เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 143 เดาความคิดในใจ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 143 เดาความคิดในใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สองวันที่ทะเลสาบลี่หูนับว่าสมบูรณ์แบบเกินคาด วันแรกเต็มไปด้วยความสนุกสนาน วันที่สองก็ทำตามธรรมเนียมแบบปีที่ผ่านมา เพียงแต่ถามตอบพูดคุยอย่างสนิทสนมมากขึ้นหน่อย ทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นวันที่สามยามเช้าตรู่ที่ต้องจากทะเลสาบลี่หูไป ต่างก็พากันอาลัยอาวรณ์ทั้งยังสงสัยอยู่บ้างว่า ทะเลสาบโม่โฉวและสระบัวในปีนี้มีกิจกรรมอะไรที่แปลกใหม่หรือไม่

“พี่สะใภ้เจวี๋ย ที่ทะเลสาบโม่โฉวมีอะไรสนุกหรือไม่?” ฉีอวี่เจวียนดูเหมือนจะเอาแต่เดินตามอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไป เพียงแต่เวลาสั้นๆ สองวัน นางกลับคุ้นเคยกับพิงถิงขึ้นไม่น้อย ภายหลังทั้งสองคนก็ล้วนไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำให้พิงถิงนั้นเกิดความซาบซึ้งต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้นไปอีก ในยามที่พบหน้าก็แสดงความสนิทสนมขึ้นมามาก ทำให้ทั่วป๋าฉินซินโกรธเคืองจนกัดฟันแน่น

“ทะเลสาบโม่โฉวยังคงเหมือนปีที่ผ่านมา เที่ยวเล่นชมดอกบัว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดยังไม่ทันจบ เสียงทอดถอนหายใจอย่างผิดหวังของพวกคุณหนูก็ดังขึ้นต่อทันที แม้ว่างานชมดอกบัวจะสนุกกว่าปีก่อนๆ มาก แต่เป็นเพราะรู้ว่าทะเลสาบโม่โฉวยังคงเป็นเหมือนเดิมจึงได้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

“แต่ว่าข้าได้เปลี่ยนรายการอาหารที่ทะเลสาบโม่โฉวใหม่ วันนี้ยังเหมือนเดิม แต่พรุ่งนี้สามารถเลือกรายการอาหารเดิมเป็นหลัก ทั้งยังสามารถลองชิมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบโม่โฉวได้ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “อาหารป่าและอาหารทะเลชั้นเลิศคาดว่าคงจะไม่น่าสนใจหรือถูกปากพวกเจ้าเท่าไรแล้ว ดังนั้นปีนี้ ข้าจึงเตรียมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบโม่โฉวไว้ให้พวกเจ้าด้วย อย่างเช่น ปลากะพงน้ำจืดนึ่ง ปลาวุ้นทอดกรอบ กุ้งขาวเต้น ยำหอยมุกน้ำจืด ทั้งยังมีดอกบัว ใบบัว เม็ดบัวและกระจับด้วย ให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสที่ไม่อาจสัมผัสดั่งเช่นวันปกติได้!”

“ข้าชอบอันนี้!” ท่าทีของชิงหวั่นดีกว่าวันที่มาขึ้นมาก นางยืนด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวอย่างเรียบเย็น “อาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้ทำให้คนอยากลิ้มรสมากกว่าพวกรังนกหอยเป๋าฮื้อเสียอีก ทั้งยังมีความแปลกใหม่ พวกน้องๆ ล้วนเบื่อหน่ายที่ใช้รังนกมาล้างปากแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเคยลิ้มลองอาหารที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ ได้ลองอะไรใหม่ๆ เสียหน่อยก็นับเป็นเรื่องดี”

“กล่าวมาเช่นนี้ แล้วหากพวกเรากินอาหารบ้านๆ เหล่านั้นไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? หรือจะให้ท้องพวกเรารับความไม่เป็นธรรมไป?” ลูกอนุภรรยาคนหนึ่งของตระกูลทั่วป๋าเรียกร้องความเป็นธรรมภายใต้การบงการของทั่วป๋าฉินซินขึ้นมา

“อยู่ในตระกูลซั่งกวนจะปล่อยให้พวกน้องๆ รับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสีหน้าเยือกเย็นมองนาง รอจนใบหน้านางปรากฏความอึดอัดขึ้นมาจึงค่อยๆ กล่าว “ข้าเตรียมรายการอาหารให้พวกน้องๆ สองชุด ชุดแรกเป็นรายการอาหารเดิมเหมือนปีก่อนๆ อีกชุดเป็นรายการอาหารแปลกใหม่ที่มีเอกลักษณ์ พวกน้องๆ สามารถเลือกตามความชอบของตนได้ ไม่อาจทำให้พวกน้องๆ ได้รับความไม่เป็นธรรมได้หรอกกระมัง?”

“พี่สะใภ้เจวี๋ยคิดได้รอบคอบ คนบางคนนั้นคิดไปเองว่าคนอื่นจะเหมือนเรา ตัวเองโง่เขลาเบาปัญญาก็คิดไปเองอีกว่าคนอื่นจะสมองหมู!” ฉีอวี่เจวียนมองคุณหนูตระกูลทั่วป๋าเหล่านั้นอย่างเรียบเย็น ใบหน้าของพวกนางล้วนเผยท่าทีลำบากใจอยู่เลือนราง กระนั้นกลับไม่กล้าพูดอันใดออกมา

“เอาเถิด ทุกคน เรือสำราญจะเข้าฝั่งแล้ว ระวังกันด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดว่าสองวันมานี้ตัวเองได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก พวกคุณหนูหลายตระกูลที่มางานครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีฐานะสูงส่งเหมือนพวกคุณหนูที่มาในยามแต่งงานครานั้น แต่ก็กว้างขวาง พวกนางไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนแปดตระกูลใหญ่ แต่ยังมีหลายตระกูลที่ด้อยกว่าแปดตระกูลใหญ่ด้วยซ้ำ แต่คุณหนูเหล่านั้นล้วนรู้จักความเหมาะสม แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นออกหน้าถึงขนาดนั้น แต่แค่ไม่ได้ทำขายหน้าก็เพียงพอแล้ว เวลาสองวันสั้นๆ พวกคุณหนูจำนวนเกือบครึ่ง ในยามที่พบนางก็เผยท่าทีเป็นมิตรและนับถือ สำหรับนางแล้ว การเตรียมการณ์ในช่วง เวลาที่ผ่านมานี้ไม่นับว่าเสียเปล่าเลยจริงๆ

“ข้านั่งรถม้าไปคันเดียวกับเจ้าได้หรือไม่?” ชิงหวั่นรู้สึกว่าตนนั้นมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับนาง โดยเฉพาะยังมีเรื่องที่อยากจะขอให้นางช่วย

“ยินดีอย่างยิ่ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มทั้งพยักหน้า หลังจากครั้งก่อนที่ทั้งสองคุยกันก็ไม่มีโอกาสได้คุยตามลำพังและลงลึกเลย นางชื่นชอบผู้หญิงที่มีนิสัยห้าวหาญเช่นนี้อยู่บ้าง แม้ว่านิสัย ‘ยอมเป็นหยกแหลกละเอียด ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[1]’ ของนาง จะเป็นประเภทที่มี่เอ๋อร์ไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังคงชื่นชอบนิสัยดุดันเช่นนั้นของมู่หรงชิงหวั่นอยู่ดี

“พี่สะใภ้เจวี๋ย…” ชิงอีร้องออกมาอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง แม้ว่าชิงหวั่นจะปกติ และก็สงบลงมากแล้ว แต่นางก็ยังคงเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอยู่ดี

“ไม่เป็นไร เชื่อข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง ส่งท่าทีปลอบใจให้นาง “รับรองได้ว่าข้าจะไม่เอาคุณหนูที่สวยที่สุดของตระกูลมู่หรงของพวกเจ้าไปขายกลางทางอย่างแน่นอน!”

“หากเจ้าหาตระกูลซื้อตัวข้าได้ ก็แล้วแต่เจ้าเถิด อย่างไร…” ชิงหวั่นเผยดวงตาสุกสกาว แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “ข้าไม่เพียงแต่จะยอมให้เจ้าขายดีๆ แต่ยังจะให้ค่าตอบแทนเจ้าด้วย”

“แต่ว่า…” ชิงอียังคงลังเลอยู่บ้าง และในเวลานี้ เรือสำราญก็สั่นไหวเล็กน้อย ขัดคำพูดที่นางกำลังจะกล่าวพอดี เมื่อมองไปด้านหน้า ก็พบว่าเข้าฝั่งแล้ว

“เอาเถิด ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก ข้าไปคุยกับพี่ใหญ่ก็น่าจะพอแล้ว!” ชิงหวั่นรู้ว่าพวกนางก็ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ ถอนหายใจออกมา ตัดสินใจจะไปคุยกับมู่หรงปั๋วเย่ในเรื่องนี้

“พี่ใหญ่!” เพิ่งจะเข้าฝั่ง ชิงหวั่นก็ลงจากเรือเป็นคนแรก คุณหนูที่อยู่เต็มเรือล้วนไม่มีใครอยากจะแย่งชิง ดังนั้นนางจึงลงเรือไปอย่างสบายๆ ทั้งอยู่ด้านหน้าเรือสำราญก็มองเห็นมู่หรงปั๋วเย่ที่ดูเหมือนว่าเขากำลังรอนางอยู่ทันที และที่ทำให้นางแปลกใจก็คือซั่งกวนอวี๋ฮ่าวที่ช่วงนี้มักจะตามติดราวกับวิญญาณ ทั้งดึกดื่นมืดค่ำก็ยังไปถามนางที่ห้องว่าคิดได้แล้วหรือยัง ยามนี้เขากำลังอยู่ด้านข้างมู่หรงปั๋วเย่ ทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันบางอย่าง ดูคล้ายกับสนุกออกรสเป็นอย่างมาก นางสองจิตสองใจอยู่เล็กน้อย พี่ใหญ่ของตนเหตุใดจึงมีเรื่องพูดคุยกับเจ้าเด็กนั่นได้?

“สนุกหรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่ยังคงอบอุ่นและมีเมตตากับนาง เมื่อเห็นว่าสีหน้านางดูดีไม่น้อย ใบหน้าก็เผยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“สนุกมาก! ข้าอยากจะนั่งรถม้าคันเดียวกับน้องสะใภ้เจวี๋ย จึงตั้งใจมาบอกกล่าวกับพี่ใหญ่และน้องเจวี๋ย!” ชิงหวั่นไม่ได้สนใจเจ้าเด็กที่ใช้สายตามองตนอย่างหลงใหล แม้หางตาก็ไม่แลมองเขาสักนิด…แน่นอนว่า นี่เป็นสิ่งที่นางคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว

“ทำไมล่ะ?” มู่หรงปั๋วเย่ปรับน้ำเสียงของตนเองกล่าวถามอย่างนุ่มนวลอยู่บ้าง

“น้องสะใภ้เจวี๋ยรู้จักกับอาจารย์ ข้าไม่ได้พบอาจารย์มานานแล้ว จึงคิดอยากจะถามข่าวคราวช่วงนี้ของอาจารย์จากนาง” ชิงหวั่นกล่าวอย่างอ่อนโยน “หากพี่ใหญ่ไม่วางใจ จะขี่ม้ากับน้องเจวี๋ยตามอยู่ด้านข้างรถม้าก็ได้”

“พี่ใหญ่มู่หรงจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” อวี่ฮ่าวเผยยิ้มอย่างสนิทสนมให้มู่หรงปั๋วเย่ “อย่างไรให้ข้าตามจะดีกว่า ข้าไม่เป็นที่สะดุดตา ใครมองก็ล้วนละเลยทั้งนั้น!”

เจ้าคนจอมกวนนี่! ชิงหวั่นถลึงตามองอวี่ฮ่าวไปทีอย่างหงุดหงิด ช่วงนี้นางถูกเขากวนจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว เขายังคิดจะทำอะไรอีก?

“ก็ดี ข้าจะบอกกล่าวกับน้องเจวี๋ยเอง หากเขาไม่ขัดอันใดก็ต้องรบกวนอวี่ฮ่าวแล้ว!” หลังจากอยู่ด้วยกันมาสองวัน

มู่หรงปั๋วเย่จึงพบว่าลูกอนุภรรยาผู้ที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตนมาโดยตลอดคนนี้ก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีหลายครั้งที่ทำตัวเป็นเด็กอยู่บ้าง แต่เด็กคนนี้ย่อมเป็นดั่งมังกรเจียวหลงที่รอรับสายน้ำ หากได้โอกาสที่เหมาะสมแล้ว ก็ย่อมต้องโผถลาบินไปบนนภาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเกรงใจอยู่ไม่น้อย

“อย่างไรก็ให้ข้าไปคุยกับพี่ใหญ่ดีกว่า” อวี่ฮ่าวดึงเรื่องนี้กลับมา กล่าวยิ้มๆ “หากเป็นพี่ใหญ่มู่หรงเอ่ยปาก สุดท้ายแล้วก็ดูไม่เหมาะอยู่บ้าง ให้ข้าไปถามความต้องการพี่สะใภ้ก่อน แล้วไปคุยกับพี่ใหญ่อีกทีก็คงจะเหมาะสมกว่า!”

“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว” มู่หรงปั๋วเย่ผงกศีรษะ ที่จริงแล้ว หากเป็นเขาเอ่ยปาก ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมยากที่จะกล่าวปฏิเสธ ทว่าก็คงรู้สึกไม่สบายอยู่ภายในใจ อวี่ฮ่าวยินยอมจะช่วยเหลือ นับเป็นเรื่องดีไม่น้อย

“พี่ใหญ่ไฉนจึงได้สนิทสนมกับเด็กคนนี้ถึงเพียงนี้ แปลกเกินไปแล้ว” ชิงหวั่นอดกล่าวหยั่งเชิงออกมาไม่ได้ เจ้าคนซื่อบื้อคนนั้นคงไม่ใช่ว่าพูดคุยอะไรไร้สาระกับพี่ใหญ่ไปแล้วหรอกนะ!

“ชิงหวั่น วันหลังพบอวี่ฮ่าวอย่าได้พูดอะไรที่ไม่มีมารยาทเช่นนี้” มู่หรงปั๋วเย่เผยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวอย่างราบเรียบ “ตระกูลซั่งกวนสองรุ่นมานี้มีทายาทไม่มาก ทุกคนล้วนมีฐานะสูงส่งมากกว่าคนอื่นๆ ในตระกูล แม้ว่าอวี่ฮ่าวจะอายุน้อย แต่ก็เป็นเด็กที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ต้อนรับขับสู้คนก็รู้ความเป็นอย่างดี ความคิดความอ่านล้วนไม่อ่อนด้อย รออีกสักสองปี ย่อมประกายความโดดเด่นออกมาแน่นอน!”

เขาเนี่ยนะ? เจ้าเด็กที่เอาแต่ถามตัวเองดึกดื่นว่าจะแต่งงานหรือไม่คนนั้น? เด็กลามกที่เจอตัวเองก็มักจะมือไม้อยู่ไม่สุข พอตัวเองขัดขืนนิดหน่อยก็กล่าวข่มขู่? ดูท่าแล้ว สายตาพี่ใหญ่คงจะมีปัญหาจริงๆ!

“น่าเสียดาย! ตระกูลมู่หรงไม่มีหญิงสาวลูกภรรยาเอกที่อายุใกล้เคียงกับเขา มิเช่นนั้น ตกลงหมั้นหมายกับเขาให้เร็วหน่อยก็ย่อมเป็นเรื่องดี!” มู่หรงปั๋วเย่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงลูกอนุภรรยาที่โดดเด่นที่ท่านแม่รับเลี้ยงอยู่ภายใต้ชื่อเหล่านั้น จากนั้นก็สร้างโอกาสให้พวกเขาพบเจอกันบ้าง ถ้าหากมีการพัฒนา ตกลงหมั้นหมายกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“พี่ใหญ่ เขาเป็นเพียงแค่ลูกอนุภรรยา!” ชิงหวั่นน้อยครั้งที่จะพูดถึงเรื่องชาติกำเนิดของคนเช่นนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายคืออวี่ฮ่าวก็คิดอยากจะหาข้อบกพร่องขึ้นมาบ้าง

“ควรจะพูดว่ายังดีที่เขาเป็นลูกอนุภรรยา มิเช่นนั้น ตระกูลซั่งกวนที่มีลูกภรรยาเอกคนโตอย่างน้องเจวี๋ยที่โดดเด่นถึงขนาดนั้น หากยังมีลูกภรรยาเอกที่เป็นดั่งคมในฝักและหูตากว้างไกลอีกคน ก็คงจะไม่ใช่ความโชคดีแต่เป็นหายนะมากกว่า!”

มู่หรงปั๋วเย่คิดกลับกันมากกว่า ลูกอนุภรรยาที่มีความโดดเด่นกว่าภรรยาเอกไม่ถือเป็นเรื่องดี แต่สำหรับตระกูลใหญ่ทั้งแปดที่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อผู้สืบทอดแล้วกลับไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป แต่ลูกภรรยาเอกที่มีความโดดเด่นกว่าลูกชายภรรยาเอกคนโตกลับนับเป็นโชคร้ายของตระกูล

“เขาดีถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ชิงหวั่นเค้นเสียงขึ้นจมูก

“ข้าคิดว่าไม่เลวเลย! เอ๋ ไม่ถูกสิ ข้ารู้จักเขามาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยตระหนักถึงตัวตนของเขามาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับตั้งใจดึงดูดความสนใจจากข้า…ชิงหวั่น ช่วงนี้พวกชิงอีได้ไปมาหาสู่กับอวี่ฮ่าวหรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่จู่ๆ ก็สมองแล่นวาบ อวี่ฮ่าวที่แต่ไหนแต่ไรก็ปรารถนาจะไม่มีตัวตนต่อหน้าผู้คน แต่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าตน ถึงขนาดตั้งใจเอาอกเอาใจอยู่บ้าง หากจะบอกว่าไม่มีเรื่องอันใดคงเป็นไปไม่ได้ และสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือเขาชอบพอกับคุณหนูตระกูลมู่หรงที่มาในงานครั้งนี้

ชิงหวั่นใจเต้นตึกตัก พยายามรักษาใบหน้าให้เรียบนิ่งอย่างสุดกำลัง กล่าวอย่างเรียบเย็น “พี่ใหญ่ไม่ควรถามเรื่องพวกนี้กับข้า ข้าเป็นคนที่ไม่มีอิสระมากที่สุด จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกน้องๆ ไปไหนกันมาบ้าง?”

“ชิงหวั่น…” มู่หรงปั๋วเย่มองนางอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ไม่อยากให้เจ้าเป็นอิสระ พี่ใหญ่ก็ลำบากใจ…”

ลำบากใจอันใด? กังวลว่าตัวเองจะคลุ้มคลั่งเป็นบ้าขึ้นมามากกว่าไม่ว่า! ชิงหวั่นมองใบหน้าที่เจ็บปวดอยู่บ้างของมู่หรงปั๋วเย่อย่างขุ่นเคือง แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในตระกูลมู่หรงคล้ายกับจะมีเพียงพ่อและพี่ชายสองคนเท่านั้นที่เป็นห่วงตน ก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ “ข้ารู้ เพียงแต่ข้ายังคิดไม่กระจ่างเท่านั้น…พี่ใหญ่ ข้าต้องการเวลาเล็กน้อย รอหลังจากข้าผ่านด่านของตัวเองได้แล้ว ข้าจะไปพูดคุยกับท่านดีๆ ตกลงหรือไม่?”

“พี่ใหญ่จะรอเจ้า!” มู่หรงปั๋วเย่คล้ายกับเห็นประกายแสงแห่งความหวัง ขอเพียงแค่นางยอมที่จะครุ่นคิด ยอมที่จะเดินออกมาจากทางที่ปิดตายนั้นก็ดีแล้ว เรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหา

“แต่ว่า เหตุใดพี่ใหญ่ถึงให้ข้ามาลี่โจวล่ะ?” ชิงหวั่นสงสัยอย่างมากว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะเป็นคนที่เขาขอให้มาชี้ทางให้ตนเอง

“งานชมดอกบัวเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง อยากให้เจ้าออกมาเปิดหูเปิดตา ผ่อนคลายจิตใจก็เท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือข้าอยากเห็นว่างานประลองยุทธ์ในปีนี้จะสามารถเจอคนรู้จักได้หรือไม่!” มู่หรงปั๋วเย่เปิดเผยออกมาเล็กน้อย

“ลู่เหยาหรือ?” ชิงหวั่นแผ่บรรยากาศเยือกเย็นโดยไม่รู้ตัว แม้รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นตัวเองที่บุ่มบ่าม ไม่ควรจะโทษลู่เหยา แต่ก็ยังคงข่มความเกลียดชังไว้ไม่ไหวอยู่ดี

“ไม่ใช่” มู่หรงปั๋วเย่ถอนหายใจเล็กน้อย “เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวที่แตกต่างจากคนอื่น ข้าคิดว่าแม้เจ้าจะไม่อาจเป็นเพื่อนกับนางได้ ขอเพียงแค่เจ้าได้พูดคุยกับนางบ้าง ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้าแล้ว!”

“เป็นหญิงสาวรู้ใจของพี่ใหญ่อย่างนั้นรึ?” ชิงหวั่นถามอย่างตรงๆ อยู่บ้าง

“ไม่ใช่” มู่หรงปั๋วเย่รู้ว่าตัวเองนั้นใจร้อนบุกจนเกินไป จึงถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้น แม้แต่ฐานะสหายก็ล้วนไม่รู้ว่าจะสามารถนับได้หรือไม่ แต่นางมองโลกในแง่ดีเป็นอย่างมาก มองคนมองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งยังแตกต่างจากคนอื่นๆ ข้าหวังให้เจ้าได้เรียนรู้มุมมองในการดำรงชีวิตที่แตกต่างออกไปจากนาง!”

“ข้าไม่อยากพบ” ชิงหวั่นมีนิสัยต่อต้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ไม่อยากพบใครกัน” อวี่ฮ่าวย้อนกลับมาได้ยินเพียงประโยคนี้ ก็กล่าวยิ้มๆ “กว่าข้าจะทำให้พี่ใหญ่พยักหน้าได้ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลย พี่สะใภ้ก็นั่งรอท่านอยู่บนรถม้าแล้วเช่นกัน ท่านอย่าบอกนะว่าไม่อยากจะนั่งรถม้าคันเดียวกับพี่สะใภ้อีก”

“ข้าไปก่อนล่ะ” ชิงหวั่นหมุนกายจากไป อวี่ฮ่าวมองมู่หรงปั๋วเย่ที่ยิ้มขมขื่นอย่างมึนงง พยายามอดทนข่มกลั้นความอยากรู้ไว้ลึกภายในใจ…

———————————-

[1] สำนวนยอมเป็นหยกแหลกละเอียด ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ หมายความว่ายอมยึดมั่นในอุดมการณ์ แม้จะทำให้ตัวตายก็ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 143 เดาความคิดในใจ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 143 เดาความคิดในใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สองวันที่ทะเลสาบลี่หูนับว่าสมบูรณ์แบบเกินคาด วันแรกเต็มไปด้วยความสนุกสนาน วันที่สองก็ทำตามธรรมเนียมแบบปีที่ผ่านมา เพียงแต่ถามตอบพูดคุยอย่างสนิทสนมมากขึ้นหน่อย ทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นวันที่สามยามเช้าตรู่ที่ต้องจากทะเลสาบลี่หูไป ต่างก็พากันอาลัยอาวรณ์ทั้งยังสงสัยอยู่บ้างว่า ทะเลสาบโม่โฉวและสระบัวในปีนี้มีกิจกรรมอะไรที่แปลกใหม่หรือไม่

“พี่สะใภ้เจวี๋ย ที่ทะเลสาบโม่โฉวมีอะไรสนุกหรือไม่?” ฉีอวี่เจวียนดูเหมือนจะเอาแต่เดินตามอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไป เพียงแต่เวลาสั้นๆ สองวัน นางกลับคุ้นเคยกับพิงถิงขึ้นไม่น้อย ภายหลังทั้งสองคนก็ล้วนไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำให้พิงถิงนั้นเกิดความซาบซึ้งต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้นไปอีก ในยามที่พบหน้าก็แสดงความสนิทสนมขึ้นมามาก ทำให้ทั่วป๋าฉินซินโกรธเคืองจนกัดฟันแน่น

“ทะเลสาบโม่โฉวยังคงเหมือนปีที่ผ่านมา เที่ยวเล่นชมดอกบัว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดยังไม่ทันจบ เสียงทอดถอนหายใจอย่างผิดหวังของพวกคุณหนูก็ดังขึ้นต่อทันที แม้ว่างานชมดอกบัวจะสนุกกว่าปีก่อนๆ มาก แต่เป็นเพราะรู้ว่าทะเลสาบโม่โฉวยังคงเป็นเหมือนเดิมจึงได้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

“แต่ว่าข้าได้เปลี่ยนรายการอาหารที่ทะเลสาบโม่โฉวใหม่ วันนี้ยังเหมือนเดิม แต่พรุ่งนี้สามารถเลือกรายการอาหารเดิมเป็นหลัก ทั้งยังสามารถลองชิมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบโม่โฉวได้ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “อาหารป่าและอาหารทะเลชั้นเลิศคาดว่าคงจะไม่น่าสนใจหรือถูกปากพวกเจ้าเท่าไรแล้ว ดังนั้นปีนี้ ข้าจึงเตรียมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบโม่โฉวไว้ให้พวกเจ้าด้วย อย่างเช่น ปลากะพงน้ำจืดนึ่ง ปลาวุ้นทอดกรอบ กุ้งขาวเต้น ยำหอยมุกน้ำจืด ทั้งยังมีดอกบัว ใบบัว เม็ดบัวและกระจับด้วย ให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสที่ไม่อาจสัมผัสดั่งเช่นวันปกติได้!”

“ข้าชอบอันนี้!” ท่าทีของชิงหวั่นดีกว่าวันที่มาขึ้นมาก นางยืนด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวอย่างเรียบเย็น “อาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้ทำให้คนอยากลิ้มรสมากกว่าพวกรังนกหอยเป๋าฮื้อเสียอีก ทั้งยังมีความแปลกใหม่ พวกน้องๆ ล้วนเบื่อหน่ายที่ใช้รังนกมาล้างปากแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเคยลิ้มลองอาหารที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ ได้ลองอะไรใหม่ๆ เสียหน่อยก็นับเป็นเรื่องดี”

“กล่าวมาเช่นนี้ แล้วหากพวกเรากินอาหารบ้านๆ เหล่านั้นไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? หรือจะให้ท้องพวกเรารับความไม่เป็นธรรมไป?” ลูกอนุภรรยาคนหนึ่งของตระกูลทั่วป๋าเรียกร้องความเป็นธรรมภายใต้การบงการของทั่วป๋าฉินซินขึ้นมา

“อยู่ในตระกูลซั่งกวนจะปล่อยให้พวกน้องๆ รับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสีหน้าเยือกเย็นมองนาง รอจนใบหน้านางปรากฏความอึดอัดขึ้นมาจึงค่อยๆ กล่าว “ข้าเตรียมรายการอาหารให้พวกน้องๆ สองชุด ชุดแรกเป็นรายการอาหารเดิมเหมือนปีก่อนๆ อีกชุดเป็นรายการอาหารแปลกใหม่ที่มีเอกลักษณ์ พวกน้องๆ สามารถเลือกตามความชอบของตนได้ ไม่อาจทำให้พวกน้องๆ ได้รับความไม่เป็นธรรมได้หรอกกระมัง?”

“พี่สะใภ้เจวี๋ยคิดได้รอบคอบ คนบางคนนั้นคิดไปเองว่าคนอื่นจะเหมือนเรา ตัวเองโง่เขลาเบาปัญญาก็คิดไปเองอีกว่าคนอื่นจะสมองหมู!” ฉีอวี่เจวียนมองคุณหนูตระกูลทั่วป๋าเหล่านั้นอย่างเรียบเย็น ใบหน้าของพวกนางล้วนเผยท่าทีลำบากใจอยู่เลือนราง กระนั้นกลับไม่กล้าพูดอันใดออกมา

“เอาเถิด ทุกคน เรือสำราญจะเข้าฝั่งแล้ว ระวังกันด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดว่าสองวันมานี้ตัวเองได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก พวกคุณหนูหลายตระกูลที่มางานครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีฐานะสูงส่งเหมือนพวกคุณหนูที่มาในยามแต่งงานครานั้น แต่ก็กว้างขวาง พวกนางไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนแปดตระกูลใหญ่ แต่ยังมีหลายตระกูลที่ด้อยกว่าแปดตระกูลใหญ่ด้วยซ้ำ แต่คุณหนูเหล่านั้นล้วนรู้จักความเหมาะสม แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นออกหน้าถึงขนาดนั้น แต่แค่ไม่ได้ทำขายหน้าก็เพียงพอแล้ว เวลาสองวันสั้นๆ พวกคุณหนูจำนวนเกือบครึ่ง ในยามที่พบนางก็เผยท่าทีเป็นมิตรและนับถือ สำหรับนางแล้ว การเตรียมการณ์ในช่วง เวลาที่ผ่านมานี้ไม่นับว่าเสียเปล่าเลยจริงๆ

“ข้านั่งรถม้าไปคันเดียวกับเจ้าได้หรือไม่?” ชิงหวั่นรู้สึกว่าตนนั้นมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับนาง โดยเฉพาะยังมีเรื่องที่อยากจะขอให้นางช่วย

“ยินดีอย่างยิ่ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มทั้งพยักหน้า หลังจากครั้งก่อนที่ทั้งสองคุยกันก็ไม่มีโอกาสได้คุยตามลำพังและลงลึกเลย นางชื่นชอบผู้หญิงที่มีนิสัยห้าวหาญเช่นนี้อยู่บ้าง แม้ว่านิสัย ‘ยอมเป็นหยกแหลกละเอียด ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[1]’ ของนาง จะเป็นประเภทที่มี่เอ๋อร์ไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังคงชื่นชอบนิสัยดุดันเช่นนั้นของมู่หรงชิงหวั่นอยู่ดี

“พี่สะใภ้เจวี๋ย…” ชิงอีร้องออกมาอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง แม้ว่าชิงหวั่นจะปกติ และก็สงบลงมากแล้ว แต่นางก็ยังคงเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอยู่ดี

“ไม่เป็นไร เชื่อข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง ส่งท่าทีปลอบใจให้นาง “รับรองได้ว่าข้าจะไม่เอาคุณหนูที่สวยที่สุดของตระกูลมู่หรงของพวกเจ้าไปขายกลางทางอย่างแน่นอน!”

“หากเจ้าหาตระกูลซื้อตัวข้าได้ ก็แล้วแต่เจ้าเถิด อย่างไร…” ชิงหวั่นเผยดวงตาสุกสกาว แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “ข้าไม่เพียงแต่จะยอมให้เจ้าขายดีๆ แต่ยังจะให้ค่าตอบแทนเจ้าด้วย”

“แต่ว่า…” ชิงอียังคงลังเลอยู่บ้าง และในเวลานี้ เรือสำราญก็สั่นไหวเล็กน้อย ขัดคำพูดที่นางกำลังจะกล่าวพอดี เมื่อมองไปด้านหน้า ก็พบว่าเข้าฝั่งแล้ว

“เอาเถิด ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก ข้าไปคุยกับพี่ใหญ่ก็น่าจะพอแล้ว!” ชิงหวั่นรู้ว่าพวกนางก็ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ ถอนหายใจออกมา ตัดสินใจจะไปคุยกับมู่หรงปั๋วเย่ในเรื่องนี้

“พี่ใหญ่!” เพิ่งจะเข้าฝั่ง ชิงหวั่นก็ลงจากเรือเป็นคนแรก คุณหนูที่อยู่เต็มเรือล้วนไม่มีใครอยากจะแย่งชิง ดังนั้นนางจึงลงเรือไปอย่างสบายๆ ทั้งอยู่ด้านหน้าเรือสำราญก็มองเห็นมู่หรงปั๋วเย่ที่ดูเหมือนว่าเขากำลังรอนางอยู่ทันที และที่ทำให้นางแปลกใจก็คือซั่งกวนอวี๋ฮ่าวที่ช่วงนี้มักจะตามติดราวกับวิญญาณ ทั้งดึกดื่นมืดค่ำก็ยังไปถามนางที่ห้องว่าคิดได้แล้วหรือยัง ยามนี้เขากำลังอยู่ด้านข้างมู่หรงปั๋วเย่ ทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันบางอย่าง ดูคล้ายกับสนุกออกรสเป็นอย่างมาก นางสองจิตสองใจอยู่เล็กน้อย พี่ใหญ่ของตนเหตุใดจึงมีเรื่องพูดคุยกับเจ้าเด็กนั่นได้?

“สนุกหรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่ยังคงอบอุ่นและมีเมตตากับนาง เมื่อเห็นว่าสีหน้านางดูดีไม่น้อย ใบหน้าก็เผยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“สนุกมาก! ข้าอยากจะนั่งรถม้าคันเดียวกับน้องสะใภ้เจวี๋ย จึงตั้งใจมาบอกกล่าวกับพี่ใหญ่และน้องเจวี๋ย!” ชิงหวั่นไม่ได้สนใจเจ้าเด็กที่ใช้สายตามองตนอย่างหลงใหล แม้หางตาก็ไม่แลมองเขาสักนิด…แน่นอนว่า นี่เป็นสิ่งที่นางคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว

“ทำไมล่ะ?” มู่หรงปั๋วเย่ปรับน้ำเสียงของตนเองกล่าวถามอย่างนุ่มนวลอยู่บ้าง

“น้องสะใภ้เจวี๋ยรู้จักกับอาจารย์ ข้าไม่ได้พบอาจารย์มานานแล้ว จึงคิดอยากจะถามข่าวคราวช่วงนี้ของอาจารย์จากนาง” ชิงหวั่นกล่าวอย่างอ่อนโยน “หากพี่ใหญ่ไม่วางใจ จะขี่ม้ากับน้องเจวี๋ยตามอยู่ด้านข้างรถม้าก็ได้”

“พี่ใหญ่มู่หรงจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” อวี่ฮ่าวเผยยิ้มอย่างสนิทสนมให้มู่หรงปั๋วเย่ “อย่างไรให้ข้าตามจะดีกว่า ข้าไม่เป็นที่สะดุดตา ใครมองก็ล้วนละเลยทั้งนั้น!”

เจ้าคนจอมกวนนี่! ชิงหวั่นถลึงตามองอวี่ฮ่าวไปทีอย่างหงุดหงิด ช่วงนี้นางถูกเขากวนจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว เขายังคิดจะทำอะไรอีก?

“ก็ดี ข้าจะบอกกล่าวกับน้องเจวี๋ยเอง หากเขาไม่ขัดอันใดก็ต้องรบกวนอวี่ฮ่าวแล้ว!” หลังจากอยู่ด้วยกันมาสองวัน

มู่หรงปั๋วเย่จึงพบว่าลูกอนุภรรยาผู้ที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตนมาโดยตลอดคนนี้ก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีหลายครั้งที่ทำตัวเป็นเด็กอยู่บ้าง แต่เด็กคนนี้ย่อมเป็นดั่งมังกรเจียวหลงที่รอรับสายน้ำ หากได้โอกาสที่เหมาะสมแล้ว ก็ย่อมต้องโผถลาบินไปบนนภาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเกรงใจอยู่ไม่น้อย

“อย่างไรก็ให้ข้าไปคุยกับพี่ใหญ่ดีกว่า” อวี่ฮ่าวดึงเรื่องนี้กลับมา กล่าวยิ้มๆ “หากเป็นพี่ใหญ่มู่หรงเอ่ยปาก สุดท้ายแล้วก็ดูไม่เหมาะอยู่บ้าง ให้ข้าไปถามความต้องการพี่สะใภ้ก่อน แล้วไปคุยกับพี่ใหญ่อีกทีก็คงจะเหมาะสมกว่า!”

“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว” มู่หรงปั๋วเย่ผงกศีรษะ ที่จริงแล้ว หากเป็นเขาเอ่ยปาก ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมยากที่จะกล่าวปฏิเสธ ทว่าก็คงรู้สึกไม่สบายอยู่ภายในใจ อวี่ฮ่าวยินยอมจะช่วยเหลือ นับเป็นเรื่องดีไม่น้อย

“พี่ใหญ่ไฉนจึงได้สนิทสนมกับเด็กคนนี้ถึงเพียงนี้ แปลกเกินไปแล้ว” ชิงหวั่นอดกล่าวหยั่งเชิงออกมาไม่ได้ เจ้าคนซื่อบื้อคนนั้นคงไม่ใช่ว่าพูดคุยอะไรไร้สาระกับพี่ใหญ่ไปแล้วหรอกนะ!

“ชิงหวั่น วันหลังพบอวี่ฮ่าวอย่าได้พูดอะไรที่ไม่มีมารยาทเช่นนี้” มู่หรงปั๋วเย่เผยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวอย่างราบเรียบ “ตระกูลซั่งกวนสองรุ่นมานี้มีทายาทไม่มาก ทุกคนล้วนมีฐานะสูงส่งมากกว่าคนอื่นๆ ในตระกูล แม้ว่าอวี่ฮ่าวจะอายุน้อย แต่ก็เป็นเด็กที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ต้อนรับขับสู้คนก็รู้ความเป็นอย่างดี ความคิดความอ่านล้วนไม่อ่อนด้อย รออีกสักสองปี ย่อมประกายความโดดเด่นออกมาแน่นอน!”

เขาเนี่ยนะ? เจ้าเด็กที่เอาแต่ถามตัวเองดึกดื่นว่าจะแต่งงานหรือไม่คนนั้น? เด็กลามกที่เจอตัวเองก็มักจะมือไม้อยู่ไม่สุข พอตัวเองขัดขืนนิดหน่อยก็กล่าวข่มขู่? ดูท่าแล้ว สายตาพี่ใหญ่คงจะมีปัญหาจริงๆ!

“น่าเสียดาย! ตระกูลมู่หรงไม่มีหญิงสาวลูกภรรยาเอกที่อายุใกล้เคียงกับเขา มิเช่นนั้น ตกลงหมั้นหมายกับเขาให้เร็วหน่อยก็ย่อมเป็นเรื่องดี!” มู่หรงปั๋วเย่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงลูกอนุภรรยาที่โดดเด่นที่ท่านแม่รับเลี้ยงอยู่ภายใต้ชื่อเหล่านั้น จากนั้นก็สร้างโอกาสให้พวกเขาพบเจอกันบ้าง ถ้าหากมีการพัฒนา ตกลงหมั้นหมายกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“พี่ใหญ่ เขาเป็นเพียงแค่ลูกอนุภรรยา!” ชิงหวั่นน้อยครั้งที่จะพูดถึงเรื่องชาติกำเนิดของคนเช่นนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายคืออวี่ฮ่าวก็คิดอยากจะหาข้อบกพร่องขึ้นมาบ้าง

“ควรจะพูดว่ายังดีที่เขาเป็นลูกอนุภรรยา มิเช่นนั้น ตระกูลซั่งกวนที่มีลูกภรรยาเอกคนโตอย่างน้องเจวี๋ยที่โดดเด่นถึงขนาดนั้น หากยังมีลูกภรรยาเอกที่เป็นดั่งคมในฝักและหูตากว้างไกลอีกคน ก็คงจะไม่ใช่ความโชคดีแต่เป็นหายนะมากกว่า!”

มู่หรงปั๋วเย่คิดกลับกันมากกว่า ลูกอนุภรรยาที่มีความโดดเด่นกว่าภรรยาเอกไม่ถือเป็นเรื่องดี แต่สำหรับตระกูลใหญ่ทั้งแปดที่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อผู้สืบทอดแล้วกลับไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป แต่ลูกภรรยาเอกที่มีความโดดเด่นกว่าลูกชายภรรยาเอกคนโตกลับนับเป็นโชคร้ายของตระกูล

“เขาดีถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ชิงหวั่นเค้นเสียงขึ้นจมูก

“ข้าคิดว่าไม่เลวเลย! เอ๋ ไม่ถูกสิ ข้ารู้จักเขามาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยตระหนักถึงตัวตนของเขามาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับตั้งใจดึงดูดความสนใจจากข้า…ชิงหวั่น ช่วงนี้พวกชิงอีได้ไปมาหาสู่กับอวี่ฮ่าวหรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่จู่ๆ ก็สมองแล่นวาบ อวี่ฮ่าวที่แต่ไหนแต่ไรก็ปรารถนาจะไม่มีตัวตนต่อหน้าผู้คน แต่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าตน ถึงขนาดตั้งใจเอาอกเอาใจอยู่บ้าง หากจะบอกว่าไม่มีเรื่องอันใดคงเป็นไปไม่ได้ และสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือเขาชอบพอกับคุณหนูตระกูลมู่หรงที่มาในงานครั้งนี้

ชิงหวั่นใจเต้นตึกตัก พยายามรักษาใบหน้าให้เรียบนิ่งอย่างสุดกำลัง กล่าวอย่างเรียบเย็น “พี่ใหญ่ไม่ควรถามเรื่องพวกนี้กับข้า ข้าเป็นคนที่ไม่มีอิสระมากที่สุด จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกน้องๆ ไปไหนกันมาบ้าง?”

“ชิงหวั่น…” มู่หรงปั๋วเย่มองนางอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ไม่อยากให้เจ้าเป็นอิสระ พี่ใหญ่ก็ลำบากใจ…”

ลำบากใจอันใด? กังวลว่าตัวเองจะคลุ้มคลั่งเป็นบ้าขึ้นมามากกว่าไม่ว่า! ชิงหวั่นมองใบหน้าที่เจ็บปวดอยู่บ้างของมู่หรงปั๋วเย่อย่างขุ่นเคือง แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในตระกูลมู่หรงคล้ายกับจะมีเพียงพ่อและพี่ชายสองคนเท่านั้นที่เป็นห่วงตน ก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ “ข้ารู้ เพียงแต่ข้ายังคิดไม่กระจ่างเท่านั้น…พี่ใหญ่ ข้าต้องการเวลาเล็กน้อย รอหลังจากข้าผ่านด่านของตัวเองได้แล้ว ข้าจะไปพูดคุยกับท่านดีๆ ตกลงหรือไม่?”

“พี่ใหญ่จะรอเจ้า!” มู่หรงปั๋วเย่คล้ายกับเห็นประกายแสงแห่งความหวัง ขอเพียงแค่นางยอมที่จะครุ่นคิด ยอมที่จะเดินออกมาจากทางที่ปิดตายนั้นก็ดีแล้ว เรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหา

“แต่ว่า เหตุใดพี่ใหญ่ถึงให้ข้ามาลี่โจวล่ะ?” ชิงหวั่นสงสัยอย่างมากว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะเป็นคนที่เขาขอให้มาชี้ทางให้ตนเอง

“งานชมดอกบัวเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง อยากให้เจ้าออกมาเปิดหูเปิดตา ผ่อนคลายจิตใจก็เท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือข้าอยากเห็นว่างานประลองยุทธ์ในปีนี้จะสามารถเจอคนรู้จักได้หรือไม่!” มู่หรงปั๋วเย่เปิดเผยออกมาเล็กน้อย

“ลู่เหยาหรือ?” ชิงหวั่นแผ่บรรยากาศเยือกเย็นโดยไม่รู้ตัว แม้รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นตัวเองที่บุ่มบ่าม ไม่ควรจะโทษลู่เหยา แต่ก็ยังคงข่มความเกลียดชังไว้ไม่ไหวอยู่ดี

“ไม่ใช่” มู่หรงปั๋วเย่ถอนหายใจเล็กน้อย “เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวที่แตกต่างจากคนอื่น ข้าคิดว่าแม้เจ้าจะไม่อาจเป็นเพื่อนกับนางได้ ขอเพียงแค่เจ้าได้พูดคุยกับนางบ้าง ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้าแล้ว!”

“เป็นหญิงสาวรู้ใจของพี่ใหญ่อย่างนั้นรึ?” ชิงหวั่นถามอย่างตรงๆ อยู่บ้าง

“ไม่ใช่” มู่หรงปั๋วเย่รู้ว่าตัวเองนั้นใจร้อนบุกจนเกินไป จึงถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้น แม้แต่ฐานะสหายก็ล้วนไม่รู้ว่าจะสามารถนับได้หรือไม่ แต่นางมองโลกในแง่ดีเป็นอย่างมาก มองคนมองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งยังแตกต่างจากคนอื่นๆ ข้าหวังให้เจ้าได้เรียนรู้มุมมองในการดำรงชีวิตที่แตกต่างออกไปจากนาง!”

“ข้าไม่อยากพบ” ชิงหวั่นมีนิสัยต่อต้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ไม่อยากพบใครกัน” อวี่ฮ่าวย้อนกลับมาได้ยินเพียงประโยคนี้ ก็กล่าวยิ้มๆ “กว่าข้าจะทำให้พี่ใหญ่พยักหน้าได้ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลย พี่สะใภ้ก็นั่งรอท่านอยู่บนรถม้าแล้วเช่นกัน ท่านอย่าบอกนะว่าไม่อยากจะนั่งรถม้าคันเดียวกับพี่สะใภ้อีก”

“ข้าไปก่อนล่ะ” ชิงหวั่นหมุนกายจากไป อวี่ฮ่าวมองมู่หรงปั๋วเย่ที่ยิ้มขมขื่นอย่างมึนงง พยายามอดทนข่มกลั้นความอยากรู้ไว้ลึกภายในใจ…

———————————-

[1] สำนวนยอมเป็นหยกแหลกละเอียด ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ หมายความว่ายอมยึดมั่นในอุดมการณ์ แม้จะทำให้ตัวตายก็ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+