เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 154 นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 154 นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อากาศในเดือนหก แปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่แน่นอน อากาศในเดือนเจ็ดก็เป็นอย่างนั้นเสียส่วนใหญ่ ยามที่ตื่นตอนเช้าท้องฟ้าใสกระจ่าง ยังไม่ทันได้พูดว่า ‘อากาศดี’ เมฆดำก็ซ่อนกันทึบหนาชั้น เสียงดังเปาะแปะก่อนฝนห่าใหญ่จะตามลงมา สาดพรำบนต้นไม้ใบหญ้า เกิดเป็นเสียงแผ่ไปในวงกว้าง ยามนี้ จู่ๆ ก็คล้ายกับหมดเรี่ยวแรง พายุฝนที่โหมกระหน่ำแปรเปลี่ยนเป็นสายฝนโปรยปราย ตกกระจายออกมาอย่างลาดเอียง ทำให้ผืนดินโอบล้อมไปด้วยความขมุกขมัว ต้นไม้ใบหญ้าที่เพิ่งอ่อนแรงจากการเผชิญพายุฝนมาก็ค่อยๆ เริ่มยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ขยายกิ่งก้านรับความชุ่มชื่นของสายฝน…

“สะใภ้ใหญ่ เคราฤๅษีนี้ยิ่งโตก็ยิ่งงามนะเจ้าคะ ห้องของท่านก็ดูรื่นหูรื่นตากว่าห้องอื่นๆ ขึ้นมา ล้วนแต่เป็นเพราะสิ่งนี้เจ้าค่ะ” ม่านเหอมองเคราฤๅษีที่แขวนยาวคล้ายผ้าม่านลงมาจากหลังคา คิดไม่ถึงว่าประโยชน์ของสิ่งนี้จะดีถึงขนาดนี้ ทั้งยังใช้เวลาเพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น ก็ยาวจนถึงขนาดนี้แล้ว

“จริงสิ เมื่อวานข้าเห็นบางแห่งก็มีสีน้ำตาลเล็กๆ คล้ายกับจะเกิดเป็นดอก ไม่รู้ว่าจะเบ่งบานเป็นดอกเช่นไร จะต้องสวยงามกว่านี้แน่” จื่อหลัวกล่าวรับทั้งแย้มยิ้ม

“อันนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ในหนังสือกล่าวว่าดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง กลีบเลี้ยงสีม่วง มีกลิ่นหอมเย้ายวน เอ๋ จื่อหลัว ข้าว่าชื่อของเจ้าและเคราฤๅษี (ซงหลัวเฟิ่งหลี) ก็เข้ากันไม่น้อยเลยนี่!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้ก็หัวเราะ พอจื่อหลัวขบคิดก็ยิ่งชื่นชอบเคราฤๅษีนี้มากขึ้นไปอีก

“สะใภ้ใหญ่ สาวใช้ของญาติผู้น้องคนนั้นส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ กล่าวว่าญาติผู้น้องไม่ได้พบหน้าท่านมาหลายวัน คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง อยากถามท่านว่าหลังจากเวลาอาหารเย็นแล้วมีเวลาว่างหรือไม่ สะดวกให้นางเข้ามาเยี่ยมเยียนหรือเปล่าเจ้าค่ะ” ช่าจื่อเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม

“ตอนเย็น? สะใภ้ใหญ่นี่เข้ากับคำกล่าวที่ว่า นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น ย่อมพาเรื่องร้ายบังเกิด ข้าว่าคุณหนูญาติผู้น้องคงจะอยากเห็นว่าไม่มีคุณชายอยู่ จะสามารถพลิกกู้หน้ากลับคืนมาได้หรือไม่เจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวเย้ยหยัน สาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกายซั่งกวนเจวี๋ยมานานเช่นพวกนางนี้ล้วนไม่ชื่นชอบทั่วป๋าฉินซิน ทั้งเป็นเพราะว่าคุณหนูญาติผู้น้องนั้นมักจะทำท่าอย่างกับจะมาเป็นนายหญิงในอนาคตก็มิปาน ไม่รู้จักอายเสียเลย และที่เกินไปกว่านั้นพวกนางล้วนแต่ถูกทั่วป๋าฉินซินกล่าวเตือนกันไปไม่น้อยว่า อย่าได้พยายามยั่วยวนญาติผู้พี่ที่ฉลาดเพียบพร้อมของนาง อย่าได้คิดที่จะปีนขึ้นมาบนยอดสูง ไม่คิดเสียบ้างว่าตัวเองมีจุดยืนให้พูดเช่นนั้นหรือเปล่า

“อะไรที่จะเกิดก็ต้องเกิดอยู่แล้ว จะหนีก็หนีไม่พ้นหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ ซั่งกวนเจวี๋ยมีท่าทีอย่างไรกับทั่วป๋าฉินซิน นางนั้นมองออกหมดแล้ว อย่าพูดเลยว่ามีความรู้สึกดีๆ อะไร แต่กระทั่งท่าทีสุภาพที่มีต่อพวกเซียวเซียงก็ยังลดน้อยลงไปมาก ไม่ถึงกับมองข้าม แต่ก็จงใจเว้นระยะห่างและรักษาท่าทีเยือกเย็น แน่นอนว่ายังมีความรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยที่ยากจะทำให้คนสัมผัสได้ สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมชอบใจอยู่แล้ว

“ให้นางไปรายงานญาติผู้น้อง กล่าวว่าหลังจากเวลาอาหารเย็นข้าพร้อมจะรอต้อนรับนางเป็นอย่างดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกคำสั่งอย่างเรียบนิ่ง ช่าจื่อแย้มยิ้มก่อนจะเดินออกไปถ่ายทอดคำสั่งทันที

“สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าญาติผู้น้องจะเข้ามาทำอะไรกันเจ้าคะ? นางก็รู้ว่าตัวเองนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบขนาดไหนยังจะกล้าย่างกรายเข้ามาอีก!” ม่านเหออยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาระยะหนึ่งแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกปากพูดก็มีส่วนเช่นกัน หลังจากงานแต่งของหลิงหลงสิ้นสุดลงก็จะปล่อยนางออกจากจวนแต่งให้กับคนอื่น อีกฝ่ายนั้นก็รอนางมาหลายปีแล้ว เพียงแค่ไม่มีคนรับช่วงต่อจัดการเรื่องให้นางมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นอนุภรรยาอู๋ที่คอยดูแลเรื่องพวกนี้ก็พยายามขัดขวาง ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ ด้านซั่งกวนเจวี๋ยนั้นก็มีลู่หลัวคอยเสริมในส่วนของนางแล้ว ทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์นี้มีนางเพิ่มเข้ามาก็ไม่นับว่ามาก จะขาดนางไปก็ไม่นับว่าน้อย นางจึงลองเอาเรื่องนี้บอกกล่าวกับจื่อหลัว ท้ายที่สุดก็สมปรารถนา

“ถึงเวลานั้นก็จะรู้เอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง ทั้งยังว่างมากจนไม่มีอะไรทำ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าจะไปห้องอ่านหนังสือ ให้จื่ออวิ๋นชงชาเถี่ยกวนอินเข้ามาด้วย หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดก็ไม่ต้องเข้ามารบกวนข้า”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวลากม่านเหอออกไปทั้งยิ้มๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยของนางและม่านเหอ “ นี่สะใภ้ใหญ่กำลังคิดถึงคุณชาย…”

ใช่แล้ว แม้เพิ่งจะจากกันเพียงครึ่งวัน ความคะนึงหากลับพุ่งขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีความไม่สบายใจ ไม่รู้ว่ายี่สิบกว่าวันที่ไม่มีเขาคอยอยู่ข้างกาย ตัวเองจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร…

———————————–

“พี่สะใภ้ ไม่ได้มาเรือนมีคู่ตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงมากมายขนาดนี้!” ทั่วป๋าฉินซินยิ้มกว้าง มองพินิจเรือนมีคู่ ที่นี่เป็นที่ที่นางคิดอยากจะเข้ามาอยู่มาโดยตลอด อยากจะเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้ว แต่หญิงสาวที่คล้ายกับไม่มีพิษมีภัย แต่หน้าซื่อใจคดที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมาทำลายความสุขของนางเสียก่อน

ทั่วป๋าฉินซินไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่ตัวเองหลงรักซั่งกวนเจวี๋ย รู้เพียงแต่ว่าความปรารถนาสูงสุดตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ก็คือสามารถแต่งงานกับญาติผู้พี่คนนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้น นางเป็นสตรีชั้นสูงของตระกูลทั่วป๋า ทั้งยังเป็นลูกภรรยาคนที่สองของตระกูล จะให้ลดฐานะตัวเองลงได้อย่างไร? โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังเป็นเพียงลูกสาวของพ่อค้าวาณิชคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ใช้วิธีล่อลวงอันใด ไม่เพียงแต่ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยายามปกป้องเอาใจใส่นางตลอดมา กระทั่งแม้แต่ท่านลุงที่ยอมแบกรับชื่อเสียงที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งทนทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเสียใจไม่ได้ ก็ค่อยๆ ชอบนางเช่นกัน ญาติผู้พี่ที่คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ก็ถูกทำให้ลุ่มหลงจนลืมความตั้งใจเดิมไปเสียสิ้น สิ่งที่ทำให้นางรับไม่ได้มากที่สุดทั้งตัดสินใจว่าไม่อาจช้าได้อีกแล้วก็คือในยามที่ญาติผู้พี่พาหญิงสาวคนนี้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษ กลับคาดไม่ถึงว่านางจะถูกอนุญาตให้ค้างคืนพำนักที่

เรือนอวี้ฉิง

ท่านย่าเคยกล่าวว่านางฐานะต่ำต้อย ขอแค่เพียงตัวเองสามารถทำให้ญาติผู้พี่ชื่นชอบหรือจำต้องรับปากตัวเองแต่งงาน เรื่องฐานะตำแหน่งนั้นย่อมมีผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวนออกหน้าจัดการให้ ไม่จำเป็นจะต้องเสียแรงคิดเอง

นางล้วนเตรียมพร้อมสมบูรณ์หมดแล้ว ถึงกระทั่งครุ่นคิดที่จะฝากตัวให้ญาติผู้พี่ก่อน แต่ว่า เรื่องพิธีกราบไหว้ทำให้นางต้องยกเลิกความคิดทั้งหมดไป เว้นเสียแต่ว่าจะไล่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปจากตระกูลซั่งกวนหรือทำให้นางตกตายไป ให้ตำแหน่งว่างขึ้นมา มิเช่นนั้นแม้ว่าตัวเองจะสามารถแต่งกับญาติผู้พี่ได้ก็คงไม่สามารถเป็นภรรยาเอกได้หรอก หรือแม้แต่ฐานะภรรยารองก็มิอาจเอื้อมด้วยซ้ำ

ดังนั้น เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนางที่รนหาที่เอง!

“แค่ลงมือเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยเท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อน “ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นที่ที่ข้าต้องพำนักอยู่กว่าหลายสิบปี ย่อมต้องทำให้ตัวเองสบายกายสบายใจถึงจะถูก”

หลายสิบปี? ทั่วป๋าฉินซินหลุบตาต่ำ ปิดบังสายตาที่อาจจะเผยไอสังหารและความเคียดแค้นนั้นลงไป ตั้งสติเล็กน้อย จึงค่อยเผยยิ้มกล่าว “ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้ยินดีที่จะพาข้าชมสักหน่อยหรือไม่?”

นางสามารถกล่าวปฏิเสธได้ด้วยรึ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปาก แม้ว่าตัวเองจะปฏิเสธ เกรงว่านางก็คงจะเดินเที่ยวเล่นตามใจตนเองอยู่ดี แทนที่จะให้นางสมปรารถนาแล้วพูดว่าตัวเองใจแคบ มิสู้ผลักเรือตามน้ำรับปากนางไป คิดมาจนถึงตรงนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ค่อยๆ หยัดกายขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ วันนี้จะพาน้องหญิงเที่ยวดูให้สมใจเลยแล้วกัน”

“ข้าจำได้ว่าที่นี่เคยมีต้นสาลี่อยู่สองต้น แม้จะออกผลลูกเล็กไปบ้าง แต่ก็ยังคงอร่อยมาก คาดไม่ถึงว่าผ่านมาครึ่งปีก็ไม่พบเสียแล้ว” ทั่วป๋าฉินซินเดินไปรอบๆ บริเวณที่เคยมีต้นสาลี่อยู่อย่างเศร้าใจอยู่บาง ต้นสาลี่สองต้นนั้นปลูกมากว่าแปดปีแล้ว ปีนั้นท่านปู่ได้ล่วงลับ ตัวเองจึงตามครอบครัวมาเคารพศพที่นี่ เวลานั้นท่านย่ายังหยอกเล่นว่าจะให้ตัวเองแต่งกับญาติผู้พี่ แต่ตัวเองนั้นยังไม่เข้าใจว่าความหมายของมันคืออะไรกันแน่ ก็ยิ้มทั้งพูดไปว่าตัวเองชอบกินสาลี่ หากปลูกต้นสาลี่ให้นางสองต้น ทุกปีลูกสาลี่ออกดอกออกผลจนเต็มต้น นางก็จะยอมแต่งงาน

ท่านย่าจึงพาตัวเองมาดูพวกคนงานปลูกต้นสาลี่สองต้นที่นี่ด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นสาลี่หิมะที่นางชื่นชอบเป็นที่สุด คล้ายกับว่าตั้งแต่นั้นมา นางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะต้องแต่งงานกับญาติผู้พี่ ทั้งตั้งแต่นั้นมา นางก็คิดเอาที่แห่งนี้เป็นที่ของตัวเอง ทุกปีที่มา ก็มักจะไม่ลืมเข้ามาดูต้นสาลี่สองต้นนี้ ดูการเจริญเติบโตของมันที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ผลปรากฏว่าผ่านไปปีแล้วปีเล่า ตัวเองก็ยิ่งเติบใหญ่ขึ้น เติบใหญ่จนสามารถกลายเป็นเจ้าสาวให้ญาติผู้พี่ได้แล้ว นางเคยคิดอย่างดีใจและเขินอายมาก่อน ในยามที่ตัวเองแต่งงานกับญาติผู้พี่ หากไม่เป็นยามที่ต้นสาลี่ออกดอกไปทั่ว คล้ายกับเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนในฤดูหนาวก็ต้องเป็นยามที่ต้นสาลี่นั้นออกผลเหลืองอร่ามสีทองไปทั่วต้น

แต่ว่า ญาติผู้พี่ไม่ได้แต่งงานกับนาง แต่กลับแต่งกับหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ ยามนี้แม้แต่ต้นสาลี่สองต้นก็ยังถูกผู้หญิงที่น่าชิงชังคนนี้ขุดออกไป…ในยามที่ท่านย่าพูดเรื่องนี้กับนาง นางเศร้าเสียใจจนร้องไห้เสียงแหบแห้ง

“ข้าให้คนย้ายออกไปแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าย้ายไปปลูกที่ใด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่รู้ว่าต้นสาลี่สองต้นนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เพียงแค่ไม่ชอบเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะให้ความสำคัญถึงขนาดนี้ “เรือนดีๆ เช่นนี้จะปลูกต้นสาลี่ได้อย่างไร ทั้งยังเป็นต้นสาลี่สองต้น นั่นไม่เท่ากับหมายความว่าแยกออกจากกันหรอกหรือ (ต้นสาลี่สองต้นในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าแยกออกจากกัน) แบบนี้นับเป็นลางไม่ดี!”

แยกห่างออกจากกัน? ทั่วป๋าฉินซินโกรธเคืองอยู่ในใจ ปีนั้นตัวเองบอกไว้ว่าสาลี่ต้นหนึ่งแทนตัวญาติผู้พี่ ส่วนอีกต้นนั้นแทนตัวเอง ทั้งสองต้นปลูกด้วยกัน ทั้งสองคนก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ

ม่านเหอพยายามหยิกมือตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่อง แต่พวกนางนั้นล้วนรู้ทั่วกัน โดยเฉพาะก่อนและหลังของงานชมดอกบัวทุกปี ทั่วป๋าฉินซินมักจะพยายามคิดทุกวิถีทางพาซั่งกวนเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ดูสาลี่ที่ออกผลดิบเต็มต้น กล่าวถามยิ้มๆ ‘ญาติผู้พี่ ในยามที่ต้นสาลี่ออกผลสีเหลืองทองให้ข้าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?’

ซั่งกวนเจวี๋ยมักจะกล่าวอย่างเรียบเย็น ‘หากญาติผู้น้องชอบต้นสาลี่สองต้นนี้ ในฤดูหนาวสามารถคิดวิธีย้ายมันไปที่เหยี่ยนโจวได้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ยากสำหรับข้าอยู่แล้ว’

ดังนั้น ทุกครั้งนางล้วนมาอย่างเบิกบานใจ แต่กลับไปอย่างผิดหวัง ภายหลังคงไม่มีเรื่องตลกร้ายเช่นนั้นอีกแล้วกระมัง!

เวลานั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบต้นสาลี่สองต้นนี้ คิดอยากจะย้ายออกไป ซั่งกวนเจวี๋ยกลับยินดีเป็นอย่างมาก หากไม่คิดว่าเกินไป คาดว่าคงไม่เพียงแค่ให้คนมาย้ายออกไปหรอก แต่จะให้คนมาตัดจนถอนรากถอนโคนเสียมากกว่า!

“น่าเสียดายต้นสาลี่สองต้นนั้นจริงๆ” ทั่วป๋าฉินซินพยายามควบคุมความโกรธและความชิงชังไว้สุดชีวิต ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสงบลงได้ กล่าวทั้งฝืนยิ้ม “ได้ยินว่าเพราะพี่สะใภ้ชื่นชอบดอกถานฮวา ดังนั้นจึงย้ายมาปลูก คงจะปลูกอยู่ไม่น้อย พอดีที่ตอนนี้เป็นฤดูออกดอกของดอกถานฮวา น้องอยากจะเสียมารยาทขอดูความงดงามของฤดูนี้เสียหน่อย!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “หากน้องหญิงชอบก็เข้ามาดูได้ จื่อหลัว ในสวนดอกไม้ มีดอกถานฮวาที่เบ่งบานแล้วหรือยัง?”

“สะใภ้ใหญ่ เมื่อวานบ่าวสังเกตดูแล้วเจ้าค่ะ ดอกยังเล็กอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะเบ่งบานเลยเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็ตอบกลับอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมี ก็ยอมที่จะเด็ดมันออก ไม่อาจให้เบ่งบานได้ตลอดกาล ทั้งไม่อาจให้นกเค้าแมวตัวนี้ฉวยโอกาสเดินเล่นไม่ไปไหนอยู่เช่นนี้

“เช่นนั้นไม่เป็นไร พวกเราเดินเล่นกันเถิด ดูว่ามีต้นไหนบ้างที่ใกล้จะบานในไม่กี่วันนี้!” ทั่วป๋าฉินซินหน้าหนาเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ “อย่างไรข้าก็ต้องอยู่รบกวนตระกูลซั่งกวนถึงงานประลองยุทธ์ น่าจะมีโอกาสสัมผัสถึงดอกถานฮวาเบ่งบานอยู่บ้างแหละ! หากญาติผู้พี่กลับมา นัดเขามาดูด้วยกันก็คงครื้นเครงและสนุกกว่านี้แน่!”

หมายความว่านางจะดูให้ได้อย่างนั้นสินะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหในใจ ทว่าใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องยากเลย หลังจากนี้ข้าจะให้พวกคนใช้คอยจับตาดู หากพบว่าดอกใกล้จะเบ่งบานแล้ว จะส่งคนไปเชิญน้องหญิงอย่างแน่นอน!”

“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้แล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินขอบคุณตามมารยาท ก่อนกล่าว “นี่ก็ดึกดื่นไม่น้อย ข้าคงต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งทั่วป๋าฉินซินออกจากเรือนมีคู่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม รอจนนางขึ้นเกี้ยวเล็กที่รออยู่หน้าเรือนไปแล้ว รอยยิ้มก็เลือนหายไปทันที หันหลังกลับเข้าไปในเรือน มองขนมหวานที่นางนำมาแต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว กล่าวอย่างเยือกเย็น “ให้เซียงเสวี่ยเอาขนมพวกนี้ไปโยนให้อาหารปลาในน้ำเสีย!”

——————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 154 นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 154 นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อากาศในเดือนหก แปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่แน่นอน อากาศในเดือนเจ็ดก็เป็นอย่างนั้นเสียส่วนใหญ่ ยามที่ตื่นตอนเช้าท้องฟ้าใสกระจ่าง ยังไม่ทันได้พูดว่า ‘อากาศดี’ เมฆดำก็ซ่อนกันทึบหนาชั้น เสียงดังเปาะแปะก่อนฝนห่าใหญ่จะตามลงมา สาดพรำบนต้นไม้ใบหญ้า เกิดเป็นเสียงแผ่ไปในวงกว้าง ยามนี้ จู่ๆ ก็คล้ายกับหมดเรี่ยวแรง พายุฝนที่โหมกระหน่ำแปรเปลี่ยนเป็นสายฝนโปรยปราย ตกกระจายออกมาอย่างลาดเอียง ทำให้ผืนดินโอบล้อมไปด้วยความขมุกขมัว ต้นไม้ใบหญ้าที่เพิ่งอ่อนแรงจากการเผชิญพายุฝนมาก็ค่อยๆ เริ่มยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ขยายกิ่งก้านรับความชุ่มชื่นของสายฝน…

“สะใภ้ใหญ่ เคราฤๅษีนี้ยิ่งโตก็ยิ่งงามนะเจ้าคะ ห้องของท่านก็ดูรื่นหูรื่นตากว่าห้องอื่นๆ ขึ้นมา ล้วนแต่เป็นเพราะสิ่งนี้เจ้าค่ะ” ม่านเหอมองเคราฤๅษีที่แขวนยาวคล้ายผ้าม่านลงมาจากหลังคา คิดไม่ถึงว่าประโยชน์ของสิ่งนี้จะดีถึงขนาดนี้ ทั้งยังใช้เวลาเพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น ก็ยาวจนถึงขนาดนี้แล้ว

“จริงสิ เมื่อวานข้าเห็นบางแห่งก็มีสีน้ำตาลเล็กๆ คล้ายกับจะเกิดเป็นดอก ไม่รู้ว่าจะเบ่งบานเป็นดอกเช่นไร จะต้องสวยงามกว่านี้แน่” จื่อหลัวกล่าวรับทั้งแย้มยิ้ม

“อันนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ในหนังสือกล่าวว่าดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง กลีบเลี้ยงสีม่วง มีกลิ่นหอมเย้ายวน เอ๋ จื่อหลัว ข้าว่าชื่อของเจ้าและเคราฤๅษี (ซงหลัวเฟิ่งหลี) ก็เข้ากันไม่น้อยเลยนี่!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้ก็หัวเราะ พอจื่อหลัวขบคิดก็ยิ่งชื่นชอบเคราฤๅษีนี้มากขึ้นไปอีก

“สะใภ้ใหญ่ สาวใช้ของญาติผู้น้องคนนั้นส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ กล่าวว่าญาติผู้น้องไม่ได้พบหน้าท่านมาหลายวัน คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง อยากถามท่านว่าหลังจากเวลาอาหารเย็นแล้วมีเวลาว่างหรือไม่ สะดวกให้นางเข้ามาเยี่ยมเยียนหรือเปล่าเจ้าค่ะ” ช่าจื่อเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม

“ตอนเย็น? สะใภ้ใหญ่นี่เข้ากับคำกล่าวที่ว่า นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น ย่อมพาเรื่องร้ายบังเกิด ข้าว่าคุณหนูญาติผู้น้องคงจะอยากเห็นว่าไม่มีคุณชายอยู่ จะสามารถพลิกกู้หน้ากลับคืนมาได้หรือไม่เจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวเย้ยหยัน สาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกายซั่งกวนเจวี๋ยมานานเช่นพวกนางนี้ล้วนไม่ชื่นชอบทั่วป๋าฉินซิน ทั้งเป็นเพราะว่าคุณหนูญาติผู้น้องนั้นมักจะทำท่าอย่างกับจะมาเป็นนายหญิงในอนาคตก็มิปาน ไม่รู้จักอายเสียเลย และที่เกินไปกว่านั้นพวกนางล้วนแต่ถูกทั่วป๋าฉินซินกล่าวเตือนกันไปไม่น้อยว่า อย่าได้พยายามยั่วยวนญาติผู้พี่ที่ฉลาดเพียบพร้อมของนาง อย่าได้คิดที่จะปีนขึ้นมาบนยอดสูง ไม่คิดเสียบ้างว่าตัวเองมีจุดยืนให้พูดเช่นนั้นหรือเปล่า

“อะไรที่จะเกิดก็ต้องเกิดอยู่แล้ว จะหนีก็หนีไม่พ้นหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ ซั่งกวนเจวี๋ยมีท่าทีอย่างไรกับทั่วป๋าฉินซิน นางนั้นมองออกหมดแล้ว อย่าพูดเลยว่ามีความรู้สึกดีๆ อะไร แต่กระทั่งท่าทีสุภาพที่มีต่อพวกเซียวเซียงก็ยังลดน้อยลงไปมาก ไม่ถึงกับมองข้าม แต่ก็จงใจเว้นระยะห่างและรักษาท่าทีเยือกเย็น แน่นอนว่ายังมีความรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยที่ยากจะทำให้คนสัมผัสได้ สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมชอบใจอยู่แล้ว

“ให้นางไปรายงานญาติผู้น้อง กล่าวว่าหลังจากเวลาอาหารเย็นข้าพร้อมจะรอต้อนรับนางเป็นอย่างดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกคำสั่งอย่างเรียบนิ่ง ช่าจื่อแย้มยิ้มก่อนจะเดินออกไปถ่ายทอดคำสั่งทันที

“สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าญาติผู้น้องจะเข้ามาทำอะไรกันเจ้าคะ? นางก็รู้ว่าตัวเองนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบขนาดไหนยังจะกล้าย่างกรายเข้ามาอีก!” ม่านเหออยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาระยะหนึ่งแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกปากพูดก็มีส่วนเช่นกัน หลังจากงานแต่งของหลิงหลงสิ้นสุดลงก็จะปล่อยนางออกจากจวนแต่งให้กับคนอื่น อีกฝ่ายนั้นก็รอนางมาหลายปีแล้ว เพียงแค่ไม่มีคนรับช่วงต่อจัดการเรื่องให้นางมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นอนุภรรยาอู๋ที่คอยดูแลเรื่องพวกนี้ก็พยายามขัดขวาง ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ ด้านซั่งกวนเจวี๋ยนั้นก็มีลู่หลัวคอยเสริมในส่วนของนางแล้ว ทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์นี้มีนางเพิ่มเข้ามาก็ไม่นับว่ามาก จะขาดนางไปก็ไม่นับว่าน้อย นางจึงลองเอาเรื่องนี้บอกกล่าวกับจื่อหลัว ท้ายที่สุดก็สมปรารถนา

“ถึงเวลานั้นก็จะรู้เอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง ทั้งยังว่างมากจนไม่มีอะไรทำ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าจะไปห้องอ่านหนังสือ ให้จื่ออวิ๋นชงชาเถี่ยกวนอินเข้ามาด้วย หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดก็ไม่ต้องเข้ามารบกวนข้า”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวลากม่านเหอออกไปทั้งยิ้มๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยของนางและม่านเหอ “ นี่สะใภ้ใหญ่กำลังคิดถึงคุณชาย…”

ใช่แล้ว แม้เพิ่งจะจากกันเพียงครึ่งวัน ความคะนึงหากลับพุ่งขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีความไม่สบายใจ ไม่รู้ว่ายี่สิบกว่าวันที่ไม่มีเขาคอยอยู่ข้างกาย ตัวเองจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร…

———————————–

“พี่สะใภ้ ไม่ได้มาเรือนมีคู่ตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงมากมายขนาดนี้!” ทั่วป๋าฉินซินยิ้มกว้าง มองพินิจเรือนมีคู่ ที่นี่เป็นที่ที่นางคิดอยากจะเข้ามาอยู่มาโดยตลอด อยากจะเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้ว แต่หญิงสาวที่คล้ายกับไม่มีพิษมีภัย แต่หน้าซื่อใจคดที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมาทำลายความสุขของนางเสียก่อน

ทั่วป๋าฉินซินไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่ตัวเองหลงรักซั่งกวนเจวี๋ย รู้เพียงแต่ว่าความปรารถนาสูงสุดตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ก็คือสามารถแต่งงานกับญาติผู้พี่คนนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้น นางเป็นสตรีชั้นสูงของตระกูลทั่วป๋า ทั้งยังเป็นลูกภรรยาคนที่สองของตระกูล จะให้ลดฐานะตัวเองลงได้อย่างไร? โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังเป็นเพียงลูกสาวของพ่อค้าวาณิชคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ใช้วิธีล่อลวงอันใด ไม่เพียงแต่ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยายามปกป้องเอาใจใส่นางตลอดมา กระทั่งแม้แต่ท่านลุงที่ยอมแบกรับชื่อเสียงที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งทนทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเสียใจไม่ได้ ก็ค่อยๆ ชอบนางเช่นกัน ญาติผู้พี่ที่คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ก็ถูกทำให้ลุ่มหลงจนลืมความตั้งใจเดิมไปเสียสิ้น สิ่งที่ทำให้นางรับไม่ได้มากที่สุดทั้งตัดสินใจว่าไม่อาจช้าได้อีกแล้วก็คือในยามที่ญาติผู้พี่พาหญิงสาวคนนี้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษ กลับคาดไม่ถึงว่านางจะถูกอนุญาตให้ค้างคืนพำนักที่

เรือนอวี้ฉิง

ท่านย่าเคยกล่าวว่านางฐานะต่ำต้อย ขอแค่เพียงตัวเองสามารถทำให้ญาติผู้พี่ชื่นชอบหรือจำต้องรับปากตัวเองแต่งงาน เรื่องฐานะตำแหน่งนั้นย่อมมีผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวนออกหน้าจัดการให้ ไม่จำเป็นจะต้องเสียแรงคิดเอง

นางล้วนเตรียมพร้อมสมบูรณ์หมดแล้ว ถึงกระทั่งครุ่นคิดที่จะฝากตัวให้ญาติผู้พี่ก่อน แต่ว่า เรื่องพิธีกราบไหว้ทำให้นางต้องยกเลิกความคิดทั้งหมดไป เว้นเสียแต่ว่าจะไล่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปจากตระกูลซั่งกวนหรือทำให้นางตกตายไป ให้ตำแหน่งว่างขึ้นมา มิเช่นนั้นแม้ว่าตัวเองจะสามารถแต่งกับญาติผู้พี่ได้ก็คงไม่สามารถเป็นภรรยาเอกได้หรอก หรือแม้แต่ฐานะภรรยารองก็มิอาจเอื้อมด้วยซ้ำ

ดังนั้น เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนางที่รนหาที่เอง!

“แค่ลงมือเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยเท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อน “ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นที่ที่ข้าต้องพำนักอยู่กว่าหลายสิบปี ย่อมต้องทำให้ตัวเองสบายกายสบายใจถึงจะถูก”

หลายสิบปี? ทั่วป๋าฉินซินหลุบตาต่ำ ปิดบังสายตาที่อาจจะเผยไอสังหารและความเคียดแค้นนั้นลงไป ตั้งสติเล็กน้อย จึงค่อยเผยยิ้มกล่าว “ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้ยินดีที่จะพาข้าชมสักหน่อยหรือไม่?”

นางสามารถกล่าวปฏิเสธได้ด้วยรึ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปาก แม้ว่าตัวเองจะปฏิเสธ เกรงว่านางก็คงจะเดินเที่ยวเล่นตามใจตนเองอยู่ดี แทนที่จะให้นางสมปรารถนาแล้วพูดว่าตัวเองใจแคบ มิสู้ผลักเรือตามน้ำรับปากนางไป คิดมาจนถึงตรงนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ค่อยๆ หยัดกายขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ วันนี้จะพาน้องหญิงเที่ยวดูให้สมใจเลยแล้วกัน”

“ข้าจำได้ว่าที่นี่เคยมีต้นสาลี่อยู่สองต้น แม้จะออกผลลูกเล็กไปบ้าง แต่ก็ยังคงอร่อยมาก คาดไม่ถึงว่าผ่านมาครึ่งปีก็ไม่พบเสียแล้ว” ทั่วป๋าฉินซินเดินไปรอบๆ บริเวณที่เคยมีต้นสาลี่อยู่อย่างเศร้าใจอยู่บาง ต้นสาลี่สองต้นนั้นปลูกมากว่าแปดปีแล้ว ปีนั้นท่านปู่ได้ล่วงลับ ตัวเองจึงตามครอบครัวมาเคารพศพที่นี่ เวลานั้นท่านย่ายังหยอกเล่นว่าจะให้ตัวเองแต่งกับญาติผู้พี่ แต่ตัวเองนั้นยังไม่เข้าใจว่าความหมายของมันคืออะไรกันแน่ ก็ยิ้มทั้งพูดไปว่าตัวเองชอบกินสาลี่ หากปลูกต้นสาลี่ให้นางสองต้น ทุกปีลูกสาลี่ออกดอกออกผลจนเต็มต้น นางก็จะยอมแต่งงาน

ท่านย่าจึงพาตัวเองมาดูพวกคนงานปลูกต้นสาลี่สองต้นที่นี่ด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นสาลี่หิมะที่นางชื่นชอบเป็นที่สุด คล้ายกับว่าตั้งแต่นั้นมา นางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะต้องแต่งงานกับญาติผู้พี่ ทั้งตั้งแต่นั้นมา นางก็คิดเอาที่แห่งนี้เป็นที่ของตัวเอง ทุกปีที่มา ก็มักจะไม่ลืมเข้ามาดูต้นสาลี่สองต้นนี้ ดูการเจริญเติบโตของมันที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ผลปรากฏว่าผ่านไปปีแล้วปีเล่า ตัวเองก็ยิ่งเติบใหญ่ขึ้น เติบใหญ่จนสามารถกลายเป็นเจ้าสาวให้ญาติผู้พี่ได้แล้ว นางเคยคิดอย่างดีใจและเขินอายมาก่อน ในยามที่ตัวเองแต่งงานกับญาติผู้พี่ หากไม่เป็นยามที่ต้นสาลี่ออกดอกไปทั่ว คล้ายกับเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนในฤดูหนาวก็ต้องเป็นยามที่ต้นสาลี่นั้นออกผลเหลืองอร่ามสีทองไปทั่วต้น

แต่ว่า ญาติผู้พี่ไม่ได้แต่งงานกับนาง แต่กลับแต่งกับหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ ยามนี้แม้แต่ต้นสาลี่สองต้นก็ยังถูกผู้หญิงที่น่าชิงชังคนนี้ขุดออกไป…ในยามที่ท่านย่าพูดเรื่องนี้กับนาง นางเศร้าเสียใจจนร้องไห้เสียงแหบแห้ง

“ข้าให้คนย้ายออกไปแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าย้ายไปปลูกที่ใด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่รู้ว่าต้นสาลี่สองต้นนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เพียงแค่ไม่ชอบเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะให้ความสำคัญถึงขนาดนี้ “เรือนดีๆ เช่นนี้จะปลูกต้นสาลี่ได้อย่างไร ทั้งยังเป็นต้นสาลี่สองต้น นั่นไม่เท่ากับหมายความว่าแยกออกจากกันหรอกหรือ (ต้นสาลี่สองต้นในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าแยกออกจากกัน) แบบนี้นับเป็นลางไม่ดี!”

แยกห่างออกจากกัน? ทั่วป๋าฉินซินโกรธเคืองอยู่ในใจ ปีนั้นตัวเองบอกไว้ว่าสาลี่ต้นหนึ่งแทนตัวญาติผู้พี่ ส่วนอีกต้นนั้นแทนตัวเอง ทั้งสองต้นปลูกด้วยกัน ทั้งสองคนก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ

ม่านเหอพยายามหยิกมือตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่อง แต่พวกนางนั้นล้วนรู้ทั่วกัน โดยเฉพาะก่อนและหลังของงานชมดอกบัวทุกปี ทั่วป๋าฉินซินมักจะพยายามคิดทุกวิถีทางพาซั่งกวนเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ดูสาลี่ที่ออกผลดิบเต็มต้น กล่าวถามยิ้มๆ ‘ญาติผู้พี่ ในยามที่ต้นสาลี่ออกผลสีเหลืองทองให้ข้าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?’

ซั่งกวนเจวี๋ยมักจะกล่าวอย่างเรียบเย็น ‘หากญาติผู้น้องชอบต้นสาลี่สองต้นนี้ ในฤดูหนาวสามารถคิดวิธีย้ายมันไปที่เหยี่ยนโจวได้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ยากสำหรับข้าอยู่แล้ว’

ดังนั้น ทุกครั้งนางล้วนมาอย่างเบิกบานใจ แต่กลับไปอย่างผิดหวัง ภายหลังคงไม่มีเรื่องตลกร้ายเช่นนั้นอีกแล้วกระมัง!

เวลานั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบต้นสาลี่สองต้นนี้ คิดอยากจะย้ายออกไป ซั่งกวนเจวี๋ยกลับยินดีเป็นอย่างมาก หากไม่คิดว่าเกินไป คาดว่าคงไม่เพียงแค่ให้คนมาย้ายออกไปหรอก แต่จะให้คนมาตัดจนถอนรากถอนโคนเสียมากกว่า!

“น่าเสียดายต้นสาลี่สองต้นนั้นจริงๆ” ทั่วป๋าฉินซินพยายามควบคุมความโกรธและความชิงชังไว้สุดชีวิต ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสงบลงได้ กล่าวทั้งฝืนยิ้ม “ได้ยินว่าเพราะพี่สะใภ้ชื่นชอบดอกถานฮวา ดังนั้นจึงย้ายมาปลูก คงจะปลูกอยู่ไม่น้อย พอดีที่ตอนนี้เป็นฤดูออกดอกของดอกถานฮวา น้องอยากจะเสียมารยาทขอดูความงดงามของฤดูนี้เสียหน่อย!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “หากน้องหญิงชอบก็เข้ามาดูได้ จื่อหลัว ในสวนดอกไม้ มีดอกถานฮวาที่เบ่งบานแล้วหรือยัง?”

“สะใภ้ใหญ่ เมื่อวานบ่าวสังเกตดูแล้วเจ้าค่ะ ดอกยังเล็กอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะเบ่งบานเลยเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็ตอบกลับอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมี ก็ยอมที่จะเด็ดมันออก ไม่อาจให้เบ่งบานได้ตลอดกาล ทั้งไม่อาจให้นกเค้าแมวตัวนี้ฉวยโอกาสเดินเล่นไม่ไปไหนอยู่เช่นนี้

“เช่นนั้นไม่เป็นไร พวกเราเดินเล่นกันเถิด ดูว่ามีต้นไหนบ้างที่ใกล้จะบานในไม่กี่วันนี้!” ทั่วป๋าฉินซินหน้าหนาเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ “อย่างไรข้าก็ต้องอยู่รบกวนตระกูลซั่งกวนถึงงานประลองยุทธ์ น่าจะมีโอกาสสัมผัสถึงดอกถานฮวาเบ่งบานอยู่บ้างแหละ! หากญาติผู้พี่กลับมา นัดเขามาดูด้วยกันก็คงครื้นเครงและสนุกกว่านี้แน่!”

หมายความว่านางจะดูให้ได้อย่างนั้นสินะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหในใจ ทว่าใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องยากเลย หลังจากนี้ข้าจะให้พวกคนใช้คอยจับตาดู หากพบว่าดอกใกล้จะเบ่งบานแล้ว จะส่งคนไปเชิญน้องหญิงอย่างแน่นอน!”

“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้แล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินขอบคุณตามมารยาท ก่อนกล่าว “นี่ก็ดึกดื่นไม่น้อย ข้าคงต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งทั่วป๋าฉินซินออกจากเรือนมีคู่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม รอจนนางขึ้นเกี้ยวเล็กที่รออยู่หน้าเรือนไปแล้ว รอยยิ้มก็เลือนหายไปทันที หันหลังกลับเข้าไปในเรือน มองขนมหวานที่นางนำมาแต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว กล่าวอย่างเยือกเย็น “ให้เซียงเสวี่ยเอาขนมพวกนี้ไปโยนให้อาหารปลาในน้ำเสีย!”

——————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 154 นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 154 นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อากาศในเดือนหก แปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่แน่นอน อากาศในเดือนเจ็ดก็เป็นอย่างนั้นเสียส่วนใหญ่ ยามที่ตื่นตอนเช้าท้องฟ้าใสกระจ่าง ยังไม่ทันได้พูดว่า ‘อากาศดี’ เมฆดำก็ซ่อนกันทึบหนาชั้น เสียงดังเปาะแปะก่อนฝนห่าใหญ่จะตามลงมา สาดพรำบนต้นไม้ใบหญ้า เกิดเป็นเสียงแผ่ไปในวงกว้าง ยามนี้ จู่ๆ ก็คล้ายกับหมดเรี่ยวแรง พายุฝนที่โหมกระหน่ำแปรเปลี่ยนเป็นสายฝนโปรยปราย ตกกระจายออกมาอย่างลาดเอียง ทำให้ผืนดินโอบล้อมไปด้วยความขมุกขมัว ต้นไม้ใบหญ้าที่เพิ่งอ่อนแรงจากการเผชิญพายุฝนมาก็ค่อยๆ เริ่มยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ขยายกิ่งก้านรับความชุ่มชื่นของสายฝน…

“สะใภ้ใหญ่ เคราฤๅษีนี้ยิ่งโตก็ยิ่งงามนะเจ้าคะ ห้องของท่านก็ดูรื่นหูรื่นตากว่าห้องอื่นๆ ขึ้นมา ล้วนแต่เป็นเพราะสิ่งนี้เจ้าค่ะ” ม่านเหอมองเคราฤๅษีที่แขวนยาวคล้ายผ้าม่านลงมาจากหลังคา คิดไม่ถึงว่าประโยชน์ของสิ่งนี้จะดีถึงขนาดนี้ ทั้งยังใช้เวลาเพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น ก็ยาวจนถึงขนาดนี้แล้ว

“จริงสิ เมื่อวานข้าเห็นบางแห่งก็มีสีน้ำตาลเล็กๆ คล้ายกับจะเกิดเป็นดอก ไม่รู้ว่าจะเบ่งบานเป็นดอกเช่นไร จะต้องสวยงามกว่านี้แน่” จื่อหลัวกล่าวรับทั้งแย้มยิ้ม

“อันนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ในหนังสือกล่าวว่าดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง กลีบเลี้ยงสีม่วง มีกลิ่นหอมเย้ายวน เอ๋ จื่อหลัว ข้าว่าชื่อของเจ้าและเคราฤๅษี (ซงหลัวเฟิ่งหลี) ก็เข้ากันไม่น้อยเลยนี่!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้ก็หัวเราะ พอจื่อหลัวขบคิดก็ยิ่งชื่นชอบเคราฤๅษีนี้มากขึ้นไปอีก

“สะใภ้ใหญ่ สาวใช้ของญาติผู้น้องคนนั้นส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ กล่าวว่าญาติผู้น้องไม่ได้พบหน้าท่านมาหลายวัน คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง อยากถามท่านว่าหลังจากเวลาอาหารเย็นแล้วมีเวลาว่างหรือไม่ สะดวกให้นางเข้ามาเยี่ยมเยียนหรือเปล่าเจ้าค่ะ” ช่าจื่อเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม

“ตอนเย็น? สะใภ้ใหญ่นี่เข้ากับคำกล่าวที่ว่า นกเค้าแมวมาเยือนถิ่น ย่อมพาเรื่องร้ายบังเกิด ข้าว่าคุณหนูญาติผู้น้องคงจะอยากเห็นว่าไม่มีคุณชายอยู่ จะสามารถพลิกกู้หน้ากลับคืนมาได้หรือไม่เจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวเย้ยหยัน สาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกายซั่งกวนเจวี๋ยมานานเช่นพวกนางนี้ล้วนไม่ชื่นชอบทั่วป๋าฉินซิน ทั้งเป็นเพราะว่าคุณหนูญาติผู้น้องนั้นมักจะทำท่าอย่างกับจะมาเป็นนายหญิงในอนาคตก็มิปาน ไม่รู้จักอายเสียเลย และที่เกินไปกว่านั้นพวกนางล้วนแต่ถูกทั่วป๋าฉินซินกล่าวเตือนกันไปไม่น้อยว่า อย่าได้พยายามยั่วยวนญาติผู้พี่ที่ฉลาดเพียบพร้อมของนาง อย่าได้คิดที่จะปีนขึ้นมาบนยอดสูง ไม่คิดเสียบ้างว่าตัวเองมีจุดยืนให้พูดเช่นนั้นหรือเปล่า

“อะไรที่จะเกิดก็ต้องเกิดอยู่แล้ว จะหนีก็หนีไม่พ้นหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ ซั่งกวนเจวี๋ยมีท่าทีอย่างไรกับทั่วป๋าฉินซิน นางนั้นมองออกหมดแล้ว อย่าพูดเลยว่ามีความรู้สึกดีๆ อะไร แต่กระทั่งท่าทีสุภาพที่มีต่อพวกเซียวเซียงก็ยังลดน้อยลงไปมาก ไม่ถึงกับมองข้าม แต่ก็จงใจเว้นระยะห่างและรักษาท่าทีเยือกเย็น แน่นอนว่ายังมีความรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยที่ยากจะทำให้คนสัมผัสได้ สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมชอบใจอยู่แล้ว

“ให้นางไปรายงานญาติผู้น้อง กล่าวว่าหลังจากเวลาอาหารเย็นข้าพร้อมจะรอต้อนรับนางเป็นอย่างดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกคำสั่งอย่างเรียบนิ่ง ช่าจื่อแย้มยิ้มก่อนจะเดินออกไปถ่ายทอดคำสั่งทันที

“สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าญาติผู้น้องจะเข้ามาทำอะไรกันเจ้าคะ? นางก็รู้ว่าตัวเองนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบขนาดไหนยังจะกล้าย่างกรายเข้ามาอีก!” ม่านเหออยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาระยะหนึ่งแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกปากพูดก็มีส่วนเช่นกัน หลังจากงานแต่งของหลิงหลงสิ้นสุดลงก็จะปล่อยนางออกจากจวนแต่งให้กับคนอื่น อีกฝ่ายนั้นก็รอนางมาหลายปีแล้ว เพียงแค่ไม่มีคนรับช่วงต่อจัดการเรื่องให้นางมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นอนุภรรยาอู๋ที่คอยดูแลเรื่องพวกนี้ก็พยายามขัดขวาง ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ ด้านซั่งกวนเจวี๋ยนั้นก็มีลู่หลัวคอยเสริมในส่วนของนางแล้ว ทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์นี้มีนางเพิ่มเข้ามาก็ไม่นับว่ามาก จะขาดนางไปก็ไม่นับว่าน้อย นางจึงลองเอาเรื่องนี้บอกกล่าวกับจื่อหลัว ท้ายที่สุดก็สมปรารถนา

“ถึงเวลานั้นก็จะรู้เอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง ทั้งยังว่างมากจนไม่มีอะไรทำ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าจะไปห้องอ่านหนังสือ ให้จื่ออวิ๋นชงชาเถี่ยกวนอินเข้ามาด้วย หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดก็ไม่ต้องเข้ามารบกวนข้า”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวลากม่านเหอออกไปทั้งยิ้มๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยของนางและม่านเหอ “ นี่สะใภ้ใหญ่กำลังคิดถึงคุณชาย…”

ใช่แล้ว แม้เพิ่งจะจากกันเพียงครึ่งวัน ความคะนึงหากลับพุ่งขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีความไม่สบายใจ ไม่รู้ว่ายี่สิบกว่าวันที่ไม่มีเขาคอยอยู่ข้างกาย ตัวเองจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร…

———————————–

“พี่สะใภ้ ไม่ได้มาเรือนมีคู่ตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงมากมายขนาดนี้!” ทั่วป๋าฉินซินยิ้มกว้าง มองพินิจเรือนมีคู่ ที่นี่เป็นที่ที่นางคิดอยากจะเข้ามาอยู่มาโดยตลอด อยากจะเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้ว แต่หญิงสาวที่คล้ายกับไม่มีพิษมีภัย แต่หน้าซื่อใจคดที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมาทำลายความสุขของนางเสียก่อน

ทั่วป๋าฉินซินไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่ตัวเองหลงรักซั่งกวนเจวี๋ย รู้เพียงแต่ว่าความปรารถนาสูงสุดตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ก็คือสามารถแต่งงานกับญาติผู้พี่คนนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้น นางเป็นสตรีชั้นสูงของตระกูลทั่วป๋า ทั้งยังเป็นลูกภรรยาคนที่สองของตระกูล จะให้ลดฐานะตัวเองลงได้อย่างไร? โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังเป็นเพียงลูกสาวของพ่อค้าวาณิชคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ใช้วิธีล่อลวงอันใด ไม่เพียงแต่ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยายามปกป้องเอาใจใส่นางตลอดมา กระทั่งแม้แต่ท่านลุงที่ยอมแบกรับชื่อเสียงที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งทนทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเสียใจไม่ได้ ก็ค่อยๆ ชอบนางเช่นกัน ญาติผู้พี่ที่คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ก็ถูกทำให้ลุ่มหลงจนลืมความตั้งใจเดิมไปเสียสิ้น สิ่งที่ทำให้นางรับไม่ได้มากที่สุดทั้งตัดสินใจว่าไม่อาจช้าได้อีกแล้วก็คือในยามที่ญาติผู้พี่พาหญิงสาวคนนี้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษ กลับคาดไม่ถึงว่านางจะถูกอนุญาตให้ค้างคืนพำนักที่

เรือนอวี้ฉิง

ท่านย่าเคยกล่าวว่านางฐานะต่ำต้อย ขอแค่เพียงตัวเองสามารถทำให้ญาติผู้พี่ชื่นชอบหรือจำต้องรับปากตัวเองแต่งงาน เรื่องฐานะตำแหน่งนั้นย่อมมีผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวนออกหน้าจัดการให้ ไม่จำเป็นจะต้องเสียแรงคิดเอง

นางล้วนเตรียมพร้อมสมบูรณ์หมดแล้ว ถึงกระทั่งครุ่นคิดที่จะฝากตัวให้ญาติผู้พี่ก่อน แต่ว่า เรื่องพิธีกราบไหว้ทำให้นางต้องยกเลิกความคิดทั้งหมดไป เว้นเสียแต่ว่าจะไล่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปจากตระกูลซั่งกวนหรือทำให้นางตกตายไป ให้ตำแหน่งว่างขึ้นมา มิเช่นนั้นแม้ว่าตัวเองจะสามารถแต่งกับญาติผู้พี่ได้ก็คงไม่สามารถเป็นภรรยาเอกได้หรอก หรือแม้แต่ฐานะภรรยารองก็มิอาจเอื้อมด้วยซ้ำ

ดังนั้น เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนางที่รนหาที่เอง!

“แค่ลงมือเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยเท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อน “ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นที่ที่ข้าต้องพำนักอยู่กว่าหลายสิบปี ย่อมต้องทำให้ตัวเองสบายกายสบายใจถึงจะถูก”

หลายสิบปี? ทั่วป๋าฉินซินหลุบตาต่ำ ปิดบังสายตาที่อาจจะเผยไอสังหารและความเคียดแค้นนั้นลงไป ตั้งสติเล็กน้อย จึงค่อยเผยยิ้มกล่าว “ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้ยินดีที่จะพาข้าชมสักหน่อยหรือไม่?”

นางสามารถกล่าวปฏิเสธได้ด้วยรึ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปาก แม้ว่าตัวเองจะปฏิเสธ เกรงว่านางก็คงจะเดินเที่ยวเล่นตามใจตนเองอยู่ดี แทนที่จะให้นางสมปรารถนาแล้วพูดว่าตัวเองใจแคบ มิสู้ผลักเรือตามน้ำรับปากนางไป คิดมาจนถึงตรงนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ค่อยๆ หยัดกายขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ วันนี้จะพาน้องหญิงเที่ยวดูให้สมใจเลยแล้วกัน”

“ข้าจำได้ว่าที่นี่เคยมีต้นสาลี่อยู่สองต้น แม้จะออกผลลูกเล็กไปบ้าง แต่ก็ยังคงอร่อยมาก คาดไม่ถึงว่าผ่านมาครึ่งปีก็ไม่พบเสียแล้ว” ทั่วป๋าฉินซินเดินไปรอบๆ บริเวณที่เคยมีต้นสาลี่อยู่อย่างเศร้าใจอยู่บาง ต้นสาลี่สองต้นนั้นปลูกมากว่าแปดปีแล้ว ปีนั้นท่านปู่ได้ล่วงลับ ตัวเองจึงตามครอบครัวมาเคารพศพที่นี่ เวลานั้นท่านย่ายังหยอกเล่นว่าจะให้ตัวเองแต่งกับญาติผู้พี่ แต่ตัวเองนั้นยังไม่เข้าใจว่าความหมายของมันคืออะไรกันแน่ ก็ยิ้มทั้งพูดไปว่าตัวเองชอบกินสาลี่ หากปลูกต้นสาลี่ให้นางสองต้น ทุกปีลูกสาลี่ออกดอกออกผลจนเต็มต้น นางก็จะยอมแต่งงาน

ท่านย่าจึงพาตัวเองมาดูพวกคนงานปลูกต้นสาลี่สองต้นที่นี่ด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นสาลี่หิมะที่นางชื่นชอบเป็นที่สุด คล้ายกับว่าตั้งแต่นั้นมา นางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะต้องแต่งงานกับญาติผู้พี่ ทั้งตั้งแต่นั้นมา นางก็คิดเอาที่แห่งนี้เป็นที่ของตัวเอง ทุกปีที่มา ก็มักจะไม่ลืมเข้ามาดูต้นสาลี่สองต้นนี้ ดูการเจริญเติบโตของมันที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ผลปรากฏว่าผ่านไปปีแล้วปีเล่า ตัวเองก็ยิ่งเติบใหญ่ขึ้น เติบใหญ่จนสามารถกลายเป็นเจ้าสาวให้ญาติผู้พี่ได้แล้ว นางเคยคิดอย่างดีใจและเขินอายมาก่อน ในยามที่ตัวเองแต่งงานกับญาติผู้พี่ หากไม่เป็นยามที่ต้นสาลี่ออกดอกไปทั่ว คล้ายกับเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนในฤดูหนาวก็ต้องเป็นยามที่ต้นสาลี่นั้นออกผลเหลืองอร่ามสีทองไปทั่วต้น

แต่ว่า ญาติผู้พี่ไม่ได้แต่งงานกับนาง แต่กลับแต่งกับหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ ยามนี้แม้แต่ต้นสาลี่สองต้นก็ยังถูกผู้หญิงที่น่าชิงชังคนนี้ขุดออกไป…ในยามที่ท่านย่าพูดเรื่องนี้กับนาง นางเศร้าเสียใจจนร้องไห้เสียงแหบแห้ง

“ข้าให้คนย้ายออกไปแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าย้ายไปปลูกที่ใด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่รู้ว่าต้นสาลี่สองต้นนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เพียงแค่ไม่ชอบเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะให้ความสำคัญถึงขนาดนี้ “เรือนดีๆ เช่นนี้จะปลูกต้นสาลี่ได้อย่างไร ทั้งยังเป็นต้นสาลี่สองต้น นั่นไม่เท่ากับหมายความว่าแยกออกจากกันหรอกหรือ (ต้นสาลี่สองต้นในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าแยกออกจากกัน) แบบนี้นับเป็นลางไม่ดี!”

แยกห่างออกจากกัน? ทั่วป๋าฉินซินโกรธเคืองอยู่ในใจ ปีนั้นตัวเองบอกไว้ว่าสาลี่ต้นหนึ่งแทนตัวญาติผู้พี่ ส่วนอีกต้นนั้นแทนตัวเอง ทั้งสองต้นปลูกด้วยกัน ทั้งสองคนก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ

ม่านเหอพยายามหยิกมือตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่อง แต่พวกนางนั้นล้วนรู้ทั่วกัน โดยเฉพาะก่อนและหลังของงานชมดอกบัวทุกปี ทั่วป๋าฉินซินมักจะพยายามคิดทุกวิถีทางพาซั่งกวนเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ดูสาลี่ที่ออกผลดิบเต็มต้น กล่าวถามยิ้มๆ ‘ญาติผู้พี่ ในยามที่ต้นสาลี่ออกผลสีเหลืองทองให้ข้าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?’

ซั่งกวนเจวี๋ยมักจะกล่าวอย่างเรียบเย็น ‘หากญาติผู้น้องชอบต้นสาลี่สองต้นนี้ ในฤดูหนาวสามารถคิดวิธีย้ายมันไปที่เหยี่ยนโจวได้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ยากสำหรับข้าอยู่แล้ว’

ดังนั้น ทุกครั้งนางล้วนมาอย่างเบิกบานใจ แต่กลับไปอย่างผิดหวัง ภายหลังคงไม่มีเรื่องตลกร้ายเช่นนั้นอีกแล้วกระมัง!

เวลานั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบต้นสาลี่สองต้นนี้ คิดอยากจะย้ายออกไป ซั่งกวนเจวี๋ยกลับยินดีเป็นอย่างมาก หากไม่คิดว่าเกินไป คาดว่าคงไม่เพียงแค่ให้คนมาย้ายออกไปหรอก แต่จะให้คนมาตัดจนถอนรากถอนโคนเสียมากกว่า!

“น่าเสียดายต้นสาลี่สองต้นนั้นจริงๆ” ทั่วป๋าฉินซินพยายามควบคุมความโกรธและความชิงชังไว้สุดชีวิต ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสงบลงได้ กล่าวทั้งฝืนยิ้ม “ได้ยินว่าเพราะพี่สะใภ้ชื่นชอบดอกถานฮวา ดังนั้นจึงย้ายมาปลูก คงจะปลูกอยู่ไม่น้อย พอดีที่ตอนนี้เป็นฤดูออกดอกของดอกถานฮวา น้องอยากจะเสียมารยาทขอดูความงดงามของฤดูนี้เสียหน่อย!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “หากน้องหญิงชอบก็เข้ามาดูได้ จื่อหลัว ในสวนดอกไม้ มีดอกถานฮวาที่เบ่งบานแล้วหรือยัง?”

“สะใภ้ใหญ่ เมื่อวานบ่าวสังเกตดูแล้วเจ้าค่ะ ดอกยังเล็กอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะเบ่งบานเลยเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็ตอบกลับอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมี ก็ยอมที่จะเด็ดมันออก ไม่อาจให้เบ่งบานได้ตลอดกาล ทั้งไม่อาจให้นกเค้าแมวตัวนี้ฉวยโอกาสเดินเล่นไม่ไปไหนอยู่เช่นนี้

“เช่นนั้นไม่เป็นไร พวกเราเดินเล่นกันเถิด ดูว่ามีต้นไหนบ้างที่ใกล้จะบานในไม่กี่วันนี้!” ทั่วป๋าฉินซินหน้าหนาเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ “อย่างไรข้าก็ต้องอยู่รบกวนตระกูลซั่งกวนถึงงานประลองยุทธ์ น่าจะมีโอกาสสัมผัสถึงดอกถานฮวาเบ่งบานอยู่บ้างแหละ! หากญาติผู้พี่กลับมา นัดเขามาดูด้วยกันก็คงครื้นเครงและสนุกกว่านี้แน่!”

หมายความว่านางจะดูให้ได้อย่างนั้นสินะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหในใจ ทว่าใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องยากเลย หลังจากนี้ข้าจะให้พวกคนใช้คอยจับตาดู หากพบว่าดอกใกล้จะเบ่งบานแล้ว จะส่งคนไปเชิญน้องหญิงอย่างแน่นอน!”

“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้แล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินขอบคุณตามมารยาท ก่อนกล่าว “นี่ก็ดึกดื่นไม่น้อย ข้าคงต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งทั่วป๋าฉินซินออกจากเรือนมีคู่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม รอจนนางขึ้นเกี้ยวเล็กที่รออยู่หน้าเรือนไปแล้ว รอยยิ้มก็เลือนหายไปทันที หันหลังกลับเข้าไปในเรือน มองขนมหวานที่นางนำมาแต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว กล่าวอย่างเยือกเย็น “ให้เซียงเสวี่ยเอาขนมพวกนี้ไปโยนให้อาหารปลาในน้ำเสีย!”

——————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+