เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 165 หนิงฉิงคิดว่าโลกนี้ช่างเกินจินตนาการ!

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 165 หนิงฉิงคิดว่าโลกนี้ช่างเกินจินตนาการ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในสายตาหนิงฉิง ภาพลักษณ์ของเฉินซูหลานเป็นแค่คนแก่ธรรมดาๆคนหนึ่งตลอดมา

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมาดและท่าทีเช่นนี้

 

 

หนิงฉิงอึ้งไปสักพักก่อนจะรู้สึกตัวว่าเฉินซูหลานกำลังพูดอะไร

 

 

เธอยืนขึ้นจนแทบจะเสียสติ มองไปทางเฉินซูหลาน “จะเป็นไปได้ยังไง? แม่ นี่แม่บ้าไปแล้วใช่ไหม? อย่ามาล้อเล่นกับฉันแบบนี้นะ! ฉินหร่านจะเขียนมันออกมาได้ยังไง ? ! จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้สอบผ่านระดับเลยด้วยซ้ำ!”

 

 

“ความสามารถฉินอวี่เป็นยังไงแกเองยังไม่รู้?” เฉินซูหลานเหลือบมองหนิงฉิง จากนั้นก็ลุกขึ้นและทำเสียงหัวเราะเบาๆ “คนที่อยู่แต่ในกรอบอย่างเธอเขียนโน้ตแบบนั้นออกมาได้เหรอ?”

 

 

ใบหน้าจืดชืดแทบจะมองไม่ออกถึงอารมณ์

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ฉินอวี่ถามเธอเรื่องโน้ตเพลงของฉินหร่าน จนกระทั่งอาจารย์ไต้โทรศัพท์มาหาเธอเป็นการส่วนตัว เฉินซูหลานก็แอบคาดการณ์ไว้ในใจแล้ว

 

 

เธอเรียกหาหนิงฉิงเพราะต้องการวิดีโอการแข่งขันของฉินอวี่

 

 

เช่นเดียวกับอาจารย์ไต้ เธออาจจะไม่ค่อยประทับใจกับเพลงอื่นๆของฉินหร่าน แต่ประทับใจเพลงนี้ที่ฉินหร่านเล่นในงานเลี้ยงวันเกิดเป็นอย่างมาก

 

 

ฉินอวี่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยแต่ยังด้อยกว่าเพลงต้นฉบับของฉินหร่านมาก ทว่าผลตอบรับก็ยังคงตราตรึงใจ

 

 

ทำให้ไต้หรานเพิกเฉยต่อความสามารถในตัวเธอและเลือกฉินอวี่เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเห็นว่าเพลงต้นฉบับสร้างความประทับใจให้คนมากแค่ไหน!

 

 

“แม่ ฉันรู้ว่าแม่ไม่ชอบอวี่เอ๋อร์ แต่ไม่เห็นต้องลำเอียงแบบนี้เลย แม่รู้ได้ยังไงว่าอวี่เอ๋อร์เขียนไม่ได้ ? !” หนิงฉิงลุกขึ้น เธอจับกระเป๋าแน่น เม้มริมฝีปาก

 

 

“แม่ ฉันไม่ได้กลับมาเพื่อจะมาทะเลาะกับแม่นะ” หนิงฉิงเองก็รู้สึกหงุดหงิดวุ่นวายใจ เนื่องจากเธอจำได้อย่างชัดเจนว่าอาจารย์ไต้ก็เคยพูดไว้

 

 

เธอไม่กล้าและไม่อยากคิดไปไกล

 

 

จึงไม่โต้เถียงกับเฉินซูหลานอีก เธอตรงไปหาหมอและถามอาการเฉินซูหลานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

 

หลังจากรู้ผลก็กลับไปที่บ้านตระกูลหลิน

 

 

ไม่ทันได้เห็นว่าหลังจากที่เธอหันกลับไป เฉินซูหลานก็มองเธอด้วยสีหน้าผิดหวัง

 

 

“แกรก” เสียงปิดประตู

 

 

เฉินซูหลานยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองเพื่อโทรหาอาจารย์เว่ย

 

 

เธอมองไปที่หน้าการโทร ดวงตาขุ่นมัวเป็นแววล้ำลึก

 

 

ตอนที่เธอเพิ่งมาอวิ๋นเฉิงเป็นครั้งแรก เธอได้แต่หวังว่าฉินหร่านจะอยู่บ้านตระกูลหลิน เพราะเธอไม่อยากคิดว่าหลังจากที่เธอตาย ฉินหร่านจะต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

 

ไม่เจอมาตั้งหลายปี หนิงฉิงก็พึ่งไม่ได้

 

 

หลังจากดังเพียงสองครั้งก็มีคนรับสาย

 

 

“อาจารย์เว่ย” เฉินซูหลานใช้มือค้ำเตียงเดินไปที่ริมหน้าต่างและมองไปยังชั้นล่าง “ถึงจะดูบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ก็ยังอยากจะถามคุณว่าช่วยมาอวิ๋นเฉิงสักรอบได้ไหมคะ ด้วยเหตุผลบางประการ ฉันจึงไปเมืองหลวงไม่ได้ แต่ฉันอยากเห็นฉินหร่านไหว้คุณเป็นลูกศิษย์ด้วยตัวเอง”

 

 

เฉินซูหลานทราบดีเกี่ยวกับการตัดสินใจของฉินหร่านนับตั้งแต่เธอกลับมาครั้งที่แล้ว

 

 

และยิ่งรู้ว่าหากไม่ใช่เพราะตัวเอง ฉินหร่านก็คงไปเมืองหลวงนานแล้ว

 

 

ไม่ต้องถูกขังอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างหนิงไห่เหมือนตัวเอง

 

 

เมื่อสามปีก่อนอาจารย์เว่ยได้ทราบข่าวเรื่องตระกูลสวี่ เขาจึงเดินทางไกลไปที่เมืองหนิงไห่และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อฉินหร่าน

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเมืองหลวงเกิดเรื่อง เขาอาจจะอยู่ต่อ

 

 

เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่เฉินซูหลานรับรู้ได้ถึงความดีของอาจารย์เว่ย

 

 

เมืองหลวง

 

 

เมื่อได้ยินเฉินซูหลานพูดจบ อาจารย์เว่ยก็นิ่งไปสักพัก

 

 

“อาจารย์เว่ย?” คนข้างๆ เรียกเขา

 

 

พออาจารย์เว่ยได้สติ เขาก็ลุกจากเก้าอี้และเดินตรงไปกำชับคนข้างๆ “ซื้อตั๋วไปอวิ๋นเฉิงให้ฉันใบนึง เที่ยวที่เร็วที่สุด”

 

 

เขารู้มาตลอดว่าเฉินซูหลานป่วย

 

 

แต่วันนี้คำพูดของเฉินซูหลานทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจ

 

 

เขารู้สึกได้เสมอ…ว่าเฉินซูหลานกำลังฝากฝัง

 

 

อาจารย์เว่ยจับโทรศัพท์แน่น ขณะที่เดินออกไปก็กำชับคนข้างๆ “เก็บกระเป๋าเดินทางสักสองสามใบ รีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด”

 

 

**

 

 

บ้านตระกูลหลิน

 

 

หลังจากที่หนิงฉิงกลับมาก็พบว่าบ้านตระกูลหลินมีคนอยู่กันหลายคน

 

 

หลินฉี นายท่านหลินและยังมีคนอื่นๆ ในตระกูลหลิน

 

 

พอเข้าประตู ทุกคนในตระกูลหลินต่างก็ลุกขึ้น ใบหน้านายท่านหลินเต็มไปด้วยความอบอุ่น “คุ้นเคยกับการอยู่เมืองหลวงหรือยัง? อวี่เอ๋อร์กับอาจารย์ไต้เข้ากันได้ไหม?”

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินหว่านจะพาฉินอวี่ไปเมืองหลวง ทัศนคติคนตระกูลหลินที่มีต่อหนิงฉิงก็เปลี่ยนไป

 

 

มาตอนนี้ฉินอวี่ก็ไหว้ครูสำเร็จแล้วและยังเป็นถึงไต้หราน เธอจึงถีบสถานะขึ้นมาได้และหนิงฉิงยังถือว่าเป็นคนในวงสังคมเมืองหลวงไปแล้วครึ่งตัว 

 

 

สถานะของตระกูลหลินก็เชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้ภายในหนึ่งเดือน

 

 

เมื่อก่อนตระกูลหลินไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเนื่องจากเธอเกิดในชนบทและยังมีสถานะผ่านการแต่งงานมาแล้ว หนิงฉิงจึงใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ล่องหนในตระกูลหลิน

 

 

ทว่าตอนนี้แม้แต่นายท่านหลินก็ยังยิ้มแย้มและเข้ากับเธอเป็นอย่างดี

 

 

หลังจากใช้ชีวิตในตระกูลหลินเป็นเวลาสิบสองปี ในที่สุดหนิงฉิงก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกประเภทที่ว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว

 

 

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ” หนิงฉิงยิ้ม

 

 

นายท่านหลินพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “สำหรับลูกสาวคนโตของเธอ…เนื่องด้วยเรื่องของซินหราน เธออาจจะรู้สึกบาดหมางใจกับตระกูลหลินของเรา”

 

 

นายท่านหลินไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้กับหนิงฉิงมาก่อน

 

 

เพราะคิดว่าไม่จำเป็น

 

 

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน

 

 

หนิงฉิงพยักหน้า เธอมองออกถึงการวางท่าของตระกูลหลินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ตระกูลหลินกำลังเลือกระหว่างฉินหร่านกับฉินอวี่

 

 

“แค่ไหว้อาจารย์ไต้เป็นลูกศิษย์ได้เท่านั้น ถ้าสามารถไหว้อาจารย์เว่ยได้ก็คงดี” หนิงฉิงนั่งบนโต๊ะอาหาร ทานไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

 

 

ฉินอวี่พูดถูก เมืองหลวงเป็นที่ซ่อนเสือเร้นมังกร น้ำไหลลึก ตระกูลเสิ่นยังแตะวงเมืองหลวงแค่ด้านเดียว

 

 

แม้กระทั่งตระกูลเมิ่งที่น่ายำเกรงก็ยังไม่ได้รับการจัดอันดับในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ

 

 

ส่วนตระกูลไต้นั้นไม่เหมือนกัน เพราะบรรพบุรุษเป็นถึงนักดนตรีในราชสำนัก หลังจากตระกูลมีฐานะและชื่อเสียงก็มีไต้หรานที่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง คนตระกูลเสิ่นเคยเผยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆในเมืองหลวงให้แม่ของเขา

 

 

เมืองหลวงแบ่งชั้นออกเป็นสาม หก เก้า 

 

 

คนทั่วไปอยู่ชั้นเก้า

 

 

ตระกูลเสิ่นและตระกูลเมิ่งแทบจะไม่นับเป็นชั้นหก

 

 

แต่วงที่แท้จริงกลับอยู่ที่ชั้นสาม

 

 

ถ้าจะแบ่งสิ่งนี้เป็นพีระมิด ตระกูลไต้ยังพอเข้าไปอยู่ชั้นล่างสุดของพีระมิดได้

 

 

แต่ตระกูลเว่ยกลับสามารถเข้าไปอยู่ที่ชั้นสองของพีระมิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเส้นสายของอาจารย์เว่ยที่มีความใกล้ชิดกับวงชั้นแรก

 

 

สำหรับตระกูลที่เหนือกว่าตระกูลเว่ย นายท่านเสิ่นไม่ได้พูดถึง แต่หนิงฉิงเข้าใจได้จากการถอนหายใจของนายท่านเสิ่น ตระกูลเว่ยได้แตะไปถึงขอบวงชั้นสูงสุดในเมืองหลวงแล้ว

 

 

ฉินอวี่ไหว้ไต้หรานในฐานะครูเท่านั้น เธอยังสามารถพลิกแผ่นฟ้าได้

 

 

ซึ่งแม้แต่สถานะหนิงฉิงในตระกูลหลินก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

 

 

หนิงฉิงไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์ได้สำเร็จล่ะก็…

 

 

**

 

 

โรงแรมใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

ฉินหร่านนั่งบนโซฟาในโรงแรม วันนี้ไม่ได้ไปเรียน เธอสะพายกระเป๋าเป้ออกมาและเขียนตัวโน้ตข้างหน้าต่าง

 

 

กู้ซีฉือกำลังขยับเครื่องมือพลางทำการเปรียบเทียบกับผลการทดสอบของตัวเอง

 

 

“ถ้าได้อยู่ในห้องทดลองของฉันมันก็คงจะดีมาก” กู้ซีฉือนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยถือข้อมูลที่พิมพ์ออกมาไว้ในมือ “เครื่องมือเล็กที่เอามาก็แสดงผลช้าเหลือเกิน”

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า เธอเขียนโน้ตเพลงอย่างสงบ

 

 

เธอเพิ่งเขียนโน้ตเพลงได้สองอันก็วนกลับมาอีกรอบ

 

 

ทำซ้ำๆอยู่หลายครั้งก็ตกสู่ภวังค์

 

 

ก้มหน้าลงด้วยความเย็นชาและหงุดหงิด ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเอียงหน้า “ฉันควรจ่ายเฉิงเจวี้ยนเท่าไหร่?”

 

 

ที่เธอพูดถึงคือเรื่องที่เฉิงเจวี้ยนทำการผ่าตัดให้หนิงเวย

 

 

“ตามข้อบังคับทางวิชาชีพ…” กู้ซีฉือใช้มือยันพื้น จากนั้นก็เอียงหน้ามองฉินหร่านและแตะคาง “สองล้านหยวน”

 

 

หัตถ์พระเจ้าของเฉิงเจวี้ยนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

 

“เข้าใจแล้ว” ฉินหร่านพยักหน้าและเขียนตัวโน้ตต่อ

 

 

เสียงเครื่องมือสื่อสารที่กู้ซีฉือวางไว้ในกล่องยาที่อยู่อีกด้านดังขึ้น เขาไม่ได้เลี่ยงฉินหร่าน แต่รับสายไปตรงๆ “หัวหน้าแมทธิว”

 

 

สายตายังมองไปที่หน้าแสดงผลของเครื่องมือ

 

 

แมทธิวพูดอยู่ปลายสายมาหนึ่งประโยค กู้ซีฉือคิ้วกระตุกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจียงตงเยี่ยนั่นบ้าหรือเปล่าเนี่ย ? !”

 

 

เขายกมือขึ้นแล้วโยนเครื่องมือสื่อสารออกไป

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นเจียงตงเยี่ย ฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น “มีอะไร?”

 

 

“ไอ้หมาเจียงตงเยี่ยสั่งให้ปิดล้อมจุดสำคัญใหญ่ๆทุกจุดในอวิ๋นเฉิงและยังให้สมาคมแฮกเกอร์มาจัดการฉันโดยให้ค่าหัวห้าล้านหยวน ฉันมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ? !” ใบหน้างดงามของกู้ซีฉือที่เชิดขึ้นแทบทนไม่ไหวที่จะระเบิดออกมา

 

 

ฉินหร่านยังคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก พอได้ยินประโยคนี้เธอก็ชักสายตากลับ

 

 

เขียนโน้ตเพลงต่อและพูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นสมาคมแฮกเกอร์อีกสักห้าร้อยคนก็ไร้ประโยชน์”

 

 

“เธอก็พูดเหมือนQ”  กู้ซีฉือพูดด้วยคำติดปากและกลับไปนั่งที่พื้น เครื่องมือพิมพ์รายการตรวจสอบออกมาพอดี

 

 

กู้ซีฉือดึงมันมา

 

 

เหลือบดูคร่าวๆ พอเห็นผลการทดสอบด้านบน มือที่จับกระดาษก็ค้างทันที

 

 

บนกระดาษดูเหมือนจะไม่ค่อยชัดเจน เขาจึงนำกระดาษแผ่นนี้ไปปนไว้ในกองกระดาษ

 

 

ในที่สุดฉินหร่านก็ทำให้รายละเอียดในโน้ตเพลงของเหยียนซีสมบูรณ์แบบ

 

 

จากนั้นก็ถ่ายรูปส่งให้เธอ

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงแล้ว

 

 

เธอเอาปากกาและหนังสือเล่มหนึ่งใส่เข้าไปในกระเป๋าเป้ จากนั้นก็ยื่นมือไปเอากระดาษที่ใช้ไม่ได้แล้วทิ้งลงในถังขยะ

 

 

เธอไปข้างๆกู้ซีฉือ ย่อตัวลงเพื่อถามเขา “ผลยังไม่ออกเหรอ?”

 

 

“เธอลองถามมันดูสิ” กู้ซีฉือเอนหลังพิงกับโต๊ะ ยกเท้าเตะไปที่เครื่องมือหนึ่งทีและพูดอย่างคลุมเครือ “ไม่ช้าไม่นานฉันจะต้องเปลี่ยนมัน”

 

 

ฉินหร่านพลิกดูกองกระดาษแบบลวกๆ

 

 

ผลส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะทาง เธอไม่ได้ดูอะไร เพียงหยิบกระเป๋าเป้ไปโรงพยาบาล

 

 

หนิงเวยและเฉินซูหลานต่างก็อยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่วางใจให้มู่หนานอยู่คนเดียว

 

 

กู้ซีฉือหยิบหมวกแก๊ปพาฉินหร่านไปส่งถึงหน้าลิฟต์ จากนั้นก็กลับมาที่ห้องตัวเอง

 

 

นั่งลงบนพื้น พลิกกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากกองกระดาษ

 

 

จากนั้นก็นอนบนเตียงพลางพึมพำ “นี่มันอะไรกันแน่…แผ่ขยายเป็นวงกว้างขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

 

หินแร่?

 

 

องค์ประกอบทางเคมี?

 

 

จุลินทรีย์?

 

 

สุดท้ายกู้ซีฉือก็วางกระดาษไว้บนหน้าตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานก็ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง

 

 

**

 

 

โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านไปเยี่ยมหนิงเวยก่อน

 

 

เธอยังไม่ทันได้เข้าไป มองเพียงด้านนอกหน้าต่างก็เห็นมู่หนานกำลังยกอาหารให้เธอ

 

 

สภาพจิตใจหนิงเวยยังถือว่าดี เนื่องจากกู้ซีฉือรับประกัน ฉินหร่านจึงไม่ได้กังวลเรื่องหนิงเวยมากนัก

 

 

เยี่ยมได้ไม่กี่นาที ฉินหร่านก็ถึงจะออกไป เธอขึ้นไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่ชั้นบน

 

 

หนิงฉิงทานอาหารเย็นเสร็จก็กลับมาอีกครั้ง

 

 

“ทำไมแกถึงเพิ่งมาเอาตอนนี้?” หนิงฉิงเองก็เพิ่งมาถึง กำลังรินน้ำร้อนให้เฉินซูหลาน

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่านก็อดพูดไม่ได้ “แกไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ยายแกมีอาการเป็นยังไง?”

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่งอย่างส่งๆ วางมือบนที่เท้าแขนมองเฉินซูหลาน เธอหงุดหงิดเล็กน้อยแต่น้ำเสียงกลับเมินเฉย “อ้อ”

 

 

คำว่า “อ้อ” ทำให้หนิงฉิงไม่อยากจะพูดอะไรอีก

 

 

เฉินซูหลานเอาแต่บอกว่าฉินหร่านรู้ความ ไม่เคยทำให้เธอเดือดร้อน หนิงฉิงแทบจะหัวเราะออกมา ตั้งแต่เล็กจนโต ความเดือดร้อนที่ฉินหร่านสร้างมานับว่ายังน้อย? เด็กอัจฉริยะอะไรกัน เห็นชัดๆว่านิสัยเธอมันบกพร่อง!

 

 

เฉินซูหลานก็เป็นเสียอย่างนี้ ดูเหมือนเธอเป็นคนไม่อะไรมาก

 

 

หนิงฉิงคิดไปไกล ตั้งแต่เด็กจนโตฉินหร่านต่างจากฉินอวี่ ฉินอวี่เป็นเด็กรู้ความ แต่ฉินหร่านไม่ ตอนแรกที่เธอหย่ากับฉินฮั่นชิว ฉินอวี่เอาแต่ร้องไห้ยกใหญ่ แต่ฉินหร่านยืนอยู่ข้างๆอย่างสงบโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

ดังนั้นต่อมาเธอกับฉินฮั่นชิวต่างก็ต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูฉินอวี่

 

 

และประเด็นสำคัญที่สุดคือฉินหร่านสายตาไม่กว้างไกลไร้วิสัยทัศน์ มีโอกาสเข้ามาหาเธอไม่น้อยแต่เธอกลับไม่คว้ามันไว้

 

 

ทีแรกหนิงฉิงยังพอเตือนสติและพูดโน้มน้าวฉินหร่านได้ ทั้งยังคิดถึงฉินหร่าน 

 

 

แต่อีกฝ่ายกลับไม่เห็นคุณค่า สายเลือดที่ร้อนระอุก็ได้มลายหายไป หัวใจทั้งดวงตกอยู่ที่ตัวฉินอวี่

 

 

เฉินซูหลานบอกว่าเธอลำเอียง แต่ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอคนเดียวอย่างงั้นหรือ?

 

 

หนิงฉิงเม้มริมฝีปากพลางแอบคิดในใจ

 

 

เฉินซูหลานหลับตาลง ฉินหร่านงอมือจับคางเฉินซูหลาน ดวงตาขุ่นมัวดูชัดและอ่อนลง

 

 

หนิงฉิงถือกระเป๋าพลางพูดเบาๆ “แกตามฉันมา”

 

 

ฉินหร่านคิดว่าเธอกับหนิงฉิงไม่มีอะไรต้องคุยกัน แต่เพื่อไม่ให้เฉินซูหลานตื่น เธอจึงกดคิ้วแล้วตามหนิงฉิงออกไป

 

 

**

 

 

ทางเดินเข้าลิฟต์

 

 

“อีกสองวันฉันจะไปดูแลน้องสาวแกที่เมืองหลวง” หนิงฉิงมองฉินหร่านและหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง “ในนี้มีอยู่หนึ่งแสน คิดว่าคงพอสำหรับหลังจบม.ปลายจนเรียนต่อวิชาชีพได้ ต่อไปถ้าไม่มีเงิน ฉันจะใส่ไว้ในบัตรใบนี้ให้ นี่ถือว่าฉันทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว”

 

 

ที่เธอทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อกำจัดความสัมพันธ์ และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโน้ตเพลงแผ่นนั้นที่เฉินซูหลานพูดถึง

 

 

ฉินหร่านก้มหน้ามองบัตรธนาคารใบนี้ จากนั้นก็เงยหน้ายิ้ม

 

 

“แกยิ้มอะไร?”

 

 

ฉินหร่านพิงไปข้างหลังโดยไม่ได้รับบัตรใบนั้นมา สายตาเย็นชา “ไม่ต้องหรอกคุณหนิง ต่อไปฉันจะไม่ไปหาคุณ และหวังว่าคุณก็ไม่ต้องมาหาฉัน เอาแบบนี้เถอะ”

 

 

เธอพยักหน้าให้หนิงฉิงเล็กน้อย

 

 

สายตานั้นสงบนิ่งจนดูน่ากลัว ไม่ยินดียินร้าย

 

 

เดินกลับไปที่ห้องเฉินซูหลาน

 

 

หนิงฉิงคิดไม่ถึงว่าฉินหร่านจะมีท่าทีแบบนี้ เธอถึงกับช็อก

 

 

ติ๊ง——

 

 

ลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นเปิดออก

 

 

เผยให้เห็นใบหน้ามีอายุดูน่าเกรงขาม

 

 

หนิงฉิงมองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นหน้าอาจารย์เว่ยก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเกินจินตนาการซะเหลือเกินที่อาจารย์เว่ยมาอยู่ที่อวิ๋นเฉิง?! 

 

 

“อาจารย์…เว่ย”

 

 

อาจารย์เว่ยกลับไม่ได้สังเกตเห็นเธอ ทันทีที่ก้าวออกจากลิฟต์ก็เห็นฉินหร่านหันกลับไปแล้ว เขารีบโบกมือและเรียกอย่างเป็นกันเอง “หร่านหร่าน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 165 หนิงฉิงคิดว่าโลกนี้ช่างเกินจินตนาการ!

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 165 หนิงฉิงคิดว่าโลกนี้ช่างเกินจินตนาการ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในสายตาหนิงฉิง ภาพลักษณ์ของเฉินซูหลานเป็นแค่คนแก่ธรรมดาๆคนหนึ่งตลอดมา

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมาดและท่าทีเช่นนี้

 

 

หนิงฉิงอึ้งไปสักพักก่อนจะรู้สึกตัวว่าเฉินซูหลานกำลังพูดอะไร

 

 

เธอยืนขึ้นจนแทบจะเสียสติ มองไปทางเฉินซูหลาน “จะเป็นไปได้ยังไง? แม่ นี่แม่บ้าไปแล้วใช่ไหม? อย่ามาล้อเล่นกับฉันแบบนี้นะ! ฉินหร่านจะเขียนมันออกมาได้ยังไง ? ! จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้สอบผ่านระดับเลยด้วยซ้ำ!”

 

 

“ความสามารถฉินอวี่เป็นยังไงแกเองยังไม่รู้?” เฉินซูหลานเหลือบมองหนิงฉิง จากนั้นก็ลุกขึ้นและทำเสียงหัวเราะเบาๆ “คนที่อยู่แต่ในกรอบอย่างเธอเขียนโน้ตแบบนั้นออกมาได้เหรอ?”

 

 

ใบหน้าจืดชืดแทบจะมองไม่ออกถึงอารมณ์

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ฉินอวี่ถามเธอเรื่องโน้ตเพลงของฉินหร่าน จนกระทั่งอาจารย์ไต้โทรศัพท์มาหาเธอเป็นการส่วนตัว เฉินซูหลานก็แอบคาดการณ์ไว้ในใจแล้ว

 

 

เธอเรียกหาหนิงฉิงเพราะต้องการวิดีโอการแข่งขันของฉินอวี่

 

 

เช่นเดียวกับอาจารย์ไต้ เธออาจจะไม่ค่อยประทับใจกับเพลงอื่นๆของฉินหร่าน แต่ประทับใจเพลงนี้ที่ฉินหร่านเล่นในงานเลี้ยงวันเกิดเป็นอย่างมาก

 

 

ฉินอวี่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยแต่ยังด้อยกว่าเพลงต้นฉบับของฉินหร่านมาก ทว่าผลตอบรับก็ยังคงตราตรึงใจ

 

 

ทำให้ไต้หรานเพิกเฉยต่อความสามารถในตัวเธอและเลือกฉินอวี่เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเห็นว่าเพลงต้นฉบับสร้างความประทับใจให้คนมากแค่ไหน!

 

 

“แม่ ฉันรู้ว่าแม่ไม่ชอบอวี่เอ๋อร์ แต่ไม่เห็นต้องลำเอียงแบบนี้เลย แม่รู้ได้ยังไงว่าอวี่เอ๋อร์เขียนไม่ได้ ? !” หนิงฉิงลุกขึ้น เธอจับกระเป๋าแน่น เม้มริมฝีปาก

 

 

“แม่ ฉันไม่ได้กลับมาเพื่อจะมาทะเลาะกับแม่นะ” หนิงฉิงเองก็รู้สึกหงุดหงิดวุ่นวายใจ เนื่องจากเธอจำได้อย่างชัดเจนว่าอาจารย์ไต้ก็เคยพูดไว้

 

 

เธอไม่กล้าและไม่อยากคิดไปไกล

 

 

จึงไม่โต้เถียงกับเฉินซูหลานอีก เธอตรงไปหาหมอและถามอาการเฉินซูหลานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

 

หลังจากรู้ผลก็กลับไปที่บ้านตระกูลหลิน

 

 

ไม่ทันได้เห็นว่าหลังจากที่เธอหันกลับไป เฉินซูหลานก็มองเธอด้วยสีหน้าผิดหวัง

 

 

“แกรก” เสียงปิดประตู

 

 

เฉินซูหลานยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองเพื่อโทรหาอาจารย์เว่ย

 

 

เธอมองไปที่หน้าการโทร ดวงตาขุ่นมัวเป็นแววล้ำลึก

 

 

ตอนที่เธอเพิ่งมาอวิ๋นเฉิงเป็นครั้งแรก เธอได้แต่หวังว่าฉินหร่านจะอยู่บ้านตระกูลหลิน เพราะเธอไม่อยากคิดว่าหลังจากที่เธอตาย ฉินหร่านจะต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

 

ไม่เจอมาตั้งหลายปี หนิงฉิงก็พึ่งไม่ได้

 

 

หลังจากดังเพียงสองครั้งก็มีคนรับสาย

 

 

“อาจารย์เว่ย” เฉินซูหลานใช้มือค้ำเตียงเดินไปที่ริมหน้าต่างและมองไปยังชั้นล่าง “ถึงจะดูบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ก็ยังอยากจะถามคุณว่าช่วยมาอวิ๋นเฉิงสักรอบได้ไหมคะ ด้วยเหตุผลบางประการ ฉันจึงไปเมืองหลวงไม่ได้ แต่ฉันอยากเห็นฉินหร่านไหว้คุณเป็นลูกศิษย์ด้วยตัวเอง”

 

 

เฉินซูหลานทราบดีเกี่ยวกับการตัดสินใจของฉินหร่านนับตั้งแต่เธอกลับมาครั้งที่แล้ว

 

 

และยิ่งรู้ว่าหากไม่ใช่เพราะตัวเอง ฉินหร่านก็คงไปเมืองหลวงนานแล้ว

 

 

ไม่ต้องถูกขังอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างหนิงไห่เหมือนตัวเอง

 

 

เมื่อสามปีก่อนอาจารย์เว่ยได้ทราบข่าวเรื่องตระกูลสวี่ เขาจึงเดินทางไกลไปที่เมืองหนิงไห่และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อฉินหร่าน

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเมืองหลวงเกิดเรื่อง เขาอาจจะอยู่ต่อ

 

 

เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่เฉินซูหลานรับรู้ได้ถึงความดีของอาจารย์เว่ย

 

 

เมืองหลวง

 

 

เมื่อได้ยินเฉินซูหลานพูดจบ อาจารย์เว่ยก็นิ่งไปสักพัก

 

 

“อาจารย์เว่ย?” คนข้างๆ เรียกเขา

 

 

พออาจารย์เว่ยได้สติ เขาก็ลุกจากเก้าอี้และเดินตรงไปกำชับคนข้างๆ “ซื้อตั๋วไปอวิ๋นเฉิงให้ฉันใบนึง เที่ยวที่เร็วที่สุด”

 

 

เขารู้มาตลอดว่าเฉินซูหลานป่วย

 

 

แต่วันนี้คำพูดของเฉินซูหลานทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจ

 

 

เขารู้สึกได้เสมอ…ว่าเฉินซูหลานกำลังฝากฝัง

 

 

อาจารย์เว่ยจับโทรศัพท์แน่น ขณะที่เดินออกไปก็กำชับคนข้างๆ “เก็บกระเป๋าเดินทางสักสองสามใบ รีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด”

 

 

**

 

 

บ้านตระกูลหลิน

 

 

หลังจากที่หนิงฉิงกลับมาก็พบว่าบ้านตระกูลหลินมีคนอยู่กันหลายคน

 

 

หลินฉี นายท่านหลินและยังมีคนอื่นๆ ในตระกูลหลิน

 

 

พอเข้าประตู ทุกคนในตระกูลหลินต่างก็ลุกขึ้น ใบหน้านายท่านหลินเต็มไปด้วยความอบอุ่น “คุ้นเคยกับการอยู่เมืองหลวงหรือยัง? อวี่เอ๋อร์กับอาจารย์ไต้เข้ากันได้ไหม?”

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินหว่านจะพาฉินอวี่ไปเมืองหลวง ทัศนคติคนตระกูลหลินที่มีต่อหนิงฉิงก็เปลี่ยนไป

 

 

มาตอนนี้ฉินอวี่ก็ไหว้ครูสำเร็จแล้วและยังเป็นถึงไต้หราน เธอจึงถีบสถานะขึ้นมาได้และหนิงฉิงยังถือว่าเป็นคนในวงสังคมเมืองหลวงไปแล้วครึ่งตัว 

 

 

สถานะของตระกูลหลินก็เชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้ภายในหนึ่งเดือน

 

 

เมื่อก่อนตระกูลหลินไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเนื่องจากเธอเกิดในชนบทและยังมีสถานะผ่านการแต่งงานมาแล้ว หนิงฉิงจึงใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ล่องหนในตระกูลหลิน

 

 

ทว่าตอนนี้แม้แต่นายท่านหลินก็ยังยิ้มแย้มและเข้ากับเธอเป็นอย่างดี

 

 

หลังจากใช้ชีวิตในตระกูลหลินเป็นเวลาสิบสองปี ในที่สุดหนิงฉิงก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกประเภทที่ว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว

 

 

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ” หนิงฉิงยิ้ม

 

 

นายท่านหลินพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “สำหรับลูกสาวคนโตของเธอ…เนื่องด้วยเรื่องของซินหราน เธออาจจะรู้สึกบาดหมางใจกับตระกูลหลินของเรา”

 

 

นายท่านหลินไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้กับหนิงฉิงมาก่อน

 

 

เพราะคิดว่าไม่จำเป็น

 

 

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน

 

 

หนิงฉิงพยักหน้า เธอมองออกถึงการวางท่าของตระกูลหลินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ตระกูลหลินกำลังเลือกระหว่างฉินหร่านกับฉินอวี่

 

 

“แค่ไหว้อาจารย์ไต้เป็นลูกศิษย์ได้เท่านั้น ถ้าสามารถไหว้อาจารย์เว่ยได้ก็คงดี” หนิงฉิงนั่งบนโต๊ะอาหาร ทานไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

 

 

ฉินอวี่พูดถูก เมืองหลวงเป็นที่ซ่อนเสือเร้นมังกร น้ำไหลลึก ตระกูลเสิ่นยังแตะวงเมืองหลวงแค่ด้านเดียว

 

 

แม้กระทั่งตระกูลเมิ่งที่น่ายำเกรงก็ยังไม่ได้รับการจัดอันดับในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ

 

 

ส่วนตระกูลไต้นั้นไม่เหมือนกัน เพราะบรรพบุรุษเป็นถึงนักดนตรีในราชสำนัก หลังจากตระกูลมีฐานะและชื่อเสียงก็มีไต้หรานที่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง คนตระกูลเสิ่นเคยเผยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆในเมืองหลวงให้แม่ของเขา

 

 

เมืองหลวงแบ่งชั้นออกเป็นสาม หก เก้า 

 

 

คนทั่วไปอยู่ชั้นเก้า

 

 

ตระกูลเสิ่นและตระกูลเมิ่งแทบจะไม่นับเป็นชั้นหก

 

 

แต่วงที่แท้จริงกลับอยู่ที่ชั้นสาม

 

 

ถ้าจะแบ่งสิ่งนี้เป็นพีระมิด ตระกูลไต้ยังพอเข้าไปอยู่ชั้นล่างสุดของพีระมิดได้

 

 

แต่ตระกูลเว่ยกลับสามารถเข้าไปอยู่ที่ชั้นสองของพีระมิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเส้นสายของอาจารย์เว่ยที่มีความใกล้ชิดกับวงชั้นแรก

 

 

สำหรับตระกูลที่เหนือกว่าตระกูลเว่ย นายท่านเสิ่นไม่ได้พูดถึง แต่หนิงฉิงเข้าใจได้จากการถอนหายใจของนายท่านเสิ่น ตระกูลเว่ยได้แตะไปถึงขอบวงชั้นสูงสุดในเมืองหลวงแล้ว

 

 

ฉินอวี่ไหว้ไต้หรานในฐานะครูเท่านั้น เธอยังสามารถพลิกแผ่นฟ้าได้

 

 

ซึ่งแม้แต่สถานะหนิงฉิงในตระกูลหลินก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

 

 

หนิงฉิงไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์ได้สำเร็จล่ะก็…

 

 

**

 

 

โรงแรมใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

ฉินหร่านนั่งบนโซฟาในโรงแรม วันนี้ไม่ได้ไปเรียน เธอสะพายกระเป๋าเป้ออกมาและเขียนตัวโน้ตข้างหน้าต่าง

 

 

กู้ซีฉือกำลังขยับเครื่องมือพลางทำการเปรียบเทียบกับผลการทดสอบของตัวเอง

 

 

“ถ้าได้อยู่ในห้องทดลองของฉันมันก็คงจะดีมาก” กู้ซีฉือนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยถือข้อมูลที่พิมพ์ออกมาไว้ในมือ “เครื่องมือเล็กที่เอามาก็แสดงผลช้าเหลือเกิน”

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า เธอเขียนโน้ตเพลงอย่างสงบ

 

 

เธอเพิ่งเขียนโน้ตเพลงได้สองอันก็วนกลับมาอีกรอบ

 

 

ทำซ้ำๆอยู่หลายครั้งก็ตกสู่ภวังค์

 

 

ก้มหน้าลงด้วยความเย็นชาและหงุดหงิด ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเอียงหน้า “ฉันควรจ่ายเฉิงเจวี้ยนเท่าไหร่?”

 

 

ที่เธอพูดถึงคือเรื่องที่เฉิงเจวี้ยนทำการผ่าตัดให้หนิงเวย

 

 

“ตามข้อบังคับทางวิชาชีพ…” กู้ซีฉือใช้มือยันพื้น จากนั้นก็เอียงหน้ามองฉินหร่านและแตะคาง “สองล้านหยวน”

 

 

หัตถ์พระเจ้าของเฉิงเจวี้ยนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

 

“เข้าใจแล้ว” ฉินหร่านพยักหน้าและเขียนตัวโน้ตต่อ

 

 

เสียงเครื่องมือสื่อสารที่กู้ซีฉือวางไว้ในกล่องยาที่อยู่อีกด้านดังขึ้น เขาไม่ได้เลี่ยงฉินหร่าน แต่รับสายไปตรงๆ “หัวหน้าแมทธิว”

 

 

สายตายังมองไปที่หน้าแสดงผลของเครื่องมือ

 

 

แมทธิวพูดอยู่ปลายสายมาหนึ่งประโยค กู้ซีฉือคิ้วกระตุกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจียงตงเยี่ยนั่นบ้าหรือเปล่าเนี่ย ? !”

 

 

เขายกมือขึ้นแล้วโยนเครื่องมือสื่อสารออกไป

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นเจียงตงเยี่ย ฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น “มีอะไร?”

 

 

“ไอ้หมาเจียงตงเยี่ยสั่งให้ปิดล้อมจุดสำคัญใหญ่ๆทุกจุดในอวิ๋นเฉิงและยังให้สมาคมแฮกเกอร์มาจัดการฉันโดยให้ค่าหัวห้าล้านหยวน ฉันมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ? !” ใบหน้างดงามของกู้ซีฉือที่เชิดขึ้นแทบทนไม่ไหวที่จะระเบิดออกมา

 

 

ฉินหร่านยังคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก พอได้ยินประโยคนี้เธอก็ชักสายตากลับ

 

 

เขียนโน้ตเพลงต่อและพูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นสมาคมแฮกเกอร์อีกสักห้าร้อยคนก็ไร้ประโยชน์”

 

 

“เธอก็พูดเหมือนQ”  กู้ซีฉือพูดด้วยคำติดปากและกลับไปนั่งที่พื้น เครื่องมือพิมพ์รายการตรวจสอบออกมาพอดี

 

 

กู้ซีฉือดึงมันมา

 

 

เหลือบดูคร่าวๆ พอเห็นผลการทดสอบด้านบน มือที่จับกระดาษก็ค้างทันที

 

 

บนกระดาษดูเหมือนจะไม่ค่อยชัดเจน เขาจึงนำกระดาษแผ่นนี้ไปปนไว้ในกองกระดาษ

 

 

ในที่สุดฉินหร่านก็ทำให้รายละเอียดในโน้ตเพลงของเหยียนซีสมบูรณ์แบบ

 

 

จากนั้นก็ถ่ายรูปส่งให้เธอ

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงแล้ว

 

 

เธอเอาปากกาและหนังสือเล่มหนึ่งใส่เข้าไปในกระเป๋าเป้ จากนั้นก็ยื่นมือไปเอากระดาษที่ใช้ไม่ได้แล้วทิ้งลงในถังขยะ

 

 

เธอไปข้างๆกู้ซีฉือ ย่อตัวลงเพื่อถามเขา “ผลยังไม่ออกเหรอ?”

 

 

“เธอลองถามมันดูสิ” กู้ซีฉือเอนหลังพิงกับโต๊ะ ยกเท้าเตะไปที่เครื่องมือหนึ่งทีและพูดอย่างคลุมเครือ “ไม่ช้าไม่นานฉันจะต้องเปลี่ยนมัน”

 

 

ฉินหร่านพลิกดูกองกระดาษแบบลวกๆ

 

 

ผลส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะทาง เธอไม่ได้ดูอะไร เพียงหยิบกระเป๋าเป้ไปโรงพยาบาล

 

 

หนิงเวยและเฉินซูหลานต่างก็อยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่วางใจให้มู่หนานอยู่คนเดียว

 

 

กู้ซีฉือหยิบหมวกแก๊ปพาฉินหร่านไปส่งถึงหน้าลิฟต์ จากนั้นก็กลับมาที่ห้องตัวเอง

 

 

นั่งลงบนพื้น พลิกกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากกองกระดาษ

 

 

จากนั้นก็นอนบนเตียงพลางพึมพำ “นี่มันอะไรกันแน่…แผ่ขยายเป็นวงกว้างขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

 

หินแร่?

 

 

องค์ประกอบทางเคมี?

 

 

จุลินทรีย์?

 

 

สุดท้ายกู้ซีฉือก็วางกระดาษไว้บนหน้าตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานก็ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง

 

 

**

 

 

โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านไปเยี่ยมหนิงเวยก่อน

 

 

เธอยังไม่ทันได้เข้าไป มองเพียงด้านนอกหน้าต่างก็เห็นมู่หนานกำลังยกอาหารให้เธอ

 

 

สภาพจิตใจหนิงเวยยังถือว่าดี เนื่องจากกู้ซีฉือรับประกัน ฉินหร่านจึงไม่ได้กังวลเรื่องหนิงเวยมากนัก

 

 

เยี่ยมได้ไม่กี่นาที ฉินหร่านก็ถึงจะออกไป เธอขึ้นไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่ชั้นบน

 

 

หนิงฉิงทานอาหารเย็นเสร็จก็กลับมาอีกครั้ง

 

 

“ทำไมแกถึงเพิ่งมาเอาตอนนี้?” หนิงฉิงเองก็เพิ่งมาถึง กำลังรินน้ำร้อนให้เฉินซูหลาน

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่านก็อดพูดไม่ได้ “แกไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ยายแกมีอาการเป็นยังไง?”

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่งอย่างส่งๆ วางมือบนที่เท้าแขนมองเฉินซูหลาน เธอหงุดหงิดเล็กน้อยแต่น้ำเสียงกลับเมินเฉย “อ้อ”

 

 

คำว่า “อ้อ” ทำให้หนิงฉิงไม่อยากจะพูดอะไรอีก

 

 

เฉินซูหลานเอาแต่บอกว่าฉินหร่านรู้ความ ไม่เคยทำให้เธอเดือดร้อน หนิงฉิงแทบจะหัวเราะออกมา ตั้งแต่เล็กจนโต ความเดือดร้อนที่ฉินหร่านสร้างมานับว่ายังน้อย? เด็กอัจฉริยะอะไรกัน เห็นชัดๆว่านิสัยเธอมันบกพร่อง!

 

 

เฉินซูหลานก็เป็นเสียอย่างนี้ ดูเหมือนเธอเป็นคนไม่อะไรมาก

 

 

หนิงฉิงคิดไปไกล ตั้งแต่เด็กจนโตฉินหร่านต่างจากฉินอวี่ ฉินอวี่เป็นเด็กรู้ความ แต่ฉินหร่านไม่ ตอนแรกที่เธอหย่ากับฉินฮั่นชิว ฉินอวี่เอาแต่ร้องไห้ยกใหญ่ แต่ฉินหร่านยืนอยู่ข้างๆอย่างสงบโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

ดังนั้นต่อมาเธอกับฉินฮั่นชิวต่างก็ต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูฉินอวี่

 

 

และประเด็นสำคัญที่สุดคือฉินหร่านสายตาไม่กว้างไกลไร้วิสัยทัศน์ มีโอกาสเข้ามาหาเธอไม่น้อยแต่เธอกลับไม่คว้ามันไว้

 

 

ทีแรกหนิงฉิงยังพอเตือนสติและพูดโน้มน้าวฉินหร่านได้ ทั้งยังคิดถึงฉินหร่าน 

 

 

แต่อีกฝ่ายกลับไม่เห็นคุณค่า สายเลือดที่ร้อนระอุก็ได้มลายหายไป หัวใจทั้งดวงตกอยู่ที่ตัวฉินอวี่

 

 

เฉินซูหลานบอกว่าเธอลำเอียง แต่ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอคนเดียวอย่างงั้นหรือ?

 

 

หนิงฉิงเม้มริมฝีปากพลางแอบคิดในใจ

 

 

เฉินซูหลานหลับตาลง ฉินหร่านงอมือจับคางเฉินซูหลาน ดวงตาขุ่นมัวดูชัดและอ่อนลง

 

 

หนิงฉิงถือกระเป๋าพลางพูดเบาๆ “แกตามฉันมา”

 

 

ฉินหร่านคิดว่าเธอกับหนิงฉิงไม่มีอะไรต้องคุยกัน แต่เพื่อไม่ให้เฉินซูหลานตื่น เธอจึงกดคิ้วแล้วตามหนิงฉิงออกไป

 

 

**

 

 

ทางเดินเข้าลิฟต์

 

 

“อีกสองวันฉันจะไปดูแลน้องสาวแกที่เมืองหลวง” หนิงฉิงมองฉินหร่านและหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง “ในนี้มีอยู่หนึ่งแสน คิดว่าคงพอสำหรับหลังจบม.ปลายจนเรียนต่อวิชาชีพได้ ต่อไปถ้าไม่มีเงิน ฉันจะใส่ไว้ในบัตรใบนี้ให้ นี่ถือว่าฉันทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว”

 

 

ที่เธอทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อกำจัดความสัมพันธ์ และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโน้ตเพลงแผ่นนั้นที่เฉินซูหลานพูดถึง

 

 

ฉินหร่านก้มหน้ามองบัตรธนาคารใบนี้ จากนั้นก็เงยหน้ายิ้ม

 

 

“แกยิ้มอะไร?”

 

 

ฉินหร่านพิงไปข้างหลังโดยไม่ได้รับบัตรใบนั้นมา สายตาเย็นชา “ไม่ต้องหรอกคุณหนิง ต่อไปฉันจะไม่ไปหาคุณ และหวังว่าคุณก็ไม่ต้องมาหาฉัน เอาแบบนี้เถอะ”

 

 

เธอพยักหน้าให้หนิงฉิงเล็กน้อย

 

 

สายตานั้นสงบนิ่งจนดูน่ากลัว ไม่ยินดียินร้าย

 

 

เดินกลับไปที่ห้องเฉินซูหลาน

 

 

หนิงฉิงคิดไม่ถึงว่าฉินหร่านจะมีท่าทีแบบนี้ เธอถึงกับช็อก

 

 

ติ๊ง——

 

 

ลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นเปิดออก

 

 

เผยให้เห็นใบหน้ามีอายุดูน่าเกรงขาม

 

 

หนิงฉิงมองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นหน้าอาจารย์เว่ยก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเกินจินตนาการซะเหลือเกินที่อาจารย์เว่ยมาอยู่ที่อวิ๋นเฉิง?! 

 

 

“อาจารย์…เว่ย”

 

 

อาจารย์เว่ยกลับไม่ได้สังเกตเห็นเธอ ทันทีที่ก้าวออกจากลิฟต์ก็เห็นฉินหร่านหันกลับไปแล้ว เขารีบโบกมือและเรียกอย่างเป็นกันเอง “หร่านหร่าน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+