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“คุณหนูหวง ภายหลังไม่อาจเรียกเช่นนี้ได้อีก หากไม่รู้ยังจะคิดว่ามี่เอ๋อร์ของพวกเราเป็นภรรยาใหม่ที่แต่งเข้ามาทีหลังของเจวี๋ยเอ๋อร์ ฟังแล้วไม่สบายหูเอาเสียเลย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเยือกเย็น นางให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่นี่อยู่ตลอด พึงพอใจกับปฏิกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก นี่จึงเรียกว่าหัวไวหลักแหลม ประโยคเดียวก็จับคำพูดผิดของอีกฝ่ายได้อยู่หมัด ประโยคที่ว่า ‘คุณหนูหวง’ นั้นก็หลีกเลี่ยงคำเรียกพี่น้องได้แล้ว

“ขออภัยด้วย! เป็นข้าที่ไม่ระวัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองท่าทีของหวงเซียวเซียงไว้ในดวงตา ในใจลอบยิ้มเย็นกับตัวเอง ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีรู้สึกผิด แววตาประกายความละอายใจวาบผ่าน คล้ายกับรู้สึกเสียใจต่อคำพูดของตัวเองอยู่บ้าง

“บางครั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง อย่างไรก็ขอให้คุณหนูหวงอภัยด้วย” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง แววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยความรู้สึกผิดทำให้ในใจของเขายิ่งหน่ายใจกับหวงเซียวเซียง ภรรยาตัวน้อยของเขาใจอ่อนอยู่บ้าง ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นรังแกได้ง่ายๆ

“ไม่เป็นไร!” หวงเซียวเซียงยิ้มสดใส เดาไม่ถูกอยู่บ้างว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีนิสัยอย่างไรกันแน่

“ข้าคืออวี้เมิ่งเหยา!” อวี้เมิ่งเหยากล่าวอย่างเยือกเย็น ใบหน้าของหน้าไม่ปรากฏรอยยิ้มให้เห็นแม้แต่น้อย เป็นความรู้สึกที่คล้ายไม่อยากให้เข้าใกล้ทั้งยังเว้นระยะแสดงให้เห็นว่านางมีความทระนงตนขนาดไหน

“สวัสดีคุณหนูอวี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับอวี้เมิ่งเหยาอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าหญิงสาวเช่นนี้ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกับตัวเองได้ หากซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่ร่าเริงขี้เล่น ทำเรื่องโดยไม่สนใจอะไร บางทีก็คงจะชอบหญิงสาวที่เย็นชาเช่นนี้อยู่ แต่โชคไม่ดีที่ชายผู้นี้ตั้งแต่เด็กก็ได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูที่เข้มงวด มีปัญญารู้คิด ทั้งยังมีภาระสำคัญที่ตนเองต้องรับผิดชอบ ไม่มีเวลาจะมาเล่นเกมละลายน้ำแข็ง ทั้งย่อมไม่อยากเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่แม้แต่ใบหน้าก็ยังหยิ่งผยองในยามที่เหน็ดเหนื่อยเป็นแน่ แต่ว่าแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หดเกร็งไปอยู่บ้าง คล้ายกับว่าถูกความเยือกเย็นและหยิ่งทระนงของนางที่นางจงใจแผ่ออกมาทิ่มแทงไปด้วย

แววตาของซั่งกวนดำดิ่งไปเล็กน้อย เป็นหญิงสาวที่ไม่รู้จักหนักเบาอีกคนหนึ่งแล้ว!

“ข้ามีนามว่าสือหย่าฉี พี่มี่เอ๋อร์งดงามมากจริงๆ!” สือหย่าฉีแย้มยิ้ม ใบหน้าเผยท่าทีเป็นมิตร ทั่วทั้งร่างล้วนแผ่ความร่าเริงออกมา กล่าวอย่างอิจฉา “ได้ยินว่าตั้งนานแล้วว่าพี่เจวี๋ยแต่งภรรยาที่งามกว่าใครในใต้หล้า พอได้เจอก็พบว่าเป็นดังที่เล่าลือจริงๆ!”

พี่เจวี๋ย? ดียิ่ง ล้วนแต่ทำให้ตัวนางหึงขึ้นมา! รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ่อร์ยังคงถ่อมตัวและเรียบง่าย แต่ในดวงตากลับมีความเจ็บปวดอย่างเลือนราง กำมือข้างนั้นที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมแน่น หัวไหล่แข็งทื่อขึ้นมาเช่นกัน กล่าวยิ้มๆ “คุณหนูสือร่าเริงใจกว้าง มิใช่ว่ารูปลักษณ์ก็งดงามพอๆ กันหรอกรึ!”

“พี่มี่เอ๋อร์เข้าใจพูดจริงๆ ข้าล้วนเขินทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว! หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาด้วย” สือหย่าฉีตั้งใจยกมือขึ้นมาคลำแก้ม ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “เหตุใด พี่มี่เอ๋อร์เพิ่งจะมาในยามนี้ล่ะ? พวกเราล้วนรอท่านอยู่ตั้งพักใหญ่!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้มหน้าลง คล้ายว่าไม่รู้ที่จะตอบกลับไปอย่างไรอยู่บ้าง ในใจนั้นรู้สึกตกใจกับความโง่เขลาเบาปัญญาของสือหย่าฉี นางอยากจะพูดอะไร? พูดว่าทำให้ทุกคนรอตัวเองอยู่อย่างนั้นรึ? หรือนางมองไม่ออกว่าตัวเองนั้นเป็นผู้รับผิดชอบอาหารเย็นมื้อนี้ ไม่ได้เหมือนกับพวกนางที่แค่รอกินก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว!

ซั่งกวนเจวี๋ยมองท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในดวงตา ในใจนั้นรู้สึกผิดและสงสาร กล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อรู้จักกันแล้ว ก็อย่าได้เสียเวลาเลย ทานอาหารเย็นกันดีกว่าเถิด!”

“เอาตามที่สามีว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ หันศีรษะไปหาแม่นมฮวา ผู้ที่เข้ามาพร้อมนางและยืนรออยู่ที่หน้าประตูโถงบุปผา “เอาอาหารเข้ามา!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” แม่นมฮวารับคำสั่ง คล้อยหลังก็หมุนกายเดินออกไปจากโถงบุปผา เยี่ยนมี่เอ๋อร์คำนับให้ซั่งกวนเจวี๋ยและหญิงสาวทั้งสามคน ก่อนจะเผยยิ้มไปหยุดอยู่ด้านหน้าทั่วป๋าซู่เยวี่ย “เชิญฮูหยินใหญ่นั่งประจำที่!”

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็รู้ว่าไม่มีละครสนุกอะไรให้ดูแล้ว ผงกศีรษะ ก่อนแม่นมหนิงด้านหลังจะพยุงนางขึ้นทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินยิ้มไปหยุดอยู่ด้านข้างของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ม่านหรูแย้มยิ้มหลีกทางให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนพยุงนาง

“เหตุใดพี่มี่เอ๋อร์ไม่รอพวกเราล่ะ?” สือหย่าฉีกล่าวเสียงเบา แต่กลับทำให้คนทั้งหมดได้ยินอย่างชัดเจน

“หรือคุณหนูสือไม่ทราบถึงธรรมเนียมที่สะใภ้ต้องคอยดูแลแม่สามีประจำที่นั่ง?” ซั่งกวนอวี่ฮ่าวถามขึ้นมาอย่างเรียบเย็น คุณหนูสือผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับนางอย่างไรจริงๆ เขานั้นเคยพบคนโง่มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนที่โง่ถึงขนาดนี้

หา? ในที่สุดสือหย่าฉีก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดไป ใบหน้าแดงขึ้นมา ไม่ได้กล่าวอะไร ก่อนจะหยัดกายขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ผู้ที่ไม่ได้พลาดอย่างอวี้เมิ่งเหยาและหวงเซียวเซียงกลับเผยท่าทีมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

———————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 100 ในที่สุดก็ได้พบกัน

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 100 ในที่สุดก็ได้พบกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยออกไปก็ไม่ได้ย้อนกลับมาเลย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย แม้ว่าหญิงสาวสามคนนั้นอาจจะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ไม่ดี แต่อย่างไรก็ย่อมคิดหาวิธีเหนี่ยวรั้งซั่งกวนเจวี๋ยอย่างแน่นอน และทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คงจะหาวิธีทุกวิธีทางเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกนางเช่นกัน จุดนี้ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นฝ่ายเอ่ยปากให้ซั่งกวนเจวี๋ยเข้าไปหาก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว ถึงกระนั้นก็ยังคงผิดหวังอยู่บ้าง

“สะใภ้ใหญ่ เคราฤาษีนั้นได้จัดการตามคำสั่งของท่านแล้วเจ้าค่ะ ติดไม้ไผ่ไว้ที่ชายคาเรียบร้อยแล้ว ท่านจะเข้าไปดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” ม่านเหอกล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ คล้ายกับจมดิ่งในความคิด แววตานั้นปรากฏความรู้สึกเห็นใจวาบผ่านไป หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยออกไป สะใภ้ใหญ่ก็คล้ายกับจิตใจไม่อยู่กับตัว ทั้งรอยยิ้มก็ถูกพรากจากไปเช่นกัน เอาแต่นั่งในห้องอ่านหนังสือเช่นนี้ไม่ขยับไปไหน

“ก็ดีเหมือนกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ส่งรอยยิ้มให้กับม่านเหอ ทำให้ม่านเหอที่มีความกังวลมาโดยตลอดวางใจได้เล็กน้อย

“สะใภ้ใหญ่ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ พืชต้นนี้ดูแล้วงดงามจริงๆ!” ม่านเหอกล่าวยิ้มๆ “คล้ายกับผ้าม่านที่ถูกถักทอ แต่ว่ามันสามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ดินปลูกจริงๆ หรือเจ้าคะ?”

“ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิตในใต้หล้าล้วนแต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันไปทั้งนั้น เคราฤาษีนี้จึงได้ดูน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้!”เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเคราฤาษีที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อยแล้ว กล่าวทั้งเผยยิ้ม “หลังจากนี้มันจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้ว ทุกวันต้องให้น้ำให้เพียงพอ พรมน้ำครั้งละหนึ่งทั้งเช้าและเย็น พวกจื่อหลัวนั้นก็ขี้ขลาดเสียด้วยสิ!”

“นั่นไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จื่อหลัวนั้นมีงานในมือมากแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มอบให้บ่าวเป็นคนทำเถิดเจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ หลังจากที่ได้เริ่มคุ้นเคยกัน นางก็รู้สึกดีกับม่านเหอไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีความคิดที่จะปีนขึ้นเตียงเจ้านายเพื่อเป็นอนุภรรยา ได้ยินว่านางนั้นมีคนรักที่คบหากันอยู่แล้ว อายุอานามก็พอๆ กัน หลังจากถูกปล่อยออกไปก็คงได้แต่งงานกัน

“ม่านเหอ พรุ่งนี้เจ้าไปที่เรือนไร้เดี่ยว นำเสื้อผ้าและรองเท้าของสามี เอาจำพวกที่ผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว ข้าอยากจะตัดเย็บตัดแต่งเสื้อผ้าให้เขาเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยรอยยิ้มเล็กน้อย นางไม่เชื่อว่าจอมยุทธ์หญิงพวกนั้นจะถือเข็มมาเย็บปักถักร้อยได้หรอก

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอยิ้มตอบ “ฝีมือปักเย็บของสะใภ้ใหญ่ดีขนาดนั้น คุณชายต้องชื่นชอบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”

“เรื่องนี้อย่าให้สามีรู้เป็นอันขาด ข้าอยากจะทำให้เขาประหลาดใจเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวาน ม่านเหอรีบรับคำสั่งอย่างทันที

“สะใภ้ใหญ่ อาหารเย็นได้เตรียมเกือบเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านเข้าไปดูว่าพอเหมาะพอควรแล้วหรือยังเจ้าคะ!” เซียงชุ่ยกล่าวยิ้มๆ หลังจากที่จิงอิ๋งและหลิงหลงไปแล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ จัดการกับเรื่องในบ้าน แต่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรครบกวนความใกล้ชิดของสองสามีภรรยา จึงได้แต่ให้นางดูแลเรื่องครัวชั่วคราวไปก่อน ก่อนที่อาหารจะขึ้นโต๊ะล้วนเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ต้องไปดูถึงห้องครัว ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเซียงชุ่ยที่รับหน้าที่เฝ้าดู

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า เวลานี้ซั่งกวนฮ่าวสองสามีภรรยานั้นคงจะรับรู้แล้วว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ทำเรื่องดีอะไรลงไป เพียงแค่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอย่างไร?

“แม่นมหนิงคนข้างกายของฮูหยินใหญ่กล่าวว่า เย็นวันนี้ยังมีแขกอีกสามท่านจะมาร่วมโต๊ะด้วย กำชับให้ทำอาหารเพิ่มอีกไม่กี่อย่างเจ้าค่ะ!” เซียงชุ่ยบอกเป็นนัย นางไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้เรื่องนี้หรือยัง ยิ่งไปกว่านั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังเรียกตัวซั่งกวนเจวี๋ยไปจากที่นี่อีก

“ข้ารู้แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นแข็งทื่อไปอยู่บ้าง นางถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้ากับจื่อ หลัวที่เดินเข้ามา พาม่านเหอและเซียงชุ่ยไปยังห้องครัว แต่หลังจากที่กลับมาจากห้องครัวจื่อหลัวก็พาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปเปลี่ยนชุดใหม่ทันที

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปทันเวลาพอดี นางยึดตามเวลาปกติในช่วงนี้ เมื่อเห็นพวกสาวใช้จัดวางเครื่องชามอย่างเรียบร้อยแล้ว แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น ก็ค่อยๆ เดินไปยังโถงบุปผา…กฎของตระกูลซั่งกวน ก่อนรับประทานอาหาร ยามที่ยังไม่ได้ไปเชิญก็ไม่อาจขึ้นโต๊ะได้ ทั้งไม่อาจรอที่ห้องอาหารได้ด้วย แต่ปกติก็มักจะนั่งรอแถวข้างๆ โถงบุปผา พูดคุยอะไรกันไปก่อน

ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไป คนของตระกูลซั่งกวนก็ได้กระจัดกระจายนั่งในโถงบุปผาแล้ว ซั่งกวนฮ่าวกำลังพูดคุยกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย มีซั่งกวนพิงถิงนั่งอยู่ด้านข้างนาง แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงกำลังตำหนิซั่งกวนอิงด้วยใบหน้าที่ท้อใจอยู่ ซั่งกวนอวี่ฮ่าวนั่งฟังอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ซั่งกวนอวี่ไข่กลับเผยใบหน้ายินดีที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ และที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกขัดหูขัดตาก็เป็นซั่งกวนเจวี๋ยที่กำลังถูกหญิงสาวทั้งสามห้อมล้อมอยู่

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งจะเข้ามา ทั่วทั้งโถงบุปผาก็เกิดชะงักขึ้นในชั่วพริบตา คล้อยหลังทุกคนต่างก็พร้อมใจหยุดโดยไม่ได้นัดหมาย หันไปมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นตาเดียว…

“อาหารเย็นจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เชิญฮูหยินใหญ่เลยเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้หยุดชะงักอันใด ยังคงทำเหมือนเช่นวันปกติ เดินไปยังผู้อาวุโสที่มีอายุมากที่สุดของตระกูลซั่งกวน ค่อยๆ คำนับ ก่อนจะกล่าวประโยคนั้นเหมือนดั่งทุกวัน

“มี่เอ๋อร์ อาหารเย็นไม่ต้องรีบหรอก วันนี้มีแขกมาสามท่าน เจ้ามาทำความรู้จักสักหน่อยสิ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างมีเมตตา “ภายหลังก็ล้วนจะเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ไม่อาจทำเป็นคนแปลกหน้าไปได้!”

พี่น้อง? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเย็นในใจ ทว่าใบหน้ายังคงเผยท่าทีนอบน้อม แววตาประกายความเศร้าเล็กน้อย กล่าวรับคำไป “ตามที่ฮูหยินใหญ่ว่าเจ้าค่ะ!”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเค้นเสียงหึออกมา นางไม่พอใจที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรับหญิงสาวทั้งสามที่ถูกจงใจลืมนั้นกลับมาอย่างกะทันหัน จึงกล่าวอย่างเรียบเย็น “มี่เอ๋อร์ ทั้งสามคนล้วนมีอายุมากกว่าเจ้า เป็นพี่เจ้ากันทั้งนั้น อย่าได้ละเลยเชียว”

“มี่เอ๋อร์เข้าใจแล้ว ขอท่านแม่วางใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คำนับให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเช่นกัน หลังจากนั้นจื่อหลังก็ค่อยๆ ประคองนางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซั่งกวนเจวี๋ยและหญิงสาวทั้งสามคน เห็นใบหน้าที่รู้สึกผิดอยู่บ้างของซั่งกวนเจวี๋ย นางก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “สามี ท่านยังไม่แนะนำพี่สาวทั้งสามคนให้มี่เอ๋อร์เลย?”

สือหย่าฉีและอวี้เมิ่งเหยายังไม่ทันฟังออก แต่หวงเซียวเซียวกลับตกใจไปแล้ว พี่สาว? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นภรรยาเอก ภรรยารองหรืออนุภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ยไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมากล้วนต้องเรียกนางว่าพี่ ยามนี้นางกลับชิงเรียกเช่นนี้ขึ้นก่อน หรือกำลังจะบอกเป็นนัยว่าไม่ยินดีที่จะรับพวกนาง?

“ตัวน้องนามว่าหวงเซียวเซียงยินดีที่ได้พบสะใภ้คนใหม่!” หวงเซียวเซียงเป็นฝ่ายหยัดกายขึ้นก่อน ประสานมือคารวะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อันดับแรกก็วางตัวเองไว้ในตำแหน่งน้องเสียก่อน นางไม่เชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังจะสามารถพูดพี่สาวน้องสาวอะไรนั่นได้อีก

“สะใภ้คนใหม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสีหน้าลำบากใจอยู่เลือนราง แต่ก็รีบปกปิดอย่างรวดเร็ว ฝืนยิ้มกล่าว “คุณหนูหวง คำเรียกนี้นับว่าแปลกใหม่จริงๆ ได้ยินว่าคุณหนูหวงนั้นบริสุทธิ์สดใส งดงามอ่อนหวาน วันนี้ได้พบ ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง! คุณหนูหวงได้มาเป็นแขกของที่นี่ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง หากมีอะไรที่ต้องการ ก็ขอให้คุณหนูเซียวเซียงอย่าได้เกรงใจ”

ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นสีหน้าที่ลำบากใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เรียกว่าอะไรนะ สะใภ้คนใหม่? หรือซั่งกวนเจวี๋ยนั้นจะมีสะใภ้คนเก่าอะไรได้อีก คำพูดของหวงเซียวเซียงเสียมารยาทเกินไปแล้ว

หวงเซียวเซียงตกตะลึง นางไม่เคยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในสายตามาก่อน ก็แค่หญิงสาวต่ำต้อยในตระกูลพ่อค้าคนหนึ่งไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะเกิดมาหน้าตางดงาม แต่นอกจากนั้นนางจะมีอะไรได้อีก? แม่ของนางซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฮูหยินซั่งกวนก็ตายไปตั้งนานแล้ว ไม่อาจหนุนหลังให้นางได้ ต่อหน้าทั่วป๋าซูเยวี่ยนางก็เรียกเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ได้คิดว่าไม่มีอะไรถูกตรงไหน แต่ยามนี้มาถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจพูดออกมา กลับทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“คุณหนูหวง ภายหลังไม่อาจเรียกเช่นนี้ได้อีก หากไม่รู้ยังจะคิดว่ามี่เอ๋อร์ของพวกเราเป็นภรรยาใหม่ที่แต่งเข้ามาทีหลังของเจวี๋ยเอ๋อร์ ฟังแล้วไม่สบายหูเอาเสียเลย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเยือกเย็น นางให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่นี่อยู่ตลอด พึงพอใจกับปฏิกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก นี่จึงเรียกว่าหัวไวหลักแหลม ประโยคเดียวก็จับคำพูดผิดของอีกฝ่ายได้อยู่หมัด ประโยคที่ว่า ‘คุณหนูหวง’ นั้นก็หลีกเลี่ยงคำเรียกพี่น้องได้แล้ว

“ขออภัยด้วย! เป็นข้าที่ไม่ระวัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองท่าทีของหวงเซียวเซียงไว้ในดวงตา ในใจลอบยิ้มเย็นกับตัวเอง ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีรู้สึกผิด แววตาประกายความละอายใจวาบผ่าน คล้ายกับรู้สึกเสียใจต่อคำพูดของตัวเองอยู่บ้าง

“บางครั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง อย่างไรก็ขอให้คุณหนูหวงอภัยด้วย” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง แววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยความรู้สึกผิดทำให้ในใจของเขายิ่งหน่ายใจกับหวงเซียวเซียง ภรรยาตัวน้อยของเขาใจอ่อนอยู่บ้าง ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นรังแกได้ง่ายๆ

“ไม่เป็นไร!” หวงเซียวเซียงยิ้มสดใส เดาไม่ถูกอยู่บ้างว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีนิสัยอย่างไรกันแน่

“ข้าคืออวี้เมิ่งเหยา!” อวี้เมิ่งเหยากล่าวอย่างเยือกเย็น ใบหน้าของหน้าไม่ปรากฏรอยยิ้มให้เห็นแม้แต่น้อย เป็นความรู้สึกที่คล้ายไม่อยากให้เข้าใกล้ทั้งยังเว้นระยะแสดงให้เห็นว่านางมีความทระนงตนขนาดไหน

“สวัสดีคุณหนูอวี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับอวี้เมิ่งเหยาอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าหญิงสาวเช่นนี้ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกับตัวเองได้ หากซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่ร่าเริงขี้เล่น ทำเรื่องโดยไม่สนใจอะไร บางทีก็คงจะชอบหญิงสาวที่เย็นชาเช่นนี้อยู่ แต่โชคไม่ดีที่ชายผู้นี้ตั้งแต่เด็กก็ได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูที่เข้มงวด มีปัญญารู้คิด ทั้งยังมีภาระสำคัญที่ตนเองต้องรับผิดชอบ ไม่มีเวลาจะมาเล่นเกมละลายน้ำแข็ง ทั้งย่อมไม่อยากเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่แม้แต่ใบหน้าก็ยังหยิ่งผยองในยามที่เหน็ดเหนื่อยเป็นแน่ แต่ว่าแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หดเกร็งไปอยู่บ้าง คล้ายกับว่าถูกความเยือกเย็นและหยิ่งทระนงของนางที่นางจงใจแผ่ออกมาทิ่มแทงไปด้วย

แววตาของซั่งกวนดำดิ่งไปเล็กน้อย เป็นหญิงสาวที่ไม่รู้จักหนักเบาอีกคนหนึ่งแล้ว!

“ข้ามีนามว่าสือหย่าฉี พี่มี่เอ๋อร์งดงามมากจริงๆ!” สือหย่าฉีแย้มยิ้ม ใบหน้าเผยท่าทีเป็นมิตร ทั่วทั้งร่างล้วนแผ่ความร่าเริงออกมา กล่าวอย่างอิจฉา “ได้ยินว่าตั้งนานแล้วว่าพี่เจวี๋ยแต่งภรรยาที่งามกว่าใครในใต้หล้า พอได้เจอก็พบว่าเป็นดังที่เล่าลือจริงๆ!”

พี่เจวี๋ย? ดียิ่ง ล้วนแต่ทำให้ตัวนางหึงขึ้นมา! รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ่อร์ยังคงถ่อมตัวและเรียบง่าย แต่ในดวงตากลับมีความเจ็บปวดอย่างเลือนราง กำมือข้างนั้นที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมแน่น หัวไหล่แข็งทื่อขึ้นมาเช่นกัน กล่าวยิ้มๆ “คุณหนูสือร่าเริงใจกว้าง มิใช่ว่ารูปลักษณ์ก็งดงามพอๆ กันหรอกรึ!”

“พี่มี่เอ๋อร์เข้าใจพูดจริงๆ ข้าล้วนเขินทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว! หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาด้วย” สือหย่าฉีตั้งใจยกมือขึ้นมาคลำแก้ม ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “เหตุใด พี่มี่เอ๋อร์เพิ่งจะมาในยามนี้ล่ะ? พวกเราล้วนรอท่านอยู่ตั้งพักใหญ่!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้มหน้าลง คล้ายว่าไม่รู้ที่จะตอบกลับไปอย่างไรอยู่บ้าง ในใจนั้นรู้สึกตกใจกับความโง่เขลาเบาปัญญาของสือหย่าฉี นางอยากจะพูดอะไร? พูดว่าทำให้ทุกคนรอตัวเองอยู่อย่างนั้นรึ? หรือนางมองไม่ออกว่าตัวเองนั้นเป็นผู้รับผิดชอบอาหารเย็นมื้อนี้ ไม่ได้เหมือนกับพวกนางที่แค่รอกินก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว!

ซั่งกวนเจวี๋ยมองท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในดวงตา ในใจนั้นรู้สึกผิดและสงสาร กล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อรู้จักกันแล้ว ก็อย่าได้เสียเวลาเลย ทานอาหารเย็นกันดีกว่าเถิด!”

“เอาตามที่สามีว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ หันศีรษะไปหาแม่นมฮวา ผู้ที่เข้ามาพร้อมนางและยืนรออยู่ที่หน้าประตูโถงบุปผา “เอาอาหารเข้ามา!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” แม่นมฮวารับคำสั่ง คล้อยหลังก็หมุนกายเดินออกไปจากโถงบุปผา เยี่ยนมี่เอ๋อร์คำนับให้ซั่งกวนเจวี๋ยและหญิงสาวทั้งสามคน ก่อนจะเผยยิ้มไปหยุดอยู่ด้านหน้าทั่วป๋าซู่เยวี่ย “เชิญฮูหยินใหญ่นั่งประจำที่!”

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็รู้ว่าไม่มีละครสนุกอะไรให้ดูแล้ว ผงกศีรษะ ก่อนแม่นมหนิงด้านหลังจะพยุงนางขึ้นทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินยิ้มไปหยุดอยู่ด้านข้างของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ม่านหรูแย้มยิ้มหลีกทางให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนพยุงนาง

“เหตุใดพี่มี่เอ๋อร์ไม่รอพวกเราล่ะ?” สือหย่าฉีกล่าวเสียงเบา แต่กลับทำให้คนทั้งหมดได้ยินอย่างชัดเจน

“หรือคุณหนูสือไม่ทราบถึงธรรมเนียมที่สะใภ้ต้องคอยดูแลแม่สามีประจำที่นั่ง?” ซั่งกวนอวี่ฮ่าวถามขึ้นมาอย่างเรียบเย็น คุณหนูสือผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับนางอย่างไรจริงๆ เขานั้นเคยพบคนโง่มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนที่โง่ถึงขนาดนี้

หา? ในที่สุดสือหย่าฉีก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดไป ใบหน้าแดงขึ้นมา ไม่ได้กล่าวอะไร ก่อนจะหยัดกายขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ผู้ที่ไม่ได้พลาดอย่างอวี้เมิ่งเหยาและหวงเซียวเซียงกลับเผยท่าทีมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

———————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+