เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 167 ข่าวลือแพร่สะพัด

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 167 ข่าวลือแพร่สะพัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อาจารย์หวา ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว!” อาจารย์หวาผู้เขียนบทประพันธ์กังวลว่าควรจะเลือกใครเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งคนใหม่แกะกล่องของยุทธภพที่จะเล่าบรรยายในวันพรุ่งนี้อยู่นั้น ก็มีเสียงอันทรงเสน่ห์ขัดจังหวะความคิดของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมอง กลับเป็นสตรีสวมหน้ากากสีเขียวมรกตผู้หนึ่ง “เจ้าเป็นใคร?” อาจารย์หวาถูกขัดจังหวะความคิด ใบหน้าบึ้งตึง มองผู้มาเยือน คาดว่าจะเป็นหญิงชาวยุทธ์อีกคนหนึ่งที่ต้องการมีชื่อเสียงในบัดดล จึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “อาหู่ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตอนที่ข้าใช้ความคิดจะไม่พบแขก?” “อาหู่? ที่แท้ตาทึ่มนั่นชื่อว่าอาหู่! ข้ายังคิดว่าชื่ออาไตเสียอีก! “หญิงสาวชุดเขียวพูดกลั้วหัวเราะว่า “เขาหลับไปก่อนจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ เมื่อข้ามาเยี่ยมครั้งต่อไปจะฟังเขาพูดให้จบดิบดีแล้วค่อยให้เขานอนหลับ!” “เจ้าหมายความว่ากระไร!” อาจารย์หวาหน้าซีดเป็นไก่ต้ม หลับไป? จะโดนคนตรงหน้านี้ซัดจนสลบหรือถูกวางยา? “ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!” หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะระรื่น เดินเข้ามาเล็กน้อย โยนกระดาษสองแผ่นใส่หน้าอาจารย์หวาเบาๆ แล้วพูดว่า “รบกวนอาจารย์หวาช่วยดูที พรุ่งนี้ตอนเย็นพลบค่ำ ข้าอยากให้ทุกคนในเมืองลี่โจวรู้เรื่องนี้ ขอให้อาจารย์หวาโปรดช่วยเหลือด้วย!” อาจารย์หวาลังเลอยู่บ้างพักหนึ่ง หยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมาอย่างจำใจแล้วเหลือบมองอย่างรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ไม่ได้ ข้าไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ ถ้าให้ตระกูลซั่งกวนรู้…” “เจ้ากลัวตระกูลซั่งกวนหรือ?” หญิงชุดเขียวสะบัดมือ พาดกระบี่ยาวที่พบเห็นได้ทั่วไปบนคอของอาจารย์หวาพลางกระตุกยิ้มลั่นว่า “แล้วเจ้าไม่กลัวข้าหรือ?” “ทำไมแม่นางถึงทำเช่นนี้?” อาจารย์หวามองหญิงสาว พยายามจะมองผู้คุกคามที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ให้ชัดเจน แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นชาวยุทธ์ฝีมือฉมังหรือจะบอกว่าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างใด ทว่า…เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเห็นแขนเรียวเล็กของมือขวาที่จับกระบี่เผยท่าทางเยียบเย็นดุดัน มีไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว สะท้อนให้เห็นถึงผิวพรรณที่ขาวนวลดุจหิมะ สวยงามและพริ้งพราวไปด้วยเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง “มีความสุข!” หญิงสาวชุดเขียวพูดสั้นอย่างเอาแต่ใจว่า “ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์หวาว่าจะให้ข้ามีความสุขหรือผิดหวัง!” “มีความสุขอะไร? แล้วผิดหวังอะไรด้วย?” อาจารย์หวาถอยหลังนิดหน่อย เจ็บแปลบที่ลำคอเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าเลือดอุ่นค่อยๆ ไหลเข้าไปในคอเสื้อ เขาฉุกคิดขึ้นในใจ รู้ว่านารีตรงหน้านี้เป็นผู้หญิงที่เก่งกาจลงมือฆ่าคนได้แน่ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวหยั่งเชิงอะไรอีก “มีความสุข…” หญิงสาวชุดเขียวหยิบสัมภาระบนไหล่ซ้ายด้วยมือซ้าย โยนมันลงบนโต๊ะเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ตวัดกระบี่ยาวฟันห่อสัมภาระขาดเป็นเสี่ยงๆ แท่งเงินขนาดใหญ่ยี่สิบตำลึงส่องแสงเรืองรองงามอร่ามท่ามกลางแสงเทียน อาจารย์หวามองไปตามใจคิด คาดว่ามีประมาณร้อยกว่าแท่งได้ “รวมๆ แล้วเป็นเงินสองพันตำลึง เป็นรางวัลสำหรับเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวพอใจมากเมื่อเห็นความโลภวูบไหวผ่านในดวงตาของอาจารย์หวาแล้วพูดแผ่วเบาว่า “ถ้าให้ข้ามาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น แล้วกลับไปด้วยความผิดหวัง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่อาจารย์หวาจะเป็นหัวข้อสนทนาในวันพรุ่งนี้ ผู้คนจะต้องสงสัยแน่นอนว่าผู้เขียนบทประพันธ์ไปทำผิดล่วงเกินใครกันแน่ จึงต้องเสียชีวิตภายใต้การคุ้มกันของหออี้สื่อ!” “ข้ารับปากเจ้า!” อาจารย์หวายอมจำนนจนได้ ถ้าตายด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ เขาไม่ยินดีจริงๆ จึงทำได้แค่ดูทิศทางลมรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ตกลงไปก่อนค่อยว่ากัน “ดีมาก ข้าชอบคนที่รู้จักกาลเทศะ!” หญิงสาวชุดเขียวแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แกว่งไปมาต่อหน้าอาจารย์หวา พอใจที่ได้เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาแล้วยิ้มพูดว่า “อาจารย์หวามีความรู้มาก ดูท่าข้าไม่จำเป็นต้องพูดก็คงรู้ว่านี่คืออะไร!” “โอสถสลายกระดูก!” หัวใจของอาจารย์หวาสั่นสะท้าน อันที่จริงโอสถสลายกระดูกก็สมกับชื่อของมันที่ทำให้ร่างกายของคนเน่าเปื่อยได้อย่างสมบูรณ์ จัดเป็นพิษอันดับต้นๆ ของยุทธภพ และเป็นยาพิษที่มีชื่อเสียงและราคาแพงที่สุดในสู่โจว หนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่น “ข้ามียาแก้พิษอยู่!” หญิงสาวชุดเขียวหยิบยาอีกเม็ดหนึ่งออกมา ครั้นอาจารย์หวาเห็นว่านั่นคือยาแก้พิษจริงๆ จึงฝืนยิ้มบิดเบี้ยวแล้วกลืนโอสถสลายกระดูกเม็ดนั้นลงไป “หากพรุ่งนี้เจ้าทำสิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำได้ ข้าจะให้คนส่งยาแก้พิษมาให้แน่ ถ้าไม่เช่นนั้นเงินสองพันตำลึงก็จะเป็นค่าโลงศพของเจ้าในเวลานั้นสินะ!” หญิงสาวในชุดเขียวหัวเราะและตบไหล่ของอาจารย์หวาเบาๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยโชยมาเตะจมูกของอาจารย์หวา นั่นคือกลิ่นหอมรัญจวนใจของดอกกล้วยไม้ ไม่ ไม่นะ ยังมีกลิ่นดอกสาลี่ที่อ่อนกว่าด้วย แต่ถูกกลิ่นกล้วยไม้กลบจนมิด หากไม่ใช่เพราะเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลอิสตรีอยู่เป็นนิจสินก็จะไม่มีทางได้กลิ่นนั้น “จำได้ใช่ไหม?” หญิงสาวชุดเขียวหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นอาจารย์หวาพยักหน้า ก็ยิ้มแล้วหยิบโป๊ะที่ครอบตะเกียงออก เผากระดาษทั้งสองแผ่นจนมอดไหม้ประหนึ่งทำลายซากศพจนหมดเกลี้ยงก็มิปาน “ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวจากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อไปถึงหน้าประตูทันใดนั้นก็หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เงินสองพันตำลึงน่าจะเพียงพอสำหรับซื้อยาแก้พิษโอสถสลายกระดูกได้สักเม็ดหนึ่ง อาจารย์หวาก็ใช้มันมาซื้อยาแก้พิษแทนโลงศพได้ แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าซื้อลิ้นในราคาสองพันตำลึงได้ และใช้จ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อชีวิตคนคนหนึ่งได้เช่นกัน มีคนรู้จักเจ้ามากเหลือเกิน ต่อให้เจ้าอยากจะหลบซ่อนก็เกรงว่าจะซ่อนไม่ได้!” อาจารย์หวามองหญิงผู้นั้นจากไปอย่างเย็นยะเยือกไปทั้งเนื้อทั้งตัว โชคเข้าข้างสุดท้ายในใจก็ถูกดับวูบ เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด… ก่อนการประลองยุทธ์ ในเมืองลี่โจวอยู่ในสภาพร้อนระอุแล้ว ทั้งโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คนจากยุทธภพต่างเข้าออกกันขวักไขว่ มีสองร้านที่คึกคักที่สุดได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมหอวีรบุรุษกับโรงน้ำชาอี้สื่อชั่วคราว กระนั้นมีบางอย่างไม่เหมือนในอดีต คนที่รู้จักกันจะขยิบตามีลับลมคมในหลังจากพบกันแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินหรือยัง?” ได้ยิน? ได้ยินอะไร? แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องราวภายในของการต่อสู้ยามดึกในเรือนตระกูลซั่งกวน! ตามที่คนวงในบอกเล่ามา การต่อสู้ในคืนนั้นไม่มีอะไรนอกจาก ‘นารีเป็นเหตุ’ เป็นตัวการก่อเรื่อง นารีเป็นเหตุนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาใหม่ของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนที่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันเกือบครึ่งปี สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนแซ่เยี่ยน มีนามว่ามี่เอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนที่ห้าของพ่อค้าวาณิชผู้ร่ำรวยธรรมดาๆ ในอู๋โจว รูปโฉมมีเสน่ห์งดงามจนกล่าวขานได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนที่สง่าใจกว้าง มีเกียรติยศศักดิ์ศรี หรือความงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เป็นนางยั่วสวาท เกิดมาเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มอมเมาด้วยคำพูดหวานหู ผู้ที่เคยพบเห็นจะตกใจในความงามจนนึกว่าตกลงมาจากสวรรค์ และมีข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า นางเป็นคนเดียวกับสนมซูต๋าจี่ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะที่มีชื่อเสียงและยังเป็นจิ้งจอกเก้าหางกลับชาติมาเกิดด้วยหรือไม่? คุณชายใหญ่แห่งซั่งกวน ซั่งกวนเจวี๋ยมักเรียกได้ว่าตามใจภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คนนี้ไม่เป็นสองรองใคร เพื่อนางแล้วจึงละทิ้งหญิงงามคนสนิทที่รักใคร่ทั้งสามออกไป ได้ปะทะกับบิดาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพื่อนางอีกเช่นกัน หัวหน้าตระกูลซั่งกวนผู้สง่างามโกรธลูกชายมากจนหนีออกจากเรือน ส่วนฮูหยินใหญ่ของตระกูลซั่งกวนก็ยิ่งอาเจียนเป็นเลือดนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเพราะหลานชายที่หลงใหลปีศาจจิ้งจอกหัวปักหัวปำ ด้วยเหตุนี้ สะใภ้ใหญ่ที่เอาแต่ใจเป็นพิเศษผู้นี้ก็ยังไม่พอใจ ต้องการเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดในโลกหล้า ดังนั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน ซั่งกวนเจวี๋ยเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของฮูหยินใหญ่ตระกูลซั่งกวน ทั้งยังชักกระบี่สังหารคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคนที่ขัดขวางเขา แล้วไปกับบ่าวคนสนิท ตามล่าหาสมบัติให้ภรรยาสุดที่รัก น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้เอาแต่ไม่สบายใจที่ต้องอยู่เหย้าเฝ้ากับเรือน รู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว จึงหลอกล่อเพื่อนที่น้องชายสามีเชิญมาให้กลับบ้าน ให้ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนจับได้คาหนังคาเขา ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนด่าทอไปคำหนึ่ง ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ ก็โดนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หยิ่งยโสและมีอำนาจเหนือกว่าตอกกลับจนอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง ชีวิตไม้ใกล้ฝั่งเกือบจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ ฮูหยินใหญ่ผู้น่าสงสารแห่งซั่งกวนทำอะไรไม่ถูก จึงต้องเชิญบรรดาเพื่อนของหลานชายซั่งกวนอวี่ไข่ออกจากบ้านซั่งกวน เพื่อป้องกันไม่ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผู้มีนิสัยร่านสวาทฉกฉวยหาผลประโยชน์ ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะออกจากเรือนเพราะเหตุนี้จริงๆ แล้วย้ายเข้าไปพักในอีกเรือนข้างสระบัว จะว่าไปเรือนอื่นนั่นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมากเช่นกัน เทศกาลดอกบัวประจำปีจัดขึ้นที่นั่น ชื่อว่าสดับวายุ ตัวอักษรบนประตูเรือนยังได้ซั่งกวนเจวี๋ยมาจรดปลายพู่กันเขียนด้วยตัวเอง ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้ายเข้าไปในเรือนสดับวายุก็สั่งให้คนสนิทข้างกายของนางส่งจดหมายถึงนายบำเรอของนาง นัดหมายให้มาพบปะส่วนตัวที่เรือนสดับวายุ แต่น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรเรือนสดับวายุยังคงเป็นที่ตั้งของตระกูลซั่งกวนอยู่ดี หมู่มวลภมรที่เจ้าชู้ไก่แจ้เหล่านั้นก็ไม่มีทางเข้าประตูมาได้ เช่นนั้นจึงโกรธกระฟัดกระเฟียด รวบรวมผู้คนจำนวนมากแล้วเร่งรีบออกไป เพิ่งเกิดขึ้นในคืนก่อนนี่เอง ดังนั้น ซั่งกวนจิ่นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลซั่งกวนจึงปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อคืนก่อน แม้จะมีคนคาดเดาว่ามีสมบัติหรือคัมภีร์ลับในเรือนสดับวายุก็จะไม่ออกมาลบล้างข่าวลือ ที่มาที่ไปก็มิอาจบอกเล่าได้ เพียงเพื่อจะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ให้ตระกูลซั่งกวน คนผู้นั้นเล่าอีกว่า แล้วจะมีใครรู้เรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมที่คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนรั่วไหลความลับ? อันนี้ก็ไม่ทราบได้! เนื่องจากเมื่อรุ่งเช้านี้ มีการติดใบปลิวป่าวประกาศจำนวนหนึ่งไว้ในจุดที่สะดุดตาข้างทาง เขียนเรื่องที่เป็นความลับสุดยอดนี้ออกมาอย่างกระชับชัดเจน แม้ตระกูลซั่งกวนที่ได้รับรู้ข่าวจะให้คนมาฉีกทำลาย แต่ยังคงแพร่กระจายออกไป หอยุทธภพอี้สื่อตั้งหัวข้อพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์อี้สื่อผู้เขียนบทประพันธ์ได้ค่าตอบแทนนั่งเทียนเขียนข่าว เล่าเรื่องราวที่เรียกว่า ‘นารีล่มยุทธภพ’ ซึ่งตีความเกร็ดชีวิตของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนได้อย่างมหัศจรรย์ นางมีสติปัญญาล้ำเลิศตั้งแต่ยังเด็กตัวเท่าเมี่ยง เมื่อครั้งอายุเพียงสองขวบก็หลอกล่อฮูหยินซั่งกวน ขอให้ฮูหยินซั่งกวนทำสัญญาหมั้นหมายนางกับซั่งกวนเจวี๋ย ด้วยวัยและเรือนร่างของนางมาล่อลวงฮูหยินซั่งกวน แต่ทุกคนคัดค้าน จึงใช้ความตายมาบีบบังคับ ให้ตระกูลซั่งกวนต้องรับนางแต่งเข้ามา จากนั้นก็แต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ยผู้กำลังหนุ่มแน่น ต่อมาข่มเหงความรักของซั่งกวนเจวี๋ย คือหญิงงามคนสนิททั้งสามที่ซั่งกวนเจวี๋ยเชิญให้มาอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวน ได้กดดันให้ซั่งกวนเจวี๋ยขับผู้หญิงที่แสดงความรู้สึกลึกซึ้งรักใคร่สามคนออกจากตระกูลซั่งกวนด้วยน้ำมือตัวเอง และตอนนี้ ด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของนางเอง จึงขอให้ซั่งกวนเจวี๋ยออกไปข้างนอกเพื่อหาเครื่องประดับที่หรูหราให้นาง แต่กลับมิอาจทนกับความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวกับห้องที่ว่างเปล่าได้ เลยเกิดเรื่องเล่าดอกซิ่งแดงออกกำแพงไปมีชู้นั่นเอง สาธยายให้ชาวบ้านร้านตลาดได้รับรู้โดยทั่วกัน สิ่งที่เล่านี้เรียกว่าสะเทือนใจ พอได้ยินก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่ชอบธรรมอัดแน่นเต็มทรวง หลายคนสบถขณะฟัง บางคนสาปแช่งนารีเป็นเหตุ บางคนก่นด่าซั่งกวนเจวี๋ยเพราะโลภกามารมณ์ เพื่อผู้หญิงคนเดียวหามีความกตัญญูกตเวทีและความเมตตากรุณาไม่…อย่างไรก็ตามมีการด่าทอทุกรูปแบบ บางคนถึงกับประณามไปพลาง ถอนหายใจไปพลางว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มีบุญได้เชยชมหญิงงามเช่นนี้ และแต่งงานกับปีศาจจิ้งจอกที่กลับชาติมาเกิด ไม่มีใครรู้ว่าในมุมหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นซองจดหมายให้กับขอทานตัวน้อยข้างถนน ให้เขาส่งต่อไปให้อาจารย์หวาที่โรงน้ำชาอี้สื่อ และไม่มีใครรู้เช่นกันว่า หลังจากอาจารย์หวาได้รับจดหมายซองนั้นก็ประหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า มอบอัฐเล็กน้อยให้กับขอทานตัวน้อยแล้วไปที่ซ่อนในสวนหลังบ้านและกลืนยาลูกกลอนลงไปในอึกเดียว ไม่ต้องพูดถึง ขณะที่สีท้องฟ้ายามราตรีเข้าปกคลุม อาจารย์หวาที่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกผู้นี้ต้องการจะอาศัยความมืดออกจากลี่โจวไปนั้นก็ถูกซั่งกวนจิ่นที่โกรธจัดส่งใครบางคนมาจับกลับไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไม่มีใครรู้ว่า เกิดการทะเลาะกันเองในสวนหลังบ้านของตระกูลซั่งกวน จนหวิดจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น… ——————

“อาจารย์หวา ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว!” อาจารย์หวาผู้เขียนบทประพันธ์กังวลว่าควรจะเลือกใครเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งคนใหม่แกะกล่องของยุทธภพที่จะเล่าบรรยายในวันพรุ่งนี้อยู่นั้น ก็มีเสียงอันทรงเสน่ห์ขัดจังหวะความคิดของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมอง กลับเป็นสตรีสวมหน้ากากสีเขียวมรกตผู้หนึ่ง

“เจ้าเป็นใคร?” อาจารย์หวาถูกขัดจังหวะความคิด ใบหน้าบึ้งตึง มองผู้มาเยือน คาดว่าจะเป็นหญิงชาวยุทธ์อีกคนหนึ่งที่ต้องการมีชื่อเสียงในบัดดล จึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “อาหู่ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตอนที่ข้าใช้ความคิดจะไม่พบแขก?”

“อาหู่? ที่แท้ตาทึ่มนั่นชื่อว่าอาหู่! ข้ายังคิดว่าชื่ออาไตเสียอีก! “หญิงสาวชุดเขียวพูดกลั้วหัวเราะว่า “เขาหลับไปก่อนจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ เมื่อข้ามาเยี่ยมครั้งต่อไปจะฟังเขาพูดให้จบดิบดีแล้วค่อยให้เขานอนหลับ!”

“เจ้าหมายความว่ากระไร!” อาจารย์หวาหน้าซีดเป็นไก่ต้ม หลับไป? จะโดนคนตรงหน้านี้ซัดจนสลบหรือถูกวางยา?

“ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!” หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะระรื่น เดินเข้ามาเล็กน้อย โยนกระดาษสองแผ่นใส่หน้าอาจารย์หวาเบาๆ แล้วพูดว่า “รบกวนอาจารย์หวาช่วยดูที พรุ่งนี้ตอนเย็นพลบค่ำ ข้าอยากให้ทุกคนในเมืองลี่โจวรู้เรื่องนี้ ขอให้อาจารย์หวาโปรดช่วยเหลือด้วย!”

อาจารย์หวาลังเลอยู่บ้างพักหนึ่ง หยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมาอย่างจำใจแล้วเหลือบมองอย่างรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ไม่ได้ ข้าไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ ถ้าให้ตระกูลซั่งกวนรู้…”

“เจ้ากลัวตระกูลซั่งกวนหรือ?” หญิงชุดเขียวสะบัดมือ พาดกระบี่ยาวที่พบเห็นได้ทั่วไปบนคอของอาจารย์หวาพลางกระตุกยิ้มลั่นว่า “แล้วเจ้าไม่กลัวข้าหรือ?”

“ทำไมแม่นางถึงทำเช่นนี้?” อาจารย์หวามองหญิงสาว พยายามจะมองผู้คุกคามที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ให้ชัดเจน แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นชาวยุทธ์ฝีมือฉมังหรือจะบอกว่าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างใด ทว่า…เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเห็นแขนเรียวเล็กของมือขวาที่จับกระบี่เผยท่าทางเยียบเย็นดุดัน มีไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว สะท้อนให้เห็นถึงผิวพรรณที่ขาวนวลดุจหิมะ สวยงามและพริ้งพราวไปด้วยเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

“มีความสุข!” หญิงสาวชุดเขียวพูดสั้นอย่างเอาแต่ใจว่า “ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์หวาว่าจะให้ข้ามีความสุขหรือผิดหวัง!”

“มีความสุขอะไร? แล้วผิดหวังอะไรด้วย?” อาจารย์หวาถอยหลังนิดหน่อย เจ็บแปลบที่ลำคอเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าเลือดอุ่นค่อยๆ ไหลเข้าไปในคอเสื้อ เขาฉุกคิดขึ้นในใจ รู้ว่านารีตรงหน้านี้เป็นผู้หญิงที่เก่งกาจลงมือฆ่าคนได้แน่ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวหยั่งเชิงอะไรอีก

“มีความสุข…” หญิงสาวชุดเขียวหยิบสัมภาระบนไหล่ซ้ายด้วยมือซ้าย โยนมันลงบนโต๊ะเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ตวัดกระบี่ยาวฟันห่อสัมภาระขาดเป็นเสี่ยงๆ แท่งเงินขนาดใหญ่ยี่สิบตำลึงส่องแสงเรืองรองงามอร่ามท่ามกลางแสงเทียน อาจารย์หวามองไปตามใจคิด คาดว่ามีประมาณร้อยกว่าแท่งได้

“รวมๆ แล้วเป็นเงินสองพันตำลึง เป็นรางวัลสำหรับเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวพอใจมากเมื่อเห็นความโลภวูบไหวผ่านในดวงตาของอาจารย์หวาแล้วพูดแผ่วเบาว่า “ถ้าให้ข้ามาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น แล้วกลับไปด้วยความผิดหวัง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่อาจารย์หวาจะเป็นหัวข้อสนทนาในวันพรุ่งนี้ ผู้คนจะต้องสงสัยแน่นอนว่าผู้เขียนบทประพันธ์ไปทำผิดล่วงเกินใครกันแน่ จึงต้องเสียชีวิตภายใต้การคุ้มกันของหออี้สื่อ!”

“ข้ารับปากเจ้า!” อาจารย์หวายอมจำนนจนได้ ถ้าตายด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ เขาไม่ยินดีจริงๆ จึงทำได้แค่ดูทิศทางลมรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ตกลงไปก่อนค่อยว่ากัน

“ดีมาก ข้าชอบคนที่รู้จักกาลเทศะ!” หญิงสาวชุดเขียวแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แกว่งไปมาต่อหน้าอาจารย์หวา พอใจที่ได้เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาแล้วยิ้มพูดว่า “อาจารย์หวามีความรู้มาก ดูท่าข้าไม่จำเป็นต้องพูดก็คงรู้ว่านี่คืออะไร!”

“โอสถสลายกระดูก!” หัวใจของอาจารย์หวาสั่นสะท้าน อันที่จริงโอสถสลายกระดูกก็สมกับชื่อของมันที่ทำให้ร่างกายของคนเน่าเปื่อยได้อย่างสมบูรณ์ จัดเป็นพิษอันดับต้นๆ ของยุทธภพ และเป็นยาพิษที่มีชื่อเสียงและราคาแพงที่สุดในสู่โจว หนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่น

“ข้ามียาแก้พิษอยู่!” หญิงสาวชุดเขียวหยิบยาอีกเม็ดหนึ่งออกมา ครั้นอาจารย์หวาเห็นว่านั่นคือยาแก้พิษจริงๆ จึงฝืนยิ้มบิดเบี้ยวแล้วกลืนโอสถสลายกระดูกเม็ดนั้นลงไป

“หากพรุ่งนี้เจ้าทำสิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำได้ ข้าจะให้คนส่งยาแก้พิษมาให้แน่ ถ้าไม่เช่นนั้นเงินสองพันตำลึงก็จะเป็นค่าโลงศพของเจ้าในเวลานั้นสินะ!” หญิงสาวในชุดเขียวหัวเราะและตบไหล่ของอาจารย์หวาเบาๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยโชยมาเตะจมูกของอาจารย์หวา นั่นคือกลิ่นหอมรัญจวนใจของดอกกล้วยไม้ ไม่ ไม่นะ ยังมีกลิ่นดอกสาลี่ที่อ่อนกว่าด้วย แต่ถูกกลิ่นกล้วยไม้กลบจนมิด หากไม่ใช่เพราะเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลอิสตรีอยู่เป็นนิจสินก็จะไม่มีทางได้กลิ่นนั้น

“จำได้ใช่ไหม?” หญิงสาวชุดเขียวหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นอาจารย์หวาพยักหน้า ก็ยิ้มแล้วหยิบโป๊ะที่ครอบตะเกียงออก เผากระดาษทั้งสองแผ่นจนมอดไหม้ประหนึ่งทำลายซากศพจนหมดเกลี้ยงก็มิปาน

“ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวจากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อไปถึงหน้าประตูทันใดนั้นก็หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เงินสองพันตำลึงน่าจะเพียงพอสำหรับซื้อยาแก้พิษโอสถสลายกระดูกได้สักเม็ดหนึ่ง อาจารย์หวาก็ใช้มันมาซื้อยาแก้พิษแทนโลงศพได้ แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าซื้อลิ้นในราคาสองพันตำลึงได้ และใช้จ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อชีวิตคนคนหนึ่งได้เช่นกัน มีคนรู้จักเจ้ามากเหลือเกิน ต่อให้เจ้าอยากจะหลบซ่อนก็เกรงว่าจะซ่อนไม่ได้!”

อาจารย์หวามองหญิงผู้นั้นจากไปอย่างเย็นยะเยือกไปทั้งเนื้อทั้งตัว โชคเข้าข้างสุดท้ายในใจก็ถูกดับวูบ เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด…

ก่อนการประลองยุทธ์ ในเมืองลี่โจวอยู่ในสภาพร้อนระอุแล้ว ทั้งโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คนจากยุทธภพต่างเข้าออกกันขวักไขว่ มีสองร้านที่คึกคักที่สุดได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมหอวีรบุรุษกับโรงน้ำชาอี้สื่อชั่วคราว กระนั้นมีบางอย่างไม่เหมือนในอดีต คนที่รู้จักกันจะขยิบตามีลับลมคมในหลังจากพบกันแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินหรือยัง?”

ได้ยิน? ได้ยินอะไร? แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องราวภายในของการต่อสู้ยามดึกในเรือนตระกูลซั่งกวน! ตามที่คนวงในบอกเล่ามา การต่อสู้ในคืนนั้นไม่มีอะไรนอกจาก ‘นารีเป็นเหตุ’ เป็นตัวการก่อเรื่อง นารีเป็นเหตุนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาใหม่ของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนที่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันเกือบครึ่งปี

สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนแซ่เยี่ยน มีนามว่ามี่เอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนที่ห้าของพ่อค้าวาณิชผู้ร่ำรวยธรรมดาๆ ในอู๋โจว รูปโฉมมีเสน่ห์งดงามจนกล่าวขานได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนที่สง่าใจกว้าง มีเกียรติยศศักดิ์ศรี หรือความงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เป็นนางยั่วสวาท เกิดมาเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มอมเมาด้วยคำพูดหวานหู ผู้ที่เคยพบเห็นจะตกใจในความงามจนนึกว่าตกลงมาจากสวรรค์ และมีข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า นางเป็นคนเดียวกับสนมซูต๋าจี่ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะที่มีชื่อเสียงและยังเป็นจิ้งจอกเก้าหางกลับชาติมาเกิดด้วยหรือไม่?

คุณชายใหญ่แห่งซั่งกวน ซั่งกวนเจวี๋ยมักเรียกได้ว่าตามใจภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คนนี้ไม่เป็นสองรองใคร เพื่อนางแล้วจึงละทิ้งหญิงงามคนสนิทที่รักใคร่ทั้งสามออกไป ได้ปะทะกับบิดาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพื่อนางอีกเช่นกัน หัวหน้าตระกูลซั่งกวนผู้สง่างามโกรธลูกชายมากจนหนีออกจากเรือน ส่วนฮูหยินใหญ่ของตระกูลซั่งกวนก็ยิ่งอาเจียนเป็นเลือดนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเพราะหลานชายที่หลงใหลปีศาจจิ้งจอกหัวปักหัวปำ ด้วยเหตุนี้ สะใภ้ใหญ่ที่เอาแต่ใจเป็นพิเศษผู้นี้ก็ยังไม่พอใจ ต้องการเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดในโลกหล้า ดังนั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน ซั่งกวนเจวี๋ยเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของฮูหยินใหญ่ตระกูลซั่งกวน ทั้งยังชักกระบี่สังหารคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคนที่ขัดขวางเขา แล้วไปกับบ่าวคนสนิท ตามล่าหาสมบัติให้ภรรยาสุดที่รัก

น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้เอาแต่ไม่สบายใจที่ต้องอยู่เหย้าเฝ้ากับเรือน รู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว จึงหลอกล่อเพื่อนที่น้องชายสามีเชิญมาให้กลับบ้าน ให้ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนจับได้คาหนังคาเขา ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนด่าทอไปคำหนึ่ง ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ ก็โดนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หยิ่งยโสและมีอำนาจเหนือกว่าตอกกลับจนอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง ชีวิตไม้ใกล้ฝั่งเกือบจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ ฮูหยินใหญ่ผู้น่าสงสารแห่งซั่งกวนทำอะไรไม่ถูก จึงต้องเชิญบรรดาเพื่อนของหลานชายซั่งกวนอวี่ไข่ออกจากบ้านซั่งกวน เพื่อป้องกันไม่ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผู้มีนิสัยร่านสวาทฉกฉวยหาผลประโยชน์ ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะออกจากเรือนเพราะเหตุนี้จริงๆ แล้วย้ายเข้าไปพักในอีกเรือนข้างสระบัว

จะว่าไปเรือนอื่นนั่นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมากเช่นกัน เทศกาลดอกบัวประจำปีจัดขึ้นที่นั่น ชื่อว่าสดับวายุ ตัวอักษรบนประตูเรือนยังได้ซั่งกวนเจวี๋ยมาจรดปลายพู่กันเขียนด้วยตัวเอง ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้ายเข้าไปในเรือนสดับวายุก็สั่งให้คนสนิทข้างกายของนางส่งจดหมายถึงนายบำเรอของนาง นัดหมายให้มาพบปะส่วนตัวที่เรือนสดับวายุ แต่น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรเรือนสดับวายุยังคงเป็นที่ตั้งของตระกูลซั่งกวนอยู่ดี หมู่มวลภมรที่เจ้าชู้ไก่แจ้เหล่านั้นก็ไม่มีทางเข้าประตูมาได้ เช่นนั้นจึงโกรธกระฟัดกระเฟียด รวบรวมผู้คนจำนวนมากแล้วเร่งรีบออกไป เพิ่งเกิดขึ้นในคืนก่อนนี่เอง

ดังนั้น ซั่งกวนจิ่นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลซั่งกวนจึงปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อคืนก่อน แม้จะมีคนคาดเดาว่ามีสมบัติหรือคัมภีร์ลับในเรือนสดับวายุก็จะไม่ออกมาลบล้างข่าวลือ ที่มาที่ไปก็มิอาจบอกเล่าได้ เพียงเพื่อจะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ให้ตระกูลซั่งกวน

คนผู้นั้นเล่าอีกว่า แล้วจะมีใครรู้เรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมที่คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนรั่วไหลความลับ?

อันนี้ก็ไม่ทราบได้! เนื่องจากเมื่อรุ่งเช้านี้ มีการติดใบปลิวป่าวประกาศจำนวนหนึ่งไว้ในจุดที่สะดุดตาข้างทาง เขียนเรื่องที่เป็นความลับสุดยอดนี้ออกมาอย่างกระชับชัดเจน แม้ตระกูลซั่งกวนที่ได้รับรู้ข่าวจะให้คนมาฉีกทำลาย แต่ยังคงแพร่กระจายออกไป

หอยุทธภพอี้สื่อตั้งหัวข้อพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์อี้สื่อผู้เขียนบทประพันธ์ได้ค่าตอบแทนนั่งเทียนเขียนข่าว เล่าเรื่องราวที่เรียกว่า ‘นารีล่มยุทธภพ’ ซึ่งตีความเกร็ดชีวิตของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนได้อย่างมหัศจรรย์ นางมีสติปัญญาล้ำเลิศตั้งแต่ยังเด็กตัวเท่าเมี่ยง เมื่อครั้งอายุเพียงสองขวบก็หลอกล่อฮูหยินซั่งกวน ขอให้ฮูหยินซั่งกวนทำสัญญาหมั้นหมายนางกับซั่งกวนเจวี๋ย ด้วยวัยและเรือนร่างของนางมาล่อลวงฮูหยินซั่งกวน แต่ทุกคนคัดค้าน จึงใช้ความตายมาบีบบังคับ ให้ตระกูลซั่งกวนต้องรับนางแต่งเข้ามา จากนั้นก็แต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ยผู้กำลังหนุ่มแน่น ต่อมาข่มเหงความรักของซั่งกวนเจวี๋ย คือหญิงงามคนสนิททั้งสามที่ซั่งกวนเจวี๋ยเชิญให้มาอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวน ได้กดดันให้ซั่งกวนเจวี๋ยขับผู้หญิงที่แสดงความรู้สึกลึกซึ้งรักใคร่สามคนออกจากตระกูลซั่งกวนด้วยน้ำมือตัวเอง และตอนนี้ ด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของนางเอง จึงขอให้ซั่งกวนเจวี๋ยออกไปข้างนอกเพื่อหาเครื่องประดับที่หรูหราให้นาง แต่กลับมิอาจทนกับความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวกับห้องที่ว่างเปล่าได้ เลยเกิดเรื่องเล่าดอกซิ่งแดงออกกำแพงไปมีชู้นั่นเอง สาธยายให้ชาวบ้านร้านตลาดได้รับรู้โดยทั่วกัน

สิ่งที่เล่านี้เรียกว่าสะเทือนใจ พอได้ยินก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่ชอบธรรมอัดแน่นเต็มทรวง หลายคนสบถขณะฟัง บางคนสาปแช่งนารีเป็นเหตุ บางคนก่นด่าซั่งกวนเจวี๋ยเพราะโลภกามารมณ์ เพื่อผู้หญิงคนเดียวหามีความกตัญญูกตเวทีและความเมตตากรุณาไม่…อย่างไรก็ตามมีการด่าทอทุกรูปแบบ บางคนถึงกับประณามไปพลาง ถอนหายใจไปพลางว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มีบุญได้เชยชมหญิงงามเช่นนี้ และแต่งงานกับปีศาจจิ้งจอกที่กลับชาติมาเกิด

ไม่มีใครรู้ว่าในมุมหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นซองจดหมายให้กับขอทานตัวน้อยข้างถนน ให้เขาส่งต่อไปให้อาจารย์หวาที่โรงน้ำชาอี้สื่อ และไม่มีใครรู้เช่นกันว่า หลังจากอาจารย์หวาได้รับจดหมายซองนั้นก็ประหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า มอบอัฐเล็กน้อยให้กับขอทานตัวน้อยแล้วไปที่ซ่อนในสวนหลังบ้านและกลืนยาลูกกลอนลงไปในอึกเดียว ไม่ต้องพูดถึง ขณะที่สีท้องฟ้ายามราตรีเข้าปกคลุม อาจารย์หวาที่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกผู้นี้ต้องการจะอาศัยความมืดออกจากลี่โจวไปนั้นก็ถูกซั่งกวนจิ่นที่โกรธจัดส่งใครบางคนมาจับกลับไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไม่มีใครรู้ว่า เกิดการทะเลาะกันเองในสวนหลังบ้านของตระกูลซั่งกวน จนหวิดจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น…

——————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 167 ข่าวลือแพร่สะพัด

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 167 ข่าวลือแพร่สะพัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อาจารย์หวา ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว!” อาจารย์หวาผู้เขียนบทประพันธ์กังวลว่าควรจะเลือกใครเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งคนใหม่แกะกล่องของยุทธภพที่จะเล่าบรรยายในวันพรุ่งนี้อยู่นั้น ก็มีเสียงอันทรงเสน่ห์ขัดจังหวะความคิดของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมอง กลับเป็นสตรีสวมหน้ากากสีเขียวมรกตผู้หนึ่ง “เจ้าเป็นใคร?” อาจารย์หวาถูกขัดจังหวะความคิด ใบหน้าบึ้งตึง มองผู้มาเยือน คาดว่าจะเป็นหญิงชาวยุทธ์อีกคนหนึ่งที่ต้องการมีชื่อเสียงในบัดดล จึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “อาหู่ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตอนที่ข้าใช้ความคิดจะไม่พบแขก?” “อาหู่? ที่แท้ตาทึ่มนั่นชื่อว่าอาหู่! ข้ายังคิดว่าชื่ออาไตเสียอีก! “หญิงสาวชุดเขียวพูดกลั้วหัวเราะว่า “เขาหลับไปก่อนจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ เมื่อข้ามาเยี่ยมครั้งต่อไปจะฟังเขาพูดให้จบดิบดีแล้วค่อยให้เขานอนหลับ!” “เจ้าหมายความว่ากระไร!” อาจารย์หวาหน้าซีดเป็นไก่ต้ม หลับไป? จะโดนคนตรงหน้านี้ซัดจนสลบหรือถูกวางยา? “ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!” หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะระรื่น เดินเข้ามาเล็กน้อย โยนกระดาษสองแผ่นใส่หน้าอาจารย์หวาเบาๆ แล้วพูดว่า “รบกวนอาจารย์หวาช่วยดูที พรุ่งนี้ตอนเย็นพลบค่ำ ข้าอยากให้ทุกคนในเมืองลี่โจวรู้เรื่องนี้ ขอให้อาจารย์หวาโปรดช่วยเหลือด้วย!” อาจารย์หวาลังเลอยู่บ้างพักหนึ่ง หยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมาอย่างจำใจแล้วเหลือบมองอย่างรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ไม่ได้ ข้าไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ ถ้าให้ตระกูลซั่งกวนรู้…” “เจ้ากลัวตระกูลซั่งกวนหรือ?” หญิงชุดเขียวสะบัดมือ พาดกระบี่ยาวที่พบเห็นได้ทั่วไปบนคอของอาจารย์หวาพลางกระตุกยิ้มลั่นว่า “แล้วเจ้าไม่กลัวข้าหรือ?” “ทำไมแม่นางถึงทำเช่นนี้?” อาจารย์หวามองหญิงสาว พยายามจะมองผู้คุกคามที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ให้ชัดเจน แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นชาวยุทธ์ฝีมือฉมังหรือจะบอกว่าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างใด ทว่า…เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเห็นแขนเรียวเล็กของมือขวาที่จับกระบี่เผยท่าทางเยียบเย็นดุดัน มีไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว สะท้อนให้เห็นถึงผิวพรรณที่ขาวนวลดุจหิมะ สวยงามและพริ้งพราวไปด้วยเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง “มีความสุข!” หญิงสาวชุดเขียวพูดสั้นอย่างเอาแต่ใจว่า “ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์หวาว่าจะให้ข้ามีความสุขหรือผิดหวัง!” “มีความสุขอะไร? แล้วผิดหวังอะไรด้วย?” อาจารย์หวาถอยหลังนิดหน่อย เจ็บแปลบที่ลำคอเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าเลือดอุ่นค่อยๆ ไหลเข้าไปในคอเสื้อ เขาฉุกคิดขึ้นในใจ รู้ว่านารีตรงหน้านี้เป็นผู้หญิงที่เก่งกาจลงมือฆ่าคนได้แน่ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวหยั่งเชิงอะไรอีก “มีความสุข…” หญิงสาวชุดเขียวหยิบสัมภาระบนไหล่ซ้ายด้วยมือซ้าย โยนมันลงบนโต๊ะเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ตวัดกระบี่ยาวฟันห่อสัมภาระขาดเป็นเสี่ยงๆ แท่งเงินขนาดใหญ่ยี่สิบตำลึงส่องแสงเรืองรองงามอร่ามท่ามกลางแสงเทียน อาจารย์หวามองไปตามใจคิด คาดว่ามีประมาณร้อยกว่าแท่งได้ “รวมๆ แล้วเป็นเงินสองพันตำลึง เป็นรางวัลสำหรับเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวพอใจมากเมื่อเห็นความโลภวูบไหวผ่านในดวงตาของอาจารย์หวาแล้วพูดแผ่วเบาว่า “ถ้าให้ข้ามาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น แล้วกลับไปด้วยความผิดหวัง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่อาจารย์หวาจะเป็นหัวข้อสนทนาในวันพรุ่งนี้ ผู้คนจะต้องสงสัยแน่นอนว่าผู้เขียนบทประพันธ์ไปทำผิดล่วงเกินใครกันแน่ จึงต้องเสียชีวิตภายใต้การคุ้มกันของหออี้สื่อ!” “ข้ารับปากเจ้า!” อาจารย์หวายอมจำนนจนได้ ถ้าตายด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ เขาไม่ยินดีจริงๆ จึงทำได้แค่ดูทิศทางลมรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ตกลงไปก่อนค่อยว่ากัน “ดีมาก ข้าชอบคนที่รู้จักกาลเทศะ!” หญิงสาวชุดเขียวแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แกว่งไปมาต่อหน้าอาจารย์หวา พอใจที่ได้เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาแล้วยิ้มพูดว่า “อาจารย์หวามีความรู้มาก ดูท่าข้าไม่จำเป็นต้องพูดก็คงรู้ว่านี่คืออะไร!” “โอสถสลายกระดูก!” หัวใจของอาจารย์หวาสั่นสะท้าน อันที่จริงโอสถสลายกระดูกก็สมกับชื่อของมันที่ทำให้ร่างกายของคนเน่าเปื่อยได้อย่างสมบูรณ์ จัดเป็นพิษอันดับต้นๆ ของยุทธภพ และเป็นยาพิษที่มีชื่อเสียงและราคาแพงที่สุดในสู่โจว หนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่น “ข้ามียาแก้พิษอยู่!” หญิงสาวชุดเขียวหยิบยาอีกเม็ดหนึ่งออกมา ครั้นอาจารย์หวาเห็นว่านั่นคือยาแก้พิษจริงๆ จึงฝืนยิ้มบิดเบี้ยวแล้วกลืนโอสถสลายกระดูกเม็ดนั้นลงไป “หากพรุ่งนี้เจ้าทำสิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำได้ ข้าจะให้คนส่งยาแก้พิษมาให้แน่ ถ้าไม่เช่นนั้นเงินสองพันตำลึงก็จะเป็นค่าโลงศพของเจ้าในเวลานั้นสินะ!” หญิงสาวในชุดเขียวหัวเราะและตบไหล่ของอาจารย์หวาเบาๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยโชยมาเตะจมูกของอาจารย์หวา นั่นคือกลิ่นหอมรัญจวนใจของดอกกล้วยไม้ ไม่ ไม่นะ ยังมีกลิ่นดอกสาลี่ที่อ่อนกว่าด้วย แต่ถูกกลิ่นกล้วยไม้กลบจนมิด หากไม่ใช่เพราะเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลอิสตรีอยู่เป็นนิจสินก็จะไม่มีทางได้กลิ่นนั้น “จำได้ใช่ไหม?” หญิงสาวชุดเขียวหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นอาจารย์หวาพยักหน้า ก็ยิ้มแล้วหยิบโป๊ะที่ครอบตะเกียงออก เผากระดาษทั้งสองแผ่นจนมอดไหม้ประหนึ่งทำลายซากศพจนหมดเกลี้ยงก็มิปาน “ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวจากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อไปถึงหน้าประตูทันใดนั้นก็หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เงินสองพันตำลึงน่าจะเพียงพอสำหรับซื้อยาแก้พิษโอสถสลายกระดูกได้สักเม็ดหนึ่ง อาจารย์หวาก็ใช้มันมาซื้อยาแก้พิษแทนโลงศพได้ แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าซื้อลิ้นในราคาสองพันตำลึงได้ และใช้จ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อชีวิตคนคนหนึ่งได้เช่นกัน มีคนรู้จักเจ้ามากเหลือเกิน ต่อให้เจ้าอยากจะหลบซ่อนก็เกรงว่าจะซ่อนไม่ได้!” อาจารย์หวามองหญิงผู้นั้นจากไปอย่างเย็นยะเยือกไปทั้งเนื้อทั้งตัว โชคเข้าข้างสุดท้ายในใจก็ถูกดับวูบ เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด… ก่อนการประลองยุทธ์ ในเมืองลี่โจวอยู่ในสภาพร้อนระอุแล้ว ทั้งโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คนจากยุทธภพต่างเข้าออกกันขวักไขว่ มีสองร้านที่คึกคักที่สุดได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมหอวีรบุรุษกับโรงน้ำชาอี้สื่อชั่วคราว กระนั้นมีบางอย่างไม่เหมือนในอดีต คนที่รู้จักกันจะขยิบตามีลับลมคมในหลังจากพบกันแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินหรือยัง?” ได้ยิน? ได้ยินอะไร? แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องราวภายในของการต่อสู้ยามดึกในเรือนตระกูลซั่งกวน! ตามที่คนวงในบอกเล่ามา การต่อสู้ในคืนนั้นไม่มีอะไรนอกจาก ‘นารีเป็นเหตุ’ เป็นตัวการก่อเรื่อง นารีเป็นเหตุนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาใหม่ของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนที่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันเกือบครึ่งปี สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนแซ่เยี่ยน มีนามว่ามี่เอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนที่ห้าของพ่อค้าวาณิชผู้ร่ำรวยธรรมดาๆ ในอู๋โจว รูปโฉมมีเสน่ห์งดงามจนกล่าวขานได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนที่สง่าใจกว้าง มีเกียรติยศศักดิ์ศรี หรือความงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เป็นนางยั่วสวาท เกิดมาเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มอมเมาด้วยคำพูดหวานหู ผู้ที่เคยพบเห็นจะตกใจในความงามจนนึกว่าตกลงมาจากสวรรค์ และมีข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า นางเป็นคนเดียวกับสนมซูต๋าจี่ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะที่มีชื่อเสียงและยังเป็นจิ้งจอกเก้าหางกลับชาติมาเกิดด้วยหรือไม่? คุณชายใหญ่แห่งซั่งกวน ซั่งกวนเจวี๋ยมักเรียกได้ว่าตามใจภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คนนี้ไม่เป็นสองรองใคร เพื่อนางแล้วจึงละทิ้งหญิงงามคนสนิทที่รักใคร่ทั้งสามออกไป ได้ปะทะกับบิดาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพื่อนางอีกเช่นกัน หัวหน้าตระกูลซั่งกวนผู้สง่างามโกรธลูกชายมากจนหนีออกจากเรือน ส่วนฮูหยินใหญ่ของตระกูลซั่งกวนก็ยิ่งอาเจียนเป็นเลือดนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเพราะหลานชายที่หลงใหลปีศาจจิ้งจอกหัวปักหัวปำ ด้วยเหตุนี้ สะใภ้ใหญ่ที่เอาแต่ใจเป็นพิเศษผู้นี้ก็ยังไม่พอใจ ต้องการเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดในโลกหล้า ดังนั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน ซั่งกวนเจวี๋ยเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของฮูหยินใหญ่ตระกูลซั่งกวน ทั้งยังชักกระบี่สังหารคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคนที่ขัดขวางเขา แล้วไปกับบ่าวคนสนิท ตามล่าหาสมบัติให้ภรรยาสุดที่รัก น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้เอาแต่ไม่สบายใจที่ต้องอยู่เหย้าเฝ้ากับเรือน รู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว จึงหลอกล่อเพื่อนที่น้องชายสามีเชิญมาให้กลับบ้าน ให้ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนจับได้คาหนังคาเขา ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนด่าทอไปคำหนึ่ง ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ ก็โดนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หยิ่งยโสและมีอำนาจเหนือกว่าตอกกลับจนอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง ชีวิตไม้ใกล้ฝั่งเกือบจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ ฮูหยินใหญ่ผู้น่าสงสารแห่งซั่งกวนทำอะไรไม่ถูก จึงต้องเชิญบรรดาเพื่อนของหลานชายซั่งกวนอวี่ไข่ออกจากบ้านซั่งกวน เพื่อป้องกันไม่ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผู้มีนิสัยร่านสวาทฉกฉวยหาผลประโยชน์ ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะออกจากเรือนเพราะเหตุนี้จริงๆ แล้วย้ายเข้าไปพักในอีกเรือนข้างสระบัว จะว่าไปเรือนอื่นนั่นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมากเช่นกัน เทศกาลดอกบัวประจำปีจัดขึ้นที่นั่น ชื่อว่าสดับวายุ ตัวอักษรบนประตูเรือนยังได้ซั่งกวนเจวี๋ยมาจรดปลายพู่กันเขียนด้วยตัวเอง ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้ายเข้าไปในเรือนสดับวายุก็สั่งให้คนสนิทข้างกายของนางส่งจดหมายถึงนายบำเรอของนาง นัดหมายให้มาพบปะส่วนตัวที่เรือนสดับวายุ แต่น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรเรือนสดับวายุยังคงเป็นที่ตั้งของตระกูลซั่งกวนอยู่ดี หมู่มวลภมรที่เจ้าชู้ไก่แจ้เหล่านั้นก็ไม่มีทางเข้าประตูมาได้ เช่นนั้นจึงโกรธกระฟัดกระเฟียด รวบรวมผู้คนจำนวนมากแล้วเร่งรีบออกไป เพิ่งเกิดขึ้นในคืนก่อนนี่เอง ดังนั้น ซั่งกวนจิ่นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลซั่งกวนจึงปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อคืนก่อน แม้จะมีคนคาดเดาว่ามีสมบัติหรือคัมภีร์ลับในเรือนสดับวายุก็จะไม่ออกมาลบล้างข่าวลือ ที่มาที่ไปก็มิอาจบอกเล่าได้ เพียงเพื่อจะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ให้ตระกูลซั่งกวน คนผู้นั้นเล่าอีกว่า แล้วจะมีใครรู้เรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมที่คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนรั่วไหลความลับ? อันนี้ก็ไม่ทราบได้! เนื่องจากเมื่อรุ่งเช้านี้ มีการติดใบปลิวป่าวประกาศจำนวนหนึ่งไว้ในจุดที่สะดุดตาข้างทาง เขียนเรื่องที่เป็นความลับสุดยอดนี้ออกมาอย่างกระชับชัดเจน แม้ตระกูลซั่งกวนที่ได้รับรู้ข่าวจะให้คนมาฉีกทำลาย แต่ยังคงแพร่กระจายออกไป หอยุทธภพอี้สื่อตั้งหัวข้อพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์อี้สื่อผู้เขียนบทประพันธ์ได้ค่าตอบแทนนั่งเทียนเขียนข่าว เล่าเรื่องราวที่เรียกว่า ‘นารีล่มยุทธภพ’ ซึ่งตีความเกร็ดชีวิตของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนได้อย่างมหัศจรรย์ นางมีสติปัญญาล้ำเลิศตั้งแต่ยังเด็กตัวเท่าเมี่ยง เมื่อครั้งอายุเพียงสองขวบก็หลอกล่อฮูหยินซั่งกวน ขอให้ฮูหยินซั่งกวนทำสัญญาหมั้นหมายนางกับซั่งกวนเจวี๋ย ด้วยวัยและเรือนร่างของนางมาล่อลวงฮูหยินซั่งกวน แต่ทุกคนคัดค้าน จึงใช้ความตายมาบีบบังคับ ให้ตระกูลซั่งกวนต้องรับนางแต่งเข้ามา จากนั้นก็แต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ยผู้กำลังหนุ่มแน่น ต่อมาข่มเหงความรักของซั่งกวนเจวี๋ย คือหญิงงามคนสนิททั้งสามที่ซั่งกวนเจวี๋ยเชิญให้มาอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวน ได้กดดันให้ซั่งกวนเจวี๋ยขับผู้หญิงที่แสดงความรู้สึกลึกซึ้งรักใคร่สามคนออกจากตระกูลซั่งกวนด้วยน้ำมือตัวเอง และตอนนี้ ด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของนางเอง จึงขอให้ซั่งกวนเจวี๋ยออกไปข้างนอกเพื่อหาเครื่องประดับที่หรูหราให้นาง แต่กลับมิอาจทนกับความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวกับห้องที่ว่างเปล่าได้ เลยเกิดเรื่องเล่าดอกซิ่งแดงออกกำแพงไปมีชู้นั่นเอง สาธยายให้ชาวบ้านร้านตลาดได้รับรู้โดยทั่วกัน สิ่งที่เล่านี้เรียกว่าสะเทือนใจ พอได้ยินก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่ชอบธรรมอัดแน่นเต็มทรวง หลายคนสบถขณะฟัง บางคนสาปแช่งนารีเป็นเหตุ บางคนก่นด่าซั่งกวนเจวี๋ยเพราะโลภกามารมณ์ เพื่อผู้หญิงคนเดียวหามีความกตัญญูกตเวทีและความเมตตากรุณาไม่…อย่างไรก็ตามมีการด่าทอทุกรูปแบบ บางคนถึงกับประณามไปพลาง ถอนหายใจไปพลางว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มีบุญได้เชยชมหญิงงามเช่นนี้ และแต่งงานกับปีศาจจิ้งจอกที่กลับชาติมาเกิด ไม่มีใครรู้ว่าในมุมหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นซองจดหมายให้กับขอทานตัวน้อยข้างถนน ให้เขาส่งต่อไปให้อาจารย์หวาที่โรงน้ำชาอี้สื่อ และไม่มีใครรู้เช่นกันว่า หลังจากอาจารย์หวาได้รับจดหมายซองนั้นก็ประหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า มอบอัฐเล็กน้อยให้กับขอทานตัวน้อยแล้วไปที่ซ่อนในสวนหลังบ้านและกลืนยาลูกกลอนลงไปในอึกเดียว ไม่ต้องพูดถึง ขณะที่สีท้องฟ้ายามราตรีเข้าปกคลุม อาจารย์หวาที่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกผู้นี้ต้องการจะอาศัยความมืดออกจากลี่โจวไปนั้นก็ถูกซั่งกวนจิ่นที่โกรธจัดส่งใครบางคนมาจับกลับไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไม่มีใครรู้ว่า เกิดการทะเลาะกันเองในสวนหลังบ้านของตระกูลซั่งกวน จนหวิดจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น… ——————

“อาจารย์หวา ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว!” อาจารย์หวาผู้เขียนบทประพันธ์กังวลว่าควรจะเลือกใครเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งคนใหม่แกะกล่องของยุทธภพที่จะเล่าบรรยายในวันพรุ่งนี้อยู่นั้น ก็มีเสียงอันทรงเสน่ห์ขัดจังหวะความคิดของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมอง กลับเป็นสตรีสวมหน้ากากสีเขียวมรกตผู้หนึ่ง

“เจ้าเป็นใคร?” อาจารย์หวาถูกขัดจังหวะความคิด ใบหน้าบึ้งตึง มองผู้มาเยือน คาดว่าจะเป็นหญิงชาวยุทธ์อีกคนหนึ่งที่ต้องการมีชื่อเสียงในบัดดล จึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “อาหู่ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตอนที่ข้าใช้ความคิดจะไม่พบแขก?”

“อาหู่? ที่แท้ตาทึ่มนั่นชื่อว่าอาหู่! ข้ายังคิดว่าชื่ออาไตเสียอีก! “หญิงสาวชุดเขียวพูดกลั้วหัวเราะว่า “เขาหลับไปก่อนจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ เมื่อข้ามาเยี่ยมครั้งต่อไปจะฟังเขาพูดให้จบดิบดีแล้วค่อยให้เขานอนหลับ!”

“เจ้าหมายความว่ากระไร!” อาจารย์หวาหน้าซีดเป็นไก่ต้ม หลับไป? จะโดนคนตรงหน้านี้ซัดจนสลบหรือถูกวางยา?

“ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!” หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะระรื่น เดินเข้ามาเล็กน้อย โยนกระดาษสองแผ่นใส่หน้าอาจารย์หวาเบาๆ แล้วพูดว่า “รบกวนอาจารย์หวาช่วยดูที พรุ่งนี้ตอนเย็นพลบค่ำ ข้าอยากให้ทุกคนในเมืองลี่โจวรู้เรื่องนี้ ขอให้อาจารย์หวาโปรดช่วยเหลือด้วย!”

อาจารย์หวาลังเลอยู่บ้างพักหนึ่ง หยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมาอย่างจำใจแล้วเหลือบมองอย่างรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ไม่ได้ ข้าไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ ถ้าให้ตระกูลซั่งกวนรู้…”

“เจ้ากลัวตระกูลซั่งกวนหรือ?” หญิงชุดเขียวสะบัดมือ พาดกระบี่ยาวที่พบเห็นได้ทั่วไปบนคอของอาจารย์หวาพลางกระตุกยิ้มลั่นว่า “แล้วเจ้าไม่กลัวข้าหรือ?”

“ทำไมแม่นางถึงทำเช่นนี้?” อาจารย์หวามองหญิงสาว พยายามจะมองผู้คุกคามที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ให้ชัดเจน แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นชาวยุทธ์ฝีมือฉมังหรือจะบอกว่าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างใด ทว่า…เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเห็นแขนเรียวเล็กของมือขวาที่จับกระบี่เผยท่าทางเยียบเย็นดุดัน มีไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว สะท้อนให้เห็นถึงผิวพรรณที่ขาวนวลดุจหิมะ สวยงามและพริ้งพราวไปด้วยเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

“มีความสุข!” หญิงสาวชุดเขียวพูดสั้นอย่างเอาแต่ใจว่า “ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์หวาว่าจะให้ข้ามีความสุขหรือผิดหวัง!”

“มีความสุขอะไร? แล้วผิดหวังอะไรด้วย?” อาจารย์หวาถอยหลังนิดหน่อย เจ็บแปลบที่ลำคอเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าเลือดอุ่นค่อยๆ ไหลเข้าไปในคอเสื้อ เขาฉุกคิดขึ้นในใจ รู้ว่านารีตรงหน้านี้เป็นผู้หญิงที่เก่งกาจลงมือฆ่าคนได้แน่ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวหยั่งเชิงอะไรอีก

“มีความสุข…” หญิงสาวชุดเขียวหยิบสัมภาระบนไหล่ซ้ายด้วยมือซ้าย โยนมันลงบนโต๊ะเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ตวัดกระบี่ยาวฟันห่อสัมภาระขาดเป็นเสี่ยงๆ แท่งเงินขนาดใหญ่ยี่สิบตำลึงส่องแสงเรืองรองงามอร่ามท่ามกลางแสงเทียน อาจารย์หวามองไปตามใจคิด คาดว่ามีประมาณร้อยกว่าแท่งได้

“รวมๆ แล้วเป็นเงินสองพันตำลึง เป็นรางวัลสำหรับเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวพอใจมากเมื่อเห็นความโลภวูบไหวผ่านในดวงตาของอาจารย์หวาแล้วพูดแผ่วเบาว่า “ถ้าให้ข้ามาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น แล้วกลับไปด้วยความผิดหวัง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่อาจารย์หวาจะเป็นหัวข้อสนทนาในวันพรุ่งนี้ ผู้คนจะต้องสงสัยแน่นอนว่าผู้เขียนบทประพันธ์ไปทำผิดล่วงเกินใครกันแน่ จึงต้องเสียชีวิตภายใต้การคุ้มกันของหออี้สื่อ!”

“ข้ารับปากเจ้า!” อาจารย์หวายอมจำนนจนได้ ถ้าตายด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ เขาไม่ยินดีจริงๆ จึงทำได้แค่ดูทิศทางลมรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ตกลงไปก่อนค่อยว่ากัน

“ดีมาก ข้าชอบคนที่รู้จักกาลเทศะ!” หญิงสาวชุดเขียวแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แกว่งไปมาต่อหน้าอาจารย์หวา พอใจที่ได้เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาแล้วยิ้มพูดว่า “อาจารย์หวามีความรู้มาก ดูท่าข้าไม่จำเป็นต้องพูดก็คงรู้ว่านี่คืออะไร!”

“โอสถสลายกระดูก!” หัวใจของอาจารย์หวาสั่นสะท้าน อันที่จริงโอสถสลายกระดูกก็สมกับชื่อของมันที่ทำให้ร่างกายของคนเน่าเปื่อยได้อย่างสมบูรณ์ จัดเป็นพิษอันดับต้นๆ ของยุทธภพ และเป็นยาพิษที่มีชื่อเสียงและราคาแพงที่สุดในสู่โจว หนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่น

“ข้ามียาแก้พิษอยู่!” หญิงสาวชุดเขียวหยิบยาอีกเม็ดหนึ่งออกมา ครั้นอาจารย์หวาเห็นว่านั่นคือยาแก้พิษจริงๆ จึงฝืนยิ้มบิดเบี้ยวแล้วกลืนโอสถสลายกระดูกเม็ดนั้นลงไป

“หากพรุ่งนี้เจ้าทำสิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำได้ ข้าจะให้คนส่งยาแก้พิษมาให้แน่ ถ้าไม่เช่นนั้นเงินสองพันตำลึงก็จะเป็นค่าโลงศพของเจ้าในเวลานั้นสินะ!” หญิงสาวในชุดเขียวหัวเราะและตบไหล่ของอาจารย์หวาเบาๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยโชยมาเตะจมูกของอาจารย์หวา นั่นคือกลิ่นหอมรัญจวนใจของดอกกล้วยไม้ ไม่ ไม่นะ ยังมีกลิ่นดอกสาลี่ที่อ่อนกว่าด้วย แต่ถูกกลิ่นกล้วยไม้กลบจนมิด หากไม่ใช่เพราะเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลอิสตรีอยู่เป็นนิจสินก็จะไม่มีทางได้กลิ่นนั้น

“จำได้ใช่ไหม?” หญิงสาวชุดเขียวหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นอาจารย์หวาพยักหน้า ก็ยิ้มแล้วหยิบโป๊ะที่ครอบตะเกียงออก เผากระดาษทั้งสองแผ่นจนมอดไหม้ประหนึ่งทำลายซากศพจนหมดเกลี้ยงก็มิปาน

“ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า!” หญิงสาวชุดเขียวจากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อไปถึงหน้าประตูทันใดนั้นก็หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เงินสองพันตำลึงน่าจะเพียงพอสำหรับซื้อยาแก้พิษโอสถสลายกระดูกได้สักเม็ดหนึ่ง อาจารย์หวาก็ใช้มันมาซื้อยาแก้พิษแทนโลงศพได้ แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าซื้อลิ้นในราคาสองพันตำลึงได้ และใช้จ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อชีวิตคนคนหนึ่งได้เช่นกัน มีคนรู้จักเจ้ามากเหลือเกิน ต่อให้เจ้าอยากจะหลบซ่อนก็เกรงว่าจะซ่อนไม่ได้!”

อาจารย์หวามองหญิงผู้นั้นจากไปอย่างเย็นยะเยือกไปทั้งเนื้อทั้งตัว โชคเข้าข้างสุดท้ายในใจก็ถูกดับวูบ เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด…

ก่อนการประลองยุทธ์ ในเมืองลี่โจวอยู่ในสภาพร้อนระอุแล้ว ทั้งโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คนจากยุทธภพต่างเข้าออกกันขวักไขว่ มีสองร้านที่คึกคักที่สุดได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมหอวีรบุรุษกับโรงน้ำชาอี้สื่อชั่วคราว กระนั้นมีบางอย่างไม่เหมือนในอดีต คนที่รู้จักกันจะขยิบตามีลับลมคมในหลังจากพบกันแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินหรือยัง?”

ได้ยิน? ได้ยินอะไร? แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องราวภายในของการต่อสู้ยามดึกในเรือนตระกูลซั่งกวน! ตามที่คนวงในบอกเล่ามา การต่อสู้ในคืนนั้นไม่มีอะไรนอกจาก ‘นารีเป็นเหตุ’ เป็นตัวการก่อเรื่อง นารีเป็นเหตุนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาใหม่ของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนที่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันเกือบครึ่งปี

สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนแซ่เยี่ยน มีนามว่ามี่เอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนที่ห้าของพ่อค้าวาณิชผู้ร่ำรวยธรรมดาๆ ในอู๋โจว รูปโฉมมีเสน่ห์งดงามจนกล่าวขานได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนที่สง่าใจกว้าง มีเกียรติยศศักดิ์ศรี หรือความงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เป็นนางยั่วสวาท เกิดมาเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มอมเมาด้วยคำพูดหวานหู ผู้ที่เคยพบเห็นจะตกใจในความงามจนนึกว่าตกลงมาจากสวรรค์ และมีข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า นางเป็นคนเดียวกับสนมซูต๋าจี่ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะที่มีชื่อเสียงและยังเป็นจิ้งจอกเก้าหางกลับชาติมาเกิดด้วยหรือไม่?

คุณชายใหญ่แห่งซั่งกวน ซั่งกวนเจวี๋ยมักเรียกได้ว่าตามใจภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คนนี้ไม่เป็นสองรองใคร เพื่อนางแล้วจึงละทิ้งหญิงงามคนสนิทที่รักใคร่ทั้งสามออกไป ได้ปะทะกับบิดาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพื่อนางอีกเช่นกัน หัวหน้าตระกูลซั่งกวนผู้สง่างามโกรธลูกชายมากจนหนีออกจากเรือน ส่วนฮูหยินใหญ่ของตระกูลซั่งกวนก็ยิ่งอาเจียนเป็นเลือดนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเพราะหลานชายที่หลงใหลปีศาจจิ้งจอกหัวปักหัวปำ ด้วยเหตุนี้ สะใภ้ใหญ่ที่เอาแต่ใจเป็นพิเศษผู้นี้ก็ยังไม่พอใจ ต้องการเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดในโลกหล้า ดังนั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน ซั่งกวนเจวี๋ยเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของฮูหยินใหญ่ตระกูลซั่งกวน ทั้งยังชักกระบี่สังหารคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคนที่ขัดขวางเขา แล้วไปกับบ่าวคนสนิท ตามล่าหาสมบัติให้ภรรยาสุดที่รัก

น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้เอาแต่ไม่สบายใจที่ต้องอยู่เหย้าเฝ้ากับเรือน รู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว จึงหลอกล่อเพื่อนที่น้องชายสามีเชิญมาให้กลับบ้าน ให้ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนจับได้คาหนังคาเขา ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวนด่าทอไปคำหนึ่ง ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ ก็โดนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หยิ่งยโสและมีอำนาจเหนือกว่าตอกกลับจนอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง ชีวิตไม้ใกล้ฝั่งเกือบจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ ฮูหยินใหญ่ผู้น่าสงสารแห่งซั่งกวนทำอะไรไม่ถูก จึงต้องเชิญบรรดาเพื่อนของหลานชายซั่งกวนอวี่ไข่ออกจากบ้านซั่งกวน เพื่อป้องกันไม่ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผู้มีนิสัยร่านสวาทฉกฉวยหาผลประโยชน์ ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะออกจากเรือนเพราะเหตุนี้จริงๆ แล้วย้ายเข้าไปพักในอีกเรือนข้างสระบัว

จะว่าไปเรือนอื่นนั่นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมากเช่นกัน เทศกาลดอกบัวประจำปีจัดขึ้นที่นั่น ชื่อว่าสดับวายุ ตัวอักษรบนประตูเรือนยังได้ซั่งกวนเจวี๋ยมาจรดปลายพู่กันเขียนด้วยตัวเอง ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้ายเข้าไปในเรือนสดับวายุก็สั่งให้คนสนิทข้างกายของนางส่งจดหมายถึงนายบำเรอของนาง นัดหมายให้มาพบปะส่วนตัวที่เรือนสดับวายุ แต่น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรเรือนสดับวายุยังคงเป็นที่ตั้งของตระกูลซั่งกวนอยู่ดี หมู่มวลภมรที่เจ้าชู้ไก่แจ้เหล่านั้นก็ไม่มีทางเข้าประตูมาได้ เช่นนั้นจึงโกรธกระฟัดกระเฟียด รวบรวมผู้คนจำนวนมากแล้วเร่งรีบออกไป เพิ่งเกิดขึ้นในคืนก่อนนี่เอง

ดังนั้น ซั่งกวนจิ่นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลซั่งกวนจึงปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อคืนก่อน แม้จะมีคนคาดเดาว่ามีสมบัติหรือคัมภีร์ลับในเรือนสดับวายุก็จะไม่ออกมาลบล้างข่าวลือ ที่มาที่ไปก็มิอาจบอกเล่าได้ เพียงเพื่อจะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ให้ตระกูลซั่งกวน

คนผู้นั้นเล่าอีกว่า แล้วจะมีใครรู้เรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมที่คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนรั่วไหลความลับ?

อันนี้ก็ไม่ทราบได้! เนื่องจากเมื่อรุ่งเช้านี้ มีการติดใบปลิวป่าวประกาศจำนวนหนึ่งไว้ในจุดที่สะดุดตาข้างทาง เขียนเรื่องที่เป็นความลับสุดยอดนี้ออกมาอย่างกระชับชัดเจน แม้ตระกูลซั่งกวนที่ได้รับรู้ข่าวจะให้คนมาฉีกทำลาย แต่ยังคงแพร่กระจายออกไป

หอยุทธภพอี้สื่อตั้งหัวข้อพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์อี้สื่อผู้เขียนบทประพันธ์ได้ค่าตอบแทนนั่งเทียนเขียนข่าว เล่าเรื่องราวที่เรียกว่า ‘นารีล่มยุทธภพ’ ซึ่งตีความเกร็ดชีวิตของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนได้อย่างมหัศจรรย์ นางมีสติปัญญาล้ำเลิศตั้งแต่ยังเด็กตัวเท่าเมี่ยง เมื่อครั้งอายุเพียงสองขวบก็หลอกล่อฮูหยินซั่งกวน ขอให้ฮูหยินซั่งกวนทำสัญญาหมั้นหมายนางกับซั่งกวนเจวี๋ย ด้วยวัยและเรือนร่างของนางมาล่อลวงฮูหยินซั่งกวน แต่ทุกคนคัดค้าน จึงใช้ความตายมาบีบบังคับ ให้ตระกูลซั่งกวนต้องรับนางแต่งเข้ามา จากนั้นก็แต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ยผู้กำลังหนุ่มแน่น ต่อมาข่มเหงความรักของซั่งกวนเจวี๋ย คือหญิงงามคนสนิททั้งสามที่ซั่งกวนเจวี๋ยเชิญให้มาอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวน ได้กดดันให้ซั่งกวนเจวี๋ยขับผู้หญิงที่แสดงความรู้สึกลึกซึ้งรักใคร่สามคนออกจากตระกูลซั่งกวนด้วยน้ำมือตัวเอง และตอนนี้ ด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของนางเอง จึงขอให้ซั่งกวนเจวี๋ยออกไปข้างนอกเพื่อหาเครื่องประดับที่หรูหราให้นาง แต่กลับมิอาจทนกับความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวกับห้องที่ว่างเปล่าได้ เลยเกิดเรื่องเล่าดอกซิ่งแดงออกกำแพงไปมีชู้นั่นเอง สาธยายให้ชาวบ้านร้านตลาดได้รับรู้โดยทั่วกัน

สิ่งที่เล่านี้เรียกว่าสะเทือนใจ พอได้ยินก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่ชอบธรรมอัดแน่นเต็มทรวง หลายคนสบถขณะฟัง บางคนสาปแช่งนารีเป็นเหตุ บางคนก่นด่าซั่งกวนเจวี๋ยเพราะโลภกามารมณ์ เพื่อผู้หญิงคนเดียวหามีความกตัญญูกตเวทีและความเมตตากรุณาไม่…อย่างไรก็ตามมีการด่าทอทุกรูปแบบ บางคนถึงกับประณามไปพลาง ถอนหายใจไปพลางว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มีบุญได้เชยชมหญิงงามเช่นนี้ และแต่งงานกับปีศาจจิ้งจอกที่กลับชาติมาเกิด

ไม่มีใครรู้ว่าในมุมหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นซองจดหมายให้กับขอทานตัวน้อยข้างถนน ให้เขาส่งต่อไปให้อาจารย์หวาที่โรงน้ำชาอี้สื่อ และไม่มีใครรู้เช่นกันว่า หลังจากอาจารย์หวาได้รับจดหมายซองนั้นก็ประหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า มอบอัฐเล็กน้อยให้กับขอทานตัวน้อยแล้วไปที่ซ่อนในสวนหลังบ้านและกลืนยาลูกกลอนลงไปในอึกเดียว ไม่ต้องพูดถึง ขณะที่สีท้องฟ้ายามราตรีเข้าปกคลุม อาจารย์หวาที่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกผู้นี้ต้องการจะอาศัยความมืดออกจากลี่โจวไปนั้นก็ถูกซั่งกวนจิ่นที่โกรธจัดส่งใครบางคนมาจับกลับไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไม่มีใครรู้ว่า เกิดการทะเลาะกันเองในสวนหลังบ้านของตระกูลซั่งกวน จนหวิดจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น…

——————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+