เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 162 เจ๊หร่านลงมือ กู้ซีฉือถึงแล้ว

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 162 เจ๊หร่านลงมือ กู้ซีฉือถึงแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินหร่านแทบจะจินตนาการถึงฉากนั้นได้

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับสูตรที่หนิงเวยพูดถึงคือสูตรอะไร

 

 

เขาอยู่ในแวดวงนี้มานานหลายปียังไม่เคยเจอคนกำเริบเสิบสานแบบนี้มาก่อน

 

 

ขณะนี้ความโกรธแผ่ซ่านอยู่ในอกแทบจะทนไม่ไหว อากาศโดยรอบแทบลุกเป็นไฟ

 

 

“อืม ได้ยินแล้ว” ผู้บัญชาการเฉียนยิ้ม ทว่าไม่มีรอยยิ้มอยู่ใต้เปลือกตา เขาพูดเรียบๆ “กล้าดีนัก กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”

 

 

หนิงเวยกลัวจนตัวสั่นกับคำพูดของทั้งสอง

 

 

“น้า มู่หนานไปไหนกันแน่?” ฉินหร่านคืนแฟ้มคดีให้ผู้บัญชาการเฉียนพลางถามอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยความโมโห

 

 

หนิงเวยเงียบ

 

 

เสียงใสแจ๋วดังมาจากข้างนอกประตู “อยู่บ้าน” เฉิงเจวี้ยนกำลังพิงกับขอบประตู น้ำเสียงฟังออกถึงความอึดอัดใจ “ตามที่คาดไว้น่าจะไปเจรจากับคนของทางฝั่งนั้น”

 

 

ไม่ต่างจากที่ฉินหร่านคิดไว้

 

 

เธอมีสีหน้ามืดมนเล็กน้อย มองไปทางหนิงเวย “น้า ทำใจให้สบาย” จากนั้นก็หันไปมองผู้บัญชาการเฉียน พูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ออกถึงความรู้สึก “พวกเราไปกันเถอะ”

 

 

หนิงเวยคว้าผ้าปูที่นอน “หร่านหร่าน พวกเธอสองคนจะทำอะไร? อย่าใจร้อน!”

 

 

“ไม่ต้องห่วง หนูไม่ใจร้อนหรอก” ฉินหร่านไม่หันกลับมา

 

 

ใจร้อน?

 

 

ไม่ต้องถึงกับให้ทีม 129 เข้าร่วม มีแค่ผู้บัญชาการเฉียน คนพวกนี้ก็หนีไปไหนไม่รอดแม้แต่คนเดียว

 

 

เธอออกไปพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ไปพร้อมกับทั้งสองเพราะโรงงานพลาสติกชั้นต่ำพรรค์นี้ แค่ผู้บัญชาการเฉียนไปก็เกินกำลังแล้ว

 

 

เขาเพียงเดินไปที่ข้างเตียงหนิงเวย ยื่นมือไปหยิบประวัติการรักษาที่อยู่ปลายเตียงหนิงเวย

 

 

เขาเอนตัวพิงหัวเตียงเล็กน้อย พลิกดูแบบลวกๆพลางขมวดคิ้ว มิน่าล่ะถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟซะขนาดนี้

 

 

หลังจากคิดได้ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสาย

 

 

จากนั้นก็มองไปทางหนิงเวยและกล่าวทักทายเธออย่างมีมารยาท “น้าหนิง”

 

 

เขามองเธอและหยุดไปสักพัก จากนั้นก็อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผู้บัญชาการเฉียนที่มาเมื่อกี้เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกสืบสวนอาชญากรรมอวิ๋นเฉิง ซึ่งใหญ่เป็นสามอันดับแรกในแวดวงการสืบสวนอาชญากรรมในประเทศ ไม่ต้องพูดถึงผู้จัดการโรงงานคุณคนนั้นหรอก ถึงจะมีเจ้าถิ่นใหญ่คนนั้นคอยหนุนหลังก็หนีไม่รอด”

 

 

หนิงเวยเคยเจอเฉิงเจวี้ยนตอนที่เฉินซูหลานป่วยเมื่อคราวที่แล้ว หนุ่มคนนี้ทั้งหน้าตาดีและสุภาพ

 

 

ขณะนี้เมื่อได้ฟังที่เฉิงเจวี้ยนพูด เธอก็ถึงกับอึ้ง

 

 

แน่นอนว่าเธอเคยได้ยินเรื่องกองสืบสวนอาชญากรรม

 

 

คำว่า “สามอันดับแรก” ที่เพิ่มเข้ามา ก่อนหน้านี้เธอฟังคอยไม่ชัด

 

 

ใหญ่?

 

 

หร่านหร่านไปรู้จักกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?

 

 

หนิงเวยยังไม่ทันได้สติ

 

 

ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องอย่างสุภาพ

 

 

เฉิงเจวี้ยนหันกลับไป ก้มตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็นำประวัติการรักษากลับไปแขวนไว้พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “เข้ามา”

 

 

ทันใดนั้นกลุ่มแพทย์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง

 

 

หนิงเวยยังอยู่ในอาการตกตะลึง เธอเห็นกลุ่มแพทย์เข้ามาในห้องผู้ป่วยเยอะกว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทำการรักษาเมื่อวานนี้เสียอีก ทั้งยังมีท่าทีเข้มงวดและสุภาพ ทำการตรวจอย่างละเอียดด้วยความกระตือรือร้น

 

 

นำโดยหมอที่มีอายุ บนหน้าอกมีป้ายห้อยไว้ “ผู้อำนวยการโรงพยาบาล” เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง?

 

 

“เอารายงานสภาพร่างกายมาให้ผม” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรีบยื่นข้อมูลจำนวนหนึ่งให้เขาทันที 

 

 

เฉิงเจวี้ยนรับมาเปิดอ่าน เขาเปิดดูด้วยความรวดเร็วพลางเหลือบมองหนิงเวยเป็นครั้งคราว

 

 

เขาอ่านรายงานจำนวนยี่สิบหน้าภายในเวลาไม่ถึงสามนาที 

 

 

จากนั้นก็คืนข้อมูลให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

 

 

คนด้านข้างส่งชุดผ่าตัดสีขาวให้เขาในทันที

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการทำการรักษา สภาพร่างกายของคนไข้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกยี่สิบนาทีพาไปที่ชั้นยี่สิบสอง…” เฉิงเจวี้ยนสวมเสื้อกาวน์ ขณะที่ติดกระดุมให้ตัวเองก็เดินออกไปข้างนอก เขาออกคำสั่งอย่างใจเย็นแต่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

ไม่ได้ทำตัวง่วงเหงาหาวนอนเหมือนก่อนหน้านี้

 

 

หนิงเวยยังอยู่ในอาการงุนงง มีคนเข็นไปที่ห้องผ่าตัดทั้งอย่างนี้ “คุณ…พวกคุณจะตัดขาแล้วเหรอ?”

 

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” พยาบาลที่สวมผ้าปิดจมูกพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนิงไม่ต้องกลัวนะคะ มีคุณหมอเฉิงอยู่ ถึงขาคุณจะโดนบิดขนาดไหน เขาก็ทำให้คุณกลับมายืนได้” 

 

 

เมื่อคืนฉินหร่านบอกเธอก่อนแล้วว่าขาเธอที่ควรจะถูกตัดจะต้องไม่โดนตัด

 

 

วันนี้จู่ๆพยาบาลคนนี้ก็มาบอกว่าเธอจะกลับมายืนได้

 

 

ทั้งยังเรื่องผู้บัญชาการเฉียน หนิงเวยมึนงงอย่างมากหลังจากได้รับยาสลบ

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

 

บ้านของมู่หนานอยู่ในแฟลต

 

 

ชั้นหกยังไม่มีลิฟต์

 

 

เมื่อก่อนในแฟลตนี้มีคนเป็นจำนวนมาก

 

 

วันนี้แฟลตที่เป็นบ้านของมู่หนานกลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

 

 

รถตู้สีดำสองคันจอดอยู่ชั้นล่าง

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนจอดรถทิ้งไว้และรับโทรศัพท์ “ถอนคนออกจากโรงงานพลาสติกเหอไห่หมดแล้ว?”

 

 

เขาลงจากรถและแจ้งพิกัดบ้านของมู่หนานให้กับลูกน้อง

 

 

ฉินหร่านลงจากอีกประตูหนึ่ง

 

 

เธอหลุบตาลง ในดวงตามองเห็นเป็นสีเลือดที่เย็นเฉียบ 

 

 

ฉินหร่านเป็นคนสวย เมื่อเธอกลับมาที่บ้านตระกูลมู่อีกครั้ง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักเธอ

 

 

เมื่อคุณยายแก่ผมขาวที่กำลังถือตะกร้าผักใบหนึ่งเพิ่งกลับมาจากตลาดสดเห็นฉินหร่านกำลังจะขึ้นไปข้างบนก็รีบเรียกเธอ “สาวน้อย ยังไงก็อย่าขึ้นไปข้างบนเลย เมื่อกี้มีคนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปหาน้องชายเธอ คนกลุ่มนั้นยังมีรอยสักบนตัวด้วย ดูน่ากลัวมาก!”

 

 

พอชายเสื้อถูกรั้งไว้ ฉินหร่านก็ก้มหน้ามองตาขุ่นมัวของคุณยายที่นัยน์ตาอดเป็นห่วงไม่ได้ เธอสูดหายใจ

 

 

“ขอบคุณค่ะคุณยาย หนูจะอยู่ดูข้างนอกสักหน่อยก็กลับแล้ว”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนวางสาย “พวกเขาออกเดินทางแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับเรา ที่โรงงานพลาสติกเหอไห่พบกล้องวงจรปิดแล้วแต่โดนทำลายไปหมดแล้ว อีกสิบนาทีกว่าจะถึง”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า “ส่งกล้องวงจรปิดเข้ามือถือฉัน”

 

 

ไม่ต้องพูดถึงว่ากล้องวงจรปิดถูกทำลาย ถึงจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เธอก็สามารถทำให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเพื่อให้คนพวกนั้นดูได้

 

 

ทั้งสองคุยกันขณะที่เดินขึ้นไปข้างบน

 

 

คุณยายยืนมองอยู่ข้างหลังพวกเขาได้สักพัก จากนั้นก็ส่ายหัว ถอนหายใจและจากไป

 

 

**

 

 

ชั้นหก

 

 

“นี่เงินสองหมื่นหยวนเป็นค่าชดเชยให้แม่แก” ชายวัยกลางคนใบหน้าอวบๆและมีรอยสักหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋าพลางหันหน้าเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆ

 

 

คนข้างๆเขาโยนเงินก้อนเล็กลงบนโต๊ะทันที

 

 

ภายในห้องอัดแน่นไปด้วยชายกำยำชุดดำจำนวนหนึ่งที่พอถลกแขนเสื้อขึ้นก็จะพบแต่รอยสักสีฟ้าอยู่บนตัว

 

 

มู่หนานไม่ได้มองไปที่เงินแต่มองไปทางลั่วไซหูด้วยสายตาล้ำลึก “พวกแกจงใจ?”

 

 

ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะและชำเลืองมองไปที่มู่หนาน ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากประตูใหญ่

 

 

ยังจะมีคนมาในเวลานี้อีกเหรอ?

 

 

ชายวัยกลางคนและลูกน้องของเขาหันไปทางประตูโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อมู่หนานนึกถึงคนคนหนึ่ง หน้าก็เปลี่ยนสี เขาหันไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาก็ได้หยิบกุญแจของหนิงเวยมาด้วย เธอเปิดประตูตรงเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน

 

 

หมวกเสื้อกันหนาวยังคงสวมไว้ที่หัว ไม่ได้ดึงลงมา วันนี้เธอตั้งใจเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีดำทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่เสื้อนอกชุดนักเรียน

 

 

ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย ชำเลืองมองทุกคนในห้องโดยไม่มีท่าทางประหลาดใจใดๆ มีแต่ความเย็นชาลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด

 

 

เธอยื่นมือออกไปรั้งปีกหมวกของเธอลงเพื่อปกปิดเลือดในตาที่แทบจะปกปิดไม่มิด

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่าน ชายวัยกลางคนก็ตาเป็นประกาย ผู้บัญชาการเฉียนเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าเงียบๆเพื่อขัดขวางสายตาของชายวัยกลางคน

 

 

คนก็มาถึงในห้องหมดแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้รีบร้อน  แต่ตอบคำถามของมู่หนานด้วยความใจดีว่า “จะจงใจหรือไม่ไม่สำคัญ คนหนุ่มสาวไม่ต้องเดือดดาลไปหรอก การเกิดอุบัติเหตุในโรงงานในแต่ละครั้งก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา”

 

 

มู่หนานเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วจมลงในฝ่ามือ

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อเก็บใบหน้าชายวัยกลางคนสลักลึกเข้าไปในหัว 

 

 

“แกไม่กลัวฉันแจ้งตำรวจเหรอ?” มู่หนานกดเสียง แหบเล็กน้อย แต่ฟังก็รู้ว่ากำลังใจเย็นที่สุด

 

 

ชายวัยกลางคนส่ายหน้าราวกับได้ยินเรื่องตลก จากนั้นก็พูดด้วยความเห็นใจ “แกคิดว่าฉันจะให้พวกแกได้กล้องวงจรปิดไปงั้นเหรอ? ไม่มีกล้องวงจรปิดแล้วใครจะรู้ว่าพวกแกกำลังปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อจะเอาเงินชดเชยจากพวกเรา? ที่จริงแล้วแม่แกก็เป็นคนพิการอยู่แล้ว พอถึงตอนนั้นก็ซื้อแอคหลุมปั่นกระแสบนอินเทอร์เน็ตว่าแม่แกสร้างสถานการณ์ทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แกว่าใครจะซวยล่ะ?”

 

 

มือทั้งสองข้างของมู่หนานสั่นเทาเมื่อได้ยินถึงตรงนี้

 

 

“อย่าโมโหแบบนี้สิ” ชายวัยกลางคนยิ้มพลางเขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ “พวกแกจะแจ้งตำรวจก็แล้วแต่พวกแกเลย แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ..” 

 

 

สายตาหันไปหยุดที่ร่างของฉินหร่าน หรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่น้องสาวแกเหรอ?”

 

 

เขาไม่สนพวกกุ้งฝอยอย่างมู่หนานหรือหนิงเวยเลยสักนิด การที่ทำให้หนิงเวยเสียไปแล้วหนึ่งขาไม่เพียงแต่เป็นการตักเตือน แต่สาเหตุมาจากการดูถูก

 

 

เมื่อเห็นสายตาของชายวัยกลางคนหันไปทางฉินหร่าน หัวใจมู่หนานก็บีบแน่น “เดี๋ยวก่อน ฉันจะเอาของให้แก แกรีบไปซะ!”

 

 

จากนั้นก็กลับไปในห้องและหยิบเอากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งยื่นให้ลั่วไซหู

 

 

“จริงๆแล้วแกฉลาดกว่าแม่แกเสียอีก” ลั่วไซหูรับกระดาษมาจากมือมู่หนานด้วยตาเป็นประกาย “ถ้าแม่แกรู้จักวางตัวแบบนี้จะได้รับความทุกข์ทรมานเหรอ?”

 

 

เขาสูบบุหรี่อีกมวนแล้วนำกระดาษแผ่นนั้นออกมาคลี่บนโต๊ะ อ่านอย่างละเอียด

 

 

ยิ่งอ่าน สายตาละโมบโลภมากก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น

 

 

จากนั้นเขาก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

 

 

มู่หนานชี้ออกไปทางประตูพลางพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ตอนนี้พวกแกไปได้หรือยัง?”

 

 

“ไป?” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “แน่นอนว่าไปก็ได้”

 

 

เขาลุกขึ้นเดินไปข้างๆฉินหร่าน

 

 

แววตาแฝงไปด้วยความหยาบช้า “แต่น้องสาวแกจะต้องไปกับฉันด้วย”

 

 

มู่หนานเดินไปข้างหน้า มีเอ็นปูดบนใบหน้าของเขา “แกกล้า!”

 

 

“จับผู้ชายสองคนนี้ไว้” ชายวัยกลางคนเบื่อจะสนใจมู่หนานจึงสั่งการลูกน้อง

 

 

ลูกน้องรีบเข้าไปรวบมือทั้งสองข้างของมู่หนานและจับตัวผู้บัญชาการเฉียนไว้อย่างง่ายดาย

 

 

ในขณะนี้——

 

 

โทรศัพท์ในกระเป๋าฉินหร่านก็ดังขึ้น

 

 

เธอก้มหน้าดูก็พบว่าเป็นกู้ซีฉือ

 

 

“ถึงแล้วเหรอ?” เธอพูดเรียบๆราวกับไม่รู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

 

 

กู้ซีฉือที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้ขึ้นรถแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว เขาสวมแว่นกันแดดทรงกว้าง “โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งใช่ไหม? ห้องไหน?”

 

 

ฉินหร่านจึงบอกชื่อห้องผู้ป่วยของหนิงเวย “มีคนอยู่ นายระวังตัวด้วย!”

 

 

คนที่เธอพูดถึงแน่นอนว่าเป็นผู้บัญชาการห่าว เฉิงมู่ และยังมีลู่จ้าวอิ่ง

 

 

กู้ซีฉือเกี่ยวแว่นตาพลางยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องห่วง”

 

 

หลังจากวางสายฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น คนทั้งห้องกำลังมองเธออยู่

 

 

แม้แต่ชายวัยกลางก็ประหลาดใจมาก เสียงคุยโทรศัพท์ของฉินหร่านดูเรียบเฉยเกินไป น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดราวกับว่ากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศวันนี้ก็ไม่ปาน

 

 

เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หรือโง่กันแน่?

 

 

ชายวัยกลางคนผงะ จากนั้นก็กลับมาตั้งสติ เขาเดินเข้ามาหนึ่งก้าว

 

 

ฉินหร่านกลับเดินข้ามเขาเลยไปที่โต๊ะก่อน

 

 

เธอปัดเงินที่อยู่บนโต๊ะลงพื้น จากนั้นลากเก้าอี้มานั่ง เธอก้มหน้าลงพลางกางโทรศัพท์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กเพื่อเรียกภาพกล้องวงจรปิดที่เพิ่งส่งมาให้เธอ

 

 

เริ่มทำการกู้คืน

 

 

“เธอทำอะไรน่ะ?” ชายวัยกลางคนยังไม่รู้ตัว

 

 

คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นมืออาชีพ ฝีไม้ลายมือก็เก้ๆกังๆ ฉินหร่านกู้คืนด้วยความรวดเร็ว พอได้ยินดังนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พิงกับพนักเก้าอี้และพูดด้วยเสียงเรียบๆ “อยากรู้ก็มาดูเอาเอง”

 

 

ชายวัยกลางคนมองเธอผู้มีใบหน้าเย็นชาขั้นสุดที่แผ่รังสีอันตรายร้ายแรง

 

 

เขาเดินเข้าไปและก้มหน้าดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ

 

 

ในนั้นมีภาพกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุที่ถูกทำลายไปแล้วโผล่ขึ้นมา

 

 

ภาพที่ปรากฏคือเขาและพนักงานอีกสองสามคนกำลังทำงานบนเครื่องจักรที่หนิงเวยทำงานอยู่ และยังมีวิดีโออื่นๆอีกมากมายที่ถูกเขาทำลาย

 

 

ชายวัยกลางคนหน้าถอดสี เขาเอื้อมมือไปคว้าไมโครคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน

 

 

แต่ฉินหร่านเร็วกว่าเขาจึงเก็บไว้ได้ทัน

 

 

เธอก้มหน้าเก็บไมโครคอมพิวเตอร์กลับไปโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อน

 

 

จากนั้นก็เอื้อมมือดึงหมวกเสื้อกันหนาวที่อยู่บนหัวลง ถอดยางรัดผมสีดำออกจากข้อมือแล้วมัดผมหลวมๆ

 

 

ขยับข้อมือเพียงนิดเดียว เอียงศีรษะและเหลือบมองผู้บัญชาการเฉียน พูดอย่างสุขุมว่า “หลักฐานพอแล้ว ตอนนี้ฉันลงมือได้หรือยัง?”

 

 

**

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

 

ผู้บัญชาการห่าวและป้าโจวออกตามหาผู้บัญชาการเฉียนไปทุกที่แต่กลับไม่พบร่องรอย

 

 

เมื่อสอบถามได้ว่าตอนนี้เฉิงมู่กำลังอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งและดูเหมือนว่าน้าของฉินหร่านเกิดอุบัติเหตุ

 

 

ทั้งสองได้หมายเลขห้องผู้ป่วยจากผู้อำนวยการโรงพยาบาล

 

 

เขากับลู่จ้าวอิ่งขับรถมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งโดยต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้กองสืบสวนอาชญากรรมทั้งหมดวุ่นวายกันขนาดนี้

 

 

รถสีน้ำเงินเข้มจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาล

 

 

รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดในเวลาเดียวกัน

 

 

คนที่ลงจากรถเป็นชายสวมชุดลำลองสีขาวคนหนึ่ง สวมแว่นกันแดดสีดำทรงกว้าง แต่เขาไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่สง่างามของเขาได้

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่รอผู้บัญชาการห่าวจอดรถก็เหลือบมองไปเรื่อย จากนั้นสายตาก็หยุดชะงัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 162 เจ๊หร่านลงมือ กู้ซีฉือถึงแล้ว

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 162 เจ๊หร่านลงมือ กู้ซีฉือถึงแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินหร่านแทบจะจินตนาการถึงฉากนั้นได้

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับสูตรที่หนิงเวยพูดถึงคือสูตรอะไร

 

 

เขาอยู่ในแวดวงนี้มานานหลายปียังไม่เคยเจอคนกำเริบเสิบสานแบบนี้มาก่อน

 

 

ขณะนี้ความโกรธแผ่ซ่านอยู่ในอกแทบจะทนไม่ไหว อากาศโดยรอบแทบลุกเป็นไฟ

 

 

“อืม ได้ยินแล้ว” ผู้บัญชาการเฉียนยิ้ม ทว่าไม่มีรอยยิ้มอยู่ใต้เปลือกตา เขาพูดเรียบๆ “กล้าดีนัก กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”

 

 

หนิงเวยกลัวจนตัวสั่นกับคำพูดของทั้งสอง

 

 

“น้า มู่หนานไปไหนกันแน่?” ฉินหร่านคืนแฟ้มคดีให้ผู้บัญชาการเฉียนพลางถามอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยความโมโห

 

 

หนิงเวยเงียบ

 

 

เสียงใสแจ๋วดังมาจากข้างนอกประตู “อยู่บ้าน” เฉิงเจวี้ยนกำลังพิงกับขอบประตู น้ำเสียงฟังออกถึงความอึดอัดใจ “ตามที่คาดไว้น่าจะไปเจรจากับคนของทางฝั่งนั้น”

 

 

ไม่ต่างจากที่ฉินหร่านคิดไว้

 

 

เธอมีสีหน้ามืดมนเล็กน้อย มองไปทางหนิงเวย “น้า ทำใจให้สบาย” จากนั้นก็หันไปมองผู้บัญชาการเฉียน พูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ออกถึงความรู้สึก “พวกเราไปกันเถอะ”

 

 

หนิงเวยคว้าผ้าปูที่นอน “หร่านหร่าน พวกเธอสองคนจะทำอะไร? อย่าใจร้อน!”

 

 

“ไม่ต้องห่วง หนูไม่ใจร้อนหรอก” ฉินหร่านไม่หันกลับมา

 

 

ใจร้อน?

 

 

ไม่ต้องถึงกับให้ทีม 129 เข้าร่วม มีแค่ผู้บัญชาการเฉียน คนพวกนี้ก็หนีไปไหนไม่รอดแม้แต่คนเดียว

 

 

เธอออกไปพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ไปพร้อมกับทั้งสองเพราะโรงงานพลาสติกชั้นต่ำพรรค์นี้ แค่ผู้บัญชาการเฉียนไปก็เกินกำลังแล้ว

 

 

เขาเพียงเดินไปที่ข้างเตียงหนิงเวย ยื่นมือไปหยิบประวัติการรักษาที่อยู่ปลายเตียงหนิงเวย

 

 

เขาเอนตัวพิงหัวเตียงเล็กน้อย พลิกดูแบบลวกๆพลางขมวดคิ้ว มิน่าล่ะถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟซะขนาดนี้

 

 

หลังจากคิดได้ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสาย

 

 

จากนั้นก็มองไปทางหนิงเวยและกล่าวทักทายเธออย่างมีมารยาท “น้าหนิง”

 

 

เขามองเธอและหยุดไปสักพัก จากนั้นก็อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผู้บัญชาการเฉียนที่มาเมื่อกี้เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกสืบสวนอาชญากรรมอวิ๋นเฉิง ซึ่งใหญ่เป็นสามอันดับแรกในแวดวงการสืบสวนอาชญากรรมในประเทศ ไม่ต้องพูดถึงผู้จัดการโรงงานคุณคนนั้นหรอก ถึงจะมีเจ้าถิ่นใหญ่คนนั้นคอยหนุนหลังก็หนีไม่รอด”

 

 

หนิงเวยเคยเจอเฉิงเจวี้ยนตอนที่เฉินซูหลานป่วยเมื่อคราวที่แล้ว หนุ่มคนนี้ทั้งหน้าตาดีและสุภาพ

 

 

ขณะนี้เมื่อได้ฟังที่เฉิงเจวี้ยนพูด เธอก็ถึงกับอึ้ง

 

 

แน่นอนว่าเธอเคยได้ยินเรื่องกองสืบสวนอาชญากรรม

 

 

คำว่า “สามอันดับแรก” ที่เพิ่มเข้ามา ก่อนหน้านี้เธอฟังคอยไม่ชัด

 

 

ใหญ่?

 

 

หร่านหร่านไปรู้จักกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?

 

 

หนิงเวยยังไม่ทันได้สติ

 

 

ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องอย่างสุภาพ

 

 

เฉิงเจวี้ยนหันกลับไป ก้มตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็นำประวัติการรักษากลับไปแขวนไว้พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “เข้ามา”

 

 

ทันใดนั้นกลุ่มแพทย์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง

 

 

หนิงเวยยังอยู่ในอาการตกตะลึง เธอเห็นกลุ่มแพทย์เข้ามาในห้องผู้ป่วยเยอะกว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทำการรักษาเมื่อวานนี้เสียอีก ทั้งยังมีท่าทีเข้มงวดและสุภาพ ทำการตรวจอย่างละเอียดด้วยความกระตือรือร้น

 

 

นำโดยหมอที่มีอายุ บนหน้าอกมีป้ายห้อยไว้ “ผู้อำนวยการโรงพยาบาล” เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง?

 

 

“เอารายงานสภาพร่างกายมาให้ผม” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรีบยื่นข้อมูลจำนวนหนึ่งให้เขาทันที 

 

 

เฉิงเจวี้ยนรับมาเปิดอ่าน เขาเปิดดูด้วยความรวดเร็วพลางเหลือบมองหนิงเวยเป็นครั้งคราว

 

 

เขาอ่านรายงานจำนวนยี่สิบหน้าภายในเวลาไม่ถึงสามนาที 

 

 

จากนั้นก็คืนข้อมูลให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

 

 

คนด้านข้างส่งชุดผ่าตัดสีขาวให้เขาในทันที

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการทำการรักษา สภาพร่างกายของคนไข้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกยี่สิบนาทีพาไปที่ชั้นยี่สิบสอง…” เฉิงเจวี้ยนสวมเสื้อกาวน์ ขณะที่ติดกระดุมให้ตัวเองก็เดินออกไปข้างนอก เขาออกคำสั่งอย่างใจเย็นแต่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

ไม่ได้ทำตัวง่วงเหงาหาวนอนเหมือนก่อนหน้านี้

 

 

หนิงเวยยังอยู่ในอาการงุนงง มีคนเข็นไปที่ห้องผ่าตัดทั้งอย่างนี้ “คุณ…พวกคุณจะตัดขาแล้วเหรอ?”

 

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” พยาบาลที่สวมผ้าปิดจมูกพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนิงไม่ต้องกลัวนะคะ มีคุณหมอเฉิงอยู่ ถึงขาคุณจะโดนบิดขนาดไหน เขาก็ทำให้คุณกลับมายืนได้” 

 

 

เมื่อคืนฉินหร่านบอกเธอก่อนแล้วว่าขาเธอที่ควรจะถูกตัดจะต้องไม่โดนตัด

 

 

วันนี้จู่ๆพยาบาลคนนี้ก็มาบอกว่าเธอจะกลับมายืนได้

 

 

ทั้งยังเรื่องผู้บัญชาการเฉียน หนิงเวยมึนงงอย่างมากหลังจากได้รับยาสลบ

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

 

บ้านของมู่หนานอยู่ในแฟลต

 

 

ชั้นหกยังไม่มีลิฟต์

 

 

เมื่อก่อนในแฟลตนี้มีคนเป็นจำนวนมาก

 

 

วันนี้แฟลตที่เป็นบ้านของมู่หนานกลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

 

 

รถตู้สีดำสองคันจอดอยู่ชั้นล่าง

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนจอดรถทิ้งไว้และรับโทรศัพท์ “ถอนคนออกจากโรงงานพลาสติกเหอไห่หมดแล้ว?”

 

 

เขาลงจากรถและแจ้งพิกัดบ้านของมู่หนานให้กับลูกน้อง

 

 

ฉินหร่านลงจากอีกประตูหนึ่ง

 

 

เธอหลุบตาลง ในดวงตามองเห็นเป็นสีเลือดที่เย็นเฉียบ 

 

 

ฉินหร่านเป็นคนสวย เมื่อเธอกลับมาที่บ้านตระกูลมู่อีกครั้ง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักเธอ

 

 

เมื่อคุณยายแก่ผมขาวที่กำลังถือตะกร้าผักใบหนึ่งเพิ่งกลับมาจากตลาดสดเห็นฉินหร่านกำลังจะขึ้นไปข้างบนก็รีบเรียกเธอ “สาวน้อย ยังไงก็อย่าขึ้นไปข้างบนเลย เมื่อกี้มีคนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปหาน้องชายเธอ คนกลุ่มนั้นยังมีรอยสักบนตัวด้วย ดูน่ากลัวมาก!”

 

 

พอชายเสื้อถูกรั้งไว้ ฉินหร่านก็ก้มหน้ามองตาขุ่นมัวของคุณยายที่นัยน์ตาอดเป็นห่วงไม่ได้ เธอสูดหายใจ

 

 

“ขอบคุณค่ะคุณยาย หนูจะอยู่ดูข้างนอกสักหน่อยก็กลับแล้ว”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนวางสาย “พวกเขาออกเดินทางแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับเรา ที่โรงงานพลาสติกเหอไห่พบกล้องวงจรปิดแล้วแต่โดนทำลายไปหมดแล้ว อีกสิบนาทีกว่าจะถึง”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า “ส่งกล้องวงจรปิดเข้ามือถือฉัน”

 

 

ไม่ต้องพูดถึงว่ากล้องวงจรปิดถูกทำลาย ถึงจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เธอก็สามารถทำให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเพื่อให้คนพวกนั้นดูได้

 

 

ทั้งสองคุยกันขณะที่เดินขึ้นไปข้างบน

 

 

คุณยายยืนมองอยู่ข้างหลังพวกเขาได้สักพัก จากนั้นก็ส่ายหัว ถอนหายใจและจากไป

 

 

**

 

 

ชั้นหก

 

 

“นี่เงินสองหมื่นหยวนเป็นค่าชดเชยให้แม่แก” ชายวัยกลางคนใบหน้าอวบๆและมีรอยสักหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋าพลางหันหน้าเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆ

 

 

คนข้างๆเขาโยนเงินก้อนเล็กลงบนโต๊ะทันที

 

 

ภายในห้องอัดแน่นไปด้วยชายกำยำชุดดำจำนวนหนึ่งที่พอถลกแขนเสื้อขึ้นก็จะพบแต่รอยสักสีฟ้าอยู่บนตัว

 

 

มู่หนานไม่ได้มองไปที่เงินแต่มองไปทางลั่วไซหูด้วยสายตาล้ำลึก “พวกแกจงใจ?”

 

 

ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะและชำเลืองมองไปที่มู่หนาน ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากประตูใหญ่

 

 

ยังจะมีคนมาในเวลานี้อีกเหรอ?

 

 

ชายวัยกลางคนและลูกน้องของเขาหันไปทางประตูโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อมู่หนานนึกถึงคนคนหนึ่ง หน้าก็เปลี่ยนสี เขาหันไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาก็ได้หยิบกุญแจของหนิงเวยมาด้วย เธอเปิดประตูตรงเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน

 

 

หมวกเสื้อกันหนาวยังคงสวมไว้ที่หัว ไม่ได้ดึงลงมา วันนี้เธอตั้งใจเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีดำทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่เสื้อนอกชุดนักเรียน

 

 

ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย ชำเลืองมองทุกคนในห้องโดยไม่มีท่าทางประหลาดใจใดๆ มีแต่ความเย็นชาลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด

 

 

เธอยื่นมือออกไปรั้งปีกหมวกของเธอลงเพื่อปกปิดเลือดในตาที่แทบจะปกปิดไม่มิด

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่าน ชายวัยกลางคนก็ตาเป็นประกาย ผู้บัญชาการเฉียนเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าเงียบๆเพื่อขัดขวางสายตาของชายวัยกลางคน

 

 

คนก็มาถึงในห้องหมดแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้รีบร้อน  แต่ตอบคำถามของมู่หนานด้วยความใจดีว่า “จะจงใจหรือไม่ไม่สำคัญ คนหนุ่มสาวไม่ต้องเดือดดาลไปหรอก การเกิดอุบัติเหตุในโรงงานในแต่ละครั้งก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา”

 

 

มู่หนานเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วจมลงในฝ่ามือ

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อเก็บใบหน้าชายวัยกลางคนสลักลึกเข้าไปในหัว 

 

 

“แกไม่กลัวฉันแจ้งตำรวจเหรอ?” มู่หนานกดเสียง แหบเล็กน้อย แต่ฟังก็รู้ว่ากำลังใจเย็นที่สุด

 

 

ชายวัยกลางคนส่ายหน้าราวกับได้ยินเรื่องตลก จากนั้นก็พูดด้วยความเห็นใจ “แกคิดว่าฉันจะให้พวกแกได้กล้องวงจรปิดไปงั้นเหรอ? ไม่มีกล้องวงจรปิดแล้วใครจะรู้ว่าพวกแกกำลังปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อจะเอาเงินชดเชยจากพวกเรา? ที่จริงแล้วแม่แกก็เป็นคนพิการอยู่แล้ว พอถึงตอนนั้นก็ซื้อแอคหลุมปั่นกระแสบนอินเทอร์เน็ตว่าแม่แกสร้างสถานการณ์ทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แกว่าใครจะซวยล่ะ?”

 

 

มือทั้งสองข้างของมู่หนานสั่นเทาเมื่อได้ยินถึงตรงนี้

 

 

“อย่าโมโหแบบนี้สิ” ชายวัยกลางคนยิ้มพลางเขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ “พวกแกจะแจ้งตำรวจก็แล้วแต่พวกแกเลย แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ..” 

 

 

สายตาหันไปหยุดที่ร่างของฉินหร่าน หรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่น้องสาวแกเหรอ?”

 

 

เขาไม่สนพวกกุ้งฝอยอย่างมู่หนานหรือหนิงเวยเลยสักนิด การที่ทำให้หนิงเวยเสียไปแล้วหนึ่งขาไม่เพียงแต่เป็นการตักเตือน แต่สาเหตุมาจากการดูถูก

 

 

เมื่อเห็นสายตาของชายวัยกลางคนหันไปทางฉินหร่าน หัวใจมู่หนานก็บีบแน่น “เดี๋ยวก่อน ฉันจะเอาของให้แก แกรีบไปซะ!”

 

 

จากนั้นก็กลับไปในห้องและหยิบเอากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งยื่นให้ลั่วไซหู

 

 

“จริงๆแล้วแกฉลาดกว่าแม่แกเสียอีก” ลั่วไซหูรับกระดาษมาจากมือมู่หนานด้วยตาเป็นประกาย “ถ้าแม่แกรู้จักวางตัวแบบนี้จะได้รับความทุกข์ทรมานเหรอ?”

 

 

เขาสูบบุหรี่อีกมวนแล้วนำกระดาษแผ่นนั้นออกมาคลี่บนโต๊ะ อ่านอย่างละเอียด

 

 

ยิ่งอ่าน สายตาละโมบโลภมากก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น

 

 

จากนั้นเขาก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

 

 

มู่หนานชี้ออกไปทางประตูพลางพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ตอนนี้พวกแกไปได้หรือยัง?”

 

 

“ไป?” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “แน่นอนว่าไปก็ได้”

 

 

เขาลุกขึ้นเดินไปข้างๆฉินหร่าน

 

 

แววตาแฝงไปด้วยความหยาบช้า “แต่น้องสาวแกจะต้องไปกับฉันด้วย”

 

 

มู่หนานเดินไปข้างหน้า มีเอ็นปูดบนใบหน้าของเขา “แกกล้า!”

 

 

“จับผู้ชายสองคนนี้ไว้” ชายวัยกลางคนเบื่อจะสนใจมู่หนานจึงสั่งการลูกน้อง

 

 

ลูกน้องรีบเข้าไปรวบมือทั้งสองข้างของมู่หนานและจับตัวผู้บัญชาการเฉียนไว้อย่างง่ายดาย

 

 

ในขณะนี้——

 

 

โทรศัพท์ในกระเป๋าฉินหร่านก็ดังขึ้น

 

 

เธอก้มหน้าดูก็พบว่าเป็นกู้ซีฉือ

 

 

“ถึงแล้วเหรอ?” เธอพูดเรียบๆราวกับไม่รู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

 

 

กู้ซีฉือที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้ขึ้นรถแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว เขาสวมแว่นกันแดดทรงกว้าง “โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งใช่ไหม? ห้องไหน?”

 

 

ฉินหร่านจึงบอกชื่อห้องผู้ป่วยของหนิงเวย “มีคนอยู่ นายระวังตัวด้วย!”

 

 

คนที่เธอพูดถึงแน่นอนว่าเป็นผู้บัญชาการห่าว เฉิงมู่ และยังมีลู่จ้าวอิ่ง

 

 

กู้ซีฉือเกี่ยวแว่นตาพลางยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องห่วง”

 

 

หลังจากวางสายฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น คนทั้งห้องกำลังมองเธออยู่

 

 

แม้แต่ชายวัยกลางก็ประหลาดใจมาก เสียงคุยโทรศัพท์ของฉินหร่านดูเรียบเฉยเกินไป น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดราวกับว่ากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศวันนี้ก็ไม่ปาน

 

 

เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หรือโง่กันแน่?

 

 

ชายวัยกลางคนผงะ จากนั้นก็กลับมาตั้งสติ เขาเดินเข้ามาหนึ่งก้าว

 

 

ฉินหร่านกลับเดินข้ามเขาเลยไปที่โต๊ะก่อน

 

 

เธอปัดเงินที่อยู่บนโต๊ะลงพื้น จากนั้นลากเก้าอี้มานั่ง เธอก้มหน้าลงพลางกางโทรศัพท์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กเพื่อเรียกภาพกล้องวงจรปิดที่เพิ่งส่งมาให้เธอ

 

 

เริ่มทำการกู้คืน

 

 

“เธอทำอะไรน่ะ?” ชายวัยกลางคนยังไม่รู้ตัว

 

 

คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นมืออาชีพ ฝีไม้ลายมือก็เก้ๆกังๆ ฉินหร่านกู้คืนด้วยความรวดเร็ว พอได้ยินดังนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พิงกับพนักเก้าอี้และพูดด้วยเสียงเรียบๆ “อยากรู้ก็มาดูเอาเอง”

 

 

ชายวัยกลางคนมองเธอผู้มีใบหน้าเย็นชาขั้นสุดที่แผ่รังสีอันตรายร้ายแรง

 

 

เขาเดินเข้าไปและก้มหน้าดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ

 

 

ในนั้นมีภาพกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุที่ถูกทำลายไปแล้วโผล่ขึ้นมา

 

 

ภาพที่ปรากฏคือเขาและพนักงานอีกสองสามคนกำลังทำงานบนเครื่องจักรที่หนิงเวยทำงานอยู่ และยังมีวิดีโออื่นๆอีกมากมายที่ถูกเขาทำลาย

 

 

ชายวัยกลางคนหน้าถอดสี เขาเอื้อมมือไปคว้าไมโครคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน

 

 

แต่ฉินหร่านเร็วกว่าเขาจึงเก็บไว้ได้ทัน

 

 

เธอก้มหน้าเก็บไมโครคอมพิวเตอร์กลับไปโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อน

 

 

จากนั้นก็เอื้อมมือดึงหมวกเสื้อกันหนาวที่อยู่บนหัวลง ถอดยางรัดผมสีดำออกจากข้อมือแล้วมัดผมหลวมๆ

 

 

ขยับข้อมือเพียงนิดเดียว เอียงศีรษะและเหลือบมองผู้บัญชาการเฉียน พูดอย่างสุขุมว่า “หลักฐานพอแล้ว ตอนนี้ฉันลงมือได้หรือยัง?”

 

 

**

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

 

ผู้บัญชาการห่าวและป้าโจวออกตามหาผู้บัญชาการเฉียนไปทุกที่แต่กลับไม่พบร่องรอย

 

 

เมื่อสอบถามได้ว่าตอนนี้เฉิงมู่กำลังอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งและดูเหมือนว่าน้าของฉินหร่านเกิดอุบัติเหตุ

 

 

ทั้งสองได้หมายเลขห้องผู้ป่วยจากผู้อำนวยการโรงพยาบาล

 

 

เขากับลู่จ้าวอิ่งขับรถมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งโดยต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้กองสืบสวนอาชญากรรมทั้งหมดวุ่นวายกันขนาดนี้

 

 

รถสีน้ำเงินเข้มจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาล

 

 

รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดในเวลาเดียวกัน

 

 

คนที่ลงจากรถเป็นชายสวมชุดลำลองสีขาวคนหนึ่ง สวมแว่นกันแดดสีดำทรงกว้าง แต่เขาไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่สง่างามของเขาได้

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่รอผู้บัญชาการห่าวจอดรถก็เหลือบมองไปเรื่อย จากนั้นสายตาก็หยุดชะงัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+