เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 167 เชิญแขกร่วมงาน

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 167 เชิญแขกร่วมงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครั้งล่าสุดที่cns(ระบบประสาทส่วนกลาง)มีปัญหา เฉินซูหลานก็ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยนไว้

 

 

ระหว่างนี้เฉิงเจวี้ยนยังมาเยี่ยมเธอหลายครั้งโดยไม่ได้ถามอะไรเป็นพิเศษ แต่เฉินซูหลานเดาได้จากคราวที่แล้วตอนที่มือของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ เฉิงเจวี้ยนเอาแต่เฝ้าติดตามผลอยู่ตลอด

 

 

ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็ถูกรับสาย

 

 

อีกด้านหนึ่ง คฤหาสน์ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

เฉิงเจวี้ยนรับสายขณะที่กำลังดูหุ่นจำลองสรีระมนุษย์ที่ชั้นล่าง หลังจากรับสายเฉินซูหลาน เขาก็ยกมือโยนมีดผ่าตัดที่อยู่ในมือลงไปที่โต๊ะข้างๆ

 

 

หลุบตามองโทรศัพท์และเอนตัวไปพิงด้านข้างโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งบนโซฟาโดยที่นิ้วกำลังเคาะเถ้าบุหรี่อยู่บนโต๊ะ มองไปทางเฉิงเจวี้ยน “คุณชายเจวี้ยน สายใคร?”

 

 

“คุณยายเฉิน เธอเชิญฉันไปงานไหว้ครู” เฉิงเจวี้ยนปิดโทรศัพท์และพูดเบาๆ

 

 

“คุณยายเฉิน?” ลู่จ้าวอิ่งคีบบุหรี่อยู่ในมือพลางเหลือบมองเฉิงเจวี้ยนด้วยความสงสัยเป็นพิเศษ

 

 

เขาไล่นับคนทั่วทั้งเมืองหลวงก็ยังไม่พบว่าใครมีคุณสมบัติพอที่สามารถทำให้เฉิงเจวี้ยนเรียกคุณยายได้

 

 

ถึงอย่างไรคุณชายเจวี้ยนก็ยังอายุไม่มาก แต่ลำดับอาวุโสก็ไม่ถือว่าน้อย

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนพิงโต๊ะอย่างเฉยเมย หลุบตาลงพลางครุ่นคิดว่าควรจะส่งของอะไรไปให้ดี ทำตัวตามชอบใจโดยไม่ตอบเขา

 

 

เมื่อเฉิงมู่ที่กำลังช่วยเจียงตงเยี่ยจัดการข้อมูลได้ยินก็เงยหน้าขึ้น “น่าจะเป็นคุณยายของคุณฉินใช่ไหมฮะ?”

 

 

คราวที่แล้วเฉิงมู่ไปโรงพยาบาลกับเฉิงเจวี้ยน เขาจึงจำเฉินซูหลานได้

 

 

“อ๋อ” ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า จากนั้นไม่นานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆก็ร่าเริง “เดี๋ยวนะ งั้นก็เป็นงานไหว้ครูของฉินเสี่ยวหร่าน?”

 

 

“อื้อ” เวลานี้เฉิงเจวี้ยนก็ตอบกลับ เขาเปิดโทรศัพท์พร้อมกับส่งข้อความอย่างเชื่องช้า “เฉิงมู่ พรุ่งนี้ไปรับของที่สนามบิน”

 

 

เฉิงมู่วางธุระในมือแล้วพยักหน้า “ครับ”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยืนขึ้นด้วยท่าทางใหญ่โต เขาเกาผม “ทำไมเชิญนายไม่เชิญฉันล่ะ? ทำไมงานไหว้ครูของฉินหร่านฉันถึงไปไม่ได้ ? !”

 

 

เขาดับบุหรี่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาฉินหร่าน

 

 

เจียงตงเยี่ยไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ เขาจึงไม่ได้สนใจงานไหว้ครูของฉินหร่าน

 

 

เขาวางแล็ปท็อปในมือไว้บนโต๊ะ จากนั้นเอนตัวลงบนโซฟา หยิบไม้มาคาบพลางยิ้มเยาะ “สมาคมแฮกเกอร์ขยะอะไรนี่ ไม่เห็นได้เรื่องเลยสักนิด”

 

 

เขาให้คนตรวจสอบข่าวกู้ซีฉือ เพราะการที่กู้ซีฉืออยู่ในอวิ๋นเฉิงไม่สามารถซ่อนข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ แต่ใครจะรู้ว่าสมาคมแฮกเกอร์กลับไม่มีคำตอบให้เขาสักประโยคเดียว

 

 

**

 

 

ฉินหร่านกลับมาถึงหอพักเรียบร้อยแล้ว

 

 

ตอนที่เธอกลับไป หลินซือหรานกำลังเล่นเกมอยู่

 

 

เธอเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อเจอฉินหร่าน “หร่านหร่าน น้าเธอเป็นยังไงบ้าง?” 

 

 

“ไม่เป็นอะไร” ฉินหร่านเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเอาผ้าขนหนูและเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ

 

 

เมื่อเห็นว่าฉินหร่านบอกว่าไม่เป็นอะไร หลินซือหรานก็ถึงจะโล่งอก จากนั้นก็คุยอะไรบางอย่างกับพวกผู้ชายอีกไม่กี่คนที่อยู่ในเกม 

 

 

หลินซือหรานกำลังเปิดเสียงตีสมรภูมิกับเฉียวเซิงและยังมีผู้ชายคนอื่นในห้องเรียนอีกไม่กี่คน

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่ง ขณะเปิดคอมพิวเตอร์ก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมไปด้วย

 

 

โทรศัพท์บนโต๊ะสว่างขึ้น เธอเหลือบมองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่กู้ซีฉือที่ส่งมา แต่เป็นข่าวงานไหว้ครูของอาจารย์เว่ย 

 

 

เขากับเฉินซูหลานเทียบปฏิทินโดยเลือกวันที่ 3 ธันวาคมซึ่งเป็นวันอังคารหน้า ยังเหลือเวลาอีกสองถึงสามวัน 

 

 

ยังถามฉินหร่านอีกว่ามีเพื่อนที่อยากจะชวนไปไหม

 

 

ฉินหร่านไม่มีความเห็นกับเรื่องหัวโบราณแบบนี้ อาจารย์เว่ยเลือกเวลา เธอก็ตามใจเขา เธอจ้องประโยคสุดท้ายที่อาจารย์เว่ยส่งมาสักพัก…

 

 

ฉินหร่านเอียงหน้ามองไปทางหลินซือหรานที่กำลังเล่นเกม หรี่ตาพลางใช้ความคิดอยู่นาน

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจกับงานเลี้ยงไหว้ครูอะไรพวกนี้

 

 

แต่เฉินซูหลานน่าจะอยากเห็นเธอพาเพื่อนมาด้วย

 

 

หลินซือหรานมีไพ่เทพอยู่สามใบ ตอนตีสมรภูมิเธอออกไพ่ทีเดียวสามใบ ฝ่ายตรงข้ามถึงกับเปิดเสียงหวาดกลัว จบเกมอย่างรวดเร็ว

 

 

“หร่านหร่าน เธอมาเล่นด้วยกันไหม?” หลังจากเล่นจบไปแล้วหนึ่งเกม หลินซือหรานก็วางเมาส์ อีกมือหนึ่งยังเคาะแป้นพิมพ์พลางเอียงหน้ามองฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านเช็ดผมอยู่เงียบๆ วางเท้าบนเก้าอี้อย่างเถื่อน เธอส่ายหน้าแล้วถามว่า “วันอังคารว่างไหม?”

 

 

“วันอังคารเหรอ?” หลินซือหรานตอบด้วยความเสียดายนิดๆเมื่อได้ยินว่าฉินหร่านไม่เล่น

 

 

“ว่าจะชวนเธอกับเฉียวเซิงทานข้าว แล้วก็คนอื่นด้วย” เช็ดได้ไม่นานฉินหร่านก็โยนผ้าขนหนู

 

 

หลินซือหรานเท้าคางยิ้ม “อย่างงั้นก็ต้องว่างอยู่แล้ว!”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า มือที่ถือโทรศัพท์กดเบาๆ

 

 

กู้ซีฉือส่งผลการตรวจมาแล้ว แต่กลับไม่บอกอะไรสักคำ เธอเหลือบดูแต่ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

 

 

เหยียนซีเริ่มทิ้งระเบิดเธออีกแล้ว

 

 

ฉินหร่านไม่สนใจ

 

 

เฉียวเซิงก็ชวนแล้ว งั้นพวกเฟิงโหลวเฉิงล่ะ?

 

 

หยางเฟยก็ดูเหมือนจะอยู่ในอวิ๋นเฉิง?

 

 

ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้ โยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

 

 

**

 

 

หอพักของสวีเหยากวง

 

 

เด็กผู้ชายสองสามคนนั่งประจำโต๊ะตัวเองเพื่อสุมหัวกันต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

 

 

เนื่องจากทั้งชั้นเรียนมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นห้องเดี่ยว ห้องเดี่ยวนี้ทั้งใหญ่และอยู่เกือบท้ายสุดทางเดิน แม้แต่โต๊ะยังยาวถึงสองเมตรกว้างหนึ่งเมตร 

 

 

เด็กผู้ชายในห้องยังชอบนัดกันมาเล่นไพ่นกกระจอกที่นี่ด้วย

 

 

แม้สวีเหยากวงจะเป็นคนเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ใจกว้างกับเรื่องแบบนี้ บางครั้งยังเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกเขาอีกด้วย

 

 

“เจ๊หร่านไม่ตีสมรภูมิกับพวกเรา” เฉียวเซิงเงยหน้าเมื่อได้รับการตอบกลับจากหลินซือหราน

 

 

เด็กผู้ชายสองคนถอนหายใจยาว

 

 

เหอเหวินก็ยิ่งหดหู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานึกถึงตอนที่ฉินหร่านอยากจะเล่นเกมกับเขาแต่โดนเขาปฏิเสธ เขาก็รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

 

 

สวีเหยากวงเก็บคอมพิวเตอร์ ก้มหน้าลงหยิบเอาแบบฝึกหัดออกมาทำ

 

 

“วันอังคารเจ๊หร่านชวนฉันกินข้าว” เฉียวเซิงมองไปทางสวีเหยากวงแล้วยิ้มพลางเอนตัวพิงเก้าอี้ “คุณชายสวี นายสนใจไปกินด้วยไหม?”

 

 

วันศุกร์ฉินหร่านขอลาหยุด สวีเหยากวงก็มักจะหันไปมองที่นั่งของเธอ

 

 

ชวนทานข้าว?

 

 

สวีเหยากวงส่ายหน้าโดยไม่สนใจและทำแบบฝึกหัดฟิสิกส์ต่อไป

 

 

ทำได้เพียงครึ่งทาง โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น

 

 

สวีเหยากวงหยิบขึ้นมาดูและเดินออกไปรับสาย

 

 

“ฉินอวี่เหรอ?” เหอเหวินและคนอื่นๆเหลือบมองพลางกระซิบ

 

 

คบหากันมาสองปีกว่า สวีเหยากวงจะมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับฉินอวี่ แต่ช่วงนี้ดูเหมือนจะจืดชืดลงไปมาก

 

 

เฉียวเซิงส่ายหัวส่งๆ “คุณชายสวีสนใจแค่สองสิ่งนั้น”

 

 

เหอเหวินก็หัวเราะ “ช่วงนี้ยังเห็นข่าวของฉินอวี่ในเน็ตด้วย แฟนคลับเธอในเวยป๋อเกือบจะสามแสนคนเข้าแล้ว พอฉันลองฟังมันก็ดีจริงๆ”

 

 

มีคนเผยแพร่วิดีโอของฉินอวี่บนโลกออนไลน์

 

 

เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เธอกลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์และมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ช่วงนี้มีคนพูดถึงเธอเป็นจำนวนมาก

 

 

**

 

 

วันจันทร์

 

 

ตอนเที่ยง ฉินหร่านไปห้องพยาบาลประจำโรงเรียนหลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังจัดยาให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นหวัด เมื่อเห็นฉินหร่านเข้ามา

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็กำลังเปิดแฟ้มเอกสารราชการ มือหนึ่งถือปากกา อีกมือหนึ่งถือบุหรี่ พลางวาดอะไรบางอย่างลงในเอกสารเป็นครั้งคราว

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามเขา

 

 

ฟุบบนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน

 

 

เฉิงเจวี้ยนหลุบตามองเธอ จากนั้นก็คีบบุหรี่ยืนขึ้นและเดินไปเปิดหน้าต่าง รอจนกว่าควันบุหรี่จะหายไปก็ถึงจะปิดหน้าต่างและเดินมา

 

 

ถามเธอเกี่ยวกับอาการป่วยของหนิงเวยไม่กี่คำ เธอตอบทีละอย่าง

 

 

หนิงเวยฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดีมาก เมื่อวานเธออยากจะคืนห้องผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน แต่โชคดีที่มู่หนานห้ามไว้

 

 

เฉิงเจวี้ยนแอบคิดไว้แล้ว เขากลับไปนั่งและหยิบเอกสารราชการขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้อ่าน แค่พิงพนักเก้าอี้แล้วถามฉินหร่าน “อาจารย์ที่เธอไปหาเป็นครูสอนอะไร?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหยิบยายื่นให้เด็กผู้ชายคนนั้น เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ยกถีบโต๊ะแล้วเลื่อนเก้าอี้มาตรงกลาง

 

 

“จริงด้วย ฉินเสี่ยวหร่าน เธอกับอาจารย์นั่นเรียนอะไรกัน? เล่นเกม?”

 

 

เขาแตะคางพูดถึงความเป็นไปได้

 

 

“แค่ครูแก่ๆคนหนึ่ง”  ฉินหร่านวางมือบนคางพร้อมกับพูดอย่างคลุมเครือ

 

 

“พรุ่งนี้พวกนายก็จะได้เจอแล้วนี่ รีบร้อนไปทำไม?” เจียงตงเยี่ยผลักประตูมาจากด้านนอก เขาดึงผ้าพันคอสีดำรอบคอของเขาลงและพูดเรียบๆ

 

 

เฉิงมู่และผู้บัญชาการห่าวก็ตามมาด้วย

 

 

“ทำไมกลับมากันตอนนี้ล่ะ?” ลู่จ้าวอิ่งเองก็ถาม เดิมทีเขาต้องการจะบอกว่าเขาสามารถหาอาจารย์ที่ดีกว่านี้ให้ฉินหร่านได้ แต่เขาไม่ได้พูดต่อหน้าคุณชายเจวี้ยน

 

 

เจียงตงเยี่ยยืมกำลังคนมาจากอาของเขา เขาจำต้องพลิกเมืองอวิ๋นเฉิงตามหาตัวกู้ซีฉือ

 

 

ทุกจุดสำคัญมีคนของเขาอยู่

 

 

“ฉันไม่กล้ารบกวนเวลาอาทำงาน” เจียงตงเยี่ยลากเก้าอี้มานั่งแล้วห้อยผ้าพันคอไว้ที่พนักเก้าอี้ “หลังเลิกงานฉันไปหาเขาแต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปลองเสื้อผ้า ได้ยินคนคุ้มกันบอกว่ามีงานจัดเลี้ยง”

 

 

เฉิงมู่วางอาหารลงบนโต๊ะ ลู่จ้าวอิ่งหยิบตะเกียบพลางเงยหน้าด้วยความแปลกใจ “งานจัดเลี้ยงอะไร อาเจียงถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนี้?”

 

 

“ใครจะไปรู้ ตอนเย็นฉันค่อยไปหาเขาอีกรอบ” เจียงตงเยี่ยกินข้าวได้อย่างเรียบร้อย ตอบแบบไม่สนใจ “หากู้ซีฉือไม่เจอ ฉันก็ไม่กลับเมืองหลวง”

 

 

ฉินหร่านเงยหน้ามองเจียงตงเยี่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

เจียงตงเยี่ยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเธอ ขณะหยิบตะเกียบก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “ได้ยินมาว่ามีคนมีชื่อเสียงอยู่ในกองสืบสวนอาชญากรรม ฉันจะไปหาเขาให้ช่วยปิดข่าวศุลกากร ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแบบนี้กู้ซีฉือยังจะสามารถบินหนีไปได้”

 

 

**

 

 

ทางด้านอาจารย์เว่ยก็ได้กำหนดบุคคลที่ต้องการเชิญแล้ว

 

 

เดิมทีเขายังคิดว่าทางด้านเฉินซูหลานจะเชิญเพียงไม่กี่คน ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วเฉินซูหลานจะเชิญมาถึงแปดคน

 

 

“ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนของฉินหร่าน” อาไห่เปิดดูลำดับขั้นตอน “ผมจะเพิ่มอาหารที่เด็กวัยรุ่นชอบกินอีกสักสองสามอย่าง”

 

 

อาไห่เคยไปเมืองหนิงไห่กับอาจารย์เว่ยมาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาย่อมรู้ถึงพรสวรรค์ของฉินหร่าน

 

 

และทราบดีว่าอาจารย์ว่ยสนใจในตัวฉินหร่านขนาดไหน

 

 

วันนี้ในอวิ๋นเฉิงยังถือว่าเล็กๆน้อยๆ คุณชายเจียงถือว่ามีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในนี้

 

 

แม้อาไห่จะไม่พึงพอใจ แต่ในเวลานี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ รอไปถึงเมืองหลวงถึงจะเป็นการทำสงครามพิชิตภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พอถึงตอนนั้นเขาคิดถึงเรื่องการเชิญแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงให้อาจารย์เว่ยเรียบร้อยแล้ว

 

 

อาจารย์เว่ยต้องการรับลูกศิษย์ด้วยตัวเอง แค่ข่าวนี้เพียงข่าวเดียวก็สั่นสะเทือนไปค่อนวงการ

 

 

คราวนี้บวกกับคนของอาจารย์เว่ยที่มาจากสมาคมไวโอลินก็เต็มสองโต๊ะพอดี

 

 

งานเลี้ยงนี้อาจารย์เว่ยจองไว้ที่โรงแรมเอินอวี้

 

 

วันอังคาร

 

 

หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย ฉินหร่านนั่งรออยู่ที่โต๊ะอย่างเอื่อยเฉื่อย เสียบหูฟังไว้ที่หู รอจนคนในห้องไปกันหมดแล้ว เธอถึงจะถอดหูฟังวางไว้ข้างๆอย่างลวกๆ

 

 

หลินซือหรานเองก็เก็บของเสร็จพอดี

 

 

“หร่านหร่าน งั้นพวกเราไปกันเลยไหม?” เธอเอียงหน้ามองไปทางฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านค้ำโต๊ะยืนขึ้นและเดินนำหน้าไปก่อน

 

 

พานหมิงเย่ว์และเว่ยจื่อหังรอให้ทั้งสามคนลงมาที่หน้าบันได

 

 

วันปกติเว่ยจื่อหังมักจะสวมชุดสบายๆ ส่วนมากเป็นชุดกีฬาและกางเกงลำลอง แต่วันนี้เขาสวมเสื้อกันลมสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในซึ่งดูค่อนข้างเป็นทางการ

 

 

พานหมิงเย่ว์ก็ไม่ได้สวมชุดนักเรียน เสื้อถักพร้อมด้วยกระโปรงโดยมีเสื้อโค้ตคลุมอยู่ด้านนอก ที่มือยังสวมถุงมือขนปุกปุย 

 

 

ทีแรกหลินซือหรานและเฉียวเซิงยังคิดอยู่เลยว่าเป็นมื้ออาหารที่ทานกันสบายๆ

 

 

จนกระทั่งรถแท็กซี่ทั้งสองคันมาหยุดที่หน้าโรงแรมเอินอวี้ ทั้งสองมองด้วยความตกตะลึง

 

 

มื้อใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!

 

 

“วันนี้เป็นงานไหว้ครูของเธอ เธอไม่ได้บอกพวกนายเหรอ?” เว่ยจื่อหังเขย่ากล่องของขวัญที่เขาเตรียมไว้แล้วยิ้มอย่างสง่างาม

 

 

พานหมิงเย่ว์ไม่ได้ถือกล่องของขวัญ แต่กระเป๋าเป้ใบเล็กที่สะพายหลังนั้นดูพะรุงพะรัง

 

 

เฉียวเซิงเกาหัว เขาเตรียมจะส่งซองแดงให้ฉินหร่าน

 

 

หลินซือหราน “…ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีแค่หญ้าต้นเดียว”

 

 

แบบนี้จะดูไม่มีมารยาทหรือเปล่านะ?

 

 

หลินซือหรานมองฉินหร่านด้วยความคับแค้นใจ

 

 

**

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ เธอเปิดโทรศัพท์ดูข้อความที่อาไห่ส่งให้เธอ

 

 

ชั้นบนสุดโรงแรมเอินอวี้

 

 

ชั้นบนสุดคล้ายกับคลับเฮาส์พาราไดซ์

 

 

บริเวณทางเข้าโรงแรมมีพนักงานคอยต้อนรับอยู่สองคน ถามพวกเขาว่าใช่แขกที่มางานเลี้ยงของคุณเฉินหรือไม่ จากนั้นก็พาพวกเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดอย่างสุภาพ

 

 

ห้องชั้นบนสุดมีพื้นที่ใหญ่มาก

 

 

ประธานสมาคมไวโอลินและบุคคลสำคัญอีกไม่กี่คนมาถึงกันแล้ว อาไห่กำลังต้อนรับพวกเขา เมื่อเห็นฉินหร่านและคนอื่นๆมาแล้วก็รีบเข้าไปหา

 

 

“ทั้งหมดนี้เป็นเพื่อนนักเรียนของคุณฉินสินะครับ มานั่งทางนี้ครับ” อาไห่พาพวกเขาไปนั่งอีกโต๊ะ “คุณฉินยังมีเพื่อนนักเรียนคนอื่นอีกไหมครับ?”

 

 

“ยังเหลืออีกไม่กี่คน” ฉินหร่านก้มหน้าดูโทรศัพท์ ลู่จ้าวอิ่งบอกว่าพวกเขากำลังจะมาถึง “ใกล้จะถึงแล้วค่ะ”

 

 

อาไห่พยักหน้ายิ้ม “อาจารย์เว่ยไปรับคุณยายของคุณ เดี๋ยวก็คงกลับมา”

 

 

เฉียวเซิงตบไหล่เว่ยจื่อหังด้วยความระมัดระวัง “เจ๊หร่านไหว้ครูอะไรน่ะ?”

 

 

เขารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ

 

 

**

 

 

ข้างล่างตึก

 

 

เฉิงมู่เอารถไปจอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเดินลงมาจากฝั่งข้างคนขับ เขาอ่านข้อความที่ฉินหร่านส่งมาในโทรศัพท์ ค่อนข้างแปลกใจ “ชั้นบนสุด ดูเหมือนอาจารย์คนนี้จะรวยกว่าเธอนะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนลงจากประตูรถด้านหลังและรวบเสื้อโค้ตเข้าด้วยกันอย่างเงียบๆ

 

 

เฉิงมู่พยักหน้าตาม “แน่นอน ดูสูงส่งกว่าที่คิด”

 

 

ทั้งสามเดินเข้าไปในโรงแรม

 

 

หลังจากพนักงานที่หน้าประตูสอบถามก็พาทั้งสามคนไปที่ชั้นบนสุดอย่างสุภาพ

 

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก——

 

 

เสียงเคาะประตูดังสามครั้ง มีคนเปิดประตูมาจากด้านใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 167 เชิญแขกร่วมงาน

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 167 เชิญแขกร่วมงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครั้งล่าสุดที่cns(ระบบประสาทส่วนกลาง)มีปัญหา เฉินซูหลานก็ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยนไว้

 

 

ระหว่างนี้เฉิงเจวี้ยนยังมาเยี่ยมเธอหลายครั้งโดยไม่ได้ถามอะไรเป็นพิเศษ แต่เฉินซูหลานเดาได้จากคราวที่แล้วตอนที่มือของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ เฉิงเจวี้ยนเอาแต่เฝ้าติดตามผลอยู่ตลอด

 

 

ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็ถูกรับสาย

 

 

อีกด้านหนึ่ง คฤหาสน์ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

เฉิงเจวี้ยนรับสายขณะที่กำลังดูหุ่นจำลองสรีระมนุษย์ที่ชั้นล่าง หลังจากรับสายเฉินซูหลาน เขาก็ยกมือโยนมีดผ่าตัดที่อยู่ในมือลงไปที่โต๊ะข้างๆ

 

 

หลุบตามองโทรศัพท์และเอนตัวไปพิงด้านข้างโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งบนโซฟาโดยที่นิ้วกำลังเคาะเถ้าบุหรี่อยู่บนโต๊ะ มองไปทางเฉิงเจวี้ยน “คุณชายเจวี้ยน สายใคร?”

 

 

“คุณยายเฉิน เธอเชิญฉันไปงานไหว้ครู” เฉิงเจวี้ยนปิดโทรศัพท์และพูดเบาๆ

 

 

“คุณยายเฉิน?” ลู่จ้าวอิ่งคีบบุหรี่อยู่ในมือพลางเหลือบมองเฉิงเจวี้ยนด้วยความสงสัยเป็นพิเศษ

 

 

เขาไล่นับคนทั่วทั้งเมืองหลวงก็ยังไม่พบว่าใครมีคุณสมบัติพอที่สามารถทำให้เฉิงเจวี้ยนเรียกคุณยายได้

 

 

ถึงอย่างไรคุณชายเจวี้ยนก็ยังอายุไม่มาก แต่ลำดับอาวุโสก็ไม่ถือว่าน้อย

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนพิงโต๊ะอย่างเฉยเมย หลุบตาลงพลางครุ่นคิดว่าควรจะส่งของอะไรไปให้ดี ทำตัวตามชอบใจโดยไม่ตอบเขา

 

 

เมื่อเฉิงมู่ที่กำลังช่วยเจียงตงเยี่ยจัดการข้อมูลได้ยินก็เงยหน้าขึ้น “น่าจะเป็นคุณยายของคุณฉินใช่ไหมฮะ?”

 

 

คราวที่แล้วเฉิงมู่ไปโรงพยาบาลกับเฉิงเจวี้ยน เขาจึงจำเฉินซูหลานได้

 

 

“อ๋อ” ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า จากนั้นไม่นานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆก็ร่าเริง “เดี๋ยวนะ งั้นก็เป็นงานไหว้ครูของฉินเสี่ยวหร่าน?”

 

 

“อื้อ” เวลานี้เฉิงเจวี้ยนก็ตอบกลับ เขาเปิดโทรศัพท์พร้อมกับส่งข้อความอย่างเชื่องช้า “เฉิงมู่ พรุ่งนี้ไปรับของที่สนามบิน”

 

 

เฉิงมู่วางธุระในมือแล้วพยักหน้า “ครับ”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยืนขึ้นด้วยท่าทางใหญ่โต เขาเกาผม “ทำไมเชิญนายไม่เชิญฉันล่ะ? ทำไมงานไหว้ครูของฉินหร่านฉันถึงไปไม่ได้ ? !”

 

 

เขาดับบุหรี่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาฉินหร่าน

 

 

เจียงตงเยี่ยไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ เขาจึงไม่ได้สนใจงานไหว้ครูของฉินหร่าน

 

 

เขาวางแล็ปท็อปในมือไว้บนโต๊ะ จากนั้นเอนตัวลงบนโซฟา หยิบไม้มาคาบพลางยิ้มเยาะ “สมาคมแฮกเกอร์ขยะอะไรนี่ ไม่เห็นได้เรื่องเลยสักนิด”

 

 

เขาให้คนตรวจสอบข่าวกู้ซีฉือ เพราะการที่กู้ซีฉืออยู่ในอวิ๋นเฉิงไม่สามารถซ่อนข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ แต่ใครจะรู้ว่าสมาคมแฮกเกอร์กลับไม่มีคำตอบให้เขาสักประโยคเดียว

 

 

**

 

 

ฉินหร่านกลับมาถึงหอพักเรียบร้อยแล้ว

 

 

ตอนที่เธอกลับไป หลินซือหรานกำลังเล่นเกมอยู่

 

 

เธอเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อเจอฉินหร่าน “หร่านหร่าน น้าเธอเป็นยังไงบ้าง?” 

 

 

“ไม่เป็นอะไร” ฉินหร่านเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเอาผ้าขนหนูและเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ

 

 

เมื่อเห็นว่าฉินหร่านบอกว่าไม่เป็นอะไร หลินซือหรานก็ถึงจะโล่งอก จากนั้นก็คุยอะไรบางอย่างกับพวกผู้ชายอีกไม่กี่คนที่อยู่ในเกม 

 

 

หลินซือหรานกำลังเปิดเสียงตีสมรภูมิกับเฉียวเซิงและยังมีผู้ชายคนอื่นในห้องเรียนอีกไม่กี่คน

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่ง ขณะเปิดคอมพิวเตอร์ก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมไปด้วย

 

 

โทรศัพท์บนโต๊ะสว่างขึ้น เธอเหลือบมองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่กู้ซีฉือที่ส่งมา แต่เป็นข่าวงานไหว้ครูของอาจารย์เว่ย 

 

 

เขากับเฉินซูหลานเทียบปฏิทินโดยเลือกวันที่ 3 ธันวาคมซึ่งเป็นวันอังคารหน้า ยังเหลือเวลาอีกสองถึงสามวัน 

 

 

ยังถามฉินหร่านอีกว่ามีเพื่อนที่อยากจะชวนไปไหม

 

 

ฉินหร่านไม่มีความเห็นกับเรื่องหัวโบราณแบบนี้ อาจารย์เว่ยเลือกเวลา เธอก็ตามใจเขา เธอจ้องประโยคสุดท้ายที่อาจารย์เว่ยส่งมาสักพัก…

 

 

ฉินหร่านเอียงหน้ามองไปทางหลินซือหรานที่กำลังเล่นเกม หรี่ตาพลางใช้ความคิดอยู่นาน

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจกับงานเลี้ยงไหว้ครูอะไรพวกนี้

 

 

แต่เฉินซูหลานน่าจะอยากเห็นเธอพาเพื่อนมาด้วย

 

 

หลินซือหรานมีไพ่เทพอยู่สามใบ ตอนตีสมรภูมิเธอออกไพ่ทีเดียวสามใบ ฝ่ายตรงข้ามถึงกับเปิดเสียงหวาดกลัว จบเกมอย่างรวดเร็ว

 

 

“หร่านหร่าน เธอมาเล่นด้วยกันไหม?” หลังจากเล่นจบไปแล้วหนึ่งเกม หลินซือหรานก็วางเมาส์ อีกมือหนึ่งยังเคาะแป้นพิมพ์พลางเอียงหน้ามองฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านเช็ดผมอยู่เงียบๆ วางเท้าบนเก้าอี้อย่างเถื่อน เธอส่ายหน้าแล้วถามว่า “วันอังคารว่างไหม?”

 

 

“วันอังคารเหรอ?” หลินซือหรานตอบด้วยความเสียดายนิดๆเมื่อได้ยินว่าฉินหร่านไม่เล่น

 

 

“ว่าจะชวนเธอกับเฉียวเซิงทานข้าว แล้วก็คนอื่นด้วย” เช็ดได้ไม่นานฉินหร่านก็โยนผ้าขนหนู

 

 

หลินซือหรานเท้าคางยิ้ม “อย่างงั้นก็ต้องว่างอยู่แล้ว!”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า มือที่ถือโทรศัพท์กดเบาๆ

 

 

กู้ซีฉือส่งผลการตรวจมาแล้ว แต่กลับไม่บอกอะไรสักคำ เธอเหลือบดูแต่ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

 

 

เหยียนซีเริ่มทิ้งระเบิดเธออีกแล้ว

 

 

ฉินหร่านไม่สนใจ

 

 

เฉียวเซิงก็ชวนแล้ว งั้นพวกเฟิงโหลวเฉิงล่ะ?

 

 

หยางเฟยก็ดูเหมือนจะอยู่ในอวิ๋นเฉิง?

 

 

ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้ โยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

 

 

**

 

 

หอพักของสวีเหยากวง

 

 

เด็กผู้ชายสองสามคนนั่งประจำโต๊ะตัวเองเพื่อสุมหัวกันต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

 

 

เนื่องจากทั้งชั้นเรียนมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นห้องเดี่ยว ห้องเดี่ยวนี้ทั้งใหญ่และอยู่เกือบท้ายสุดทางเดิน แม้แต่โต๊ะยังยาวถึงสองเมตรกว้างหนึ่งเมตร 

 

 

เด็กผู้ชายในห้องยังชอบนัดกันมาเล่นไพ่นกกระจอกที่นี่ด้วย

 

 

แม้สวีเหยากวงจะเป็นคนเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ใจกว้างกับเรื่องแบบนี้ บางครั้งยังเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกเขาอีกด้วย

 

 

“เจ๊หร่านไม่ตีสมรภูมิกับพวกเรา” เฉียวเซิงเงยหน้าเมื่อได้รับการตอบกลับจากหลินซือหราน

 

 

เด็กผู้ชายสองคนถอนหายใจยาว

 

 

เหอเหวินก็ยิ่งหดหู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานึกถึงตอนที่ฉินหร่านอยากจะเล่นเกมกับเขาแต่โดนเขาปฏิเสธ เขาก็รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

 

 

สวีเหยากวงเก็บคอมพิวเตอร์ ก้มหน้าลงหยิบเอาแบบฝึกหัดออกมาทำ

 

 

“วันอังคารเจ๊หร่านชวนฉันกินข้าว” เฉียวเซิงมองไปทางสวีเหยากวงแล้วยิ้มพลางเอนตัวพิงเก้าอี้ “คุณชายสวี นายสนใจไปกินด้วยไหม?”

 

 

วันศุกร์ฉินหร่านขอลาหยุด สวีเหยากวงก็มักจะหันไปมองที่นั่งของเธอ

 

 

ชวนทานข้าว?

 

 

สวีเหยากวงส่ายหน้าโดยไม่สนใจและทำแบบฝึกหัดฟิสิกส์ต่อไป

 

 

ทำได้เพียงครึ่งทาง โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น

 

 

สวีเหยากวงหยิบขึ้นมาดูและเดินออกไปรับสาย

 

 

“ฉินอวี่เหรอ?” เหอเหวินและคนอื่นๆเหลือบมองพลางกระซิบ

 

 

คบหากันมาสองปีกว่า สวีเหยากวงจะมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับฉินอวี่ แต่ช่วงนี้ดูเหมือนจะจืดชืดลงไปมาก

 

 

เฉียวเซิงส่ายหัวส่งๆ “คุณชายสวีสนใจแค่สองสิ่งนั้น”

 

 

เหอเหวินก็หัวเราะ “ช่วงนี้ยังเห็นข่าวของฉินอวี่ในเน็ตด้วย แฟนคลับเธอในเวยป๋อเกือบจะสามแสนคนเข้าแล้ว พอฉันลองฟังมันก็ดีจริงๆ”

 

 

มีคนเผยแพร่วิดีโอของฉินอวี่บนโลกออนไลน์

 

 

เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เธอกลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์และมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ช่วงนี้มีคนพูดถึงเธอเป็นจำนวนมาก

 

 

**

 

 

วันจันทร์

 

 

ตอนเที่ยง ฉินหร่านไปห้องพยาบาลประจำโรงเรียนหลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังจัดยาให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นหวัด เมื่อเห็นฉินหร่านเข้ามา

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็กำลังเปิดแฟ้มเอกสารราชการ มือหนึ่งถือปากกา อีกมือหนึ่งถือบุหรี่ พลางวาดอะไรบางอย่างลงในเอกสารเป็นครั้งคราว

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามเขา

 

 

ฟุบบนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน

 

 

เฉิงเจวี้ยนหลุบตามองเธอ จากนั้นก็คีบบุหรี่ยืนขึ้นและเดินไปเปิดหน้าต่าง รอจนกว่าควันบุหรี่จะหายไปก็ถึงจะปิดหน้าต่างและเดินมา

 

 

ถามเธอเกี่ยวกับอาการป่วยของหนิงเวยไม่กี่คำ เธอตอบทีละอย่าง

 

 

หนิงเวยฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดีมาก เมื่อวานเธออยากจะคืนห้องผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน แต่โชคดีที่มู่หนานห้ามไว้

 

 

เฉิงเจวี้ยนแอบคิดไว้แล้ว เขากลับไปนั่งและหยิบเอกสารราชการขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้อ่าน แค่พิงพนักเก้าอี้แล้วถามฉินหร่าน “อาจารย์ที่เธอไปหาเป็นครูสอนอะไร?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหยิบยายื่นให้เด็กผู้ชายคนนั้น เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ยกถีบโต๊ะแล้วเลื่อนเก้าอี้มาตรงกลาง

 

 

“จริงด้วย ฉินเสี่ยวหร่าน เธอกับอาจารย์นั่นเรียนอะไรกัน? เล่นเกม?”

 

 

เขาแตะคางพูดถึงความเป็นไปได้

 

 

“แค่ครูแก่ๆคนหนึ่ง”  ฉินหร่านวางมือบนคางพร้อมกับพูดอย่างคลุมเครือ

 

 

“พรุ่งนี้พวกนายก็จะได้เจอแล้วนี่ รีบร้อนไปทำไม?” เจียงตงเยี่ยผลักประตูมาจากด้านนอก เขาดึงผ้าพันคอสีดำรอบคอของเขาลงและพูดเรียบๆ

 

 

เฉิงมู่และผู้บัญชาการห่าวก็ตามมาด้วย

 

 

“ทำไมกลับมากันตอนนี้ล่ะ?” ลู่จ้าวอิ่งเองก็ถาม เดิมทีเขาต้องการจะบอกว่าเขาสามารถหาอาจารย์ที่ดีกว่านี้ให้ฉินหร่านได้ แต่เขาไม่ได้พูดต่อหน้าคุณชายเจวี้ยน

 

 

เจียงตงเยี่ยยืมกำลังคนมาจากอาของเขา เขาจำต้องพลิกเมืองอวิ๋นเฉิงตามหาตัวกู้ซีฉือ

 

 

ทุกจุดสำคัญมีคนของเขาอยู่

 

 

“ฉันไม่กล้ารบกวนเวลาอาทำงาน” เจียงตงเยี่ยลากเก้าอี้มานั่งแล้วห้อยผ้าพันคอไว้ที่พนักเก้าอี้ “หลังเลิกงานฉันไปหาเขาแต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปลองเสื้อผ้า ได้ยินคนคุ้มกันบอกว่ามีงานจัดเลี้ยง”

 

 

เฉิงมู่วางอาหารลงบนโต๊ะ ลู่จ้าวอิ่งหยิบตะเกียบพลางเงยหน้าด้วยความแปลกใจ “งานจัดเลี้ยงอะไร อาเจียงถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนี้?”

 

 

“ใครจะไปรู้ ตอนเย็นฉันค่อยไปหาเขาอีกรอบ” เจียงตงเยี่ยกินข้าวได้อย่างเรียบร้อย ตอบแบบไม่สนใจ “หากู้ซีฉือไม่เจอ ฉันก็ไม่กลับเมืองหลวง”

 

 

ฉินหร่านเงยหน้ามองเจียงตงเยี่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

เจียงตงเยี่ยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเธอ ขณะหยิบตะเกียบก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “ได้ยินมาว่ามีคนมีชื่อเสียงอยู่ในกองสืบสวนอาชญากรรม ฉันจะไปหาเขาให้ช่วยปิดข่าวศุลกากร ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแบบนี้กู้ซีฉือยังจะสามารถบินหนีไปได้”

 

 

**

 

 

ทางด้านอาจารย์เว่ยก็ได้กำหนดบุคคลที่ต้องการเชิญแล้ว

 

 

เดิมทีเขายังคิดว่าทางด้านเฉินซูหลานจะเชิญเพียงไม่กี่คน ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วเฉินซูหลานจะเชิญมาถึงแปดคน

 

 

“ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนของฉินหร่าน” อาไห่เปิดดูลำดับขั้นตอน “ผมจะเพิ่มอาหารที่เด็กวัยรุ่นชอบกินอีกสักสองสามอย่าง”

 

 

อาไห่เคยไปเมืองหนิงไห่กับอาจารย์เว่ยมาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาย่อมรู้ถึงพรสวรรค์ของฉินหร่าน

 

 

และทราบดีว่าอาจารย์ว่ยสนใจในตัวฉินหร่านขนาดไหน

 

 

วันนี้ในอวิ๋นเฉิงยังถือว่าเล็กๆน้อยๆ คุณชายเจียงถือว่ามีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในนี้

 

 

แม้อาไห่จะไม่พึงพอใจ แต่ในเวลานี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ รอไปถึงเมืองหลวงถึงจะเป็นการทำสงครามพิชิตภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พอถึงตอนนั้นเขาคิดถึงเรื่องการเชิญแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงให้อาจารย์เว่ยเรียบร้อยแล้ว

 

 

อาจารย์เว่ยต้องการรับลูกศิษย์ด้วยตัวเอง แค่ข่าวนี้เพียงข่าวเดียวก็สั่นสะเทือนไปค่อนวงการ

 

 

คราวนี้บวกกับคนของอาจารย์เว่ยที่มาจากสมาคมไวโอลินก็เต็มสองโต๊ะพอดี

 

 

งานเลี้ยงนี้อาจารย์เว่ยจองไว้ที่โรงแรมเอินอวี้

 

 

วันอังคาร

 

 

หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย ฉินหร่านนั่งรออยู่ที่โต๊ะอย่างเอื่อยเฉื่อย เสียบหูฟังไว้ที่หู รอจนคนในห้องไปกันหมดแล้ว เธอถึงจะถอดหูฟังวางไว้ข้างๆอย่างลวกๆ

 

 

หลินซือหรานเองก็เก็บของเสร็จพอดี

 

 

“หร่านหร่าน งั้นพวกเราไปกันเลยไหม?” เธอเอียงหน้ามองไปทางฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านค้ำโต๊ะยืนขึ้นและเดินนำหน้าไปก่อน

 

 

พานหมิงเย่ว์และเว่ยจื่อหังรอให้ทั้งสามคนลงมาที่หน้าบันได

 

 

วันปกติเว่ยจื่อหังมักจะสวมชุดสบายๆ ส่วนมากเป็นชุดกีฬาและกางเกงลำลอง แต่วันนี้เขาสวมเสื้อกันลมสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในซึ่งดูค่อนข้างเป็นทางการ

 

 

พานหมิงเย่ว์ก็ไม่ได้สวมชุดนักเรียน เสื้อถักพร้อมด้วยกระโปรงโดยมีเสื้อโค้ตคลุมอยู่ด้านนอก ที่มือยังสวมถุงมือขนปุกปุย 

 

 

ทีแรกหลินซือหรานและเฉียวเซิงยังคิดอยู่เลยว่าเป็นมื้ออาหารที่ทานกันสบายๆ

 

 

จนกระทั่งรถแท็กซี่ทั้งสองคันมาหยุดที่หน้าโรงแรมเอินอวี้ ทั้งสองมองด้วยความตกตะลึง

 

 

มื้อใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!

 

 

“วันนี้เป็นงานไหว้ครูของเธอ เธอไม่ได้บอกพวกนายเหรอ?” เว่ยจื่อหังเขย่ากล่องของขวัญที่เขาเตรียมไว้แล้วยิ้มอย่างสง่างาม

 

 

พานหมิงเย่ว์ไม่ได้ถือกล่องของขวัญ แต่กระเป๋าเป้ใบเล็กที่สะพายหลังนั้นดูพะรุงพะรัง

 

 

เฉียวเซิงเกาหัว เขาเตรียมจะส่งซองแดงให้ฉินหร่าน

 

 

หลินซือหราน “…ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีแค่หญ้าต้นเดียว”

 

 

แบบนี้จะดูไม่มีมารยาทหรือเปล่านะ?

 

 

หลินซือหรานมองฉินหร่านด้วยความคับแค้นใจ

 

 

**

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ เธอเปิดโทรศัพท์ดูข้อความที่อาไห่ส่งให้เธอ

 

 

ชั้นบนสุดโรงแรมเอินอวี้

 

 

ชั้นบนสุดคล้ายกับคลับเฮาส์พาราไดซ์

 

 

บริเวณทางเข้าโรงแรมมีพนักงานคอยต้อนรับอยู่สองคน ถามพวกเขาว่าใช่แขกที่มางานเลี้ยงของคุณเฉินหรือไม่ จากนั้นก็พาพวกเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดอย่างสุภาพ

 

 

ห้องชั้นบนสุดมีพื้นที่ใหญ่มาก

 

 

ประธานสมาคมไวโอลินและบุคคลสำคัญอีกไม่กี่คนมาถึงกันแล้ว อาไห่กำลังต้อนรับพวกเขา เมื่อเห็นฉินหร่านและคนอื่นๆมาแล้วก็รีบเข้าไปหา

 

 

“ทั้งหมดนี้เป็นเพื่อนนักเรียนของคุณฉินสินะครับ มานั่งทางนี้ครับ” อาไห่พาพวกเขาไปนั่งอีกโต๊ะ “คุณฉินยังมีเพื่อนนักเรียนคนอื่นอีกไหมครับ?”

 

 

“ยังเหลืออีกไม่กี่คน” ฉินหร่านก้มหน้าดูโทรศัพท์ ลู่จ้าวอิ่งบอกว่าพวกเขากำลังจะมาถึง “ใกล้จะถึงแล้วค่ะ”

 

 

อาไห่พยักหน้ายิ้ม “อาจารย์เว่ยไปรับคุณยายของคุณ เดี๋ยวก็คงกลับมา”

 

 

เฉียวเซิงตบไหล่เว่ยจื่อหังด้วยความระมัดระวัง “เจ๊หร่านไหว้ครูอะไรน่ะ?”

 

 

เขารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ

 

 

**

 

 

ข้างล่างตึก

 

 

เฉิงมู่เอารถไปจอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเดินลงมาจากฝั่งข้างคนขับ เขาอ่านข้อความที่ฉินหร่านส่งมาในโทรศัพท์ ค่อนข้างแปลกใจ “ชั้นบนสุด ดูเหมือนอาจารย์คนนี้จะรวยกว่าเธอนะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนลงจากประตูรถด้านหลังและรวบเสื้อโค้ตเข้าด้วยกันอย่างเงียบๆ

 

 

เฉิงมู่พยักหน้าตาม “แน่นอน ดูสูงส่งกว่าที่คิด”

 

 

ทั้งสามเดินเข้าไปในโรงแรม

 

 

หลังจากพนักงานที่หน้าประตูสอบถามก็พาทั้งสามคนไปที่ชั้นบนสุดอย่างสุภาพ

 

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก——

 

 

เสียงเคาะประตูดังสามครั้ง มีคนเปิดประตูมาจากด้านใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+