เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 70 ยกน้ำชา (2)

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 70 ยกน้ำชา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหยุดชั่วคราวทั้งๆ ที่ยังไม่หายอยาก มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งสีหน้าซีดเซียวแล้ว จึงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ความไม่พอใจเล็กน้อยที่แผนสมรู้ร่วมคิดอย่างลับๆ ไม่สำเร็จเมื่อวานนี้ได้อันตรธานไป แล้วสรุปคำพูดเองกล่าวว่า “ไว้เท่านี้แล้วกัน ยังมีกฎอื่นๆ รออยู่ ข้าจะสอนเจ้าอีกหากไปน้อมทักทายที่เรือนหลังบ้าน”

“หลานสะใภ้น้อมรับคำสอนของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงอ่อนโยนและนบนอบ ราวกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดเพียงคำสองคำเท่านั้นเอง

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรับถ้วยชาอย่างพึงพอใจ นางพูดอยู่ยกใหญ่เช่นนั้น ก็ค่อนข้างกระหายน้ำจริงๆ จึงดื่มชาหลายอึกอย่างช้าๆ แล้วถอดสร้อยข้อมือหยกสีมรกตทั้งชิ้นออกจากมือพลางกล่าวว่า “สร้อยข้อมือหยกนี้สวยดี ถือเป็นของขวัญพบหน้าให้เจ้า”

“ขอบพระคุณฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยความเคารพ ลู่หลัวก็เก็บสร้อยข้อมือหยกไว้ในถาด

“ลุกขึ้นเร็วเข้า” ยามนี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยดูเหมือนจะพบว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่ามานานแล้ว

“ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่เมตตาเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค้อมกายคำนับ จื่อหลัวรีบช่วยพยุงนางลุกขึ้น เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนขึ้นได้ครึ่งหนึ่ง ขาก็พลันอ่อนยวบลง ร่างกายเสียหลักอย่างรวดเร็ว นางจับมือของจื่อหลัวแล้วยันพื้นไว้อย่างแรง ถึงจะฝืนไม่ให้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง แต่ความเจ็บปวดที่มิอาจทนได้วาบผ่านขึ้นบนใบหน้า ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ย ซั่งกวนฮ่าวและฮูหยินมองเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันอยู่ในที

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปกปิดความเจ็บปวดอย่างฉับไว บนใบหน้ายังเจือความเคารพและรอยยิ้ม ก้าวเดินช้าลงเล็กน้อย แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าซั่งกวนฮ่าว รับถ้วยชาที่จื่อหลัวยื่นมาให้ ยกขึ้นเหนือศีรษะแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ลูกสะใภ้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คารวะน้ำชานายท่านเจ้าค่ะ!”

ซั่งกวนฮ่าวอมยิ้มพยักหน้าพลางเอ่ยคำว่า ‘ดี’ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ใส่จี้หยกชิ้นหนึ่งในถาดที่ลู่หลัวถือไว้แล้วพูดว่า “หยกมันแพะชิ้นนี้ถือเป็นของขวัญพบหน้าของข้า ขอให้ทั้งคู่รักกันมั่นคงตลอดไป!”

“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเคารพนอบน้อมดังเดิม เพียงแต่คนที่มีหัวใจกลับฟังออกว่าน้ำเสียงของนางเหมือนยกภูเขาออกจากอกมากขึ้น ทุกคนอดมองทั่วป๋าซู่เยวี่ยแวบหนึ่งไม่ได้ ดูท่านางจะตกใจทั่วป๋าซู่เยวี่ย

“ลุกขึ้นเร็วเข้า!” ซั่งกวนฮ่าวทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ผู้หญิงที่บอบบางเช่นนี้คุกเข่านานเกินไป เมื่อครู่นี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ไม่ฉลาดสักเท่าใดจริงๆ ที่ทำให้ทุกคนเห็นความอคติเล็กน้อยอยู่ในสายตา

“ขอบคุณนายท่านที่เมตตาเจ้าค่ะ!” คำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอึดอัดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนจะแสดงท่าทางโหดร้ายใส่นางไปเล็กน้อย แต่มิอาจพูดอะไรได้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้านั้นจึงค่อนข้างแข็งทื่อ

คนสุดท้ายที่เข้าคำนับคือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรีบรับถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง แล้ววางจี้หยกรูปเป็ดยวนยางหลากสีที่หายากมากคู่หนึ่งลงบนถาดแล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์ เป็ดยวนยางคู่นี้ข้าได้มายากทีเดียว บัดนี้ก็จะมอบให้เจ้ากับเจวี๋ยเอ๋อร์ แม่หวังว่าพวกเจ้าจะรักใคร่ปรองดองกัน!”

“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” เสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นุ่มนวล ฟังแล้วรื่นหูจับจิตจับใจมากขึ้น ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกจิตใจอ่อนโยนเมื่อได้ยิน

“รีบลุกขึ้นมาพบน้องชายน้องสาวเร็วเข้า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดจบ ก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดอะไร แม่นมสีที่อยู่ข้างๆ นางก็เดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ช่วยประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้น เพื่อให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นแล้วจิตใจกลัดกลุ้ม…

ซั่งกวนเจวี๋ยพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปพบน้องชายน้องสาวทั้งหลายทีละคน เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบพวกเขาทีละคน ซั่งกวนอิงได้ถุงถักสองสามใบที่ใช้เป็นสายห้อยแขวนพัดหรือด้ามดาบได้ เป็นลวดลายดอกเหมยผสานกับหัวใจ มีสีแตกต่างกันเท่านั้นเอง ถุงถักสองสามใบล้วนเป็นฝีมือของลู่หลัวทั้งหมด รูปแบบค่อนข้างซับซ้อน ต่อให้จะเป็นลู่หลัวก็ใช้เวลาสองสามวัน สำหรับให้พวกหลิงหลงทั้งสามคือถุงเงินที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปักเอง ส่วนฝีมือนั้นแม้แต่สาวใช้ที่คอยจับผิดอย่างจินหรุ่ยก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก หลิงหลงและจิงอิ๋งย่อมเต็มไปด้วยความสุขใจ

แน่นอน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ลืมซั่งกวนอวี่ไข่ที่มองด้วยความคับแค้นและประหลาดใจ ในขณะที่ดวงตาของซั่งกวนอิงเต็มไปด้วยความแปลกใจและปลาบปลื้มยินดี แม้ซั่งกวนอวี่ฮ่าวจะอายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่ลึกซึ้งมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้สังเกตว่าเขาคิดอย่างไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาดีของเขาเช่นกัน สำหรับซั่งกวนพิงถิง เพียงแวบแรกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็แน่ใจว่าตนไม่ค่อยชอบใจ

น้องสาวที่อาฆาตพยาบาทและไร้ความปรานีคนนี้ ดูท่าตระกูลซั่งกวนจะไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ง่ายอย่างนั้น

หลังจากพบกับน้องชายน้องสาวของซั่งกวนเจวี๋ย ก็มีแม่นมที่อยู่ถัดจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้จัดที่นั่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ยนั่งแยกกัน รอให้อนุภรรยาทั้งสามคำนับเยี่ยนมี่เอ๋อร์

คนแรกที่คำนับเยี่ยนมี่เอ๋อร์คือหนิงซิน ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีแดงเงิน นางไม่ได้สวยเป็นพิเศษ แต่เรือนร่างอวบอ้วน ผิวพรรณขาวผุดผ่องเป็นยองใย บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่แสดงความเคารพ น่าเสียดายที่ความเย็นชาและดูถูกเหยียดหยามในหางตาทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบคิดว่า นางต้องพึ่งพาอะไรคนผู้นี่บ้าง ไม่นึกเลยว่าหนิงซินจะไม่คิดซ่อนความเยือกเย็นและดูหมิ่นในสายตา ทั้งยังกล้าสวมชุดสีแดงเงินในวันเช่นนี้ ทั้งที่นางเป็นเพียงอนุภรรยา ไต่เต้าจากเมียบ่าวจนมาเป็นอนุภรรยา มีงานที่ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ถึงได้กล้าหยิ่งผยองขนาดนี้ มีเงินทุนหรือโง่กันแน่?

“บ่าวหนิงซินคารวะสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” หนิงซินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงแสดงความเคารพ แต่อากัปกิริยาเชื่องช้ามาก นวยนาดไม่ยอมคุกเข่าลง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ประกายตานุ่มนวล ต้องการไปช่วยพยุงนาง แต่อดทนอดกลั้นไว้ แล้วมองไปที่ซั่งกวนเจวี๋ยด้วยแววตาที่สงสัย

ซั่งกวนเจวี๋ยสนใจการกระทำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาตลอด เมื่อเห็นว่านางจะไปช่วยหนิงซิน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้…เขารู้ดีว่าการรับมืออนุภรรยาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หนิงซินถือตัวว่ามาจากทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทั้งยังมีลูกชายลูกสาวอีกด้วย จึงมักจะรู้สึกว่าตนควรจะเป็นภรรยารองของซั่งกวนฮ่าวหากไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะ ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ช่วยพยุงนางในวันนี้ ไม่ให้นางคุกเข่าลงจริง ในวันพรุ่งนี้เมื่อพบหน้ากันนางอาจจะไม่ทำความเคารพและได้ใจกำเริบเสิบสานเป็นกิ้งก่าได้ทอง แต่เขาไม่อาจพูดได้ ขณะที่กังวลอยู่บ้าง กลับเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสายตาลอบถาม ในใจเกิดความคิดที่สวนทางไปกับความเมตตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และการพึ่งพาตัวเองของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงเพียงส่ายศีรษะเล็กน้อย

เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงท่าที หนิงซินก็รู้สึกยินดีในใจ คิดว่านางไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลงให้สะใภ้ใหญ่คนนี้ที่ฐานะไม่สูงพอ จึงเคลื่อนไหวช้าลง แต่ไม่ได้คาดคิดว่ามือที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพียงแค่เปลี่ยนกิริยาบถกลายเป็นชักมือกลับคืนไป นางเริ่มเกิดความชิงชังขึ้นในใจ แต่ก็ต้องคุกเข่าลงจริงๆ

“อนุหนิงอย่าได้มากพิธี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนการแสดงออกท่าทีกับหนิงซิน ยามที่ซั่งกวนอวี่ไข่และซั่งกวนพิงถิงเห็น

หนิงซินคุกเข่านั้นก็เก็บความไม่พอใจและแค้นเคืองไว้ที่หางตา แต่ไม่เผยความผิดปกติบนใบหน้าแม้แต่น้อย แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “วันนี้พบกันครั้งแรก ข้าได้รับของขวัญจากอนุหนิง พบกันวันหลังก็ไม่ต้องเกรงใจเกินไป”

“ขอบคุณสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” เหตุใดหนิงซินจะฟังความหมายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ออก การได้รับของขวัญในการพบกันครั้งแรกหมายถึงอะไร แล้วอะไรที่เรียกว่าวันหลังไม่ต้องเกรงใจเกินไป ไม่ใช่บอกตัวเองหรือว่าควรปฏิบัติตามมารยาท ส่วนนางก็จะรับไว้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับถุงเงินจากจื่อหลัวแล้วส่งให้หนิงซินพลางเอ่ยว่า “ถุงนี้ข้าปักเอง ถือเป็นของขวัญพบหน้าแล้วกัน!”

ถุงเงินนั้นแตกต่างจากของพวกหลิงหลง มันใหญ่และโป่งกว่าเล็กน้อย พอดูก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน เพียงแต่ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้เท่านั้นเอง

“ขอบคุณสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” หนิงซินหยัดกายขึ้นข่มกลั้นโทสะ แล้วก้าวถอยหลังพร้อมกับหายใจติดขัด

“บ่าวอู๋น่งอวิ๋นคารวะสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” อนุภรรยาอู๋มีบทเรียนแล้ว รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ช่วยประคองตัวเอง จึงคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ

“อนุอู๋ไม่ต้องมากพิธี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้เปลี่ยนน้ำเสียง ยังคงสุภาพมากพลางกล่าวว่า “อนุอู๋มักจะดูแลงานบ้านงานเรือน วันหน้ายังมีหลายอย่างที่ต้องพูดคุยและขอคำแนะนำ ก็อย่าได้เกรงใจมากนัก”

ยังคงเป็นถุงเงินที่โป่งอยู่ อู๋น่งอวิ๋นรับแล้วก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

คนสุดท้ายที่เข้ามาคืออนุภรรยาหวัง หวังชิ่นเซียน ดูเหมือนนางเป็นคนซื่อสัตย์และเจียมตัว หลังจากคำนับตามมารยาทแล้วก็ถอยออกมา แต่ว่า…ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจว่าทำไมซั่งกวนอวี่ฮ่าวถึงทำให้นางรู้สึกถึง ‘ปีศาจจิ้งจอก’อนุภรรยาหวังก็เป็นคนที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง แต่นางรู้สถานะตัวเองดี และเข้าใจว่าทำอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้นนางจึงฉลาดมากที่ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ยกเว้นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้ว จะไม่สนับสนุนหรือต่อต้านใครหรือสิ่งใด เข้าใจหลักการรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะชาญฉลาดและสามารถหัวเราะครั้งสุดท้ายได้

“เอาล่ะ คำนับเสร็จพิธีแล้ว ก็นั่งดื่มชากันเถอะ!” ซั่งกวนฮ่าวเห็นว่าพิธีใกล้จะเสร็จแล้ว ล้วนเข้าใจในเบื้องต้นกันดี จึงเอ่ยพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

ในขณะที่เขาเพิ่งพูดจบ สาวใช้กว่าสิบคนก็ยกถาดเดินเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด ในถาดนั้นมีกาจื่อซาใบเล็กจุ๋มจิ๋ม ถ้วยใบหนึ่งรวมถึงอาหารว่างและน้ำชาสองสามอย่าง แล้ววางชาและอาหารว่างไว้ใกล้มือบนโต๊ะเล็กๆ ข้างกายเจ้านายแต่ละคน บรรดาสาวใช้ก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองเล็กน้อย อนุภรรยาทั้งสามก็เข้ามานั่ง นั่งอยู่ข้างหลังคุณหนูทั้งสาม ดูท่าตระกูลซั่งกวนจะยังปฏิบัติต่อเหล่าอนุภรรยาดีเป็นพิเศษ มิน่าเล่า หนิงซินถึงกล้าทำตัวหยิ่งผยองเช่นนั้น อนุภรรยาอู๋ก็กล้าวางยาซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นการให้ท้ายก็ไม่ปาน

“มี่เอ๋อร์ แม้ตระกูลซั่งกวนจะถือได้ว่าเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพล แต่ก็อยู่ในยุทธภพมานานแล้ว หลายอย่างก็ไม่ได้มีอะไรพิถีพิถันมากนัก เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดเกินไป ทำตัวตามสบายได้ ในหลายวันนี้บรรดาลูกหลาน คุณหนูและสะใภ้ใหญ่จากตระกูลต่างๆ จะพักอยู่ในตระกูลซั่งกวนระยะหนึ่ง ประมาณครึ่งเดือนถึงยี่สิบวัน ซึ่งเป็นกฎเดิมของหลายตระกูล จะใช้โอกาสนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สนิทสนมและทำความเข้าใจกัน เจ้าเองก็ทำความรู้จักและเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาให้มาก” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเรียบง่าย

“เจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบง่ายยิ่งกว่า

“มี่เอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องดูแลมากนัก แม้พวกนางจะเอาแต่ใจอยู่มาก แต่ก็เข้ากันได้ง่าย เจ้าเป็นคนฉลาดและมีความ สามารถเช่นนี้ จะทำได้ดีแน่!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างโล่งอกว่า “หลิงหลงกับจิงอิ๋งอยู่กับเจ้าตลอด ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรผิด!”

“มี่เอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบเบาๆ

“อีกอย่าง ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งเช้าเย็นนั้นตระกูลซั่งกวนก็ไม่ค่อยเข้มงวดเท่าใด โดยทุกๆ ห้าวันต้องน้อมทักทายฮูหยินใหญ่ ส่วนเวลาอื่นๆ ก็จัดการเอง ไม่ต้องน้อมทักทายทุกวันให้ลำบาก ถ้าอยากออกไปผ่อนคลายหรือซื้อของ ให้พาแม่นมสาวใช้ไปด้วย จัดเกี้ยวให้พร้อมก็ได้ และไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเป็นพิเศษ เพียงแจ้งยามเฝ้าประตูก็พอ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดต่อ นางไม่ต้องการให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเรียกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปตั้งกฎเกณฑ์ที่เรือนหลังบ้าน

“เจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับคำ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นความผิดปกติในดวงตาของนางได้อย่างชัดเจน สันนิษฐานว่าไม่ได้คิดจะออกไปข้างนอกตามอำเภอใจกระมัง! เขาคิดกับตัวเอง

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดร่ำไรเช่นนี้อยู่พักใหญ่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งอกตั้งใจฟัง เมื่อได้เวลาพอสมควร จึงให้นางกับซั่งกวนเจวี๋ย

กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน แล้วเจอกันตอนทานอาหารกลางวัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์สรุปเป็นข้อใหญ่ได้ก่อนเลยว่า…ในตระกูลซั่งกวนไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ดังคาด จึงเชื่อว่าครอบครัวอย่างนี้นางจะใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมาก ประหนึ่งปลาได้น้ำ! อย่างไรก็ตาม เยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนอื่นนางต้องตั้งมั่นในหัวใจของซั่งกวนเจวี๋ย จากนั้นก็ขับไล่ผู้หญิงที่มีเจตนาซ่อนเร้นพวกนั้นออกไปให้หมด ในเมื่อซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่นางชอบ เขาจึงมีภรรยาได้เพียงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องมีใครอื่น!

———————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 70 ยกน้ำชา (2)

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 70 ยกน้ำชา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหยุดชั่วคราวทั้งๆ ที่ยังไม่หายอยาก มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งสีหน้าซีดเซียวแล้ว จึงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ความไม่พอใจเล็กน้อยที่แผนสมรู้ร่วมคิดอย่างลับๆ ไม่สำเร็จเมื่อวานนี้ได้อันตรธานไป แล้วสรุปคำพูดเองกล่าวว่า “ไว้เท่านี้แล้วกัน ยังมีกฎอื่นๆ รออยู่ ข้าจะสอนเจ้าอีกหากไปน้อมทักทายที่เรือนหลังบ้าน”

“หลานสะใภ้น้อมรับคำสอนของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงอ่อนโยนและนบนอบ ราวกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดเพียงคำสองคำเท่านั้นเอง

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรับถ้วยชาอย่างพึงพอใจ นางพูดอยู่ยกใหญ่เช่นนั้น ก็ค่อนข้างกระหายน้ำจริงๆ จึงดื่มชาหลายอึกอย่างช้าๆ แล้วถอดสร้อยข้อมือหยกสีมรกตทั้งชิ้นออกจากมือพลางกล่าวว่า “สร้อยข้อมือหยกนี้สวยดี ถือเป็นของขวัญพบหน้าให้เจ้า”

“ขอบพระคุณฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยความเคารพ ลู่หลัวก็เก็บสร้อยข้อมือหยกไว้ในถาด

“ลุกขึ้นเร็วเข้า” ยามนี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยดูเหมือนจะพบว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่ามานานแล้ว

“ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่เมตตาเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค้อมกายคำนับ จื่อหลัวรีบช่วยพยุงนางลุกขึ้น เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนขึ้นได้ครึ่งหนึ่ง ขาก็พลันอ่อนยวบลง ร่างกายเสียหลักอย่างรวดเร็ว นางจับมือของจื่อหลัวแล้วยันพื้นไว้อย่างแรง ถึงจะฝืนไม่ให้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง แต่ความเจ็บปวดที่มิอาจทนได้วาบผ่านขึ้นบนใบหน้า ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ย ซั่งกวนฮ่าวและฮูหยินมองเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันอยู่ในที

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปกปิดความเจ็บปวดอย่างฉับไว บนใบหน้ายังเจือความเคารพและรอยยิ้ม ก้าวเดินช้าลงเล็กน้อย แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าซั่งกวนฮ่าว รับถ้วยชาที่จื่อหลัวยื่นมาให้ ยกขึ้นเหนือศีรษะแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ลูกสะใภ้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คารวะน้ำชานายท่านเจ้าค่ะ!”

ซั่งกวนฮ่าวอมยิ้มพยักหน้าพลางเอ่ยคำว่า ‘ดี’ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ใส่จี้หยกชิ้นหนึ่งในถาดที่ลู่หลัวถือไว้แล้วพูดว่า “หยกมันแพะชิ้นนี้ถือเป็นของขวัญพบหน้าของข้า ขอให้ทั้งคู่รักกันมั่นคงตลอดไป!”

“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเคารพนอบน้อมดังเดิม เพียงแต่คนที่มีหัวใจกลับฟังออกว่าน้ำเสียงของนางเหมือนยกภูเขาออกจากอกมากขึ้น ทุกคนอดมองทั่วป๋าซู่เยวี่ยแวบหนึ่งไม่ได้ ดูท่านางจะตกใจทั่วป๋าซู่เยวี่ย

“ลุกขึ้นเร็วเข้า!” ซั่งกวนฮ่าวทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ผู้หญิงที่บอบบางเช่นนี้คุกเข่านานเกินไป เมื่อครู่นี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ไม่ฉลาดสักเท่าใดจริงๆ ที่ทำให้ทุกคนเห็นความอคติเล็กน้อยอยู่ในสายตา

“ขอบคุณนายท่านที่เมตตาเจ้าค่ะ!” คำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอึดอัดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนจะแสดงท่าทางโหดร้ายใส่นางไปเล็กน้อย แต่มิอาจพูดอะไรได้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้านั้นจึงค่อนข้างแข็งทื่อ

คนสุดท้ายที่เข้าคำนับคือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรีบรับถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง แล้ววางจี้หยกรูปเป็ดยวนยางหลากสีที่หายากมากคู่หนึ่งลงบนถาดแล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์ เป็ดยวนยางคู่นี้ข้าได้มายากทีเดียว บัดนี้ก็จะมอบให้เจ้ากับเจวี๋ยเอ๋อร์ แม่หวังว่าพวกเจ้าจะรักใคร่ปรองดองกัน!”

“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” เสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นุ่มนวล ฟังแล้วรื่นหูจับจิตจับใจมากขึ้น ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกจิตใจอ่อนโยนเมื่อได้ยิน

“รีบลุกขึ้นมาพบน้องชายน้องสาวเร็วเข้า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดจบ ก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดอะไร แม่นมสีที่อยู่ข้างๆ นางก็เดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ช่วยประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้น เพื่อให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นแล้วจิตใจกลัดกลุ้ม…

ซั่งกวนเจวี๋ยพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปพบน้องชายน้องสาวทั้งหลายทีละคน เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบพวกเขาทีละคน ซั่งกวนอิงได้ถุงถักสองสามใบที่ใช้เป็นสายห้อยแขวนพัดหรือด้ามดาบได้ เป็นลวดลายดอกเหมยผสานกับหัวใจ มีสีแตกต่างกันเท่านั้นเอง ถุงถักสองสามใบล้วนเป็นฝีมือของลู่หลัวทั้งหมด รูปแบบค่อนข้างซับซ้อน ต่อให้จะเป็นลู่หลัวก็ใช้เวลาสองสามวัน สำหรับให้พวกหลิงหลงทั้งสามคือถุงเงินที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปักเอง ส่วนฝีมือนั้นแม้แต่สาวใช้ที่คอยจับผิดอย่างจินหรุ่ยก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก หลิงหลงและจิงอิ๋งย่อมเต็มไปด้วยความสุขใจ

แน่นอน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ลืมซั่งกวนอวี่ไข่ที่มองด้วยความคับแค้นและประหลาดใจ ในขณะที่ดวงตาของซั่งกวนอิงเต็มไปด้วยความแปลกใจและปลาบปลื้มยินดี แม้ซั่งกวนอวี่ฮ่าวจะอายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่ลึกซึ้งมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้สังเกตว่าเขาคิดอย่างไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาดีของเขาเช่นกัน สำหรับซั่งกวนพิงถิง เพียงแวบแรกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็แน่ใจว่าตนไม่ค่อยชอบใจ

น้องสาวที่อาฆาตพยาบาทและไร้ความปรานีคนนี้ ดูท่าตระกูลซั่งกวนจะไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ง่ายอย่างนั้น

หลังจากพบกับน้องชายน้องสาวของซั่งกวนเจวี๋ย ก็มีแม่นมที่อยู่ถัดจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้จัดที่นั่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ยนั่งแยกกัน รอให้อนุภรรยาทั้งสามคำนับเยี่ยนมี่เอ๋อร์

คนแรกที่คำนับเยี่ยนมี่เอ๋อร์คือหนิงซิน ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีแดงเงิน นางไม่ได้สวยเป็นพิเศษ แต่เรือนร่างอวบอ้วน ผิวพรรณขาวผุดผ่องเป็นยองใย บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่แสดงความเคารพ น่าเสียดายที่ความเย็นชาและดูถูกเหยียดหยามในหางตาทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบคิดว่า นางต้องพึ่งพาอะไรคนผู้นี่บ้าง ไม่นึกเลยว่าหนิงซินจะไม่คิดซ่อนความเยือกเย็นและดูหมิ่นในสายตา ทั้งยังกล้าสวมชุดสีแดงเงินในวันเช่นนี้ ทั้งที่นางเป็นเพียงอนุภรรยา ไต่เต้าจากเมียบ่าวจนมาเป็นอนุภรรยา มีงานที่ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ถึงได้กล้าหยิ่งผยองขนาดนี้ มีเงินทุนหรือโง่กันแน่?

“บ่าวหนิงซินคารวะสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” หนิงซินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงแสดงความเคารพ แต่อากัปกิริยาเชื่องช้ามาก นวยนาดไม่ยอมคุกเข่าลง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ประกายตานุ่มนวล ต้องการไปช่วยพยุงนาง แต่อดทนอดกลั้นไว้ แล้วมองไปที่ซั่งกวนเจวี๋ยด้วยแววตาที่สงสัย

ซั่งกวนเจวี๋ยสนใจการกระทำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาตลอด เมื่อเห็นว่านางจะไปช่วยหนิงซิน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้…เขารู้ดีว่าการรับมืออนุภรรยาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หนิงซินถือตัวว่ามาจากทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทั้งยังมีลูกชายลูกสาวอีกด้วย จึงมักจะรู้สึกว่าตนควรจะเป็นภรรยารองของซั่งกวนฮ่าวหากไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะ ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ช่วยพยุงนางในวันนี้ ไม่ให้นางคุกเข่าลงจริง ในวันพรุ่งนี้เมื่อพบหน้ากันนางอาจจะไม่ทำความเคารพและได้ใจกำเริบเสิบสานเป็นกิ้งก่าได้ทอง แต่เขาไม่อาจพูดได้ ขณะที่กังวลอยู่บ้าง กลับเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสายตาลอบถาม ในใจเกิดความคิดที่สวนทางไปกับความเมตตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และการพึ่งพาตัวเองของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงเพียงส่ายศีรษะเล็กน้อย

เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงท่าที หนิงซินก็รู้สึกยินดีในใจ คิดว่านางไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลงให้สะใภ้ใหญ่คนนี้ที่ฐานะไม่สูงพอ จึงเคลื่อนไหวช้าลง แต่ไม่ได้คาดคิดว่ามือที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพียงแค่เปลี่ยนกิริยาบถกลายเป็นชักมือกลับคืนไป นางเริ่มเกิดความชิงชังขึ้นในใจ แต่ก็ต้องคุกเข่าลงจริงๆ

“อนุหนิงอย่าได้มากพิธี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนการแสดงออกท่าทีกับหนิงซิน ยามที่ซั่งกวนอวี่ไข่และซั่งกวนพิงถิงเห็น

หนิงซินคุกเข่านั้นก็เก็บความไม่พอใจและแค้นเคืองไว้ที่หางตา แต่ไม่เผยความผิดปกติบนใบหน้าแม้แต่น้อย แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “วันนี้พบกันครั้งแรก ข้าได้รับของขวัญจากอนุหนิง พบกันวันหลังก็ไม่ต้องเกรงใจเกินไป”

“ขอบคุณสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” เหตุใดหนิงซินจะฟังความหมายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ออก การได้รับของขวัญในการพบกันครั้งแรกหมายถึงอะไร แล้วอะไรที่เรียกว่าวันหลังไม่ต้องเกรงใจเกินไป ไม่ใช่บอกตัวเองหรือว่าควรปฏิบัติตามมารยาท ส่วนนางก็จะรับไว้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับถุงเงินจากจื่อหลัวแล้วส่งให้หนิงซินพลางเอ่ยว่า “ถุงนี้ข้าปักเอง ถือเป็นของขวัญพบหน้าแล้วกัน!”

ถุงเงินนั้นแตกต่างจากของพวกหลิงหลง มันใหญ่และโป่งกว่าเล็กน้อย พอดูก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน เพียงแต่ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้เท่านั้นเอง

“ขอบคุณสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” หนิงซินหยัดกายขึ้นข่มกลั้นโทสะ แล้วก้าวถอยหลังพร้อมกับหายใจติดขัด

“บ่าวอู๋น่งอวิ๋นคารวะสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” อนุภรรยาอู๋มีบทเรียนแล้ว รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ช่วยประคองตัวเอง จึงคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ

“อนุอู๋ไม่ต้องมากพิธี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้เปลี่ยนน้ำเสียง ยังคงสุภาพมากพลางกล่าวว่า “อนุอู๋มักจะดูแลงานบ้านงานเรือน วันหน้ายังมีหลายอย่างที่ต้องพูดคุยและขอคำแนะนำ ก็อย่าได้เกรงใจมากนัก”

ยังคงเป็นถุงเงินที่โป่งอยู่ อู๋น่งอวิ๋นรับแล้วก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

คนสุดท้ายที่เข้ามาคืออนุภรรยาหวัง หวังชิ่นเซียน ดูเหมือนนางเป็นคนซื่อสัตย์และเจียมตัว หลังจากคำนับตามมารยาทแล้วก็ถอยออกมา แต่ว่า…ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจว่าทำไมซั่งกวนอวี่ฮ่าวถึงทำให้นางรู้สึกถึง ‘ปีศาจจิ้งจอก’อนุภรรยาหวังก็เป็นคนที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง แต่นางรู้สถานะตัวเองดี และเข้าใจว่าทำอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้นนางจึงฉลาดมากที่ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ยกเว้นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้ว จะไม่สนับสนุนหรือต่อต้านใครหรือสิ่งใด เข้าใจหลักการรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะชาญฉลาดและสามารถหัวเราะครั้งสุดท้ายได้

“เอาล่ะ คำนับเสร็จพิธีแล้ว ก็นั่งดื่มชากันเถอะ!” ซั่งกวนฮ่าวเห็นว่าพิธีใกล้จะเสร็จแล้ว ล้วนเข้าใจในเบื้องต้นกันดี จึงเอ่ยพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

ในขณะที่เขาเพิ่งพูดจบ สาวใช้กว่าสิบคนก็ยกถาดเดินเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด ในถาดนั้นมีกาจื่อซาใบเล็กจุ๋มจิ๋ม ถ้วยใบหนึ่งรวมถึงอาหารว่างและน้ำชาสองสามอย่าง แล้ววางชาและอาหารว่างไว้ใกล้มือบนโต๊ะเล็กๆ ข้างกายเจ้านายแต่ละคน บรรดาสาวใช้ก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองเล็กน้อย อนุภรรยาทั้งสามก็เข้ามานั่ง นั่งอยู่ข้างหลังคุณหนูทั้งสาม ดูท่าตระกูลซั่งกวนจะยังปฏิบัติต่อเหล่าอนุภรรยาดีเป็นพิเศษ มิน่าเล่า หนิงซินถึงกล้าทำตัวหยิ่งผยองเช่นนั้น อนุภรรยาอู๋ก็กล้าวางยาซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นการให้ท้ายก็ไม่ปาน

“มี่เอ๋อร์ แม้ตระกูลซั่งกวนจะถือได้ว่าเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพล แต่ก็อยู่ในยุทธภพมานานแล้ว หลายอย่างก็ไม่ได้มีอะไรพิถีพิถันมากนัก เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดเกินไป ทำตัวตามสบายได้ ในหลายวันนี้บรรดาลูกหลาน คุณหนูและสะใภ้ใหญ่จากตระกูลต่างๆ จะพักอยู่ในตระกูลซั่งกวนระยะหนึ่ง ประมาณครึ่งเดือนถึงยี่สิบวัน ซึ่งเป็นกฎเดิมของหลายตระกูล จะใช้โอกาสนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สนิทสนมและทำความเข้าใจกัน เจ้าเองก็ทำความรู้จักและเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาให้มาก” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเรียบง่าย

“เจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบง่ายยิ่งกว่า

“มี่เอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องดูแลมากนัก แม้พวกนางจะเอาแต่ใจอยู่มาก แต่ก็เข้ากันได้ง่าย เจ้าเป็นคนฉลาดและมีความ สามารถเช่นนี้ จะทำได้ดีแน่!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างโล่งอกว่า “หลิงหลงกับจิงอิ๋งอยู่กับเจ้าตลอด ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรผิด!”

“มี่เอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบเบาๆ

“อีกอย่าง ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งเช้าเย็นนั้นตระกูลซั่งกวนก็ไม่ค่อยเข้มงวดเท่าใด โดยทุกๆ ห้าวันต้องน้อมทักทายฮูหยินใหญ่ ส่วนเวลาอื่นๆ ก็จัดการเอง ไม่ต้องน้อมทักทายทุกวันให้ลำบาก ถ้าอยากออกไปผ่อนคลายหรือซื้อของ ให้พาแม่นมสาวใช้ไปด้วย จัดเกี้ยวให้พร้อมก็ได้ และไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเป็นพิเศษ เพียงแจ้งยามเฝ้าประตูก็พอ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดต่อ นางไม่ต้องการให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเรียกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปตั้งกฎเกณฑ์ที่เรือนหลังบ้าน

“เจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับคำ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นความผิดปกติในดวงตาของนางได้อย่างชัดเจน สันนิษฐานว่าไม่ได้คิดจะออกไปข้างนอกตามอำเภอใจกระมัง! เขาคิดกับตัวเอง

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดร่ำไรเช่นนี้อยู่พักใหญ่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งอกตั้งใจฟัง เมื่อได้เวลาพอสมควร จึงให้นางกับซั่งกวนเจวี๋ย

กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน แล้วเจอกันตอนทานอาหารกลางวัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์สรุปเป็นข้อใหญ่ได้ก่อนเลยว่า…ในตระกูลซั่งกวนไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ดังคาด จึงเชื่อว่าครอบครัวอย่างนี้นางจะใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมาก ประหนึ่งปลาได้น้ำ! อย่างไรก็ตาม เยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนอื่นนางต้องตั้งมั่นในหัวใจของซั่งกวนเจวี๋ย จากนั้นก็ขับไล่ผู้หญิงที่มีเจตนาซ่อนเร้นพวกนั้นออกไปให้หมด ในเมื่อซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่นางชอบ เขาจึงมีภรรยาได้เพียงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องมีใครอื่น!

———————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+