เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] 62 ความคิด ชีวิต โลก

Now you are reading เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] Chapter 62 ความคิด ชีวิต โลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 62 ความคิด ชีวิต โลก

“ทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ชีวิตของฉันยังจะมีความหมายอะไรอีก?”

“อีก 100 ปีหลังจากนี้ เพื่อนสนิททุกคนของเราในปัจจุบันก็คงตายกันไปหมด แล้วการมีชีวิตอยู่ยืนยาวจะมีความหมายอะไร?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง

ดวงตาของเขาพร่ามัวด้วยความสับสน

ลมภูเขาที่โชยพัดผ่านแผ่วเบา

บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ

ซูเย่นั่งมองอาคารบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เช่นเดียวกับท้องถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถยนต์สัญจรอยู่มากมาย

ในที่สุด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา

ซูเย่ยกขวดสุราขึ้นกระดกอีกครั้ง

ก่อนที่จะพบว่าของเหลวที่อยู่ในนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว

เขาจึงลุกขึ้นยืน และหยิบสุราอีกขวดมาเปิดฝาออก

“คำนับปฐพี”

เขาเทสุราราดรดพื้นดิน

แล้วจึงยกสุราขึ้นดื่มหนึ่งอึก

แววตาของเขายิ่งเป็นประกายสว่างไสวมากขึ้น

“คำนับบรรพบุรุษ!”

ชายหนุ่มสาดสุราขึ้นไปในอากาศ

ก่อนที่เขาจะเงยหน้าดื่มสุราจากขวดอีกครั้ง

จิตใจของซูเย่เริ่มกลับมาอยู่ภายใต้ความสงบดังเดิม

“คำนับตัวเราเอง!”

เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดขวด

ในที่สุด ความเศร้าที่กัดกินจิตใจก็สลายหายไป

นี่คือวิธีการที่ซูเย่ใช้ผ่านความทุกข์ยากตลอดเวลา 2500 ปี

เวลาสองพันห้าร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ซูเย่เข้าใจมาตลอดว่าตนเองไม่มีความรู้สึกอื่นใดอีกแล้ว แต่สุดท้าย ชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

“ไหน ๆ ก็อยู่มาถึง 2500 ปีแล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป”

“ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เพื่อน ๆ และคนที่เรารักทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ว่าเกิดอุปสรรคใดขึ้นก็ตาม เราก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้!”

ซูเย่กำชับกับตนเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า!

เขาโยนความเศร้าโศก และความวิตกกังวลทิ้งไว้บนยอดเขาลูกนี้

แล้วเดินกลับลงมาจากภูเขา มุ่งหน้าตรงไปสู่มหาวิทยาลัย

แต่จังหวะที่ลงมาถึงเชิงเขานั้นเอง ซูเย่พลันต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน

“เมื่อกี้นี้มันอะไรกันนะ?”

ชายหนุ่มหันหน้าไปมองยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วเขาก็พบว่าพื้นที่ตรงนั้นมีรัศมีผิดปกติกำลังส่องแสงสว่างเรืองรอง

ในราชวังแห่งความทรงจำ

ซูเย่ปลดปล่อยพลังจิตของตนเองออกมาชั่วคราว

แล้วคลื่นพลังจิตอันแรงกล้าก็แผ่ออกไปสำรวจรอบบริเวณในวินาทีต่อมา

ก็สามารถตรวจพบที่มาของรัศมีปริศนานั้นได้ไม่ยาก

เรื่องที่ว่าต้นโซวูเก่าแก่มักขึ้นอยู่ตามภูเขาคงไม่ใช่เรื่องโกหกสินะ

ซูเย่หัวใจกระตุกวูบ

เขารีบเดินตรงไปยังต้นกำเนิดแหล่งพลังงานนั้นโดยเร็ว

แต่เมื่อไปถึงพื้นที่ซึ่งเป็นจุดหมาย

ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง

เพราะว่าพลังงานที่แผ่ออกมาเมื่อสักครู่นี้ได้หายลับไปแล้ว

“เบิกเนตรสวรรค์!”

ซูเย่ส่งเสียงคำรามในลำคอแผ่วเบา พร้อมกันนั้นมวลพลังสายหนึ่งก็หมุนเวียนอยู่บนหน้าผาก

ตรงกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง

บังเกิดลำแสงสว่างไสว

แล้วดวงตาที่สามของชายหนุ่มก็เปิดออกทันที

ภาพทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ซูเย่ใช้ตาพิเศษสำรวจพื้นที่โดยรอบบริเวณเชิงเขาทั้งหมด

ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็พบเห็นสิ่งผิดปกติ

ฝั่งหนึ่งของบริเวณตีนเขา มีม่านพลังกึ่งโปร่งแสงกำลังลอยออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง

“ต้นวอลนัท?”

เมื่อพบเห็นว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด ซูเย่ก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจขึ้นมาทันที

เขากระโดดเข้าไปหาต้นไม้ต้นนั้น และพบว่านี่เป็นต้นวอลนัทตามที่คิดจริง ๆ

ม่านพลังกึ่งโปร่งแสงหมุนวนอยู่รอบบริเวณต้นไม้ ห่อหุ้มเป็นชั้นเปลือกนอก เสมือนกับหัวกะหล่ำที่เคยถูกปลูกอยู่บนระเบียงห้องพักของเขา

“นี่แกก็ดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปเหมือนกันใช่ไหม?”

ซูเย่ถามด้วยความตกตะลึง

การที่หัวกะหล่ำจะดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะซูเย่ต้องโคจรพลังเพื่อดูดซับมันทุกวันอยู่แล้ว กะหล่ำหัวนั้นจึงพลอยดูดซับพลังเข้าไปด้วยโดยอัตโนมัติ

แต่ต้นวอลนัทต้นนี้ตั้งอยู่ในภูเขาห่างไกลผู้คน ทว่ามันกลับสามารถดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้ด้วยตนเอง นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

“น่าจะเอาไปใช้ทำเป็นยาได้เหมือนกันแฮะ”

ซูเย่มองต้นวอลนัทที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

ปรากฏว่าหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถเสริมปราณที่เขาต้องการนั้น ก็มีวอลนัทเป็นส่วนประกอบสำคัญเช่นกัน และถ้าเก็บลูกวอลนัทไปจากต้นไม้ต้นนี้ มันก็คงมีคุณภาพดีกว่าลูกวอลนัทที่ซื้อมาจากท้องตลาดทั่วไป

การพบเจอครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว

ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจดูอย่างใกล้ชิด

“อีกประมาณอาทิตย์หนึ่งก็สุกได้ที่แล้ว”

“ถึงตอนนั้นเราค่อยกลับมาเก็บดีกว่า”

ว่าแล้วเขาก็จดจำตำแหน่งของต้นวอลนัทต้นนี้ให้ขึ้นใจ จากนั้นจึงหันหน้าไปสำรวจมองพื้นที่ข้างเคียงอีกครั้ง

“ขนาดต้นวอลนัทยังดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้สำเร็จ แถวนี้มันก็น่าจะมีต้นโซวูเก่าแก่อยู่บ้างสิ”

“คงต้องหาเวลากลับมาสำรวจป่าแถวนี้อีกสักครั้ง”

พูดจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไป

การดื่มสุราก่อนหน้านี้ไม่ส่งผลต่อสติสัมปชัญญะของซูเย่แม้แต่น้อย เมื่อกลับมาถึงหอพัก เขาก็เริ่มต้นอ่านตำราแพทย์แผนจีนอย่างบ้าคลั่ง

เนื่องจากยังคงเหลือเวลาอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมประจำคืนนี้ จินฟานกับซูชือจึงมานั่งทบทวนตำราเรียนเป็นเพื่อนซูเย่

ถึงแม้ทั้งสองหนุ่มอยากเล่นเกมใจจะขาด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ลืมเลือนหน้าที่ของการเป็นนักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีน

ในเวลาเดียวกันนี้

ทีมสืบสวน 5 คนซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่หมายเลข 197 หวังเหา ได้ปรากฏตัวขึ้นในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ครั้งนี้ พวกเขามาสืบสวนอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ครอบครองหมวก VR ทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

เมื่อมีตำแหน่งก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า!

ณ ห้องทำงานบนชั้นสองของตึกสำนักงาน ฝั่งตรงข้ามของถนนย่านการค้า

“จากข้อมูลที่พวกเราสืบสวนได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยหมวก VR ไปจะไม่ใช่คนเลว”

หวังเหาพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “แต่ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหน เราก็ต้องหาตัวเขาให้เจอ! ต้องไม่ลืมว่าพวกเราเป็นหน่วยสืบสวนผู้ใช้พลังปราณ ในเมื่อเขามีเจตนาฝึกวิทยายุทธ์ ก็ต้องลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ใครฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อนี้ จะต้องถูกจับกุมโดยทันที!”

บรรดาลูกน้องพยักหน้ารับทราบ

ผู้ใช้พลังปราณที่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนกับทางราชการ จะถูกนับว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติ

“ส่วนปัญหาที่เรากำลังพบเจออยู่ก็คือ”

หวังเหายกมือขึ้นนวดขมับตนเองด้วยความหมดหวัง “เราตรวจไม่พบรอยนิ้วมืออยู่บนกระดาษข้อความ แต่ลายมือเหล่านั้นบอกชัดว่าน่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงส่ง ไม่น่าใช่นักศึกษาธรรมดาทั่วไป”

“มิหนำซ้ำ เขายังดัดแปลงหมวก VR ในแบบฉบับของตัวเอง เราจึงยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครกันแน่ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาใช้นามแฝงในเกมชื่อ X”

“ตอนนี้ X ขึ้นมาถึงเลเวล 20 แล้ว เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังปราณระดับที่ 1 โดยไม่ขึ้นทะเบียน ดังนั้น เราต้องหาตัวเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด!”

“รายชื่อที่พวกเราต้องคัดเลือกอยู่ที่ไหน?”

ตอนที่ถามคำถามนี้ หวังเหาหันกลับมามองหน้าจูอวี่

จูอวี่ยกกระดาษปึกใหญ่ขึ้นมาจากข้างตัวพร้อมกับตอบว่า

“นี่คือรายชื่อของผู้เล่นทุกคนที่ออกจากระบบไปเมื่อไอดี X ปรากฏตัวขึ้นในเกมครั้งสุดท้ายค่ะ”

หลังจากนั้น หญิงสาวก็หยิบกระดาษมาอีกปึกใหญ่ และวางตั้งไว้ข้าง ๆ กันบนโต๊ะประชุม “ส่วนนี่คือรายชื่อของผู้เล่นเกมที่ไม่ได้เข้าระบบในคืนนั้น ผู้กองสามารถตรวจสอบได้เลยค่ะ”

พูดจบแล้ว จูอวี่ก็นำกระดาษปึกใหม่ออกมาตั้งไว้เป็นกองที่สาม “ส่วนนี่คือรายชื่อของทุกคนที่เราสมควรตรวจสอบ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่อยู่ 90,000 คน และมีนักศึกษาอยู่ 160,000 คน หลังจากคัดแยกข้อมูลเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ แล้ว ก็เหลือจำนวนผู้ต้องสงสัยให้เราตรวจสอบอีกประมาณ 40,000 คนค่ะ”

กองกระดาษเหล่านั้นถูกนำมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะประชุมอย่างสวยงาม

กองพะเนินอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนทั้งห้า

ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมมองกระดาษหลายกองเหล่านั้น แล้วก็หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก

“งานใหญ่เหมือนกันนะครับเนี่ย”

เสี่ยวจุนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “พวกเราคงไม่ต้องทำงานทั้งหมดนี้เพียงทีมเดียวใช่ไหมครับ?”

“อีกอย่าง ดูเหมือนคนร้ายจะมีพลังแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ผมว่าในทีมพวกเราไม่มีใครสู้เขาได้เลยนะครับ”

ได้ยินดังนั้น หวังเหาก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

อันที่จริงแล้ว

คดีนี้เป็นคดีที่ยากต่อการรับมือที่สุด

“ได้ตรวจสอบข้อมูลกับสถานีตำรวจท้องที่แล้วหรือยังคะ?”

หวังเหาหันกลับมาทางจูอวี่ผู้เป็นคนถาม “ผมทำเรื่องขอดูใบลงทะเบียนซื้อหมวก VR ของทุกคนแล้ว แต่ทางนั้นยังไม่ได้ตอบอะไรมา คุณพอจะช่วยเข้าไปขโมยมาให้เราหน่อยได้ไหม?”

“ไม่ได้ค่ะ”

นักสืบหญิงส่ายศีรษะปฏิเสธ

ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม

แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าทีมถึงต้องการทำเช่นนั้น

เพราะถ้าพวกเขามีรายชื่อผู้ลงทะเบียนซื้อหมวก VR อยู่ในมือ ทีมสืบสวนก็จะรู้แล้วว่าใครบ้างที่เป็นผู้ต้องสงสัย

ผู้ต้องสงสัยก็คือผู้ลงทะเบียนที่ยังไม่ได้รับหมวกนั่นเอง

“ถ้างั้นเราก็คงต้องหาวิธีรวบรวมหลักฐานจากทางอื่น และหวังว่าครั้งต่อไปที่ X เข้าระบบมาเล่นเกมอีกครั้ง เราจะสามารถหาตัวเขาพบ!”

หวังเหาปรบมือเรียกขวัญกำลังใจของทุกคน และทำการสันนิษฐานต่อไปว่า “ผู้ใช้พลังปราณขั้นแรกไม่น่ามีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ผมว่าเขาต้องมีพลังสูงกว่านั้นแน่ อย่าลืมสิว่าเขาใช้เวลาเพียง 10 กว่าวันก็เล่นเกมจนถึงเลเวลที่ 20 ได้แล้ว และนี่คือเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน”

“สิ่งสำคัญก็คือเรารู้แล้วว่าตอนนี้ผู้เล่น X ใช้หมวกที่ผ่านการดัดแปลงนอกระบบ ถ้าเขาล็อกอินเข้ามาเล่นเกมอีกครั้ง เราก็จะสามารถระบุตำแหน่งของเขาได้ทันที”

พูดมาถึงตรงนี้

สีหน้าของผู้กองหนุ่มก็ปรับเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น “และเราจะปล่อยให้เขาลอยนวลต่อไปไม่ได้อีก!”

สมาชิกทีมสืบสวนทุกคนพยักหน้า

นี่เป็นภารกิจที่ทั้งใหญ่และหินเหลือเกิน

ทันใดนั้น

“ผู้กองพอจะมีหยกเหลืออีกสักชิ้นเอามาล่อเขาไหมล่ะครับ?”

เสี่ยวจุนถามออกมาด้วยความสงสัย

ก่อนหน้านี้ หวังเหายังมีสีหน้าปกติดีทุกประการ แต่เมื่อเสี่ยวจุนพูดถึงหยกปราณบริสุทธิ์ขึ้นมา สีหน้าของผู้กองหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว

ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ก็สมควรอยู่เงียบ ๆ ไปซะ!

แม้ว่าหยกปราณบริสุทธิ์ชิ้นนั้นจะมีขนาดเล็กจ้อยเท่ากับเล็บมือ แต่มันก็มีมูลค่าที่ไม่สามารถประเมินได้ด้วยตาเปล่า!

หลังจากที่ต้องสูญเสียชิ้นหยกปราณบริสุทธิ์ให้กับหัวขโมยหมวก VR หวังเหาก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวันเต็ม

จะมีใครรู้บ้างว่า

กว่าจะได้หยกชิ้นเล็ก ๆ นั้นมาครอบครอง หวังเหาคนนี้ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง!

แต่สุดท้าย เขากลับปล่อยให้ผู้อื่นมาขโมยมันไปต่อหน้าต่อตาของตนเองได้อย่างง่ายดาย

หวังเหาจ้องมองลูกน้องทั้งสี่คนด้วยแววตาดุดัน ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ระเบิดคำหยาบออกมาจากปาก

เมื่อลูกน้องทั้งสี่คนเห็นสีหน้าของผู้เป็นหัวหน้าทีม พวกเขาก็รีบหลบสายตาทันที

สมาชิกหน่วยสืบสวนต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเช่นกันที่จะไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“พวกเราเริ่มทำงานกันได้แล้ว!”

หวังเหาออกคำสั่งในที่สุด

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้าก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ของตนเอง

เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อยจนถึงคืนวันอังคาร แล้วพวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

ขณะนี้ ทีมสืบสวนพิเศษสามารถบีบวงแคบผู้ต้องสงสัยจาก 40,000 คน ลดลงมาเหลือ 15,000 คนได้สำเร็จ

“พวกเราพยายามกันต่อไป!”

เมื่อเห็นความคืบหน้าของการสืบสวน หวังเหาก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น และออกคำสั่งต่อไป “พวกเรายังเหลือเวลาอีก 10 วัน ต้องรีบตามจับตัวเขาให้ได้ก่อนถึงเส้นตายวันสุดท้าย!”

หลังจากนั้นไม่นาน

เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้าก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจของตนเองอีกครั้ง

บ่ายวันพุธ เวลา 14:00 น.

เมื่อซูเย่เสร็จสิ้นจากคาบเรียนของตนเองเรียบร้อย เขาก็เดินทางตรงมาที่ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อตามปกติ แต่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อหลี่เคอหมิงไม่ได้รออยู่ที่นี่เหมือนทุกครั้ง

“อาจารย์หลี่ไม่อยู่เหรอครับ?”

ซูเย่มองหลี่ซินเอ้อที่นั่งรออยู่คนเดียวด้วยความเบื่อหน่าย

“พ่อฉันไปให้คำปรึกษากับหมอที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ นี่แหละ คนไข้ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาที่นี่ พ่อฉันก็เลยต้องไปบริการแบบเดลิเวอรี่ไงล่ะ”

หญิงสาวตอบกลับมาหน้างอ

ซูเย่พยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจแล้ว

จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของหลี่ซินเอ้อก็ดังขึ้น

เมื่อหญิงสาวพบว่าผู้เป็นบิดาโทรมา เธอจึงรีบรับสายโดยทันที

หลังจากวางสายแล้ว หลี่ซินเอ้อก็หันมาพูดหน้าดุกับซูเย่ว่า

“ฉันจะไปส่งยาให้พ่อฉันก่อน ฝากดูแลที่นี่ด้วย”

“รับทราบแล้วครับ”

ซูเย่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

หลี่ซินเอ้อรีบจัดยาตามที่บิดาสั่งด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้น เธอก็หิ้วกระเป๋าบรรจุยาจีนเดินออกไปจากศูนย์การแพทย์

แต่ทันทีที่หลี่ซินเอ้อเดินหายลับออกไปจากประตูหน้า คนไข้คนหนึ่งก็เดินสวนเข้ามา

ซูเย่ชำเลืองมอง และก็จดจำอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

เขาเป็นผู้ป่วยชรา และเป็นแขกขาประจำของศูนย์การแพทย์แห่งนี้

ซูเย่ถึงกับจำได้ว่าคุณปู่คนนี้ป่วยเป็นโรคหอบหืด

“อ้าว วันนี้คุณหมอหลี่ไม่อยู่เหรอ เธอคงต้องเป็นคนรักษาฉันแล้วสินะ”

เมื่อเห็นหน้าซูเย่ ชายชราก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างสบายใจ

“เดี๋ยวคุณหมอหลี่ก็กลับมาแล้วครับ ผมแค่อยู่เฝ้าของให้เขาเฉย ๆ”

ซูเย่ตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน

“แต่ก่อนหน้านี้เธอก็ได้รับความรู้จากคุณหมอหลี่มาพอสมควรแล้วนี่นา ฝีมือระดับเธอ คงสามารถรักษาฉันได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”

ชายชราหยอกเย้าในขณะที่นั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“ตอนนี้ผมยังรักษาคนไข้ตามใจชอบไม่ได้หรอกครับ”

ซูเย่ส่ายหน้า

ถึงเขาจะมีความสามารถในการรักษาคนไข้โดดเด่นเหนือผู้คนทั่วไป แต่ทุกอย่างที่ชายหนุ่มได้เรียนรู้มา ก็ยังห่างไกลจากผู้ที่ได้รับใบประกอบโรคศิลป์อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกมากนัก เพราะฉะนั้น เขาจะเริ่มรักษาคนไข้ตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการรักษาคนไข้โดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ถือเป็นการทำผิดกฎหมายร้ายแรงชนิดหนึ่ง

เมื่อผู้ป่วยชราได้ยินดังนั้น เขาก็ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม บอกชัดว่ามีเจตนาเพียงต้องการเย้าแหย่ซูเย่เล่น ๆ เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม

ในจังหวะที่ชายชรากำลังส่งเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขันอยู่นั้นเอง

“โอ๊ะ ฮื่อ…เฮือก”

บังเกิดเสียงลมหวีดหวิวดังออกมาจากด้านในลำคอของชายชรา

เขาทรุดนั่งหลังตรง หอบหายใจอย่างลำบาก หัวไหล่ และมือแข็งเกร็ง

เพียงเห็นเท่านี้ ซูเย่ก็รู้ว่าอาการหอบหืดของชายชรากำเริบขึ้นมาแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] 62 ความคิด ชีวิต โลก

Now you are reading เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] Chapter 62 ความคิด ชีวิต โลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 62 ความคิด ชีวิต โลก

“ทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ชีวิตของฉันยังจะมีความหมายอะไรอีก?”

“อีก 100 ปีหลังจากนี้ เพื่อนสนิททุกคนของเราในปัจจุบันก็คงตายกันไปหมด แล้วการมีชีวิตอยู่ยืนยาวจะมีความหมายอะไร?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง

ดวงตาของเขาพร่ามัวด้วยความสับสน

ลมภูเขาที่โชยพัดผ่านแผ่วเบา

บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ

ซูเย่นั่งมองอาคารบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เช่นเดียวกับท้องถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถยนต์สัญจรอยู่มากมาย

ในที่สุด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา

ซูเย่ยกขวดสุราขึ้นกระดกอีกครั้ง

ก่อนที่จะพบว่าของเหลวที่อยู่ในนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว

เขาจึงลุกขึ้นยืน และหยิบสุราอีกขวดมาเปิดฝาออก

“คำนับปฐพี”

เขาเทสุราราดรดพื้นดิน

แล้วจึงยกสุราขึ้นดื่มหนึ่งอึก

แววตาของเขายิ่งเป็นประกายสว่างไสวมากขึ้น

“คำนับบรรพบุรุษ!”

ชายหนุ่มสาดสุราขึ้นไปในอากาศ

ก่อนที่เขาจะเงยหน้าดื่มสุราจากขวดอีกครั้ง

จิตใจของซูเย่เริ่มกลับมาอยู่ภายใต้ความสงบดังเดิม

“คำนับตัวเราเอง!”

เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดขวด

ในที่สุด ความเศร้าที่กัดกินจิตใจก็สลายหายไป

นี่คือวิธีการที่ซูเย่ใช้ผ่านความทุกข์ยากตลอดเวลา 2500 ปี

เวลาสองพันห้าร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ซูเย่เข้าใจมาตลอดว่าตนเองไม่มีความรู้สึกอื่นใดอีกแล้ว แต่สุดท้าย ชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

“ไหน ๆ ก็อยู่มาถึง 2500 ปีแล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป”

“ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เพื่อน ๆ และคนที่เรารักทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ว่าเกิดอุปสรรคใดขึ้นก็ตาม เราก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้!”

ซูเย่กำชับกับตนเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า!

เขาโยนความเศร้าโศก และความวิตกกังวลทิ้งไว้บนยอดเขาลูกนี้

แล้วเดินกลับลงมาจากภูเขา มุ่งหน้าตรงไปสู่มหาวิทยาลัย

แต่จังหวะที่ลงมาถึงเชิงเขานั้นเอง ซูเย่พลันต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน

“เมื่อกี้นี้มันอะไรกันนะ?”

ชายหนุ่มหันหน้าไปมองยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วเขาก็พบว่าพื้นที่ตรงนั้นมีรัศมีผิดปกติกำลังส่องแสงสว่างเรืองรอง

ในราชวังแห่งความทรงจำ

ซูเย่ปลดปล่อยพลังจิตของตนเองออกมาชั่วคราว

แล้วคลื่นพลังจิตอันแรงกล้าก็แผ่ออกไปสำรวจรอบบริเวณในวินาทีต่อมา

ก็สามารถตรวจพบที่มาของรัศมีปริศนานั้นได้ไม่ยาก

เรื่องที่ว่าต้นโซวูเก่าแก่มักขึ้นอยู่ตามภูเขาคงไม่ใช่เรื่องโกหกสินะ

ซูเย่หัวใจกระตุกวูบ

เขารีบเดินตรงไปยังต้นกำเนิดแหล่งพลังงานนั้นโดยเร็ว

แต่เมื่อไปถึงพื้นที่ซึ่งเป็นจุดหมาย

ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง

เพราะว่าพลังงานที่แผ่ออกมาเมื่อสักครู่นี้ได้หายลับไปแล้ว

“เบิกเนตรสวรรค์!”

ซูเย่ส่งเสียงคำรามในลำคอแผ่วเบา พร้อมกันนั้นมวลพลังสายหนึ่งก็หมุนเวียนอยู่บนหน้าผาก

ตรงกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง

บังเกิดลำแสงสว่างไสว

แล้วดวงตาที่สามของชายหนุ่มก็เปิดออกทันที

ภาพทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ซูเย่ใช้ตาพิเศษสำรวจพื้นที่โดยรอบบริเวณเชิงเขาทั้งหมด

ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็พบเห็นสิ่งผิดปกติ

ฝั่งหนึ่งของบริเวณตีนเขา มีม่านพลังกึ่งโปร่งแสงกำลังลอยออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง

“ต้นวอลนัท?”

เมื่อพบเห็นว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด ซูเย่ก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจขึ้นมาทันที

เขากระโดดเข้าไปหาต้นไม้ต้นนั้น และพบว่านี่เป็นต้นวอลนัทตามที่คิดจริง ๆ

ม่านพลังกึ่งโปร่งแสงหมุนวนอยู่รอบบริเวณต้นไม้ ห่อหุ้มเป็นชั้นเปลือกนอก เสมือนกับหัวกะหล่ำที่เคยถูกปลูกอยู่บนระเบียงห้องพักของเขา

“นี่แกก็ดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปเหมือนกันใช่ไหม?”

ซูเย่ถามด้วยความตกตะลึง

การที่หัวกะหล่ำจะดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะซูเย่ต้องโคจรพลังเพื่อดูดซับมันทุกวันอยู่แล้ว กะหล่ำหัวนั้นจึงพลอยดูดซับพลังเข้าไปด้วยโดยอัตโนมัติ

แต่ต้นวอลนัทต้นนี้ตั้งอยู่ในภูเขาห่างไกลผู้คน ทว่ามันกลับสามารถดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้ด้วยตนเอง นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

“น่าจะเอาไปใช้ทำเป็นยาได้เหมือนกันแฮะ”

ซูเย่มองต้นวอลนัทที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

ปรากฏว่าหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถเสริมปราณที่เขาต้องการนั้น ก็มีวอลนัทเป็นส่วนประกอบสำคัญเช่นกัน และถ้าเก็บลูกวอลนัทไปจากต้นไม้ต้นนี้ มันก็คงมีคุณภาพดีกว่าลูกวอลนัทที่ซื้อมาจากท้องตลาดทั่วไป

การพบเจอครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว

ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจดูอย่างใกล้ชิด

“อีกประมาณอาทิตย์หนึ่งก็สุกได้ที่แล้ว”

“ถึงตอนนั้นเราค่อยกลับมาเก็บดีกว่า”

ว่าแล้วเขาก็จดจำตำแหน่งของต้นวอลนัทต้นนี้ให้ขึ้นใจ จากนั้นจึงหันหน้าไปสำรวจมองพื้นที่ข้างเคียงอีกครั้ง

“ขนาดต้นวอลนัทยังดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้สำเร็จ แถวนี้มันก็น่าจะมีต้นโซวูเก่าแก่อยู่บ้างสิ”

“คงต้องหาเวลากลับมาสำรวจป่าแถวนี้อีกสักครั้ง”

พูดจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไป

การดื่มสุราก่อนหน้านี้ไม่ส่งผลต่อสติสัมปชัญญะของซูเย่แม้แต่น้อย เมื่อกลับมาถึงหอพัก เขาก็เริ่มต้นอ่านตำราแพทย์แผนจีนอย่างบ้าคลั่ง

เนื่องจากยังคงเหลือเวลาอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมประจำคืนนี้ จินฟานกับซูชือจึงมานั่งทบทวนตำราเรียนเป็นเพื่อนซูเย่

ถึงแม้ทั้งสองหนุ่มอยากเล่นเกมใจจะขาด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ลืมเลือนหน้าที่ของการเป็นนักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีน

ในเวลาเดียวกันนี้

ทีมสืบสวน 5 คนซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่หมายเลข 197 หวังเหา ได้ปรากฏตัวขึ้นในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ครั้งนี้ พวกเขามาสืบสวนอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ครอบครองหมวก VR ทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

เมื่อมีตำแหน่งก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า!

ณ ห้องทำงานบนชั้นสองของตึกสำนักงาน ฝั่งตรงข้ามของถนนย่านการค้า

“จากข้อมูลที่พวกเราสืบสวนได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยหมวก VR ไปจะไม่ใช่คนเลว”

หวังเหาพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “แต่ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหน เราก็ต้องหาตัวเขาให้เจอ! ต้องไม่ลืมว่าพวกเราเป็นหน่วยสืบสวนผู้ใช้พลังปราณ ในเมื่อเขามีเจตนาฝึกวิทยายุทธ์ ก็ต้องลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ใครฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อนี้ จะต้องถูกจับกุมโดยทันที!”

บรรดาลูกน้องพยักหน้ารับทราบ

ผู้ใช้พลังปราณที่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนกับทางราชการ จะถูกนับว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติ

“ส่วนปัญหาที่เรากำลังพบเจออยู่ก็คือ”

หวังเหายกมือขึ้นนวดขมับตนเองด้วยความหมดหวัง “เราตรวจไม่พบรอยนิ้วมืออยู่บนกระดาษข้อความ แต่ลายมือเหล่านั้นบอกชัดว่าน่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงส่ง ไม่น่าใช่นักศึกษาธรรมดาทั่วไป”

“มิหนำซ้ำ เขายังดัดแปลงหมวก VR ในแบบฉบับของตัวเอง เราจึงยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครกันแน่ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาใช้นามแฝงในเกมชื่อ X”

“ตอนนี้ X ขึ้นมาถึงเลเวล 20 แล้ว เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังปราณระดับที่ 1 โดยไม่ขึ้นทะเบียน ดังนั้น เราต้องหาตัวเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด!”

“รายชื่อที่พวกเราต้องคัดเลือกอยู่ที่ไหน?”

ตอนที่ถามคำถามนี้ หวังเหาหันกลับมามองหน้าจูอวี่

จูอวี่ยกกระดาษปึกใหญ่ขึ้นมาจากข้างตัวพร้อมกับตอบว่า

“นี่คือรายชื่อของผู้เล่นทุกคนที่ออกจากระบบไปเมื่อไอดี X ปรากฏตัวขึ้นในเกมครั้งสุดท้ายค่ะ”

หลังจากนั้น หญิงสาวก็หยิบกระดาษมาอีกปึกใหญ่ และวางตั้งไว้ข้าง ๆ กันบนโต๊ะประชุม “ส่วนนี่คือรายชื่อของผู้เล่นเกมที่ไม่ได้เข้าระบบในคืนนั้น ผู้กองสามารถตรวจสอบได้เลยค่ะ”

พูดจบแล้ว จูอวี่ก็นำกระดาษปึกใหม่ออกมาตั้งไว้เป็นกองที่สาม “ส่วนนี่คือรายชื่อของทุกคนที่เราสมควรตรวจสอบ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่อยู่ 90,000 คน และมีนักศึกษาอยู่ 160,000 คน หลังจากคัดแยกข้อมูลเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ แล้ว ก็เหลือจำนวนผู้ต้องสงสัยให้เราตรวจสอบอีกประมาณ 40,000 คนค่ะ”

กองกระดาษเหล่านั้นถูกนำมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะประชุมอย่างสวยงาม

กองพะเนินอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนทั้งห้า

ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมมองกระดาษหลายกองเหล่านั้น แล้วก็หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก

“งานใหญ่เหมือนกันนะครับเนี่ย”

เสี่ยวจุนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “พวกเราคงไม่ต้องทำงานทั้งหมดนี้เพียงทีมเดียวใช่ไหมครับ?”

“อีกอย่าง ดูเหมือนคนร้ายจะมีพลังแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ผมว่าในทีมพวกเราไม่มีใครสู้เขาได้เลยนะครับ”

ได้ยินดังนั้น หวังเหาก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

อันที่จริงแล้ว

คดีนี้เป็นคดีที่ยากต่อการรับมือที่สุด

“ได้ตรวจสอบข้อมูลกับสถานีตำรวจท้องที่แล้วหรือยังคะ?”

หวังเหาหันกลับมาทางจูอวี่ผู้เป็นคนถาม “ผมทำเรื่องขอดูใบลงทะเบียนซื้อหมวก VR ของทุกคนแล้ว แต่ทางนั้นยังไม่ได้ตอบอะไรมา คุณพอจะช่วยเข้าไปขโมยมาให้เราหน่อยได้ไหม?”

“ไม่ได้ค่ะ”

นักสืบหญิงส่ายศีรษะปฏิเสธ

ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม

แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าทีมถึงต้องการทำเช่นนั้น

เพราะถ้าพวกเขามีรายชื่อผู้ลงทะเบียนซื้อหมวก VR อยู่ในมือ ทีมสืบสวนก็จะรู้แล้วว่าใครบ้างที่เป็นผู้ต้องสงสัย

ผู้ต้องสงสัยก็คือผู้ลงทะเบียนที่ยังไม่ได้รับหมวกนั่นเอง

“ถ้างั้นเราก็คงต้องหาวิธีรวบรวมหลักฐานจากทางอื่น และหวังว่าครั้งต่อไปที่ X เข้าระบบมาเล่นเกมอีกครั้ง เราจะสามารถหาตัวเขาพบ!”

หวังเหาปรบมือเรียกขวัญกำลังใจของทุกคน และทำการสันนิษฐานต่อไปว่า “ผู้ใช้พลังปราณขั้นแรกไม่น่ามีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ผมว่าเขาต้องมีพลังสูงกว่านั้นแน่ อย่าลืมสิว่าเขาใช้เวลาเพียง 10 กว่าวันก็เล่นเกมจนถึงเลเวลที่ 20 ได้แล้ว และนี่คือเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน”

“สิ่งสำคัญก็คือเรารู้แล้วว่าตอนนี้ผู้เล่น X ใช้หมวกที่ผ่านการดัดแปลงนอกระบบ ถ้าเขาล็อกอินเข้ามาเล่นเกมอีกครั้ง เราก็จะสามารถระบุตำแหน่งของเขาได้ทันที”

พูดมาถึงตรงนี้

สีหน้าของผู้กองหนุ่มก็ปรับเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น “และเราจะปล่อยให้เขาลอยนวลต่อไปไม่ได้อีก!”

สมาชิกทีมสืบสวนทุกคนพยักหน้า

นี่เป็นภารกิจที่ทั้งใหญ่และหินเหลือเกิน

ทันใดนั้น

“ผู้กองพอจะมีหยกเหลืออีกสักชิ้นเอามาล่อเขาไหมล่ะครับ?”

เสี่ยวจุนถามออกมาด้วยความสงสัย

ก่อนหน้านี้ หวังเหายังมีสีหน้าปกติดีทุกประการ แต่เมื่อเสี่ยวจุนพูดถึงหยกปราณบริสุทธิ์ขึ้นมา สีหน้าของผู้กองหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว

ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ก็สมควรอยู่เงียบ ๆ ไปซะ!

แม้ว่าหยกปราณบริสุทธิ์ชิ้นนั้นจะมีขนาดเล็กจ้อยเท่ากับเล็บมือ แต่มันก็มีมูลค่าที่ไม่สามารถประเมินได้ด้วยตาเปล่า!

หลังจากที่ต้องสูญเสียชิ้นหยกปราณบริสุทธิ์ให้กับหัวขโมยหมวก VR หวังเหาก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวันเต็ม

จะมีใครรู้บ้างว่า

กว่าจะได้หยกชิ้นเล็ก ๆ นั้นมาครอบครอง หวังเหาคนนี้ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง!

แต่สุดท้าย เขากลับปล่อยให้ผู้อื่นมาขโมยมันไปต่อหน้าต่อตาของตนเองได้อย่างง่ายดาย

หวังเหาจ้องมองลูกน้องทั้งสี่คนด้วยแววตาดุดัน ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ระเบิดคำหยาบออกมาจากปาก

เมื่อลูกน้องทั้งสี่คนเห็นสีหน้าของผู้เป็นหัวหน้าทีม พวกเขาก็รีบหลบสายตาทันที

สมาชิกหน่วยสืบสวนต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเช่นกันที่จะไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“พวกเราเริ่มทำงานกันได้แล้ว!”

หวังเหาออกคำสั่งในที่สุด

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้าก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ของตนเอง

เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อยจนถึงคืนวันอังคาร แล้วพวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

ขณะนี้ ทีมสืบสวนพิเศษสามารถบีบวงแคบผู้ต้องสงสัยจาก 40,000 คน ลดลงมาเหลือ 15,000 คนได้สำเร็จ

“พวกเราพยายามกันต่อไป!”

เมื่อเห็นความคืบหน้าของการสืบสวน หวังเหาก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น และออกคำสั่งต่อไป “พวกเรายังเหลือเวลาอีก 10 วัน ต้องรีบตามจับตัวเขาให้ได้ก่อนถึงเส้นตายวันสุดท้าย!”

หลังจากนั้นไม่นาน

เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้าก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจของตนเองอีกครั้ง

บ่ายวันพุธ เวลา 14:00 น.

เมื่อซูเย่เสร็จสิ้นจากคาบเรียนของตนเองเรียบร้อย เขาก็เดินทางตรงมาที่ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อตามปกติ แต่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อหลี่เคอหมิงไม่ได้รออยู่ที่นี่เหมือนทุกครั้ง

“อาจารย์หลี่ไม่อยู่เหรอครับ?”

ซูเย่มองหลี่ซินเอ้อที่นั่งรออยู่คนเดียวด้วยความเบื่อหน่าย

“พ่อฉันไปให้คำปรึกษากับหมอที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ นี่แหละ คนไข้ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาที่นี่ พ่อฉันก็เลยต้องไปบริการแบบเดลิเวอรี่ไงล่ะ”

หญิงสาวตอบกลับมาหน้างอ

ซูเย่พยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจแล้ว

จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของหลี่ซินเอ้อก็ดังขึ้น

เมื่อหญิงสาวพบว่าผู้เป็นบิดาโทรมา เธอจึงรีบรับสายโดยทันที

หลังจากวางสายแล้ว หลี่ซินเอ้อก็หันมาพูดหน้าดุกับซูเย่ว่า

“ฉันจะไปส่งยาให้พ่อฉันก่อน ฝากดูแลที่นี่ด้วย”

“รับทราบแล้วครับ”

ซูเย่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

หลี่ซินเอ้อรีบจัดยาตามที่บิดาสั่งด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้น เธอก็หิ้วกระเป๋าบรรจุยาจีนเดินออกไปจากศูนย์การแพทย์

แต่ทันทีที่หลี่ซินเอ้อเดินหายลับออกไปจากประตูหน้า คนไข้คนหนึ่งก็เดินสวนเข้ามา

ซูเย่ชำเลืองมอง และก็จดจำอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

เขาเป็นผู้ป่วยชรา และเป็นแขกขาประจำของศูนย์การแพทย์แห่งนี้

ซูเย่ถึงกับจำได้ว่าคุณปู่คนนี้ป่วยเป็นโรคหอบหืด

“อ้าว วันนี้คุณหมอหลี่ไม่อยู่เหรอ เธอคงต้องเป็นคนรักษาฉันแล้วสินะ”

เมื่อเห็นหน้าซูเย่ ชายชราก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างสบายใจ

“เดี๋ยวคุณหมอหลี่ก็กลับมาแล้วครับ ผมแค่อยู่เฝ้าของให้เขาเฉย ๆ”

ซูเย่ตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน

“แต่ก่อนหน้านี้เธอก็ได้รับความรู้จากคุณหมอหลี่มาพอสมควรแล้วนี่นา ฝีมือระดับเธอ คงสามารถรักษาฉันได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”

ชายชราหยอกเย้าในขณะที่นั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“ตอนนี้ผมยังรักษาคนไข้ตามใจชอบไม่ได้หรอกครับ”

ซูเย่ส่ายหน้า

ถึงเขาจะมีความสามารถในการรักษาคนไข้โดดเด่นเหนือผู้คนทั่วไป แต่ทุกอย่างที่ชายหนุ่มได้เรียนรู้มา ก็ยังห่างไกลจากผู้ที่ได้รับใบประกอบโรคศิลป์อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกมากนัก เพราะฉะนั้น เขาจะเริ่มรักษาคนไข้ตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการรักษาคนไข้โดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ถือเป็นการทำผิดกฎหมายร้ายแรงชนิดหนึ่ง

เมื่อผู้ป่วยชราได้ยินดังนั้น เขาก็ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม บอกชัดว่ามีเจตนาเพียงต้องการเย้าแหย่ซูเย่เล่น ๆ เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม

ในจังหวะที่ชายชรากำลังส่งเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขันอยู่นั้นเอง

“โอ๊ะ ฮื่อ…เฮือก”

บังเกิดเสียงลมหวีดหวิวดังออกมาจากด้านในลำคอของชายชรา

เขาทรุดนั่งหลังตรง หอบหายใจอย่างลำบาก หัวไหล่ และมือแข็งเกร็ง

เพียงเห็นเท่านี้ ซูเย่ก็รู้ว่าอาการหอบหืดของชายชรากำเริบขึ้นมาแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+