เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 163 ออกจากจวน

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 163 ออกจากจวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“สะใภ้ใหญ่ อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโดยตรง หากท่านไม่วางใจเรื่องแม่นมทั้งสอง ให้พวกนางไปพักผ่อนที่เรือนอื่นชั่วคราวก็ได้!” ทันทีที่จวนด้านในเปิดประตู ซั่งกวนอิงที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็วิ่งไปบอกซั่งกวนจิ่นว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นในยามวิกาลตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่อวี่ไข่ออกไป เขาก็หลบซ่อนตัวอยู่ที่เรือนมีคู่ เพียงแต่ในเวลานั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อวี่ไข่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ มีข้ออ้างให้ยอมผ่อนปรน จึงได้จากไป เขายังคงไม่สบายใจมาก พาสาวใช้เด็กรับใช้คนสนิทไปเฝ้านอกเรือนมีคู่ตลอดทั้งคืน ป้องกันไม่ให้พวกเขาย้อนกลับมากลั่นแกล้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีก ครั้นม่านเหอเห็นก็ให้ออกไปเขาก็ไม่ยอม ให้เขาไปพักผ่อนที่เรือนเขาก็กังวลว่าข่าวลืออะไรทำนองนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่ได้เข้าไป เพียงเฝ้ายามอยู่นอกเรือนทั้งคืน โชคดีที่เป็นเดือนเจ็ดแล้ว อากาศร้อนอบอ้าว กลางคืนก็เพียงแค่เย็นลงเล็กน้อยและไม่หนาวจัด ม่านเหอและคนอื่นๆ ก็ปล่อยตามใจเขา “ลุงจิ่น…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืน ยังคงมีอาการเหนื่อยล้าจางๆ บนใบหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “อันที่จริงเมื่อข่าวลือพรรค์นั้นแพร่กระจายไปข้าก็รู้ว่าฮูหยินใหญ่สร้างขึ้นมาในคราวนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้ข้าชื่อเสียงป่นปี้ย่อยยับซึ่งก็ไม่เต็มใจรับ ในเวลานั้นข้าควรทำตามที่สามีบอกไว้ ไปหลบภัยที่เรือนสดับวายุ จึงไม่ควรลังเล แต่ข้าเองก็มีความหวังกับพวกเขาอยู่บ้าง ไม่อยากคิดว่าพวกเขาจะคิดเลวร้ายถึงที่สุด ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลจะละล้าละลัง สามีได้จัดเตรียมเรือนสดับวายุไว้แล้วเช่นกัน ข้าไปรอสามีกลับมาที่นั่นก็เหมือนกัน ข้าพะว้าพะวังว่า ถ้าข้าอยู่ต่อไป ก็พูดยากว่าฮูหยินใหญ่จะโยนความผิดให้ข้าตามใจชอบ อาจจะ…ให้ข้าโดยตรง” “เป็นความผิดของข้าทั้งหมดที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องจนทำให้สะใภ้ใหญ่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นถอนหายใจ พอฟังแล้วเขารู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าฮูหยินใหญ่เป็นบ้า! หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับสะใภ้ใหญ่ นางคงแบกรับกับผลที่ตามมาไม่ได้แน่ แต่…ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้สติเลย “คิดถึงเรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อและสามีไม่อยู่ ไม่มีใครเข้าออกได้หลังจากลั่นดาลประตู โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นเช่นนี้แล้วด้วย ฮูหยินใหญ่แน่ใจว่าจะไม่มีใครรายงานเจ้าได้ และต่อให้จะรายงาน ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะเข้ามาในจวนได้ และจะไม่ทำอะไรแบบนั้น ลุงจิ่น นางเป็นผู้อาวุโส และข้าเป็นเพียงเจ้าสาวมือใหม่ อย่าเผชิญหน้าโดยตรงจะดีกว่า!” “เป็นอย่างนั้นก็ดี!” ซั่งกวนจิ่นก็รู้ว่าเมื่อลั่นดาลประตูเขาก็ช่วยแก้จุดอ่อนไม่ทัน จึงพูดว่า “คุณชายใหญ่ได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะออกไป ดังนั้นจึงได้ทำความสะอาดเรือนอื่นๆ อย่างดีไว้แล้ว ได้เสริมกำลังป้องกันและองครักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะมีคนอยากเดิมพันหมดหน้าตัก ใช้วิธีการที่หยาบช้าสารพัดก็จะทำไม่สำเร็จ ทว่าข้างกายสะใภ้ใหญ่นอกจากสาวใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุดแล้ว พวกนางคนอื่นๆ ก็ให้อยู่ในจวน เผื่อว่าคนรอบข้างจะไม่พอใจ” ซั่งกวนจิ่นยังจำเหตุการณ์ยาพิษได้ แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเพียงแค่ให้ขนมที่มีพิษกับตัวเอง ก็ไม่ได้บอกว่าต้องสอบสวนและไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เขายังตรวจพบว่า นั่นเป็น ‘พิษกร่อนประสาท’ คือยาพิษที่รุนแรงมากชนิดหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เคยใช้ตอนที่อายุยังน้อย ตามข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยาชนิดนั้นมาจากตระกูลทั่วป๋า ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบทั่วป๋าฉินซิน และสาวใช้คนนั้นก็ไม่ยอมลดละ บอกว่าเอามาเลี้ยงปลาก็เลี้ยงปลาสิ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าสาวใช้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะน่าไว้วางใจทุกคน ควรระมัดระวังไว้จะดีที่สุด “ขอบคุณลุงจิ่นที่ช่วยเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนสถานการณ์เหล่านี้ไว้นานแล้ว นอกจากแม่นมสาวใช้ที่ติดตามมาจากอู๋โจวแล้ว ยังเพิ่มม่านเหอมาด้วยอีกคนหนึ่ง แม้แต่ช่าจื่อก็ปล่อยให้นางอยู่ในจวน พอได้ยินก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็มีแผนเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่สาวใช้เหล่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีเจตนาไม่ดีเสมอไป ข้ายังกังวลว่าฮูหยินใหญ่จะระบายความโกรธกับพวกนางหลังจากรู้ว่าข้าจากไป ขอลุงจิ่นจัดการให้พวกนางออกไปชั่วคราวสักสองสามวัน หรือเพียงแค่ปล่อยให้พวกนางกลับบ้านสักสองสามวัน เมื่อข้ากลับจวนค่อยกลับมารายงานก็ได้” “ฝากเรื่องนี้ไว้กับข้าได้ขอรับ” ซั่งกวนจิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่า สะใภ้ใหญ่เก็บสัมภาระแล้วหรือยัง? หรือว่าจะให้ผู้น้อยไปส่งพวกท่านถึงเรือนอื่นด้วยตัวเองจะปลอดภัยกว่านะขอรับ” “พวกข้าเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกจากจวนได้ทันที” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะหวาดกลัว อยากจะออกไปเสียเดี๋ยวนี้ “ถ้าอย่างนั้นเราออกไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” ซั่งกวนจิ่นต้องการส่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่เรือนอีกแห่งให้เร็วขึ้น ซึ่งสร้างไว้แล้วประหนึ่งถังเหล็กก็มิปาน ตราบใดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดๆ “ยังมีอีก ลุงจิ่นโปรดช่วยอธิบายกับน้องอิงด้วย ดูคล้ายว่าเขาจะทุกข์ หงุดหงิดและรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าหลังจากที่ซั่งกวนอิงอยู่เฝ้าทั้งคืนนอกจากซาบซึ้งใจแล้ว ยังรู้สึกผิดเล็กน้อยอีกด้วย “ข้าทราบแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าตัวเขาเองทำผิดต่อคำขอของคุณชายใหญ่ ทั้งยังทำให้ท่านน้อยเนื้อต่ำใจ จึงเสียใจมาก รอให้ผ่านไปสักสองสามวัน หลังจากอารมณ์ของเขาสงบลงเล็กน้อย ข้าจะสอนเขาให้ได้ สะใภ้ใหญ่โปรดวางใจขอรับ “ซั่งกวนจิ่นผงกศีรษะและยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ เชิญขึ้นเกี้ยวขอรับ!” “สะใภ้ใหญ่ โอ๊ะ!” เซียงเสวี่ยรีบลงมาจากชั้นบน ไม่ทันระวังจึงเหยียบพลาด คนทั้งร่างก็กลิ้งหลุนๆ ลงมา ขวดและไหในมือก็หกและแตกออกไปทั่วพื้น “จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยได้ม่านเหอและม่านเหลียนเข้ามาช่วย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่นางมองสิ่งของบนพื้นด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้ “ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างขบขันพลางกล่าวว่า “อย่ากังวลไป รอไปถึงเรือนสดับวายุแล้วหาเวลาไปซื้อของที่ตลาดเครื่องประทินโฉมก็ได้แล้ว!” “โอ๊ย!” เซียงเสวี่ยทำหน้าเบ้ถูกม่านเหอยัดเข้าไปในเกี้ยว เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลันลุกขึ้นเกี้ยว ซั่งกวนจิ่นยังวิตกว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะเข้ามายุ่งแทรกแซงกะทันหัน แม้แต่แม่นมฉินและคนอื่นๆ ก็เตรียมขึ้นเกี้ยวเล็ก เมื่อพวกนางขึ้นเกี้ยว โบกมือทันที แล้วออกจากเรือนมีคู่อย่างรวดเร็ว “พวกเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินเต้นแร้งเต้นกาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมเร็วเช่นนี้? ข้ายังไม่ทันได้สั่งคนให้ฆ่ากลางทางเลยนะ?” “พ่อบ้านจิ่นไปส่งนางด้วยตัวเอง ต่อให้จะนัดหมายปล้นฆ่าก็ป่วยการ กลับจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียด้วยซ้ำ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจ้องเขม็งทั่วป๋าฉินซินปราดหนึ่งเพราะข่มโทสะไม่ไหว แล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าคิดว่าพ่อบ้านจิ่นไร้พิษสง ถ้าไม่ใช่เพราะพะวักพะวนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกลางทาง ไฉนเขาถึงออกไปส่งด้วยตัวเองเล่า?” “เขาเป็นแค่พ่อบ้านเท่านั้นเอง!” ทั่วป๋าฉินซินไม่เคยเชื่อมโยงคำว่า ‘ร้ายกาจ’ กับซั่งกวนจิ่นเลย มักจะรู้สึกว่าเขาเป็นแค่ทาสขั้นสูงผู้หนึ่ง “แค่พ่อบ้านเท่านั้นเองหรือ? ลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวนมีหลายคน ผู้ที่โดดเด่นและจัดการทุกอย่างยามที่ฮ่าวเอ๋อร์ยังเด็กนั้นก็คือเขา เมื่อฮ่าวเอ๋อร์เข้ามาเป็นหัวหน้าตระกูลเขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ช่วยมือขวา แค่เป็นพ่อบ้านจะง่ายดายขนาดนั้นหรือ? ถึงแม้พ่อบ้านจิ่นจะไม่เคยแสดงวรยุทธ์ต่อหน้าข้า แต่ข้าเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในตองอูที่ร้ายกาจมากที่สุดในตระกูลซั่งกวนแน่นอน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะโง่บรมขนาดนี้ แต่ลองคิดดูอีกก็โล่งใจ บุตรีสูงส่งของตระกูลขุนนางล้วนเป็นแบบนี้ เมื่อยังเป็นสาวรอออกเรือนนั้นครอบครัวจะไม่ปล่อยให้นางเข้ามาแทรกแซงกิจการของวงศ์ตระกูลแต่อย่างใด หลังจากแต่งงานเป็นภรรยา ก็ไร้ความหวังว่านางจะเข้าใจเรื่องราวภายในของครอบครัวสามีได้ทันที และส่งมันกลับไป ในตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรือ “แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ในดวงตาของทั่วป๋าฉินซินฉายแววสังหารรุนแรง นางกระเหี้ยนกระหือรือจะประหารเยี่ยนมี่เอ๋อร์รวมทั้งคนรอบข้างในทันที และไม่ให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว “แจ้งผู้ที่ใช้งานได้ทันที โจมตีเรือนสดับวายุคืนนี้ ให้พวกเขากวาดจับผู้หญิงคนนั้นและแม่นมสาวใช้คนสนิทที่อยู่รอบตัวนางไม่ให้รอดออกไปแม้แต่รายเดียว หากจำเป็นล่ะก็ เรือนสดับวายุจะนองเลือดก็ไม่ว่ากัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างไร้ปรานีว่า “จะต้องลงมือทำตอนที่พวกนางไม่ทันระวังตัวเลย มิฉะนั้นจะพลาดโอกาส!” “ท่านหมายความว่าถ้ายืดเยื้ออาจเปลี่ยนไปในทางไม่ดีหรือเจ้าคะ?” ทั่วป๋าฉินซินเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร พยักหน้าและไปจัดเตรียมในฉับพลัน “ฮูหยินใหญ่ อภัยที่บ่าวพูดในสิ่งที่มิบังควรจะพูดนะเจ้าคะ!” แม่นมหนิงกล่าวหลังจากแน่ใจว่าทั่วป๋าฉินซินออกไปแล้วกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยผู้ซึ่งมีสีหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูนิสัยใจดำอำมหิต แต่มีเชาวน์ไม่พอ จิตใจไม่มั่นคง นับประสาจะรู้บุญคุณเพียงเล็กน้อย ต่อให้ท่านจะช่วยนางขจัดสะใภ้ใหญ่ คุณชายใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง การแต่งกับนางก็ไม่แน่ว่าจะปรองดองกับนางได้ เมื่อถึงเวลานั้น ยังไม่ทราบว่านางจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรเลยนะเจ้าคะ!” “ข้ารู้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหลับตาแล้วพูดอย่างปวดร้าวใจว่า “แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทั่วป๋ากับตระกูลซั่งกวนเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ฮ่าวเอ๋อร์ก็ดีกับตระกูลทั่วป๋าขึ้นนิดหน่อย นึกถึงบ้านตาของเขาอยู่บ้าง ส่วนเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่เพียงไม่รู้สึกดีกับตระกูลทั่วป๋า ถึงขั้นจงใจเหินห่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องเทียบกับตระกูลหวงฝู่และตระกูลชุย ยังใกล้ชิดกับตระกูลมู่หรงเสียมากกว่า เชียนเย่าไม่สบายใจ ตระกูลทั่วป๋าอยู่ในมือของเขามาหลายปีเช่นนี้ก็ได้แค่อนุรักษ์ของบรรพชนไว้ ไร้การพัฒนา สำหรับฉินหลิ่งมีปณิธานอันยิ่งใหญ่และมีความสามารถ ถ้าฉินซินเป็นภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์ได้ แม้จะเป็นแค่ภรรยาพ่อม่ายเมียตายก็ตาม จะช่วยตระกูลทั่วป๋าได้มหาศาล ข้าในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลทั่วป๋า จะต้องพยายามช่วยพวกเขาอย่างสุดกำลัง ต่อให้จะรู้ว่าฉินซินอาจเป็นหมาป่าตาขาวที่เนรคุณก็มิอาจปฏิเสธได้! แม่นมหนิง เจ้าก็ให้คนระวังพิงถิงไว้ด้วย!” “นางมีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ?” แม่นมหนิงผงะ รู้สึกว่าพิงถิงเงียบขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม “นางไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่นางจงเกลียดจงชังฉินซินเข้ากระดูกดำไปแล้ว แม้จะอยู่ในตระกูลซั่งกวน แต่ก็ยังพิพักพิพ่วนว่าฉินซินจะวางยานาง! ถ้านางไม่เป็นอะไรก็อย่าออกไปข้างนอก อย่าติดต่อกับฉินซิน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ไม่รู้สึกว่าหลานสาวมีอะไรผิดปกติ แต่เป็นห่วงว่าถ้าฉินซินพลาดพลั้งไป ไม่สามารถฆ่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้ อาจมาระบายความโกรธกับพิงถิง “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงตกใจสะดุ้งโหยง ละล่ำละลักพูดว่า “บ่าวจะจัดการตามนี้เจ้าค่ะ” ครั้นเห็นแม่นมหนิงลนลานจากไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทอดถอนใจ นางผิดหวังกับฉินซินมากขึ้นเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ตนเฝ้าดูจนเติบใหญ่ผู้นี้ที่รู้สึกว่าไร้เดียงสาน่าเอ็นดูและค่อนข้างเอาแต่ใจกลับดูน่ารักมาตลอดนั้นพอเลิกเสแสร้งจะเป็นเช่นนั้น ทั้งเห็นแก่ตัวและร้ายกาจ ถ้าตัวเองอยากได้ก็ต้องได้ ไม่ได้มีจิตใจเมตตาอ่อนโยน แต่ทั้งๆ ที่ยังข้ามแม่น้ำไม่ได้ ก็พร้อมจะพังสะพานเสียแล้ว จะแสดงเจตจำนงที่เด่นชัดมากเช่นนี้ออกมามิได้! ถ้าตระกูลทั่วป๋ามีลูกสาวสายตรงคนอื่นๆ ตนจะยังเลือกนางอยู่ไหมเล่า? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยส่ายหัวดิก โยนความคิดนี้ออกไป นางไม่มีทางเลือกอื่นสินะ! “ลุงจิ่น ที่นี่คือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยด้วยความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็มีปฏิกิริยาทันทีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจัดกลเมืองร้างที่เรือนสดับวายุ!” “ไม่ใช่กลเมืองร้าง แต่เป็นเชิญท่านลงอ่างดาบนั้นคืนสนอง!” ซั่งกวนจิ่นเผยยิ้มอ่อนพลางกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องว้าวุ่นใจ นี่เป็นสถานที่ที่คุณชายใหญ่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ หากในจวนไม่ปลอดภัย เรือนสดับวายุจะไม่ปลอดภัยยิ่งกว่า สถานที่แห่งนี้ออกจะเล็กไปหน่อย แต่ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนเป็นที่ดินทรัพย์สินของตระกูลซั่งกวน เป็นไปไม่ได้ที่ใครหน้าไหนจะแอบเข้ามาในที่นี้โดยไม่ทำให้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบตกใจตื่น ผู้น้อยได้เตรียมการอื่นๆ ในเรือนสดับวายุไว้ตั้งนานแล้ว หากไม่มีใครคิดอกุศลก็จบ! ทว่าถ้ามีคนคิดจะทำอะไรบางอย่าง ย่อมมีใครสักคนไว้ต้อนรับพวกเขาขอรับ!” ดูท่าข้ายังประเมินเจวี๋ยต่ำไป! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เดิมคิดว่าเขาเพียงแค่ทำความสะอาดเรือนสดับวายุ ให้ตัวเองไปหลบทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มาข่มเหงชั่วคราว ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตริตรองได้รอบคอบเช่นนี้ แต่คือ… “ลุงจิ่น ข้าต้องอยู่ที่นี่เท่านั้นหรือ? ข้ายังคิดว่าถ้าเป็นไปได้ อยากไปเดินเที่ยวรอบๆ เมือง ซื้อของพวกแป้งประทินโฉมเพิ่มเติมนิดหน่อยจะได้ไหมเอ่ย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปรยขึ้นอย่างค่อนข้างลำบากใจ “สะใภ้ใหญ่พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าต้องการซื้ออะไร ให้พ่อค้าจัดส่งให้ได้โดยตรงขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นนึกถึงสาวใช้ที่ซุ่มซ่ามผู้นั้นด้วยรอยยิ้มที่รู้ใจ ผู้หญิงช่างเรื่องเยอะ “ดีมากเลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้มพลันพูดว่า “ลุงจิ่น ถ้าเรือนสดับวายุฟากนั้นเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็พยายามอย่าปล่อยพยานไว้เด็ดขาด บางครั้งบางเรื่องรู้ดีอยู่แก่ใจก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจบไม่สวยจนถึงที่สุด!” ซั่งกวนจิ่นตกใจเล็กน้อย เขาก็คิดแบบเดียวกัน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นผู้หญิงยิงเรือจะคิดถึงจุดนี้ด้วยเท่านั้นเอง… ——————-

“สะใภ้ใหญ่ อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโดยตรง หากท่านไม่วางใจเรื่องแม่นมทั้งสอง ให้พวกนางไปพักผ่อนที่เรือนอื่นชั่วคราวก็ได้!” ทันทีที่จวนด้านในเปิดประตู ซั่งกวนอิงที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็วิ่งไปบอกซั่งกวนจิ่นว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นในยามวิกาลตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่อวี่ไข่ออกไป เขาก็หลบซ่อนตัวอยู่ที่เรือนมีคู่ เพียงแต่ในเวลานั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อวี่ไข่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ มีข้ออ้างให้ยอมผ่อนปรน จึงได้จากไป

เขายังคงไม่สบายใจมาก พาสาวใช้เด็กรับใช้คนสนิทไปเฝ้านอกเรือนมีคู่ตลอดทั้งคืน ป้องกันไม่ให้พวกเขาย้อนกลับมากลั่นแกล้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีก ครั้นม่านเหอเห็นก็ให้ออกไปเขาก็ไม่ยอม ให้เขาไปพักผ่อนที่เรือนเขาก็กังวลว่าข่าวลืออะไรทำนองนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่ได้เข้าไป เพียงเฝ้ายามอยู่นอกเรือนทั้งคืน โชคดีที่เป็นเดือนเจ็ดแล้ว อากาศร้อนอบอ้าว กลางคืนก็เพียงแค่เย็นลงเล็กน้อยและไม่หนาวจัด ม่านเหอและคนอื่นๆ ก็ปล่อยตามใจเขา

“ลุงจิ่น…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืน ยังคงมีอาการเหนื่อยล้าจางๆ บนใบหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “อันที่จริงเมื่อข่าวลือพรรค์นั้นแพร่กระจายไปข้าก็รู้ว่าฮูหยินใหญ่สร้างขึ้นมาในคราวนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้ข้าชื่อเสียงป่นปี้ย่อยยับซึ่งก็ไม่เต็มใจรับ ในเวลานั้นข้าควรทำตามที่สามีบอกไว้ ไปหลบภัยที่เรือนสดับวายุ จึงไม่ควรลังเล แต่ข้าเองก็มีความหวังกับพวกเขาอยู่บ้าง ไม่อยากคิดว่าพวกเขาจะคิดเลวร้ายถึงที่สุด ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลจะละล้าละลัง สามีได้จัดเตรียมเรือนสดับวายุไว้แล้วเช่นกัน ข้าไปรอสามีกลับมาที่นั่นก็เหมือนกัน ข้าพะว้าพะวังว่า ถ้าข้าอยู่ต่อไป ก็พูดยากว่าฮูหยินใหญ่จะโยนความผิดให้ข้าตามใจชอบ อาจจะ…ให้ข้าโดยตรง”

“เป็นความผิดของข้าทั้งหมดที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องจนทำให้สะใภ้ใหญ่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นถอนหายใจ พอฟังแล้วเขารู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าฮูหยินใหญ่เป็นบ้า! หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับสะใภ้ใหญ่ นางคงแบกรับกับผลที่ตามมาไม่ได้แน่ แต่…ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้สติเลย

“คิดถึงเรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อและสามีไม่อยู่ ไม่มีใครเข้าออกได้หลังจากลั่นดาลประตู โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นเช่นนี้แล้วด้วย ฮูหยินใหญ่แน่ใจว่าจะไม่มีใครรายงานเจ้าได้ และต่อให้จะรายงาน ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะเข้ามาในจวนได้ และจะไม่ทำอะไรแบบนั้น ลุงจิ่น นางเป็นผู้อาวุโส และข้าเป็นเพียงเจ้าสาวมือใหม่ อย่าเผชิญหน้าโดยตรงจะดีกว่า!”

“เป็นอย่างนั้นก็ดี!” ซั่งกวนจิ่นก็รู้ว่าเมื่อลั่นดาลประตูเขาก็ช่วยแก้จุดอ่อนไม่ทัน จึงพูดว่า “คุณชายใหญ่ได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะออกไป ดังนั้นจึงได้ทำความสะอาดเรือนอื่นๆ อย่างดีไว้แล้ว ได้เสริมกำลังป้องกันและองครักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะมีคนอยากเดิมพันหมดหน้าตัก ใช้วิธีการที่หยาบช้าสารพัดก็จะทำไม่สำเร็จ ทว่าข้างกายสะใภ้ใหญ่นอกจากสาวใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุดแล้ว พวกนางคนอื่นๆ ก็ให้อยู่ในจวน เผื่อว่าคนรอบข้างจะไม่พอใจ”

ซั่งกวนจิ่นยังจำเหตุการณ์ยาพิษได้ แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเพียงแค่ให้ขนมที่มีพิษกับตัวเอง ก็ไม่ได้บอกว่าต้องสอบสวนและไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เขายังตรวจพบว่า นั่นเป็น ‘พิษกร่อนประสาท’ คือยาพิษที่รุนแรงมากชนิดหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เคยใช้ตอนที่อายุยังน้อย ตามข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยาชนิดนั้นมาจากตระกูลทั่วป๋า ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบทั่วป๋าฉินซิน และสาวใช้คนนั้นก็ไม่ยอมลดละ บอกว่าเอามาเลี้ยงปลาก็เลี้ยงปลาสิ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าสาวใช้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะน่าไว้วางใจทุกคน ควรระมัดระวังไว้จะดีที่สุด

“ขอบคุณลุงจิ่นที่ช่วยเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนสถานการณ์เหล่านี้ไว้นานแล้ว นอกจากแม่นมสาวใช้ที่ติดตามมาจากอู๋โจวแล้ว ยังเพิ่มม่านเหอมาด้วยอีกคนหนึ่ง แม้แต่ช่าจื่อก็ปล่อยให้นางอยู่ในจวน พอได้ยินก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็มีแผนเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่สาวใช้เหล่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีเจตนาไม่ดีเสมอไป ข้ายังกังวลว่าฮูหยินใหญ่จะระบายความโกรธกับพวกนางหลังจากรู้ว่าข้าจากไป ขอลุงจิ่นจัดการให้พวกนางออกไปชั่วคราวสักสองสามวัน หรือเพียงแค่ปล่อยให้พวกนางกลับบ้านสักสองสามวัน เมื่อข้ากลับจวนค่อยกลับมารายงานก็ได้”

“ฝากเรื่องนี้ไว้กับข้าได้ขอรับ” ซั่งกวนจิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่า สะใภ้ใหญ่เก็บสัมภาระแล้วหรือยัง? หรือว่าจะให้ผู้น้อยไปส่งพวกท่านถึงเรือนอื่นด้วยตัวเองจะปลอดภัยกว่านะขอรับ”

“พวกข้าเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกจากจวนได้ทันที” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะหวาดกลัว อยากจะออกไปเสียเดี๋ยวนี้

“ถ้าอย่างนั้นเราออกไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” ซั่งกวนจิ่นต้องการส่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่เรือนอีกแห่งให้เร็วขึ้น ซึ่งสร้างไว้แล้วประหนึ่งถังเหล็กก็มิปาน ตราบใดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดๆ

“ยังมีอีก ลุงจิ่นโปรดช่วยอธิบายกับน้องอิงด้วย ดูคล้ายว่าเขาจะทุกข์ หงุดหงิดและรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าหลังจากที่ซั่งกวนอิงอยู่เฝ้าทั้งคืนนอกจากซาบซึ้งใจแล้ว ยังรู้สึกผิดเล็กน้อยอีกด้วย

“ข้าทราบแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าตัวเขาเองทำผิดต่อคำขอของคุณชายใหญ่ ทั้งยังทำให้ท่านน้อยเนื้อต่ำใจ จึงเสียใจมาก รอให้ผ่านไปสักสองสามวัน หลังจากอารมณ์ของเขาสงบลงเล็กน้อย ข้าจะสอนเขาให้ได้ สะใภ้ใหญ่โปรดวางใจขอรับ “ซั่งกวนจิ่นผงกศีรษะและยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ เชิญขึ้นเกี้ยวขอรับ!”

“สะใภ้ใหญ่ โอ๊ะ!” เซียงเสวี่ยรีบลงมาจากชั้นบน ไม่ทันระวังจึงเหยียบพลาด คนทั้งร่างก็กลิ้งหลุนๆ ลงมา ขวดและไหในมือก็หกและแตกออกไปทั่วพื้น

“จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยได้ม่านเหอและม่านเหลียนเข้ามาช่วย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่นางมองสิ่งของบนพื้นด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้

“ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างขบขันพลางกล่าวว่า “อย่ากังวลไป รอไปถึงเรือนสดับวายุแล้วหาเวลาไปซื้อของที่ตลาดเครื่องประทินโฉมก็ได้แล้ว!”

“โอ๊ย!” เซียงเสวี่ยทำหน้าเบ้ถูกม่านเหอยัดเข้าไปในเกี้ยว เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลันลุกขึ้นเกี้ยว ซั่งกวนจิ่นยังวิตกว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะเข้ามายุ่งแทรกแซงกะทันหัน แม้แต่แม่นมฉินและคนอื่นๆ ก็เตรียมขึ้นเกี้ยวเล็ก เมื่อพวกนางขึ้นเกี้ยว โบกมือทันที แล้วออกจากเรือนมีคู่อย่างรวดเร็ว

“พวกเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินเต้นแร้งเต้นกาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมเร็วเช่นนี้? ข้ายังไม่ทันได้สั่งคนให้ฆ่ากลางทางเลยนะ?”

“พ่อบ้านจิ่นไปส่งนางด้วยตัวเอง ต่อให้จะนัดหมายปล้นฆ่าก็ป่วยการ กลับจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียด้วยซ้ำ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจ้องเขม็งทั่วป๋าฉินซินปราดหนึ่งเพราะข่มโทสะไม่ไหว แล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าคิดว่าพ่อบ้านจิ่นไร้พิษสง ถ้าไม่ใช่เพราะพะวักพะวนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกลางทาง ไฉนเขาถึงออกไปส่งด้วยตัวเองเล่า?”

“เขาเป็นแค่พ่อบ้านเท่านั้นเอง!” ทั่วป๋าฉินซินไม่เคยเชื่อมโยงคำว่า ‘ร้ายกาจ’ กับซั่งกวนจิ่นเลย มักจะรู้สึกว่าเขาเป็นแค่ทาสขั้นสูงผู้หนึ่ง

“แค่พ่อบ้านเท่านั้นเองหรือ? ลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวนมีหลายคน ผู้ที่โดดเด่นและจัดการทุกอย่างยามที่ฮ่าวเอ๋อร์ยังเด็กนั้นก็คือเขา เมื่อฮ่าวเอ๋อร์เข้ามาเป็นหัวหน้าตระกูลเขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ช่วยมือขวา แค่เป็นพ่อบ้านจะง่ายดายขนาดนั้นหรือ? ถึงแม้พ่อบ้านจิ่นจะไม่เคยแสดงวรยุทธ์ต่อหน้าข้า แต่ข้าเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในตองอูที่ร้ายกาจมากที่สุดในตระกูลซั่งกวนแน่นอน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะโง่บรมขนาดนี้ แต่ลองคิดดูอีกก็โล่งใจ บุตรีสูงส่งของตระกูลขุนนางล้วนเป็นแบบนี้ เมื่อยังเป็นสาวรอออกเรือนนั้นครอบครัวจะไม่ปล่อยให้นางเข้ามาแทรกแซงกิจการของวงศ์ตระกูลแต่อย่างใด หลังจากแต่งงานเป็นภรรยา ก็ไร้ความหวังว่านางจะเข้าใจเรื่องราวภายในของครอบครัวสามีได้ทันที และส่งมันกลับไป ในตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรือ

“แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ในดวงตาของทั่วป๋าฉินซินฉายแววสังหารรุนแรง นางกระเหี้ยนกระหือรือจะประหารเยี่ยนมี่เอ๋อร์รวมทั้งคนรอบข้างในทันที และไม่ให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

“แจ้งผู้ที่ใช้งานได้ทันที โจมตีเรือนสดับวายุคืนนี้ ให้พวกเขากวาดจับผู้หญิงคนนั้นและแม่นมสาวใช้คนสนิทที่อยู่รอบตัวนางไม่ให้รอดออกไปแม้แต่รายเดียว หากจำเป็นล่ะก็ เรือนสดับวายุจะนองเลือดก็ไม่ว่ากัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างไร้ปรานีว่า “จะต้องลงมือทำตอนที่พวกนางไม่ทันระวังตัวเลย มิฉะนั้นจะพลาดโอกาส!”

“ท่านหมายความว่าถ้ายืดเยื้ออาจเปลี่ยนไปในทางไม่ดีหรือเจ้าคะ?” ทั่วป๋าฉินซินเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร พยักหน้าและไปจัดเตรียมในฉับพลัน

“ฮูหยินใหญ่ อภัยที่บ่าวพูดในสิ่งที่มิบังควรจะพูดนะเจ้าคะ!” แม่นมหนิงกล่าวหลังจากแน่ใจว่าทั่วป๋าฉินซินออกไปแล้วกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยผู้ซึ่งมีสีหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูนิสัยใจดำอำมหิต แต่มีเชาวน์ไม่พอ จิตใจไม่มั่นคง นับประสาจะรู้บุญคุณเพียงเล็กน้อย ต่อให้ท่านจะช่วยนางขจัดสะใภ้ใหญ่ คุณชายใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง การแต่งกับนางก็ไม่แน่ว่าจะปรองดองกับนางได้ เมื่อถึงเวลานั้น ยังไม่ทราบว่านางจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรเลยนะเจ้าคะ!”

“ข้ารู้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหลับตาแล้วพูดอย่างปวดร้าวใจว่า “แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทั่วป๋ากับตระกูลซั่งกวนเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ฮ่าวเอ๋อร์ก็ดีกับตระกูลทั่วป๋าขึ้นนิดหน่อย นึกถึงบ้านตาของเขาอยู่บ้าง ส่วนเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่เพียงไม่รู้สึกดีกับตระกูลทั่วป๋า ถึงขั้นจงใจเหินห่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องเทียบกับตระกูลหวงฝู่และตระกูลชุย ยังใกล้ชิดกับตระกูลมู่หรงเสียมากกว่า เชียนเย่าไม่สบายใจ ตระกูลทั่วป๋าอยู่ในมือของเขามาหลายปีเช่นนี้ก็ได้แค่อนุรักษ์ของบรรพชนไว้ ไร้การพัฒนา สำหรับฉินหลิ่งมีปณิธานอันยิ่งใหญ่และมีความสามารถ ถ้าฉินซินเป็นภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์ได้ แม้จะเป็นแค่ภรรยาพ่อม่ายเมียตายก็ตาม จะช่วยตระกูลทั่วป๋าได้มหาศาล ข้าในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลทั่วป๋า จะต้องพยายามช่วยพวกเขาอย่างสุดกำลัง ต่อให้จะรู้ว่าฉินซินอาจเป็นหมาป่าตาขาวที่เนรคุณก็มิอาจปฏิเสธได้! แม่นมหนิง เจ้าก็ให้คนระวังพิงถิงไว้ด้วย!”

“นางมีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ?” แม่นมหนิงผงะ รู้สึกว่าพิงถิงเงียบขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม

“นางไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่นางจงเกลียดจงชังฉินซินเข้ากระดูกดำไปแล้ว แม้จะอยู่ในตระกูลซั่งกวน แต่ก็ยังพิพักพิพ่วนว่าฉินซินจะวางยานาง! ถ้านางไม่เป็นอะไรก็อย่าออกไปข้างนอก อย่าติดต่อกับฉินซิน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ไม่รู้สึกว่าหลานสาวมีอะไรผิดปกติ แต่เป็นห่วงว่าถ้าฉินซินพลาดพลั้งไป ไม่สามารถฆ่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้ อาจมาระบายความโกรธกับพิงถิง

“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงตกใจสะดุ้งโหยง ละล่ำละลักพูดว่า “บ่าวจะจัดการตามนี้เจ้าค่ะ”

ครั้นเห็นแม่นมหนิงลนลานจากไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทอดถอนใจ นางผิดหวังกับฉินซินมากขึ้นเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ตนเฝ้าดูจนเติบใหญ่ผู้นี้ที่รู้สึกว่าไร้เดียงสาน่าเอ็นดูและค่อนข้างเอาแต่ใจกลับดูน่ารักมาตลอดนั้นพอเลิกเสแสร้งจะเป็นเช่นนั้น ทั้งเห็นแก่ตัวและร้ายกาจ ถ้าตัวเองอยากได้ก็ต้องได้ ไม่ได้มีจิตใจเมตตาอ่อนโยน แต่ทั้งๆ ที่ยังข้ามแม่น้ำไม่ได้ ก็พร้อมจะพังสะพานเสียแล้ว จะแสดงเจตจำนงที่เด่นชัดมากเช่นนี้ออกมามิได้!

ถ้าตระกูลทั่วป๋ามีลูกสาวสายตรงคนอื่นๆ ตนจะยังเลือกนางอยู่ไหมเล่า? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยส่ายหัวดิก โยนความคิดนี้ออกไป นางไม่มีทางเลือกอื่นสินะ!

“ลุงจิ่น ที่นี่คือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยด้วยความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็มีปฏิกิริยาทันทีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจัดกลเมืองร้างที่เรือนสดับวายุ!”

“ไม่ใช่กลเมืองร้าง แต่เป็นเชิญท่านลงอ่างดาบนั้นคืนสนอง!” ซั่งกวนจิ่นเผยยิ้มอ่อนพลางกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องว้าวุ่นใจ นี่เป็นสถานที่ที่คุณชายใหญ่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ หากในจวนไม่ปลอดภัย เรือนสดับวายุจะไม่ปลอดภัยยิ่งกว่า สถานที่แห่งนี้ออกจะเล็กไปหน่อย แต่ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนเป็นที่ดินทรัพย์สินของตระกูลซั่งกวน เป็นไปไม่ได้ที่ใครหน้าไหนจะแอบเข้ามาในที่นี้โดยไม่ทำให้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบตกใจตื่น ผู้น้อยได้เตรียมการอื่นๆ ในเรือนสดับวายุไว้ตั้งนานแล้ว หากไม่มีใครคิดอกุศลก็จบ! ทว่าถ้ามีคนคิดจะทำอะไรบางอย่าง ย่อมมีใครสักคนไว้ต้อนรับพวกเขาขอรับ!”

ดูท่าข้ายังประเมินเจวี๋ยต่ำไป! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เดิมคิดว่าเขาเพียงแค่ทำความสะอาดเรือนสดับวายุ ให้ตัวเองไปหลบทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มาข่มเหงชั่วคราว ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตริตรองได้รอบคอบเช่นนี้ แต่คือ…

“ลุงจิ่น ข้าต้องอยู่ที่นี่เท่านั้นหรือ? ข้ายังคิดว่าถ้าเป็นไปได้ อยากไปเดินเที่ยวรอบๆ เมือง ซื้อของพวกแป้งประทินโฉมเพิ่มเติมนิดหน่อยจะได้ไหมเอ่ย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปรยขึ้นอย่างค่อนข้างลำบากใจ

“สะใภ้ใหญ่พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าต้องการซื้ออะไร ให้พ่อค้าจัดส่งให้ได้โดยตรงขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นนึกถึงสาวใช้ที่ซุ่มซ่ามผู้นั้นด้วยรอยยิ้มที่รู้ใจ ผู้หญิงช่างเรื่องเยอะ

“ดีมากเลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้มพลันพูดว่า “ลุงจิ่น ถ้าเรือนสดับวายุฟากนั้นเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็พยายามอย่าปล่อยพยานไว้เด็ดขาด บางครั้งบางเรื่องรู้ดีอยู่แก่ใจก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจบไม่สวยจนถึงที่สุด!”

ซั่งกวนจิ่นตกใจเล็กน้อย เขาก็คิดแบบเดียวกัน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นผู้หญิงยิงเรือจะคิดถึงจุดนี้ด้วยเท่านั้นเอง…

——————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 163 ออกจากจวน

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 163 ออกจากจวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“สะใภ้ใหญ่ อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโดยตรง หากท่านไม่วางใจเรื่องแม่นมทั้งสอง ให้พวกนางไปพักผ่อนที่เรือนอื่นชั่วคราวก็ได้!” ทันทีที่จวนด้านในเปิดประตู ซั่งกวนอิงที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็วิ่งไปบอกซั่งกวนจิ่นว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นในยามวิกาลตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่อวี่ไข่ออกไป เขาก็หลบซ่อนตัวอยู่ที่เรือนมีคู่ เพียงแต่ในเวลานั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อวี่ไข่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ มีข้ออ้างให้ยอมผ่อนปรน จึงได้จากไป เขายังคงไม่สบายใจมาก พาสาวใช้เด็กรับใช้คนสนิทไปเฝ้านอกเรือนมีคู่ตลอดทั้งคืน ป้องกันไม่ให้พวกเขาย้อนกลับมากลั่นแกล้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีก ครั้นม่านเหอเห็นก็ให้ออกไปเขาก็ไม่ยอม ให้เขาไปพักผ่อนที่เรือนเขาก็กังวลว่าข่าวลืออะไรทำนองนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่ได้เข้าไป เพียงเฝ้ายามอยู่นอกเรือนทั้งคืน โชคดีที่เป็นเดือนเจ็ดแล้ว อากาศร้อนอบอ้าว กลางคืนก็เพียงแค่เย็นลงเล็กน้อยและไม่หนาวจัด ม่านเหอและคนอื่นๆ ก็ปล่อยตามใจเขา “ลุงจิ่น…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืน ยังคงมีอาการเหนื่อยล้าจางๆ บนใบหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “อันที่จริงเมื่อข่าวลือพรรค์นั้นแพร่กระจายไปข้าก็รู้ว่าฮูหยินใหญ่สร้างขึ้นมาในคราวนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้ข้าชื่อเสียงป่นปี้ย่อยยับซึ่งก็ไม่เต็มใจรับ ในเวลานั้นข้าควรทำตามที่สามีบอกไว้ ไปหลบภัยที่เรือนสดับวายุ จึงไม่ควรลังเล แต่ข้าเองก็มีความหวังกับพวกเขาอยู่บ้าง ไม่อยากคิดว่าพวกเขาจะคิดเลวร้ายถึงที่สุด ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลจะละล้าละลัง สามีได้จัดเตรียมเรือนสดับวายุไว้แล้วเช่นกัน ข้าไปรอสามีกลับมาที่นั่นก็เหมือนกัน ข้าพะว้าพะวังว่า ถ้าข้าอยู่ต่อไป ก็พูดยากว่าฮูหยินใหญ่จะโยนความผิดให้ข้าตามใจชอบ อาจจะ…ให้ข้าโดยตรง” “เป็นความผิดของข้าทั้งหมดที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องจนทำให้สะใภ้ใหญ่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นถอนหายใจ พอฟังแล้วเขารู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าฮูหยินใหญ่เป็นบ้า! หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับสะใภ้ใหญ่ นางคงแบกรับกับผลที่ตามมาไม่ได้แน่ แต่…ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้สติเลย “คิดถึงเรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อและสามีไม่อยู่ ไม่มีใครเข้าออกได้หลังจากลั่นดาลประตู โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นเช่นนี้แล้วด้วย ฮูหยินใหญ่แน่ใจว่าจะไม่มีใครรายงานเจ้าได้ และต่อให้จะรายงาน ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะเข้ามาในจวนได้ และจะไม่ทำอะไรแบบนั้น ลุงจิ่น นางเป็นผู้อาวุโส และข้าเป็นเพียงเจ้าสาวมือใหม่ อย่าเผชิญหน้าโดยตรงจะดีกว่า!” “เป็นอย่างนั้นก็ดี!” ซั่งกวนจิ่นก็รู้ว่าเมื่อลั่นดาลประตูเขาก็ช่วยแก้จุดอ่อนไม่ทัน จึงพูดว่า “คุณชายใหญ่ได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะออกไป ดังนั้นจึงได้ทำความสะอาดเรือนอื่นๆ อย่างดีไว้แล้ว ได้เสริมกำลังป้องกันและองครักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะมีคนอยากเดิมพันหมดหน้าตัก ใช้วิธีการที่หยาบช้าสารพัดก็จะทำไม่สำเร็จ ทว่าข้างกายสะใภ้ใหญ่นอกจากสาวใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุดแล้ว พวกนางคนอื่นๆ ก็ให้อยู่ในจวน เผื่อว่าคนรอบข้างจะไม่พอใจ” ซั่งกวนจิ่นยังจำเหตุการณ์ยาพิษได้ แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเพียงแค่ให้ขนมที่มีพิษกับตัวเอง ก็ไม่ได้บอกว่าต้องสอบสวนและไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เขายังตรวจพบว่า นั่นเป็น ‘พิษกร่อนประสาท’ คือยาพิษที่รุนแรงมากชนิดหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เคยใช้ตอนที่อายุยังน้อย ตามข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยาชนิดนั้นมาจากตระกูลทั่วป๋า ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบทั่วป๋าฉินซิน และสาวใช้คนนั้นก็ไม่ยอมลดละ บอกว่าเอามาเลี้ยงปลาก็เลี้ยงปลาสิ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าสาวใช้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะน่าไว้วางใจทุกคน ควรระมัดระวังไว้จะดีที่สุด “ขอบคุณลุงจิ่นที่ช่วยเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนสถานการณ์เหล่านี้ไว้นานแล้ว นอกจากแม่นมสาวใช้ที่ติดตามมาจากอู๋โจวแล้ว ยังเพิ่มม่านเหอมาด้วยอีกคนหนึ่ง แม้แต่ช่าจื่อก็ปล่อยให้นางอยู่ในจวน พอได้ยินก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็มีแผนเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่สาวใช้เหล่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีเจตนาไม่ดีเสมอไป ข้ายังกังวลว่าฮูหยินใหญ่จะระบายความโกรธกับพวกนางหลังจากรู้ว่าข้าจากไป ขอลุงจิ่นจัดการให้พวกนางออกไปชั่วคราวสักสองสามวัน หรือเพียงแค่ปล่อยให้พวกนางกลับบ้านสักสองสามวัน เมื่อข้ากลับจวนค่อยกลับมารายงานก็ได้” “ฝากเรื่องนี้ไว้กับข้าได้ขอรับ” ซั่งกวนจิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่า สะใภ้ใหญ่เก็บสัมภาระแล้วหรือยัง? หรือว่าจะให้ผู้น้อยไปส่งพวกท่านถึงเรือนอื่นด้วยตัวเองจะปลอดภัยกว่านะขอรับ” “พวกข้าเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกจากจวนได้ทันที” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะหวาดกลัว อยากจะออกไปเสียเดี๋ยวนี้ “ถ้าอย่างนั้นเราออกไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” ซั่งกวนจิ่นต้องการส่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่เรือนอีกแห่งให้เร็วขึ้น ซึ่งสร้างไว้แล้วประหนึ่งถังเหล็กก็มิปาน ตราบใดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดๆ “ยังมีอีก ลุงจิ่นโปรดช่วยอธิบายกับน้องอิงด้วย ดูคล้ายว่าเขาจะทุกข์ หงุดหงิดและรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าหลังจากที่ซั่งกวนอิงอยู่เฝ้าทั้งคืนนอกจากซาบซึ้งใจแล้ว ยังรู้สึกผิดเล็กน้อยอีกด้วย “ข้าทราบแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าตัวเขาเองทำผิดต่อคำขอของคุณชายใหญ่ ทั้งยังทำให้ท่านน้อยเนื้อต่ำใจ จึงเสียใจมาก รอให้ผ่านไปสักสองสามวัน หลังจากอารมณ์ของเขาสงบลงเล็กน้อย ข้าจะสอนเขาให้ได้ สะใภ้ใหญ่โปรดวางใจขอรับ “ซั่งกวนจิ่นผงกศีรษะและยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ เชิญขึ้นเกี้ยวขอรับ!” “สะใภ้ใหญ่ โอ๊ะ!” เซียงเสวี่ยรีบลงมาจากชั้นบน ไม่ทันระวังจึงเหยียบพลาด คนทั้งร่างก็กลิ้งหลุนๆ ลงมา ขวดและไหในมือก็หกและแตกออกไปทั่วพื้น “จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยได้ม่านเหอและม่านเหลียนเข้ามาช่วย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่นางมองสิ่งของบนพื้นด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้ “ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างขบขันพลางกล่าวว่า “อย่ากังวลไป รอไปถึงเรือนสดับวายุแล้วหาเวลาไปซื้อของที่ตลาดเครื่องประทินโฉมก็ได้แล้ว!” “โอ๊ย!” เซียงเสวี่ยทำหน้าเบ้ถูกม่านเหอยัดเข้าไปในเกี้ยว เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลันลุกขึ้นเกี้ยว ซั่งกวนจิ่นยังวิตกว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะเข้ามายุ่งแทรกแซงกะทันหัน แม้แต่แม่นมฉินและคนอื่นๆ ก็เตรียมขึ้นเกี้ยวเล็ก เมื่อพวกนางขึ้นเกี้ยว โบกมือทันที แล้วออกจากเรือนมีคู่อย่างรวดเร็ว “พวกเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินเต้นแร้งเต้นกาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมเร็วเช่นนี้? ข้ายังไม่ทันได้สั่งคนให้ฆ่ากลางทางเลยนะ?” “พ่อบ้านจิ่นไปส่งนางด้วยตัวเอง ต่อให้จะนัดหมายปล้นฆ่าก็ป่วยการ กลับจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียด้วยซ้ำ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจ้องเขม็งทั่วป๋าฉินซินปราดหนึ่งเพราะข่มโทสะไม่ไหว แล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าคิดว่าพ่อบ้านจิ่นไร้พิษสง ถ้าไม่ใช่เพราะพะวักพะวนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกลางทาง ไฉนเขาถึงออกไปส่งด้วยตัวเองเล่า?” “เขาเป็นแค่พ่อบ้านเท่านั้นเอง!” ทั่วป๋าฉินซินไม่เคยเชื่อมโยงคำว่า ‘ร้ายกาจ’ กับซั่งกวนจิ่นเลย มักจะรู้สึกว่าเขาเป็นแค่ทาสขั้นสูงผู้หนึ่ง “แค่พ่อบ้านเท่านั้นเองหรือ? ลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวนมีหลายคน ผู้ที่โดดเด่นและจัดการทุกอย่างยามที่ฮ่าวเอ๋อร์ยังเด็กนั้นก็คือเขา เมื่อฮ่าวเอ๋อร์เข้ามาเป็นหัวหน้าตระกูลเขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ช่วยมือขวา แค่เป็นพ่อบ้านจะง่ายดายขนาดนั้นหรือ? ถึงแม้พ่อบ้านจิ่นจะไม่เคยแสดงวรยุทธ์ต่อหน้าข้า แต่ข้าเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในตองอูที่ร้ายกาจมากที่สุดในตระกูลซั่งกวนแน่นอน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะโง่บรมขนาดนี้ แต่ลองคิดดูอีกก็โล่งใจ บุตรีสูงส่งของตระกูลขุนนางล้วนเป็นแบบนี้ เมื่อยังเป็นสาวรอออกเรือนนั้นครอบครัวจะไม่ปล่อยให้นางเข้ามาแทรกแซงกิจการของวงศ์ตระกูลแต่อย่างใด หลังจากแต่งงานเป็นภรรยา ก็ไร้ความหวังว่านางจะเข้าใจเรื่องราวภายในของครอบครัวสามีได้ทันที และส่งมันกลับไป ในตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรือ “แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ในดวงตาของทั่วป๋าฉินซินฉายแววสังหารรุนแรง นางกระเหี้ยนกระหือรือจะประหารเยี่ยนมี่เอ๋อร์รวมทั้งคนรอบข้างในทันที และไม่ให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว “แจ้งผู้ที่ใช้งานได้ทันที โจมตีเรือนสดับวายุคืนนี้ ให้พวกเขากวาดจับผู้หญิงคนนั้นและแม่นมสาวใช้คนสนิทที่อยู่รอบตัวนางไม่ให้รอดออกไปแม้แต่รายเดียว หากจำเป็นล่ะก็ เรือนสดับวายุจะนองเลือดก็ไม่ว่ากัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างไร้ปรานีว่า “จะต้องลงมือทำตอนที่พวกนางไม่ทันระวังตัวเลย มิฉะนั้นจะพลาดโอกาส!” “ท่านหมายความว่าถ้ายืดเยื้ออาจเปลี่ยนไปในทางไม่ดีหรือเจ้าคะ?” ทั่วป๋าฉินซินเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร พยักหน้าและไปจัดเตรียมในฉับพลัน “ฮูหยินใหญ่ อภัยที่บ่าวพูดในสิ่งที่มิบังควรจะพูดนะเจ้าคะ!” แม่นมหนิงกล่าวหลังจากแน่ใจว่าทั่วป๋าฉินซินออกไปแล้วกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยผู้ซึ่งมีสีหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูนิสัยใจดำอำมหิต แต่มีเชาวน์ไม่พอ จิตใจไม่มั่นคง นับประสาจะรู้บุญคุณเพียงเล็กน้อย ต่อให้ท่านจะช่วยนางขจัดสะใภ้ใหญ่ คุณชายใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง การแต่งกับนางก็ไม่แน่ว่าจะปรองดองกับนางได้ เมื่อถึงเวลานั้น ยังไม่ทราบว่านางจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรเลยนะเจ้าคะ!” “ข้ารู้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหลับตาแล้วพูดอย่างปวดร้าวใจว่า “แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทั่วป๋ากับตระกูลซั่งกวนเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ฮ่าวเอ๋อร์ก็ดีกับตระกูลทั่วป๋าขึ้นนิดหน่อย นึกถึงบ้านตาของเขาอยู่บ้าง ส่วนเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่เพียงไม่รู้สึกดีกับตระกูลทั่วป๋า ถึงขั้นจงใจเหินห่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องเทียบกับตระกูลหวงฝู่และตระกูลชุย ยังใกล้ชิดกับตระกูลมู่หรงเสียมากกว่า เชียนเย่าไม่สบายใจ ตระกูลทั่วป๋าอยู่ในมือของเขามาหลายปีเช่นนี้ก็ได้แค่อนุรักษ์ของบรรพชนไว้ ไร้การพัฒนา สำหรับฉินหลิ่งมีปณิธานอันยิ่งใหญ่และมีความสามารถ ถ้าฉินซินเป็นภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์ได้ แม้จะเป็นแค่ภรรยาพ่อม่ายเมียตายก็ตาม จะช่วยตระกูลทั่วป๋าได้มหาศาล ข้าในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลทั่วป๋า จะต้องพยายามช่วยพวกเขาอย่างสุดกำลัง ต่อให้จะรู้ว่าฉินซินอาจเป็นหมาป่าตาขาวที่เนรคุณก็มิอาจปฏิเสธได้! แม่นมหนิง เจ้าก็ให้คนระวังพิงถิงไว้ด้วย!” “นางมีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ?” แม่นมหนิงผงะ รู้สึกว่าพิงถิงเงียบขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม “นางไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่นางจงเกลียดจงชังฉินซินเข้ากระดูกดำไปแล้ว แม้จะอยู่ในตระกูลซั่งกวน แต่ก็ยังพิพักพิพ่วนว่าฉินซินจะวางยานาง! ถ้านางไม่เป็นอะไรก็อย่าออกไปข้างนอก อย่าติดต่อกับฉินซิน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ไม่รู้สึกว่าหลานสาวมีอะไรผิดปกติ แต่เป็นห่วงว่าถ้าฉินซินพลาดพลั้งไป ไม่สามารถฆ่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้ อาจมาระบายความโกรธกับพิงถิง “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงตกใจสะดุ้งโหยง ละล่ำละลักพูดว่า “บ่าวจะจัดการตามนี้เจ้าค่ะ” ครั้นเห็นแม่นมหนิงลนลานจากไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทอดถอนใจ นางผิดหวังกับฉินซินมากขึ้นเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ตนเฝ้าดูจนเติบใหญ่ผู้นี้ที่รู้สึกว่าไร้เดียงสาน่าเอ็นดูและค่อนข้างเอาแต่ใจกลับดูน่ารักมาตลอดนั้นพอเลิกเสแสร้งจะเป็นเช่นนั้น ทั้งเห็นแก่ตัวและร้ายกาจ ถ้าตัวเองอยากได้ก็ต้องได้ ไม่ได้มีจิตใจเมตตาอ่อนโยน แต่ทั้งๆ ที่ยังข้ามแม่น้ำไม่ได้ ก็พร้อมจะพังสะพานเสียแล้ว จะแสดงเจตจำนงที่เด่นชัดมากเช่นนี้ออกมามิได้! ถ้าตระกูลทั่วป๋ามีลูกสาวสายตรงคนอื่นๆ ตนจะยังเลือกนางอยู่ไหมเล่า? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยส่ายหัวดิก โยนความคิดนี้ออกไป นางไม่มีทางเลือกอื่นสินะ! “ลุงจิ่น ที่นี่คือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยด้วยความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็มีปฏิกิริยาทันทีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจัดกลเมืองร้างที่เรือนสดับวายุ!” “ไม่ใช่กลเมืองร้าง แต่เป็นเชิญท่านลงอ่างดาบนั้นคืนสนอง!” ซั่งกวนจิ่นเผยยิ้มอ่อนพลางกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องว้าวุ่นใจ นี่เป็นสถานที่ที่คุณชายใหญ่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ หากในจวนไม่ปลอดภัย เรือนสดับวายุจะไม่ปลอดภัยยิ่งกว่า สถานที่แห่งนี้ออกจะเล็กไปหน่อย แต่ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนเป็นที่ดินทรัพย์สินของตระกูลซั่งกวน เป็นไปไม่ได้ที่ใครหน้าไหนจะแอบเข้ามาในที่นี้โดยไม่ทำให้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบตกใจตื่น ผู้น้อยได้เตรียมการอื่นๆ ในเรือนสดับวายุไว้ตั้งนานแล้ว หากไม่มีใครคิดอกุศลก็จบ! ทว่าถ้ามีคนคิดจะทำอะไรบางอย่าง ย่อมมีใครสักคนไว้ต้อนรับพวกเขาขอรับ!” ดูท่าข้ายังประเมินเจวี๋ยต่ำไป! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เดิมคิดว่าเขาเพียงแค่ทำความสะอาดเรือนสดับวายุ ให้ตัวเองไปหลบทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มาข่มเหงชั่วคราว ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตริตรองได้รอบคอบเช่นนี้ แต่คือ… “ลุงจิ่น ข้าต้องอยู่ที่นี่เท่านั้นหรือ? ข้ายังคิดว่าถ้าเป็นไปได้ อยากไปเดินเที่ยวรอบๆ เมือง ซื้อของพวกแป้งประทินโฉมเพิ่มเติมนิดหน่อยจะได้ไหมเอ่ย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปรยขึ้นอย่างค่อนข้างลำบากใจ “สะใภ้ใหญ่พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าต้องการซื้ออะไร ให้พ่อค้าจัดส่งให้ได้โดยตรงขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นนึกถึงสาวใช้ที่ซุ่มซ่ามผู้นั้นด้วยรอยยิ้มที่รู้ใจ ผู้หญิงช่างเรื่องเยอะ “ดีมากเลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้มพลันพูดว่า “ลุงจิ่น ถ้าเรือนสดับวายุฟากนั้นเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็พยายามอย่าปล่อยพยานไว้เด็ดขาด บางครั้งบางเรื่องรู้ดีอยู่แก่ใจก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจบไม่สวยจนถึงที่สุด!” ซั่งกวนจิ่นตกใจเล็กน้อย เขาก็คิดแบบเดียวกัน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นผู้หญิงยิงเรือจะคิดถึงจุดนี้ด้วยเท่านั้นเอง… ——————-

“สะใภ้ใหญ่ อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโดยตรง หากท่านไม่วางใจเรื่องแม่นมทั้งสอง ให้พวกนางไปพักผ่อนที่เรือนอื่นชั่วคราวก็ได้!” ทันทีที่จวนด้านในเปิดประตู ซั่งกวนอิงที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็วิ่งไปบอกซั่งกวนจิ่นว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นในยามวิกาลตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่อวี่ไข่ออกไป เขาก็หลบซ่อนตัวอยู่ที่เรือนมีคู่ เพียงแต่ในเวลานั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อวี่ไข่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ มีข้ออ้างให้ยอมผ่อนปรน จึงได้จากไป

เขายังคงไม่สบายใจมาก พาสาวใช้เด็กรับใช้คนสนิทไปเฝ้านอกเรือนมีคู่ตลอดทั้งคืน ป้องกันไม่ให้พวกเขาย้อนกลับมากลั่นแกล้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีก ครั้นม่านเหอเห็นก็ให้ออกไปเขาก็ไม่ยอม ให้เขาไปพักผ่อนที่เรือนเขาก็กังวลว่าข่าวลืออะไรทำนองนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่ได้เข้าไป เพียงเฝ้ายามอยู่นอกเรือนทั้งคืน โชคดีที่เป็นเดือนเจ็ดแล้ว อากาศร้อนอบอ้าว กลางคืนก็เพียงแค่เย็นลงเล็กน้อยและไม่หนาวจัด ม่านเหอและคนอื่นๆ ก็ปล่อยตามใจเขา

“ลุงจิ่น…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืน ยังคงมีอาการเหนื่อยล้าจางๆ บนใบหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “อันที่จริงเมื่อข่าวลือพรรค์นั้นแพร่กระจายไปข้าก็รู้ว่าฮูหยินใหญ่สร้างขึ้นมาในคราวนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้ข้าชื่อเสียงป่นปี้ย่อยยับซึ่งก็ไม่เต็มใจรับ ในเวลานั้นข้าควรทำตามที่สามีบอกไว้ ไปหลบภัยที่เรือนสดับวายุ จึงไม่ควรลังเล แต่ข้าเองก็มีความหวังกับพวกเขาอยู่บ้าง ไม่อยากคิดว่าพวกเขาจะคิดเลวร้ายถึงที่สุด ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลจะละล้าละลัง สามีได้จัดเตรียมเรือนสดับวายุไว้แล้วเช่นกัน ข้าไปรอสามีกลับมาที่นั่นก็เหมือนกัน ข้าพะว้าพะวังว่า ถ้าข้าอยู่ต่อไป ก็พูดยากว่าฮูหยินใหญ่จะโยนความผิดให้ข้าตามใจชอบ อาจจะ…ให้ข้าโดยตรง”

“เป็นความผิดของข้าทั้งหมดที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องจนทำให้สะใภ้ใหญ่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นถอนหายใจ พอฟังแล้วเขารู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าฮูหยินใหญ่เป็นบ้า! หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับสะใภ้ใหญ่ นางคงแบกรับกับผลที่ตามมาไม่ได้แน่ แต่…ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้สติเลย

“คิดถึงเรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อและสามีไม่อยู่ ไม่มีใครเข้าออกได้หลังจากลั่นดาลประตู โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นเช่นนี้แล้วด้วย ฮูหยินใหญ่แน่ใจว่าจะไม่มีใครรายงานเจ้าได้ และต่อให้จะรายงาน ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะเข้ามาในจวนได้ และจะไม่ทำอะไรแบบนั้น ลุงจิ่น นางเป็นผู้อาวุโส และข้าเป็นเพียงเจ้าสาวมือใหม่ อย่าเผชิญหน้าโดยตรงจะดีกว่า!”

“เป็นอย่างนั้นก็ดี!” ซั่งกวนจิ่นก็รู้ว่าเมื่อลั่นดาลประตูเขาก็ช่วยแก้จุดอ่อนไม่ทัน จึงพูดว่า “คุณชายใหญ่ได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะออกไป ดังนั้นจึงได้ทำความสะอาดเรือนอื่นๆ อย่างดีไว้แล้ว ได้เสริมกำลังป้องกันและองครักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะมีคนอยากเดิมพันหมดหน้าตัก ใช้วิธีการที่หยาบช้าสารพัดก็จะทำไม่สำเร็จ ทว่าข้างกายสะใภ้ใหญ่นอกจากสาวใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุดแล้ว พวกนางคนอื่นๆ ก็ให้อยู่ในจวน เผื่อว่าคนรอบข้างจะไม่พอใจ”

ซั่งกวนจิ่นยังจำเหตุการณ์ยาพิษได้ แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเพียงแค่ให้ขนมที่มีพิษกับตัวเอง ก็ไม่ได้บอกว่าต้องสอบสวนและไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เขายังตรวจพบว่า นั่นเป็น ‘พิษกร่อนประสาท’ คือยาพิษที่รุนแรงมากชนิดหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เคยใช้ตอนที่อายุยังน้อย ตามข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยาชนิดนั้นมาจากตระกูลทั่วป๋า ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบทั่วป๋าฉินซิน และสาวใช้คนนั้นก็ไม่ยอมลดละ บอกว่าเอามาเลี้ยงปลาก็เลี้ยงปลาสิ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าสาวใช้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะน่าไว้วางใจทุกคน ควรระมัดระวังไว้จะดีที่สุด

“ขอบคุณลุงจิ่นที่ช่วยเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนสถานการณ์เหล่านี้ไว้นานแล้ว นอกจากแม่นมสาวใช้ที่ติดตามมาจากอู๋โจวแล้ว ยังเพิ่มม่านเหอมาด้วยอีกคนหนึ่ง แม้แต่ช่าจื่อก็ปล่อยให้นางอยู่ในจวน พอได้ยินก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็มีแผนเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่สาวใช้เหล่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีเจตนาไม่ดีเสมอไป ข้ายังกังวลว่าฮูหยินใหญ่จะระบายความโกรธกับพวกนางหลังจากรู้ว่าข้าจากไป ขอลุงจิ่นจัดการให้พวกนางออกไปชั่วคราวสักสองสามวัน หรือเพียงแค่ปล่อยให้พวกนางกลับบ้านสักสองสามวัน เมื่อข้ากลับจวนค่อยกลับมารายงานก็ได้”

“ฝากเรื่องนี้ไว้กับข้าได้ขอรับ” ซั่งกวนจิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่า สะใภ้ใหญ่เก็บสัมภาระแล้วหรือยัง? หรือว่าจะให้ผู้น้อยไปส่งพวกท่านถึงเรือนอื่นด้วยตัวเองจะปลอดภัยกว่านะขอรับ”

“พวกข้าเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกจากจวนได้ทันที” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะหวาดกลัว อยากจะออกไปเสียเดี๋ยวนี้

“ถ้าอย่างนั้นเราออกไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” ซั่งกวนจิ่นต้องการส่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่เรือนอีกแห่งให้เร็วขึ้น ซึ่งสร้างไว้แล้วประหนึ่งถังเหล็กก็มิปาน ตราบใดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดๆ

“ยังมีอีก ลุงจิ่นโปรดช่วยอธิบายกับน้องอิงด้วย ดูคล้ายว่าเขาจะทุกข์ หงุดหงิดและรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าหลังจากที่ซั่งกวนอิงอยู่เฝ้าทั้งคืนนอกจากซาบซึ้งใจแล้ว ยังรู้สึกผิดเล็กน้อยอีกด้วย

“ข้าทราบแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าตัวเขาเองทำผิดต่อคำขอของคุณชายใหญ่ ทั้งยังทำให้ท่านน้อยเนื้อต่ำใจ จึงเสียใจมาก รอให้ผ่านไปสักสองสามวัน หลังจากอารมณ์ของเขาสงบลงเล็กน้อย ข้าจะสอนเขาให้ได้ สะใภ้ใหญ่โปรดวางใจขอรับ “ซั่งกวนจิ่นผงกศีรษะและยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ เชิญขึ้นเกี้ยวขอรับ!”

“สะใภ้ใหญ่ โอ๊ะ!” เซียงเสวี่ยรีบลงมาจากชั้นบน ไม่ทันระวังจึงเหยียบพลาด คนทั้งร่างก็กลิ้งหลุนๆ ลงมา ขวดและไหในมือก็หกและแตกออกไปทั่วพื้น

“จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยได้ม่านเหอและม่านเหลียนเข้ามาช่วย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่นางมองสิ่งของบนพื้นด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้

“ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างขบขันพลางกล่าวว่า “อย่ากังวลไป รอไปถึงเรือนสดับวายุแล้วหาเวลาไปซื้อของที่ตลาดเครื่องประทินโฉมก็ได้แล้ว!”

“โอ๊ย!” เซียงเสวี่ยทำหน้าเบ้ถูกม่านเหอยัดเข้าไปในเกี้ยว เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลันลุกขึ้นเกี้ยว ซั่งกวนจิ่นยังวิตกว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะเข้ามายุ่งแทรกแซงกะทันหัน แม้แต่แม่นมฉินและคนอื่นๆ ก็เตรียมขึ้นเกี้ยวเล็ก เมื่อพวกนางขึ้นเกี้ยว โบกมือทันที แล้วออกจากเรือนมีคู่อย่างรวดเร็ว

“พวกเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินเต้นแร้งเต้นกาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมเร็วเช่นนี้? ข้ายังไม่ทันได้สั่งคนให้ฆ่ากลางทางเลยนะ?”

“พ่อบ้านจิ่นไปส่งนางด้วยตัวเอง ต่อให้จะนัดหมายปล้นฆ่าก็ป่วยการ กลับจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียด้วยซ้ำ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจ้องเขม็งทั่วป๋าฉินซินปราดหนึ่งเพราะข่มโทสะไม่ไหว แล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าคิดว่าพ่อบ้านจิ่นไร้พิษสง ถ้าไม่ใช่เพราะพะวักพะวนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกลางทาง ไฉนเขาถึงออกไปส่งด้วยตัวเองเล่า?”

“เขาเป็นแค่พ่อบ้านเท่านั้นเอง!” ทั่วป๋าฉินซินไม่เคยเชื่อมโยงคำว่า ‘ร้ายกาจ’ กับซั่งกวนจิ่นเลย มักจะรู้สึกว่าเขาเป็นแค่ทาสขั้นสูงผู้หนึ่ง

“แค่พ่อบ้านเท่านั้นเองหรือ? ลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวนมีหลายคน ผู้ที่โดดเด่นและจัดการทุกอย่างยามที่ฮ่าวเอ๋อร์ยังเด็กนั้นก็คือเขา เมื่อฮ่าวเอ๋อร์เข้ามาเป็นหัวหน้าตระกูลเขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ช่วยมือขวา แค่เป็นพ่อบ้านจะง่ายดายขนาดนั้นหรือ? ถึงแม้พ่อบ้านจิ่นจะไม่เคยแสดงวรยุทธ์ต่อหน้าข้า แต่ข้าเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในตองอูที่ร้ายกาจมากที่สุดในตระกูลซั่งกวนแน่นอน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะโง่บรมขนาดนี้ แต่ลองคิดดูอีกก็โล่งใจ บุตรีสูงส่งของตระกูลขุนนางล้วนเป็นแบบนี้ เมื่อยังเป็นสาวรอออกเรือนนั้นครอบครัวจะไม่ปล่อยให้นางเข้ามาแทรกแซงกิจการของวงศ์ตระกูลแต่อย่างใด หลังจากแต่งงานเป็นภรรยา ก็ไร้ความหวังว่านางจะเข้าใจเรื่องราวภายในของครอบครัวสามีได้ทันที และส่งมันกลับไป ในตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรือ

“แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ในดวงตาของทั่วป๋าฉินซินฉายแววสังหารรุนแรง นางกระเหี้ยนกระหือรือจะประหารเยี่ยนมี่เอ๋อร์รวมทั้งคนรอบข้างในทันที และไม่ให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

“แจ้งผู้ที่ใช้งานได้ทันที โจมตีเรือนสดับวายุคืนนี้ ให้พวกเขากวาดจับผู้หญิงคนนั้นและแม่นมสาวใช้คนสนิทที่อยู่รอบตัวนางไม่ให้รอดออกไปแม้แต่รายเดียว หากจำเป็นล่ะก็ เรือนสดับวายุจะนองเลือดก็ไม่ว่ากัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างไร้ปรานีว่า “จะต้องลงมือทำตอนที่พวกนางไม่ทันระวังตัวเลย มิฉะนั้นจะพลาดโอกาส!”

“ท่านหมายความว่าถ้ายืดเยื้ออาจเปลี่ยนไปในทางไม่ดีหรือเจ้าคะ?” ทั่วป๋าฉินซินเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร พยักหน้าและไปจัดเตรียมในฉับพลัน

“ฮูหยินใหญ่ อภัยที่บ่าวพูดในสิ่งที่มิบังควรจะพูดนะเจ้าคะ!” แม่นมหนิงกล่าวหลังจากแน่ใจว่าทั่วป๋าฉินซินออกไปแล้วกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยผู้ซึ่งมีสีหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูนิสัยใจดำอำมหิต แต่มีเชาวน์ไม่พอ จิตใจไม่มั่นคง นับประสาจะรู้บุญคุณเพียงเล็กน้อย ต่อให้ท่านจะช่วยนางขจัดสะใภ้ใหญ่ คุณชายใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง การแต่งกับนางก็ไม่แน่ว่าจะปรองดองกับนางได้ เมื่อถึงเวลานั้น ยังไม่ทราบว่านางจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรเลยนะเจ้าคะ!”

“ข้ารู้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหลับตาแล้วพูดอย่างปวดร้าวใจว่า “แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทั่วป๋ากับตระกูลซั่งกวนเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ฮ่าวเอ๋อร์ก็ดีกับตระกูลทั่วป๋าขึ้นนิดหน่อย นึกถึงบ้านตาของเขาอยู่บ้าง ส่วนเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่เพียงไม่รู้สึกดีกับตระกูลทั่วป๋า ถึงขั้นจงใจเหินห่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องเทียบกับตระกูลหวงฝู่และตระกูลชุย ยังใกล้ชิดกับตระกูลมู่หรงเสียมากกว่า เชียนเย่าไม่สบายใจ ตระกูลทั่วป๋าอยู่ในมือของเขามาหลายปีเช่นนี้ก็ได้แค่อนุรักษ์ของบรรพชนไว้ ไร้การพัฒนา สำหรับฉินหลิ่งมีปณิธานอันยิ่งใหญ่และมีความสามารถ ถ้าฉินซินเป็นภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์ได้ แม้จะเป็นแค่ภรรยาพ่อม่ายเมียตายก็ตาม จะช่วยตระกูลทั่วป๋าได้มหาศาล ข้าในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลทั่วป๋า จะต้องพยายามช่วยพวกเขาอย่างสุดกำลัง ต่อให้จะรู้ว่าฉินซินอาจเป็นหมาป่าตาขาวที่เนรคุณก็มิอาจปฏิเสธได้! แม่นมหนิง เจ้าก็ให้คนระวังพิงถิงไว้ด้วย!”

“นางมีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ?” แม่นมหนิงผงะ รู้สึกว่าพิงถิงเงียบขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม

“นางไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่นางจงเกลียดจงชังฉินซินเข้ากระดูกดำไปแล้ว แม้จะอยู่ในตระกูลซั่งกวน แต่ก็ยังพิพักพิพ่วนว่าฉินซินจะวางยานาง! ถ้านางไม่เป็นอะไรก็อย่าออกไปข้างนอก อย่าติดต่อกับฉินซิน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ไม่รู้สึกว่าหลานสาวมีอะไรผิดปกติ แต่เป็นห่วงว่าถ้าฉินซินพลาดพลั้งไป ไม่สามารถฆ่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้ อาจมาระบายความโกรธกับพิงถิง

“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงตกใจสะดุ้งโหยง ละล่ำละลักพูดว่า “บ่าวจะจัดการตามนี้เจ้าค่ะ”

ครั้นเห็นแม่นมหนิงลนลานจากไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทอดถอนใจ นางผิดหวังกับฉินซินมากขึ้นเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ตนเฝ้าดูจนเติบใหญ่ผู้นี้ที่รู้สึกว่าไร้เดียงสาน่าเอ็นดูและค่อนข้างเอาแต่ใจกลับดูน่ารักมาตลอดนั้นพอเลิกเสแสร้งจะเป็นเช่นนั้น ทั้งเห็นแก่ตัวและร้ายกาจ ถ้าตัวเองอยากได้ก็ต้องได้ ไม่ได้มีจิตใจเมตตาอ่อนโยน แต่ทั้งๆ ที่ยังข้ามแม่น้ำไม่ได้ ก็พร้อมจะพังสะพานเสียแล้ว จะแสดงเจตจำนงที่เด่นชัดมากเช่นนี้ออกมามิได้!

ถ้าตระกูลทั่วป๋ามีลูกสาวสายตรงคนอื่นๆ ตนจะยังเลือกนางอยู่ไหมเล่า? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยส่ายหัวดิก โยนความคิดนี้ออกไป นางไม่มีทางเลือกอื่นสินะ!

“ลุงจิ่น ที่นี่คือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยด้วยความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็มีปฏิกิริยาทันทีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจัดกลเมืองร้างที่เรือนสดับวายุ!”

“ไม่ใช่กลเมืองร้าง แต่เป็นเชิญท่านลงอ่างดาบนั้นคืนสนอง!” ซั่งกวนจิ่นเผยยิ้มอ่อนพลางกล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องว้าวุ่นใจ นี่เป็นสถานที่ที่คุณชายใหญ่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ หากในจวนไม่ปลอดภัย เรือนสดับวายุจะไม่ปลอดภัยยิ่งกว่า สถานที่แห่งนี้ออกจะเล็กไปหน่อย แต่ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนเป็นที่ดินทรัพย์สินของตระกูลซั่งกวน เป็นไปไม่ได้ที่ใครหน้าไหนจะแอบเข้ามาในที่นี้โดยไม่ทำให้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบตกใจตื่น ผู้น้อยได้เตรียมการอื่นๆ ในเรือนสดับวายุไว้ตั้งนานแล้ว หากไม่มีใครคิดอกุศลก็จบ! ทว่าถ้ามีคนคิดจะทำอะไรบางอย่าง ย่อมมีใครสักคนไว้ต้อนรับพวกเขาขอรับ!”

ดูท่าข้ายังประเมินเจวี๋ยต่ำไป! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เดิมคิดว่าเขาเพียงแค่ทำความสะอาดเรือนสดับวายุ ให้ตัวเองไปหลบทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มาข่มเหงชั่วคราว ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตริตรองได้รอบคอบเช่นนี้ แต่คือ…

“ลุงจิ่น ข้าต้องอยู่ที่นี่เท่านั้นหรือ? ข้ายังคิดว่าถ้าเป็นไปได้ อยากไปเดินเที่ยวรอบๆ เมือง ซื้อของพวกแป้งประทินโฉมเพิ่มเติมนิดหน่อยจะได้ไหมเอ่ย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปรยขึ้นอย่างค่อนข้างลำบากใจ

“สะใภ้ใหญ่พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าต้องการซื้ออะไร ให้พ่อค้าจัดส่งให้ได้โดยตรงขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นนึกถึงสาวใช้ที่ซุ่มซ่ามผู้นั้นด้วยรอยยิ้มที่รู้ใจ ผู้หญิงช่างเรื่องเยอะ

“ดีมากเลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้มพลันพูดว่า “ลุงจิ่น ถ้าเรือนสดับวายุฟากนั้นเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็พยายามอย่าปล่อยพยานไว้เด็ดขาด บางครั้งบางเรื่องรู้ดีอยู่แก่ใจก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจบไม่สวยจนถึงที่สุด!”

ซั่งกวนจิ่นตกใจเล็กน้อย เขาก็คิดแบบเดียวกัน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นผู้หญิงยิงเรือจะคิดถึงจุดนี้ด้วยเท่านั้นเอง…

——————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+