เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า

Now you are reading เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] Chapter 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า

หลี่เคอหมิงข่มความรู้สึกสงสัยในจิตใจ และรีบเขียนใบสั่งยาให้แก่ชายชราผู้เป็นคนไข้

เมื่อชายชรารับยากลับไปแล้ว หลี่เคอหมิงก็อดหันกลับมาซักถามซูเย่อีกครั้งไม่ได้ “เธอรู้วิธีรักษาอาการหอบหืดกำเริบได้ยังไง? เท่าที่จำได้ ฉันยังไม่เคยสอนเธอเลยนะ?”

“ผมอ่านเจอตอนทบทวนตำราน่ะครับ”

“เธออ่านทวนกี่รอบ?”

“นับครั้งไม่ถ้วนครับ”

ซูเย่กล่าวเสริมว่า “แล้วผมก็คอยสังเกตดูอาจารย์ตอนรักษาคนไข้ด้วย”

“หืม?”

หลี่เคอหมิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม

เขาไม่แปลกใจที่ซูเย่จะชื่นชอบการอ่านทบทวนตำราทางการแพทย์ แต่ผู้เป็นอาจารย์แปลกใจที่ชายหนุ่มสามารถนำความรู้ในตำราเหล่านั้นมาปรับใช้กับโลกแห่งความจริงได้อย่างชำนาญ

ซูเย่ไม่ใช่พวกที่ดีแต่ท่องตำรา

การนำความรู้ในตำราออกมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ในโลกแห่งความเป็นจริง คือพรสวรรค์ที่นักศึกษาไม่ได้มีกันทุกคน

ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าซูเย่มีความสามารถในการวิเคราะห์ และสรุปความได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

หลี่เคอหมิงต้องพยายามรักษาสีหน้าเคร่งขรึมของตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ในขณะที่กล่าวกับชายหนุ่มต่อไปว่า “เธอยังไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ จะเที่ยวรักษาคนไข้ตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าการวินิจฉัยของเธอจะแม่นยำมากก็ตาม แต่ครั้งต่อไปเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้ คราวหน้าคราวหลังเวลาจะทำอะไร ขอให้เธอคิดอย่างละเอียดรอบคอบมากกว่านี้”

ซูเย่พยักหน้ารับทราบ ก่อนสอบถามกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้น เวลาผมเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า ผมควรทำยังไงดีครับ?”

เมื่อถูกย้อนศรถามกลับมาเช่นนั้น หลี่เคอหมิงก็ไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรเช่นกัน

เขาทำได้เพียงยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น

“เธอก็ต้องทำเรื่องที่สมควรทำนั่นแหละนะ”

แค่พูดจบเท่านั้น

ผู้ป่วยคนใหม่ก็เดินเข้ามาในศูนย์การแพทย์พอดี

เมื่อเห็นผู้ป่วยกำลังเดินตรงมาที่พวกของตนเอง หลี่เคอหมิงที่กำลังจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการวินิจฉัยกลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย

“ครั้งนี้ฉันจะให้เธอลองวินิจฉัยก่อน ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่เธออยากทำได้เลย ฉันจะคอยจับตามองอย่างใกล้ชิดเอง”

“ไม่ว่าจะเป็นอาการของโรค วิธีการรักษา การเขียนใบสั่งยา เธอสามารถทำทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น!”

ที่ด้านข้าง

หลี่ชินเอ้อมองหน้าหลี่เคอหมิงด้วยความประหลาดใจสุดขีด

นี่มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือไง พ่อของเธอจะให้ซูเย่ได้ลองรักษาคนไข้จริง ๆ แล้วหรือ?

ต่อให้เป็นนักศึกษาจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง กว่าจะได้รับโอกาสนี้ ก็ต้องตั้งใจเรียนอย่างหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งปี

แล้วซูเย่เพิ่งจะมาเรียนพิเศษได้แค่ไม่กี่สัปดาห์เองนะ?

“ได้เลยครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

นั่นเป็นเพราะซูเย่รู้ดีว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง คงมีเพียงไม่กี่ครั้งที่หลี่เคอหมิงจะยอมลดตัวลงมาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อผู้ป่วยมานั่งประจำที่เบื้องหน้าโต๊ะตรวจเรียบร้อยแล้ว การวินิจฉัยโรคก็เริ่มต้นขึ้นทันที

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นอะไรมาเหรอครับ?”

ซูเย่เป็นฝ่ายถามไถ่อาการก่อน

“ผมรู้สึกปวดหัวครับหมอ ช่วงหลังมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก แล้วก็ครั่นเนื้อครั่นตัวด้วย”

คนไข้อธิบายอาการของตนเองด้วยใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด “อ้อ นอกจากนี้ยังมีอาการหูอื้อตาลาย เจ็บหน้าอกจนกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยครับ”

ซูเย่พยักหน้าพร้อมกับเริ่มจับชีพจร

“ชีพจรแข็งนะครับ”

“ช่วยอ้าปากให้หมอดูลิ้นหน่อยสิครับ”

“ลิ้นสีแดงมีฝ้าเหลืองเกาะอยู่เล็กน้อย”

เมื่อวินิจฉัยตามกระบวนการแพทย์แผนจีนเสร็จแล้ว ซูเย่ก็สรุปออกมาได้ว่า “ร่างกายขาดสมดุลเพราะมีความร้อนมากเกินไป”

คนไข้มีสีหน้าไม่เข้าใจ

หลี่เคอหมิงที่รับฟังอยู่ด้านข้างพยักหน้าให้ชายหนุ่มวินิจฉัยต่อ

“เราควรเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับคนไข้ ซึ่งในกรณีนี้ ผมว่าเราควรบำรุงให้ตับของเขามีความเย็นมากขึ้น เพื่อสะกดกลั้นความร้อนที่ไหลทะลักออกมา มันจะช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว เช่นเดียวกับอาการแน่นหน้าอกครับ”

ระหว่างที่พูด

ซูเย่ก็หยิบกระดาษและปากกามาเขียนตัวยาที่เขาต้องการจ่ายให้คนไข้ลงไป

เมื่อได้ยินตัวเลือกการรักษา และเห็นรายชื่อสมุนไพรในใบสั่งยาของซูเย่ ดวงตาของหลี่เคอหมิงก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด

มันคือการวินิจฉัยที่แม่นยำมาก!

หลี่ชินเอ้อก็กำลังจ้องมองซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน

ทำไมเขาถึงได้ฉลาดแบบนี้นะ?

“แล้วเราก็ต้องเพิ่มสารสกัดจากผลสีเสียดเทศ”

ซูเย่เขียนลงไปในใบสั่งยา

นอกจากนั้น เขายังระบุรายชื่อสมุนไพรอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเทียงมั้ว อบเชยจีน หญ้าพันงูขาว กัญชาเทศ ดอกพุดซ้อน หวงฉิน ฟู่เฉิน เถาเย่เจียว และแอปเปิ้ลยุโรป

ใจจริง ซูเย่อยากจะระบุจำนวนกรัมของสมุนไพรแต่ละชนิดลงไปด้วย ทว่าสุดท้ายเขาก็ต้องส่ายหน้า และเปลี่ยนใจด้วยความหมดหวัง ก่อนที่จะวางปากกาในมือกลับคืนลงไปบนโต๊ะในที่สุด

“ผมยังไม่รู้ว่ายาแต่ละตัวควรใช้ในปริมาณมากน้อยขนาดไหนครับ”

ซูเย่สามารถเขียนรายชื่อสมุนไพรได้ครบถ้วน เหลือแต่จำนวนปริมาณที่ควรใช้งานเท่านั้น ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของเขา

“ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้วแหละ”

หลี่เคอหมิงอดชื่นชมออกมาไม่ได้ หัวใจของเขาต้องตกตะลึงไปกับความยอดเยี่ยมของชายหนุ่มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็เกินจะนับไหว

แม้แต่ใบสั่งยา ซูเย่ก็ยังเขียนออกมาได้แม่นยำเช่นกัน!

ปรากฏว่าการที่เขาสามารถรักษาคนไข้ผู้มีอาการหอบหืดกำเริบได้นั้นไม่ใช่เพราะโชคช่วยจริง ๆ

แต่มันเป็นเพราะความสามารถของซูเย่โดยแท้

“เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?”

คนไข้คนนี้เคยเห็นหน้าซูเย่ตั้งแต่ตอนที่เขามาเรียนพิเศษครั้งแรก

ซูเย่สามารถวินิจฉัย และบอกอาการของคนไข้ทุกอย่างได้ไม่ต่างไปจากหลี่เคอหมิง

มีเพียงการเขียนใบสั่งยาเท่านั้น ที่ชายหนุ่มยังไม่มีความชำนาญมากพอ

พรสวรรค์ระดับนี้…ถือว่าน่ากลัวมาก!

หลี่ชินเอ้อมองหน้าซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อและอดระแวงไม่ได้ว่า

อีกไม่เกินครึ่งปี หมอนี่คงนำหน้าฉันได้แน่ ๆ

หลี่เคอหมิงพยายามไม่แสดงอาการตกตะลึงออกมาทางสีหน้า หลังตรวจจับชีพจรคนไข้อย่างละเอียดแล้ว เขาก็หยิบปากกาขึ้นมาเพิ่มจำนวนปริมาณยาแต่ละตัวลงไปในใบสั่งยาของซูเย่

“รับประทานยาตามนี้นะ”

หลี่เคอหมิงพูดพร้อมกับส่งใบสั่งยาให้คนไข้

ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่เคอหมิงก็นึกถึงปรมาจารย์ด้านแพทย์แผนจีนอย่างฮั่วเหรินเซิง ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาขึ้นมาทันที

ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว การเรียนพิเศษรอบบ่ายประจำวันนี้ก็จบลง

หลี่เคอหมิงทอดสายตามองแผ่นหลังของซูเย่ที่กำลังเดินออกไปจากศูนย์การแพทย์ นี่ก็ยังคงเป็นอีกวันที่ชายหนุ่มสามารถวินิจฉัยคนไข้ได้โดยปราศจากข้อผิดพลาด

ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน!

“ถ้าหนูเข้าใจไม่ผิด ตลอดทั้งบ่ายวันนี้ พ่อต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้ตลอดเวลาเลยใช่ไหมล่ะ?”

หลี่ชินเอ้อพูดขณะหันมามองหน้าบิดา

หลี่เคอหมิงยิ้มกริ่ม

“เขาเก่งจนพ่อนึกกลัวเลยล่ะ”

หลังจากนั้น ผู้เป็นพ่อก็หันมามองหน้าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน และกล่าวต่อ

“พ่อว่าลูกน่าจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์เขาดูนะ!”

หลี่ชินเอ้อได้ยินดังนั้นก็รีบยกสองมือขึ้นปิดใบหู และส่ายศีรษะพูดด้วยความโกรธเคืองว่า “ไม่รู้ไม่ชี้! ไม่รู้ไม่ชี้!”

“เอาเถอะ ลูกรีบกลับบ้านก่อนดีกว่า”

หลี่เคอหมิงว่า “บอกแม่ด้วยนะว่าวันนี้พ่อไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นด้วย พอดีพ่อจะแวะไปที่บ้านอาจารย์สักหน่อยน่ะ”

พูดจบแล้ว หลี่เคอหมิงก็สาวเท้าเดินจากไป

ไม่ใช่ว่าเขาร้อนใจหรืออะไร แต่เป็นเพราะว่าหลี่เคอหมิงทนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้เพียงคนเดียวไม่ไหว

หลี่เคอหมิงอยากจะบอกให้อาจารย์ได้รับทราบว่า ในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบอัจฉริยะแห่งวงการแพทย์แผนจีนคนใหม่แล้ว!

บอกเล่าความรู้: ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ เป็นใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพที่กระทำหรือมุ่งหมายจะกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพ และการผดุงครรภ์ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และมีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลป์ แต่กระทำการใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นผู้ประกอบโรคศิลป์ จะต้องมีโทษ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า

Now you are reading เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] Chapter 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า

หลี่เคอหมิงข่มความรู้สึกสงสัยในจิตใจ และรีบเขียนใบสั่งยาให้แก่ชายชราผู้เป็นคนไข้

เมื่อชายชรารับยากลับไปแล้ว หลี่เคอหมิงก็อดหันกลับมาซักถามซูเย่อีกครั้งไม่ได้ “เธอรู้วิธีรักษาอาการหอบหืดกำเริบได้ยังไง? เท่าที่จำได้ ฉันยังไม่เคยสอนเธอเลยนะ?”

“ผมอ่านเจอตอนทบทวนตำราน่ะครับ”

“เธออ่านทวนกี่รอบ?”

“นับครั้งไม่ถ้วนครับ”

ซูเย่กล่าวเสริมว่า “แล้วผมก็คอยสังเกตดูอาจารย์ตอนรักษาคนไข้ด้วย”

“หืม?”

หลี่เคอหมิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม

เขาไม่แปลกใจที่ซูเย่จะชื่นชอบการอ่านทบทวนตำราทางการแพทย์ แต่ผู้เป็นอาจารย์แปลกใจที่ชายหนุ่มสามารถนำความรู้ในตำราเหล่านั้นมาปรับใช้กับโลกแห่งความจริงได้อย่างชำนาญ

ซูเย่ไม่ใช่พวกที่ดีแต่ท่องตำรา

การนำความรู้ในตำราออกมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ในโลกแห่งความเป็นจริง คือพรสวรรค์ที่นักศึกษาไม่ได้มีกันทุกคน

ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าซูเย่มีความสามารถในการวิเคราะห์ และสรุปความได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

หลี่เคอหมิงต้องพยายามรักษาสีหน้าเคร่งขรึมของตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ในขณะที่กล่าวกับชายหนุ่มต่อไปว่า “เธอยังไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ จะเที่ยวรักษาคนไข้ตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าการวินิจฉัยของเธอจะแม่นยำมากก็ตาม แต่ครั้งต่อไปเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้ คราวหน้าคราวหลังเวลาจะทำอะไร ขอให้เธอคิดอย่างละเอียดรอบคอบมากกว่านี้”

ซูเย่พยักหน้ารับทราบ ก่อนสอบถามกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้น เวลาผมเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า ผมควรทำยังไงดีครับ?”

เมื่อถูกย้อนศรถามกลับมาเช่นนั้น หลี่เคอหมิงก็ไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรเช่นกัน

เขาทำได้เพียงยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น

“เธอก็ต้องทำเรื่องที่สมควรทำนั่นแหละนะ”

แค่พูดจบเท่านั้น

ผู้ป่วยคนใหม่ก็เดินเข้ามาในศูนย์การแพทย์พอดี

เมื่อเห็นผู้ป่วยกำลังเดินตรงมาที่พวกของตนเอง หลี่เคอหมิงที่กำลังจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการวินิจฉัยกลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย

“ครั้งนี้ฉันจะให้เธอลองวินิจฉัยก่อน ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่เธออยากทำได้เลย ฉันจะคอยจับตามองอย่างใกล้ชิดเอง”

“ไม่ว่าจะเป็นอาการของโรค วิธีการรักษา การเขียนใบสั่งยา เธอสามารถทำทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น!”

ที่ด้านข้าง

หลี่ชินเอ้อมองหน้าหลี่เคอหมิงด้วยความประหลาดใจสุดขีด

นี่มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือไง พ่อของเธอจะให้ซูเย่ได้ลองรักษาคนไข้จริง ๆ แล้วหรือ?

ต่อให้เป็นนักศึกษาจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง กว่าจะได้รับโอกาสนี้ ก็ต้องตั้งใจเรียนอย่างหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งปี

แล้วซูเย่เพิ่งจะมาเรียนพิเศษได้แค่ไม่กี่สัปดาห์เองนะ?

“ได้เลยครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

นั่นเป็นเพราะซูเย่รู้ดีว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง คงมีเพียงไม่กี่ครั้งที่หลี่เคอหมิงจะยอมลดตัวลงมาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อผู้ป่วยมานั่งประจำที่เบื้องหน้าโต๊ะตรวจเรียบร้อยแล้ว การวินิจฉัยโรคก็เริ่มต้นขึ้นทันที

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นอะไรมาเหรอครับ?”

ซูเย่เป็นฝ่ายถามไถ่อาการก่อน

“ผมรู้สึกปวดหัวครับหมอ ช่วงหลังมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก แล้วก็ครั่นเนื้อครั่นตัวด้วย”

คนไข้อธิบายอาการของตนเองด้วยใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด “อ้อ นอกจากนี้ยังมีอาการหูอื้อตาลาย เจ็บหน้าอกจนกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยครับ”

ซูเย่พยักหน้าพร้อมกับเริ่มจับชีพจร

“ชีพจรแข็งนะครับ”

“ช่วยอ้าปากให้หมอดูลิ้นหน่อยสิครับ”

“ลิ้นสีแดงมีฝ้าเหลืองเกาะอยู่เล็กน้อย”

เมื่อวินิจฉัยตามกระบวนการแพทย์แผนจีนเสร็จแล้ว ซูเย่ก็สรุปออกมาได้ว่า “ร่างกายขาดสมดุลเพราะมีความร้อนมากเกินไป”

คนไข้มีสีหน้าไม่เข้าใจ

หลี่เคอหมิงที่รับฟังอยู่ด้านข้างพยักหน้าให้ชายหนุ่มวินิจฉัยต่อ

“เราควรเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับคนไข้ ซึ่งในกรณีนี้ ผมว่าเราควรบำรุงให้ตับของเขามีความเย็นมากขึ้น เพื่อสะกดกลั้นความร้อนที่ไหลทะลักออกมา มันจะช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว เช่นเดียวกับอาการแน่นหน้าอกครับ”

ระหว่างที่พูด

ซูเย่ก็หยิบกระดาษและปากกามาเขียนตัวยาที่เขาต้องการจ่ายให้คนไข้ลงไป

เมื่อได้ยินตัวเลือกการรักษา และเห็นรายชื่อสมุนไพรในใบสั่งยาของซูเย่ ดวงตาของหลี่เคอหมิงก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด

มันคือการวินิจฉัยที่แม่นยำมาก!

หลี่ชินเอ้อก็กำลังจ้องมองซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน

ทำไมเขาถึงได้ฉลาดแบบนี้นะ?

“แล้วเราก็ต้องเพิ่มสารสกัดจากผลสีเสียดเทศ”

ซูเย่เขียนลงไปในใบสั่งยา

นอกจากนั้น เขายังระบุรายชื่อสมุนไพรอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเทียงมั้ว อบเชยจีน หญ้าพันงูขาว กัญชาเทศ ดอกพุดซ้อน หวงฉิน ฟู่เฉิน เถาเย่เจียว และแอปเปิ้ลยุโรป

ใจจริง ซูเย่อยากจะระบุจำนวนกรัมของสมุนไพรแต่ละชนิดลงไปด้วย ทว่าสุดท้ายเขาก็ต้องส่ายหน้า และเปลี่ยนใจด้วยความหมดหวัง ก่อนที่จะวางปากกาในมือกลับคืนลงไปบนโต๊ะในที่สุด

“ผมยังไม่รู้ว่ายาแต่ละตัวควรใช้ในปริมาณมากน้อยขนาดไหนครับ”

ซูเย่สามารถเขียนรายชื่อสมุนไพรได้ครบถ้วน เหลือแต่จำนวนปริมาณที่ควรใช้งานเท่านั้น ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของเขา

“ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้วแหละ”

หลี่เคอหมิงอดชื่นชมออกมาไม่ได้ หัวใจของเขาต้องตกตะลึงไปกับความยอดเยี่ยมของชายหนุ่มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็เกินจะนับไหว

แม้แต่ใบสั่งยา ซูเย่ก็ยังเขียนออกมาได้แม่นยำเช่นกัน!

ปรากฏว่าการที่เขาสามารถรักษาคนไข้ผู้มีอาการหอบหืดกำเริบได้นั้นไม่ใช่เพราะโชคช่วยจริง ๆ

แต่มันเป็นเพราะความสามารถของซูเย่โดยแท้

“เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?”

คนไข้คนนี้เคยเห็นหน้าซูเย่ตั้งแต่ตอนที่เขามาเรียนพิเศษครั้งแรก

ซูเย่สามารถวินิจฉัย และบอกอาการของคนไข้ทุกอย่างได้ไม่ต่างไปจากหลี่เคอหมิง

มีเพียงการเขียนใบสั่งยาเท่านั้น ที่ชายหนุ่มยังไม่มีความชำนาญมากพอ

พรสวรรค์ระดับนี้…ถือว่าน่ากลัวมาก!

หลี่ชินเอ้อมองหน้าซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อและอดระแวงไม่ได้ว่า

อีกไม่เกินครึ่งปี หมอนี่คงนำหน้าฉันได้แน่ ๆ

หลี่เคอหมิงพยายามไม่แสดงอาการตกตะลึงออกมาทางสีหน้า หลังตรวจจับชีพจรคนไข้อย่างละเอียดแล้ว เขาก็หยิบปากกาขึ้นมาเพิ่มจำนวนปริมาณยาแต่ละตัวลงไปในใบสั่งยาของซูเย่

“รับประทานยาตามนี้นะ”

หลี่เคอหมิงพูดพร้อมกับส่งใบสั่งยาให้คนไข้

ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่เคอหมิงก็นึกถึงปรมาจารย์ด้านแพทย์แผนจีนอย่างฮั่วเหรินเซิง ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาขึ้นมาทันที

ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว การเรียนพิเศษรอบบ่ายประจำวันนี้ก็จบลง

หลี่เคอหมิงทอดสายตามองแผ่นหลังของซูเย่ที่กำลังเดินออกไปจากศูนย์การแพทย์ นี่ก็ยังคงเป็นอีกวันที่ชายหนุ่มสามารถวินิจฉัยคนไข้ได้โดยปราศจากข้อผิดพลาด

ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน!

“ถ้าหนูเข้าใจไม่ผิด ตลอดทั้งบ่ายวันนี้ พ่อต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้ตลอดเวลาเลยใช่ไหมล่ะ?”

หลี่ชินเอ้อพูดขณะหันมามองหน้าบิดา

หลี่เคอหมิงยิ้มกริ่ม

“เขาเก่งจนพ่อนึกกลัวเลยล่ะ”

หลังจากนั้น ผู้เป็นพ่อก็หันมามองหน้าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน และกล่าวต่อ

“พ่อว่าลูกน่าจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์เขาดูนะ!”

หลี่ชินเอ้อได้ยินดังนั้นก็รีบยกสองมือขึ้นปิดใบหู และส่ายศีรษะพูดด้วยความโกรธเคืองว่า “ไม่รู้ไม่ชี้! ไม่รู้ไม่ชี้!”

“เอาเถอะ ลูกรีบกลับบ้านก่อนดีกว่า”

หลี่เคอหมิงว่า “บอกแม่ด้วยนะว่าวันนี้พ่อไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นด้วย พอดีพ่อจะแวะไปที่บ้านอาจารย์สักหน่อยน่ะ”

พูดจบแล้ว หลี่เคอหมิงก็สาวเท้าเดินจากไป

ไม่ใช่ว่าเขาร้อนใจหรืออะไร แต่เป็นเพราะว่าหลี่เคอหมิงทนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้เพียงคนเดียวไม่ไหว

หลี่เคอหมิงอยากจะบอกให้อาจารย์ได้รับทราบว่า ในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบอัจฉริยะแห่งวงการแพทย์แผนจีนคนใหม่แล้ว!

บอกเล่าความรู้: ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ เป็นใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพที่กระทำหรือมุ่งหมายจะกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพ และการผดุงครรภ์ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และมีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลป์ แต่กระทำการใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นผู้ประกอบโรคศิลป์ จะต้องมีโทษ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+