เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 116 เห็นใจกันหน่อยเถอะ!

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 116 เห็นใจกันหน่อยเถอะ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หน่วยงาน 129 มีตัวตนแค่ในสายตาของกลุ่มคนจำเพาะเท่านั้น

 

 

คนทั่วไปน้อยนักที่จะรู้จัก 129 ปฏิกิริยาแบบนี้ของฉินหร่านปกติมาก

 

 

เกิดถามขึ้นมาว่า 129 คืออะไร มันก็จะยิ่งปกติ

 

 

เพียงแต่ฉินหร่านเอาแต่ประคองแก้วดื่มน้ำ ไม่เงยหน้า ราวกับไม่มีความสงสัยกับเรื่องนี้เลยแม้แต่นิด

 

 

ผู้บัญชาการห่าวจึงไม่ระแวงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เริ่มพูดรายละเอียดกับลู่จ้าวอิ่ง

 

 

กระทั่งตอนที่กินข้าว พวกเขาก็ยังคุยเรื่อง 129 รับสมัครสมาชิกใหม่กันอยู่

 

 

ช่วงนี้เฉิงเจวี้ยนไม่อยู่ในจิงเฉิงหลวง ระยะนี้ในจิงเฉิงจึงเกิดเรื่องใหญ่ได้ยาก นี่เป็นเรื่องเดียวที่หลายคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

 

 

ทุกฝ่ายอยากรวบอำนาจของ 129 ส่งผู้สมัครไปลองหยั่งเชิง 129 แล้ว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งก็สนใจเรื่องนี้มากเหมือนกัน ทั้งโต๊ะมีแต่ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนที่กินข้าว

 

 

“ไม่สิ ท่านเจวี้ยน นายไม่สงสัยเลยเหรอว่า เทพธิดาคนนั้นของเฉิงมู่…” ลู่จ้าวอิ่งอยากพูดอะไรต่อ แต่พอเห็นฉินหร่านก็ละล่ำละลัก หยิบตะเกียบขึ้นมา “เอ่อ ฉันหมายถึงว่าเป็นไปได้สูงว่าเทพธิดาของเธอจะถูกเลือก”

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนตอบแค่อืมอย่างไม่มีอารมณ์

 

 

พูดอยู่ตั้งนาน ได้แค่คำตอบที่ฝืนใจมากของเฉิงเจวี้ยน ลู่จ้าวอิ่งก็เผลอมองฉินหร่านแวบหนึ่ง เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วยิ้ม

 

 

ฉินหร่านรอพวกเขาพูดจบ ถึงได้กัดเนื้อคำหนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากช้าๆ ว่า “อีกหลายวันข้างหน้า ฉันจะตั้งใจสอบ อาจจะไม่มีเวลา”

 

 

เพราะครั้งก่อนช่วยผู้บัญชาการเฉียนสืบหาพิกัด หลายวันมานี้ฉินหร่านก็มาช่วยพวกเขาจัดการปัญญาพวกนี้ที่ห้องพยาบาลอยู่ตลอด

 

 

เพราะลู่จ้าวอิ่งเคยได้ยินประโยคนี้ของฉินหร่านก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่มีปฏิกิริยา

 

 

เฉิงมู่ไม่เคยได้ยิน เขาเงยหน้าอย่างเชื่องช้า “คุณหนูฉิน คุณ…จริงจังเหรอ”

 

 

“แน่นอนสิ” ฉินหร่านพูดอย่างอารมณ์ดี

 

 

เฉิงมู่มองเธอ อ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

ฉินหร่านกินเสร็จก็บอกว่าตัวเองจะกลับไปทบทวนที่ห้องเรียน ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่มองเธอจากไปอย่างเงียบงัน

 

 

นักเรียนมัธยมปลายปีสามคนหนึ่ง ตั้งใจทบทวนบทเรียนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องปกติ ผู้บัญชาการห่าวคิดว่าที่ฉินหร่านพูดไม่มีปัญหาอย่างสิ้นเชิง

 

 

เมื่อก่อนเธอมักจะออกไปเตร็ดเตร่ทุกครั้งที่ว่าง ในสายตาผู้บัญชาการห่าวนี่ต่างหากที่เรียกว่าไม่เอาไหน

 

 

“เธอบอกว่าตัวเองเตรียมตัวจะตั้งใจสอบ พวกนายสองคนทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ” พอกินข้าวเสร็จ ตอนที่เฉิงมู่เก็บถ้วยชามไปล้างที่ห้องครัว ผู้บัญชาการห่าวก็ตามหลังเขา กระซิบถามว่า “ผลการเรียนของนักเรียนก็สำคัญอยู่ดีหรือเปล่า”

 

 

เฉิงมู่วางถ้วยลงในอ่างน้ำ ได้ยินดังนั้น ก็หันหน้าเงียบๆ “ผมเคยเห็นคุณหนูฉินทำโจทย์ และเคยเห็นควิซของเธอด้วย”

 

 

“คะแนนของเธอน่าจะไม่เลวสินะ” ผู้บัญชาการห่าวครุ่นคิด ผู้หญิงมีชาติตระกูลในจิงเฉิงที่ตามจีบเฉิงเจวี้ยนต่อแถวยาววนรอบจิงเฉิงสามรอบ ยังไม่มีคนที่เขาถูกใจเลย ฉะนั้นตอนที่มาเมืองอวิ๋นเฉิงแล้วรู้ว่ามีคนที่ชื่อฉินหร่านอยู่ เขาถึงได้แปลกใจยิ่งนัก คิดว่าไม่ว่าจะด้านไหน ฉินหร่านก็ไม่คู่ควรเลย

 

 

ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อฉินหร่านดีขึ้นนิดหน่อย พอได้ยินเฉิงมู่พูดแบบนี้ เขาคิดว่าต่อให้ฉินหร่านจะแย่ก็คงไม่แย่ไปถึงขั้นนั้น ไม่อย่างนั้นเฉิงเจวี้ยนจะชอบเธอที่อะไรล่ะ แค่หน้าใบนั้นน่ะเหรอ

 

 

เฉิงมู่เปิดก๊อกน้ำ พิงข้างอ่างน้ำแล้วมองเขา “เอ่อ ครั้งก่อนเธอเคยเอาควิซมาให้ท่านเจวี้ยนเซ็นชื่อ ครั้งที่ได้คะแนนสูงสุดคือ 38 คะแนน”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวที่คิดว่าคะแนนของฉินหร่านอาจจะดีมากในตอนแรก “…”

 

 

ขอโทษที่รบกวน

 

 

 

 

ผู้บัญชาการห่าวหารือเรื่องคดีกับลู่จ้าวอิ่ง ตอนที่เดินออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก็เห็นชีเฉิงจวินที่จอดรถหน้าห้องพยาบาลพอดี

 

 

“ทนายชี ทำไมมาอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงได้ล่ะ” ผู้บัญชาการห่าวหยุดเดิน แปลกใจยิ่งนัก

 

 

เมืองเล็กกระจ้อยร่อยอย่างเมืองอวิ๋นเฉิง เพราะอะไรผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่งถึงได้กระจุกตัวกันอยู่ที่นี่

 

 

ชีเฉิงจวินจอดรถเสร็จสรรพ พยักหน้าให้ผู้บัญชาการห่าวอย่างสุภาพ “มีคนจ้างวาน ให้มาจัดการคดีที่นี่ กลับจิงเฉิงพรุ่งนี้แล้ว มาแจ้งท่านเจวี้ยนน่ะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนอายุไม่มาก แต่เพราะเป็นลูกหลงของผู้อาวุโสเฉิง มีฐานะสูงส่งในเมืองปักกิ่ง ประการนี้ผู้บัญชาการห่าวรู้ดี

 

 

แต่ผู้บัญชาการห่าวสงสัยนิดหน่อยว่าใครที่มีหน้ามีตาขนาดนั้น ทำให้ชีเฉิงจวินมาทำธุระให้ถึงเมืองอวิ๋นเฉิงได้

 

 

เมื่อรู้ว่าชีเฉิงจวินมาเมืองอวิ๋นเฉิงได้สักระยะหนึ่งแล้ว

 

 

ผู้บัญชาการห่าวก็อดถามอีกไม่ได้ว่า “งั้นคุณเคยเห็นเด็กผู้หญิงที่อยู่กับท่านเจวี้ยนหรือเปล่า”

 

 

ชีเฉิงจวิ้นหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คุณหมายถึงคุณหนูฉินเหรอ”

 

 

“คุณเองก็เคยได้ยินใช่ไหม เมื่อกี้เฉิงมู่เพิ่งบอกผมว่า คะแนนที่เธอสอบได้มากที่สุดคือ 38 คะแนน” ผู้บัญชาการห่าวยืนอยู่ที่เดิม มองไปทางห้องพยาบาลแวบหนึ่ง จากนั้นกดเสียงต่ำลง “คุณว่าท่านเจวี้ยนชอบอะไรเธอ แบบนี้ถ้าต่อไปเธอเข้าจิงเฉิง…”

 

 

“ผู้บัญชาการห่าว ผมขอเตือนอะไรหน่อย คนของท่านนั้น คุณอย่ายุ่งให้มากจะดีที่สุด” ชีเฉิงจวินเลิกคิ้ว

 

 

เขาถูกคนของ 129 จ้างวานให้มาจัดการเรื่องของฉินหร่าน เดาจากเฟิงโหลวเฉิงกับ 129 แล้ว ชีเฉิงจวินคิดว่าเฟิงโหลวเฉิงน่าจะพอจะรู้จักกับคนในของ 129 อยู่บ้าง

 

 

ฉินหร่านน่าจะเป็นญาติสักฝ่ายของเฟิงโหลวเฉิง

 

 

สรุปคือ ตอนนี้เฉิงเจวี้ยนปกป้องเธอเป็นอย่างดี

 

 

ผู้บัญชาการห่าวลูบจมูกป้อยๆ แล้วขึ้นรถ ตอนที่กำลังจะบิดกุญแจ ก็เห็นหน้าจอมือถือสว่างวาบพอดี ข้อความหนึ่งถูกส่งเข้ามา

 

 

เขาเหลือบมองข้อความแวบหนึ่งแล้วครุ่นคิด หยิบขึ้นมาตอบกลับไปว่า ‘มีอยู่คนหนึ่ง รายละเอียดยังบอกมากไม่ได้ แต่คะแนนของเธอแย่มาก ปีหน้าจะสอบเข้าวิทยาลัยวิชาชีพของจิงเฉิงได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่’

 

 

 

 

ตอนที่ชีเฉิงจวินไปห้องพยาบาล เฉิงเจวี้ยนกำลังถือเสื้อนอกจะออกไปพอดี เฉิงมู่ตามอยู่ข้างหลังเขา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊กกำลังเล่นเกมอยู่

 

 

ชีเฉิงจวินเหลือบมองแวบหนึ่ง มองออกว่าเป็นเกมท่องยุทธภพ เกมแนวแข่งขันที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงหลายปีนี้

 

 

“ท่านเจวี้ยน พวกคุณจะไปไหนกันน่ะ” ชีเฉิงจวินเงยหน้า แปลกใจเล็กน้อย

 

 

“ไปหาซื้อหนังสือคู่มือให้เด็กน้อยที่จู่ๆ ก็พยายามจะตั้งใจเรียนบางคนสักหน่อย” ลู่จ้าวอิ่งเจียดเวลาเงยหน้าขึ้น ยิ้มพร้อมกับยักคิ้ว

 

 

เฉิงมู่ตามหลังเฉิงเจวี้ยนด้วยความมึนงง มาถึงคลังหนังสือคู่มือที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอวิ๋นเฉิง รายชื่อที่เฉิงเจวี้ยนลิสต์ไว้ได้มาเกือบจะครบแล้ว มีควิซสองชุดที่ไม่มี เขาเตรียมจะให้คนเอากลับมาจากจิงเฉิง

 

 

หนังสือหลายเล่ม มีครบทุกแขนง

 

 

เฉิงมู่ก้มหน้า มองหนังสือพวกนี้ด้วยสายตาสับสน มีแค่นักเรียนห่วยเท่านั้นที่เข้าใจความคิดของนักเรียนห่วยด้วยกันเอง

 

 

นักเรียนห่วยอย่างพวกเขาเป็นแบบนี้กันหมด

 

 

บางครั้งจู่ๆ ก็พูดว่าจะตั้งใจเรียน อันที่จริงอดทนไม่ถึงสามวันหรอก ซื้อหนังสือมากมายขนาดนี้จะมีประโยชน์อะไร

 

 

พอคิดเงินเสร็จ เฉิงมู่ก็ล้วงมือถือโทรหาเฉิงจิน ให้เฉิงจินไปหาซื้อหนังสือคู่มือที่ขาดในร้านหนังสือของจิงเฉิง

 

 

เฉิงจินตอบอืมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เหมือนคุณชายเจียงจะได้เรื่องของคนคนนั้นแล้ว”

 

 

“นายหมายถึงกู้ซีฉือเหรอ” เฉิงมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม

 

 

“เขานั่นแหละ ดูเหมือนเขาจะหายสาบสูญไปแล้ว ที่น่าแปลกคือยังหาเบาะแสไม่เจอ” เฉิงจินพูดจบก็จะวางสายทันที “นายบอกท่านเจวี้ยนหน่อย”

 

 

เฉิงมู่ตัดสาย บอกเรื่องพวกนี้กับเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนหิ้วหนังสือเต็มถุงขึ้นรถ ก้มหน้าก้มตา นิ้วมือกำลังนับจำนวนหนังสือ สีหน้าสบายๆ

 

 

กู้ซีฉือ แพทย์ที่โด่งดังแต่วัยรุ่น มักจะไปทำการกุศลตามแนวตะเข็บชายแดนต่างๆ

 

 

ผู้เฒ่าสกุลเฉิงตามหากู้ซีฉือมาตลอด

 

 

ที่น่าแปลกคือ ดูเหมือนเบื้องหลังของเขาจะมีผู้มีอิทธิพลลึกลับคนหนึ่งคอยช่วยกู้ซีฉือปกปิดร่องรอย เจียงตงเย่สืบเจอหลายครั้ง แต่ก็ถูกปกปิดอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

ทางด้านนี้ ฉินหร่านไม่รู้ว่าพวกห้องพยาบาลมีปฏิกิริยากับเรื่องที่เธอบอกว่าจะกลับตัวกลับใจตั้งใจเรียนหนังสือ

 

 

คาบเรียนด้วยตัวเองตอนเย็น เธอนั่งทำโจทย์ที่โต๊ะตลอดเวลา

 

 

ห้องเก้าไม่ค่อยกล้ารบกวนฉินหร่านมากนัก

 

 

ช่วงนี้คะแนนของหลินซือหรานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสภาวะพุ่งสูงต่อเนื่อง

 

 

มีคนมาถามโจทย์ฟิสิกส์กับเธอเยอะมาก แม้แต่หลินซือหรานเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมฟิสิกส์ของเธอถึงได้ดีขึ้นรวดเร็วแบบนี้…

 

 

ฉินหร่านกำลังทำควิซอยู่

 

 

ดูเหมือนจะรำคาญนิดหน่อย เธอยัดหูฟังอีกครั้ง เอนตัวพิงผนัง มือข้างหนึ่งถือปากกา ท่าทางเหมือนกำลังทำควิซภาษาอังกฤษ เธอทำโจทย์เร็วมาก ราวกับแค่กวาดตาผ่านไป จากนั้นก็วาดขีดลงไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ที่น่าแปลกใจคือเธอเข้าใจหัวข้อหรือเปล่า

 

 

ความอยากเอาชนะรุนแรงเหลือเกิน นักเรียนห้องเก้าต่างก็คิดว่า ครั้งนี้เธอถูกอาจารย์หลี่อ้ายหรงกระตุ้นเข้าอย่างจังแล้วใช่ไหม

 

 

แถมยังบอกว่าจะคว้าที่หนึ่งวิชาภาษาอังกฤษอีก หักหน้าอาจารย์หลี่อ้ายหรง

 

 

นักเรียนห้องเก้าเดาว่านับจากข้างหน้ายากเกินไป แต่นับจากข้างหลังอาจพอมีหวัง

 

 

สอบกลางภาคเสร็จก็รู้แล้ว

 

 

เฉียวเซิงก็นั่งมองโจทย์ภาษาอังกฤษของเธอจากโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าฉินหร่านเหมือนกัน ในมือเขามีควิซวิชาคณิตอยู่ด้วย

 

 

ฉินหร่านวางมือลงบนโต๊ะ ไม่ได้หยิบโจทย์อีกเล่มออกมา นั่งไขว่ห้าง เท้าคางอย่างขี้เกียจ “ฟิสิกส์เหรอ นายมาถามฟิสิกส์กับหลินซือหราน?”

 

 

“คุณชายสวีก็ทำไม่เป็น” เฉียวเซิงกดเสียงให้เบาลง เหลือบมองไปทางสวีเหยากวงแวบหนึ่ง

 

 

แม้เฉียวเซิงจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่เขาก็ไม่ได้เข้าอีจงเพราะใช้เส้นสายเหมือนกัน ผลการเรียนของเขาไม่ดีไม่แย่ กลางๆ แต่ดีกว่าฉินหร่าน

 

 

ที่สำคัญคือ…สวีเหยากวงไม่อยากเสียหน้ามาถามหลินซือหราน

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า เหลือบมองโจทย์ในมือเฉียวเซิง ไม่พูดอะไร

 

 

โจทย์ข้อนี้ยากอยู่เหมือนกัน โจทย์ฟิสิกส์ในช่วงหลายปีนี้ไม่ค่อยง่ายนัก โจทย์ในมือเฉียวเซิงเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดในควิซคราวนี้ มีความซับซ้อนสูง นักเรียนอีจงมีแค่ไม่กี่คนที่ทำได้

 

 

แม้ในวิชาทั้งหมดสวีเหยากวงจะอ่อนวิชาฟิสิกส์ที่สุด แต่ก็เป็นแค่การเปรียบเทียบกับตัวเองเท่านั้น ฟิสิกส์ของเขาก็ยังจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของโรงเรียนอยู่ดี

 

 

ทำโจทย์ข้อนี้ไม่ได้ก็ไม่เกินความคาดหมายของฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านวางมือลงท่าทางครุ่นคิด ไม่พูดอะไร

 

 

 

 

นักเรียนห้องเก้าต่างก็คิดว่าความใฝ่เรียนของฉินหร่านเป็นแค่เรื่องชั่วครู่เท่านั้น

 

 

เพราะฉินหร่านไม่เหมือนพวกเขา พวกเขาสอบเข้าอีจงได้ด้วยความสามารถของตัวเอง มีความมั่นใจ ปกติแล้วคาบเรียนส่วนใหญ่ก็เรียนอยู่เหมือนกัน

 

 

เร่งทำเวลาก่อนสอบสักหน่อยก็มีประโยชน์เช่นกัน

 

 

แต่ฉินหร่านแทบจะไม่เข้าใจอะไรเลย มาเร่งเอาก่อนสอบแบบนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก

 

 

เพียงแต่ว่าฉินหร่านทำโจทย์มาทั้งวัน คาบเรียนด้วยตัวเองก็ทำควิซของแต่ละวิชาเกือบจะทั้งคาบ คนในห้องก็มีกำลังใจ เริ่มช่วยติวให้ฉินหร่านทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

 

 

หลินซือหรานเอะอะก็ท่องสูตรฟิสิกส์ข้างหูฉินหร่าน

 

 

“สอบกลางภาคครั้งนี้ฉันคิดว่าน่าจะสอบเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า” หลินซือหรานกระแอมไอ “เธอรู้ไหมว่าสนามแม่เหล็กคืออะไร… ขนาดของแรงลอเรนซ์คือ qvB สูตรพื้นฐานของการเคลื่อนที่แบบสม่ำเสมอของอิเล็กตรอนในสนามแม่เหล็กคือ…”

 

 

“ยังไงซะตอนที่เจอโจทย์ใหญ่ของฟิสิกส์ เขียนสูตรทั้งหมดลงไปก็ต้องได้สักสองคะแนน”

 

 

หลังอู๋เหยียนลาออกไป ตัวแทนติววิชาภาษาอังกฤษกลายเป็นผู้หญิงหน้ากลมคนหนึ่ง พอเลิกเรียนก็หยิบพจนานุกรมภาษาอังกฤษมานั่งท่องศัพท์ข้างฉินหร่าน “เจ๊ฉิน รู้ไหมว่า abandon (การปลดปล่อย) แปลว่าอะไร มันคือ…”

 

 

ฉินหร่านหยิบคู่มือเล่มหนึ่งออกมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย คิ้วขมวดเป็นปม

 

 

รู้สิ เธอต้องรู้อยู่แล้ว คำศัพท์ตัวแรกในหน้าแรกของพจนานุกรมภาษาอังกฤษ

 

 

ฉินหร่านใช้ยูนิฟอร์มคลุมหัว

 

 

ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าอะไรคือทำตัวเอง

 

 

“เจ๊ฉิน ฉันรู้เธอความจำดี แต่ท่องคำตอบมันไม่มีประโยชน์ พื้นฐานของเธอแย่เกินไป ควรจะปูพื้นฐาน ท่องคำศัพท์ให้มาก…”

 

 

ฉินหร่านเอายูนิฟอร์มที่คลุมไว้บนหัวออก ลุกพรวดขึ้นทันใด

 

 

ตัวแทนติววิชาภาษาอังกฤษสะดุ้งโหยง ผงะถอยหลังไป

 

 

ฉินหร่านโยนหนังสือบนโต๊ะเข้าใต้โต๊ะดังตุบ เธอก้มหน้า สายตาเย็นเยือก แต่กลับพูดกับตัวแทนติวภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาทว่า “เอ่อ…ฉันขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย”

 

 

 

 

ห้องน้ำหญิง

 

 

ฉินหร่านดึงประตูห้องสุดท้ายออก

 

 

หยิบมือถือออกมาอยากเล่นเกม

 

 

เกมยังดาวน์โหลดไม่เสร็จ คนที่อยู่ห้องข้างๆ ก็เคาะประตูอย่างระมัดระวัง

 

 

“เจ๊ฉิน อยู่หรือเปล่า” เป็นเสียงของเซี่ยเฟย

 

 

มือที่ถือมือถือของฉินหร่านชะงัก ไม่พูดอะไร

 

 

เซี่ยเฟยเข้าใจแล้ว จากนั้นก็นั่งลงบนชักโครกห้องข้างๆ เริ่มท่องสูตรวิชาเคมี

 

 

ท่องได้ท่อนหนึ่ง เธอจะหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นลองถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ๊ฉิน ยังฟังอยู่หรือเปล่า”

 

 

ฉินหร่านเงียบไปสองวินาที จากนั้นก็เตะประตูห้องน้ำด้วยความหงุดหงิด

 

 

เสียงดังปัง ทั้งหงุดหงิดและโมโห

 

 

เป็นสัญลักษณ์ของบิ๊กบอส เซี่ยเฟยได้รับคำตอบ ก็ท่องสูตรเคมีต่อ

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

ขอร้องละ เห็นใจกันหน่อยเถอะ

 

 

ยังดีที่ใกล้จะสอบกลางภาคแล้ว

 

 

เล่นเกมนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ฉินหร่านก้มหน้า เธอยัดหูฟังกลับที่เดิม กดกลับที่หน้าจอหลักของมือถือ

 

 

เปิดข้อความที่ไม่เคยเปิดดูเลยที่ฉางหนิงส่งให้เธอก่อนหน้านี้ มีแค่ประโยคเดียว ‘ปีนี้ 129 รับสมัครสมาชิกใหม่ ตามการเรียกร้องของสมาชิกภายใน เธอจะ…ตั้งโจทย์คัดเลือกผู้เข้าสมัครหน่อยไหม’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด