เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 198 เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 198 เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้จัดการไม่ได้สั่งอะไรมาเยอะแยะ

 

 

แล้วใครเป็นคนเคาะ?

 

 

ผู้จัดการผงะพลางหันไปมองฉินหร่านกับเหยียนซี “ท่านเทพ เดี๋ยวผมจะไปดูข้างนอกหน่อยว่าเป็นใคร”

 

 

เขาเดินไปทางประตู จากนั้นก็ยื่นมือมาเปิดประตู

 

 

“ไม่ทราบว่า…” ผู้จัดการเปิดประตูด้วยรอยยิ้มดังเช่นเคย

 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาสีพีชเข้มคู่หนึ่ง

 

 

หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับอสูรแห่งความเยือกเย็น

 

 

ผู้จัดการถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของอีกฝ่ายทั้งมืดทั้งล้ำลึก สวมเสื้อกันลมสีเบจซึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าเนือยๆ ที่แผ่กระจายออกมา

 

 

หว่างคิ้วที่บางเบาดูโดดเด่นกลับเต็มไปความน่าเกรงขาม

 

 

ทางเดินด้านนอกยังสามารถรองรับคนได้สามถึงสี่คนในเวลาเดียวกัน แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกคับแคบ

 

 

“อยู่ข้างในกันสองคน?” เฉิงเจวี้ยนมองเขาและพูดเรียบๆ มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนรวบเสื้อกันลมอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ผู้จัดการรับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกราวกับหายใจติดขัด “ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”

 

 

เขาอยากถามว่าคุณผู้ชายท่านนี้เป็นใครกันแน่

 

 

เขาเป็นผู้จัดการเหยียนซีมานานหลายปี คนที่น่าเกรงขามที่สุดที่ผู้จัดการเคยเห็นมาก็คือลูกเถ้าแก่ตระกูลเจียงหรือคุณชายแห่งตระกูลเจียงนั่นเอง บรรดาบริษัทและคนในเมืองหลวงต่างเชิดชูเขา

 

 

แต่ถึงกระนั้นผู้จัดการก็ยังรู้สึกว่าคุณชายตระกูลเจียงยังดูน่าเกรงขามไม่เท่าคนที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาที่แฝงไปด้วยรังสีอันตรายเล็กน้อย เขาไม่ได้รีบร้อนตอบผู้จัดการ เพียงมองไปทางด้านหลังเขา

 

 

หลังจากส่งสายตามองไป ประตูที่อยู่ด้านหลังผู้จัดการก็ถูกเปิดจากด้านใน

 

 

ฉินหร่านถือเสื้อโค้ตสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งกำลังถือรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นที่ผู้จัดการให้มา สอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อส่งๆ

 

 

โดยมีเหยียนซีตามหลังมาติดๆ

 

 

พอเก็บรูปไว้ดีแล้วก็เห็นเฉิงเจวี้ยนกำลังหรี่ตามองมาที่เธอ เธอเลิกคิ้วถาม “มาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนตอบส่งๆ “อืม” สายตาพลันมองไปทางเหยียนซีที่อยู่ข้างหลังเธออย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนนี้เหยียนซีเป็นคนมีชื่อเสียง เวลาออกมาข้างนอกจึงต้องสวมผ้าปิดจมูก หมวกแก๊ป และผ้าพันคอผืนใหญ่

 

 

ขณะที่เขากำลังสวมผ้าปิดจมูกให้ตัวเองก็รับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

มือที่ดึงผ้าปิดจมูกชะงัก พอเหยียนซีเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้าน อีกฝ่ายเบี่ยงสายตาและก้มลงมองคนตรงหน้า

 

 

“ยังมีธุระอะไรอีกไหม?” เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่านและถามอย่างอดกลั้น

 

 

“ไม่มีแล้ว” ฉินหร่านค่อยๆ สวมเสื้อโค้ตขณะที่เดินไปหาเขา “เรากลับกันเถอะ”

 

 

เมื่อได้ยินที่ฉินหร่านพูด เฉิงเจวี้ยนก็พยักหน้าและมองไปทางพวกผู้จัดการเหมือนกำลังคิดอะไร “ไม่ชวนเพื่อนทานข้าวหน่อยเหรอ?”

 

 

เหยียนซีอาจจะฟังไม่ออก แต่ผู้จัดการของเขากลับฟังออกว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างหนึ่ง

 

 

ผู้จัดการถอดสีหน้าพลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองฟังผิดไปใช่หรือไม่?

 

 

บ้าชิบ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะความรักจริงๆ ก็ได้?

 

 

“ไม่ต้อง” ฉินหร่านติดกระดุมหมวกเสื้อสเวตเตอร์แล้วมองมาทางเหยียนซี “คุณยังต้องถ่ายทำเพิ่มไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ”

 

 

หลังจากพูดเสร็จเธอก็เดินตามเฉิงเจวี้ยนลงไปข้างล่าง

 

 

เหยียนซียังโอเค ในหัวของเขานอกจากดนตรีแล้วก็คิดเรื่องอื่นน้อยมาก เขาแค่มองไปยังแผ่นหลังของฉินหร่านพลางครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินตามฉินหร่านไปพร้อมกับผู้จัดการ

 

 

ผู้จัดมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าราวกับมีอะไรระเบิดอยู่ในหัว ตะลึงงันเป็นไก่ตาแตก ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเขาคิดไปเอง?

 

 

ท่านเทพเจียงซานไม่ได้หมายความอย่างที่เขาคิดเลยเหรอ? แล้วทำไมอดีตที่ผ่านมาเธอถึงให้ความสนใจเหยียนซีขนาดนี้?!

 

 

ผู้จัดการคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาไม่ใช่คนอ่อนหัดเหมือนเหยียนซี แน่นอนว่าต้องคิดมาก การที่เหยียนซีเดินมาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับคนคนนั้นที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขามาตลอด?

 

 

จะมีใครที่ไหนมอบความห่วงใยโดยไร้ซึ่งเหตุและผล?

 

 

ผู้จัดการเอาแต่จ้องแผ่นหลังฉินหร่าน หรือว่า…ยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังฉินหร่านอีกอย่างงั้นหรือ?!

 

 

ผู้จัดการรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

 

 

“เหยียนซี นายไม่สงสัยบ้างเลยเหรอว่าผู้ชายคนเมื่อกี้กับท่านเทพมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ผู้จัดการเอียงตัวไปกระซิบถามเหยียนซี

 

 

เหยียนซีเหลือบมองทั้งสองคน ดวงตาคู่นั้นที่อยู่หลังแว่นกันแดดไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด “ความสัมพันธ์อะไร?”

 

 

“ก็…เอ่อ ท่านเทพช่วยเหลือนายมาตั้งนานโดยไม่มีที่มาที่ไป นายไม่แปลกใจเหรอว่าเธอช่วยนายทำไม?” ผู้จัดการถามอีกคำถาม

 

 

“ไม่มีที่มาที่ไปยังไง ผมก็ให้เงินเธอไปแล้ว…” เหยียนซีตอบ

 

 

เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการมองเหยียนซีราวกับยากที่จะอธิบาย “นายก็ดูสิ เสื้อผ้าของท่านเทพล้วนเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ไม่ได้มีขายตามท้องตลาด ทำไมนายถึงคิดว่าเธออยากได้เงินนายแค่ไม่กี่แสนหยวน?”

 

 

เมื่อก่อนผู้จัดการยังคิดว่าเจียงซานอี้เล็งเห็นในรูปร่างหน้าตาและความสามารถของเหยียนซี

 

 

ทว่าตอนนี้…

 

 

แม้เหยียนซีจะกลายเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการบันเทิง แต่ก็เทียบไม่ได้กับสองคนนั้น…

 

 

ที่ฉลาดปราดเปรื่อง…

 

 

เจียงซานอี้นักเรียบเรียงเพลงมือฉมังเป็นสมญานามที่ชาวเน็ตตั้งให้อย่างงั้นหรือ ? !

 

 

**

 

 

ด้านนอก เฉิงมู่ยังอยู่ในรถ

 

 

เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนเดินลงมากับฉินหร่าน เขาก็รีบวางโทรศัพท์และลงจากรถ

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร ฉินหร่านก็พูดแค่“อืม” เพียงคำเดียว

 

 

จากนั้นเธอก็หันไปด้านข้างแล้วโบกมือไปทางเหยียนซีและผู้จัดการ

 

 

“คุณชาย คุณฉิน” เฉิงมู่เรียกทั้งสอง จากนั้นก็มองไปทางด้านหลังฉินหร่านและเห็นเหยียนซีที่พันตัวแทบจะเป็นมัมมี่กำลังยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาทั้งสองคนพอดี

 

 

นั่นคือเพื่อนคุณฉิน?

 

 

ทำไมแต่งตัวประหลาดๆ?

 

 

เฉิงมู่เหลือบดูสักพักก็รู้สึกว่าสองคนนี้ดูดีกว่าหยางเฟยและกู้ซีฉือมาก จากนั้นก็ชักสายตากลับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนขับรถอีกคัน

 

 

เฉิงมู่จึงขับรถกลับไปคนเดียว ตอนที่กลับมาถึงที่นั่งคนขับ เขาหยิบโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ที่เบาะข้างๆ ขึ้นมาดู

 

 

เมื่อกี้เขาเพิ่งส่งข้อความให้โอวหยางเวย แต่โอวหยางเวยยังไม่ตอบ

 

 

เขาจึงวางโทรศัพท์ลง

 

 

บนรถอีกคัน

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เฉิงเจวี้ยนขับรถเข้าสู่เส้นทางจราจร

 

 

เนื่องจากไม่ใช่เทศกาลวันหยุดอะไร จึงไม่มีสิ่งกีดขวางนอกจากสองไฟแดงแรกหรือทางยกระดับอื่นๆ

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถสองคันก็ขับตามกันมาจนถึงโรงจอดรถที่บ้านกู้ซีฉือ

 

 

เฉิงมู่มาช้ากว่าเฉิงเจวี้ยนไปหน่อยเดียว

 

 

เพราะขับมาได้ครึ่งทาง เขาก็ต้องไปรับข้าวกลับมาด้วย

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว คนในคฤหาสน์ของกู้ซีฉือยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันกันเลย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาจัดถ้วยพร้อมตะเกียบไว้อย่างดี

 

 

ตอนที่ฉินหร่านเข้ามาถอดเสื้อโค้ตในบ้าน เขาก็กำลังคุยกับเสี่ยวเอ้อร์ แต่ส่วนใหญ่เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยสนใจเขา

 

 

“กลับมาแล้วเหรอ?” ลู่จ้าวอิ่งหิวจะแย่อยู่แล้ว เขาคิดจะสั่งข้าวแต่คนทั่วไปเข้ามาที่นี่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่รู้จะเปิดประตูบ้านกู้ซีฉือได้อย่างไร

 

 

เขากลัวว่าพอออกไปแล้วจะกลับเข้ามาไม่ได้

 

 

พอเห็นฉินหร่านกลับมาแล้วก็มองตาเขียว

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนกำลังจอดรถไว้ด้านหลัง ฉินหร่านโยนเสื้อโค้ตไว้บนโซฟาส่งๆ “ฉันจะขึ้นไปเรียกสองคนนั้นลงมา”

 

 

ตอนที่ฉินหร่านขึ้นไปชั้นสาม

 

 

กู้ซีฉือก็ยังยืนอยู่ข้างๆ กองเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น แต่เขาก็ไม่สนใจ

 

 

“พี่กู้” เจียงตงเย่หยิบโทรศัพท์เขาขึ้นมาดู “ดูเหมือนจะโทรมาจากต่างแดน”

 

 

กู้ซีฉือไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ตัดสายซะ”

 

 

สายพวกนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสแห่งวงการแพทย์ เนื่องจากองค์กรการแพทย์แถลงการณ์ออกไปในช่วงเช้า จึงทำให้วงการแพทย์เดือดดาล

 

 

“ครับ” เจียงตงเย่วางสายทันที

 

 

ฉินหร่านพิงประตูดูทั้งสองคนได้สักพักพลางเอามือแตะคาง

 

 

จนกระทั่งเจียงตงเย่หันมาเจอเธอเข้า เธอถึงจะเอ่ยถาม “ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่?” 

 

 

“ยี่สิบหก” เจียงตงเย่ผงะไปชั่วขณะก่อนจะตอบ

 

 

“อ๋อ” ฉินหร่านพยักหน้าแล้วมองเขาอีกครั้ง “แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาอายุเท่าไหร่?”

 

 

เธอยื่นมือชี้ไปทางกู้ซีฉือ

 

 

เจียงตงเย่หัวเราะ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามีข้อมูลของกู้ซีฉืออยู่ในมือ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดี “ยี่สิบสี่”

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

ที่แท้เขาก็รู้นี่นา?

 

 

**

 

 

ตอนที่ทั้งสามลงมาข้างล่างพร้อมกัน เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่ก็กลับมาแล้ว

 

 

ส่วนลู่จ้าวอิ่งกำลังจัดจาน

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน ฉันได้ไพ่เทพสามใบแล้วนะ” ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจหลังจากทานอาหารเสร็จ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เธอไปเอาไพ่เทพมาจากไหนตั้งเยอะแยะ?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับไพ่เทพมากนัก

 

 

แต่ตอนที่เห็นชาวเน็ตคุยกันก็จำได้แม่นว่าถึงแม้จะอยู่ในทีมOST แต่ตราบใดที่ไม่ใช่สมาชิกตัวจริง การที่จะได้ไพ่เทพมานั้นไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ

 

 

และฉินหร่านเองก็เคยให้ไพ่เทพสามใบกับเฉิงเจวี้ยนเมื่อสามปีก่อนมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นทีมOSTยังไม่มีไพ่เทพออกมา

 

 

พอตอนเย็นเธอก็ให้ไพ่เทพสามใบกับเขาอย่างง่ายดาย

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสองคนก็ไม่ใช่สมาชิกทีมOST

 

 

“เอามาจากคนอื่น” ฉินหร่านเพิ่งจะทานเค้กที่ร้านกาแฟไปสองชิ้น ตอนนี้เธอจึงไม่ได้หิวมาก เธอตอบลู่จ้าวอิ่งส่งๆ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันแปลกๆ

 

 

ทว่าในหัวของเขากลับนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่ามันแปลกตรงไหน

 

 

เขาจึงลืมมันไปและนึกถึงคำถามอื่น “จริงด้วย วันนี้เธอออกไปเจอเพื่อนที่ไหนน่ะ?”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามนี้กู้ซีฉือก็เงยหน้าพลางถามเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอยังมีเพื่อนคนอื่นในเซี่ยงไฮ้ด้วยเหรอ?”

 

 

“เปล่า” ฉินหร่านหยิบตะเกียบคีบชิ้นเนื้อ “ก็เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตทั่วไป” 

 

 

“เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต?” วันนี้เฉิงเจวี้ยนเห็นหน้าเหยียนซีไม่ค่อยชัด และแน่นอนว่าถึงเขาจะเห็นชัดก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นนักร้องที่โด่งดังมีชื่อเสียง

 

 

“อือ รู้จักกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ฉินหร่านกินเนื้อแล้วค่อยกลืนลงไปก่อนจะตอบ “วันนี้เขาอยู่เซี่ยงไฮ้พอดี เราสองคนก็เลยไปเจอกันหน่อย”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอแล้วพยักหน้า

 

 

เมื่อเจียงตงเย่กับลู่จ้าวอิ่งได้ยินฉินหร่านบอกว่า “เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต” ก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

 

 

เพราะทั้งสองยังจำเฒ่าเว่ย “คนขายศิลปะ” ได้แม่น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองตรงไปที่เฉิงมู่

 

 

เฉิงมู่รับรู้ได้ถึงสายตาของทั้งสองคน เขาวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้าพลางนึกถึงคนที่เจอในวันนี้ “ดูเหมือนจะไม่เคยเจอสองคนนั้นมาก่อน”

 

 

เฉิงมู่มองไม่เห็นหน้าเหยียนซีและไม่เคยเจอผู้จัดการเหยียนซีมาก่อนจริงๆ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดฉินหร่านก็มีเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตอยู่หนึ่งคน ไม่ง่ายเลยจริงๆ

 

 

**

 

 

ห้าโมงเย็น

 

 

อวิ๋นเฉิง

 

 

วันนี้วันจันทร์ ฉินอวี่ได้เดินทางออกจากอวิ๋นเฉิงไปเมืองหลวงแล้ว ก่อนหน้านี้หนิงฉิงก็วางแผนจะไปกับเธอด้วย

 

 

แต่เนื่องจากตอนนี้หนิงเวยกำลังป่วยจึงไม่มีใครคอยดูแลเฉินซูหลาน หนิงฉิงไม่สบายใจ เธอจึงอยู่ที่อวิ๋นเฉิงต่อหลังจากไปส่งฉินอวี่

 

 

ช่วงบ่าย เธอออกจากสถานเสริมความงามกลับไปยังบ้านตระกูลหลิน

 

 

ป้าจางกุลีกุจอขึ้นมาช่วยเธอถอดเสื้อโค้ตออก ท่าทีของเธอที่ปฏิบัติต่อหนิงฉิงแทบจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ปฏิบัติต่อหลินหว่านเมื่อก่อน

 

 

ขณะที่ป้าจางเพิ่งแขวนเสื้อโค้ตไว้บนชั้นแขวน โทรศัพท์ในกระเป๋าหนิงฉิงก็ดังขึ้น

 

 

หนิงฉิงเดินไปที่โซฟาพลางก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า

 

 

เมื่อพบว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล เธอก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็กดรับสาย “คุณหมอ?”

 

 

ทางโรงพยาบาลไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หนิงฉิงรีบไปโรงพยาบาล

 

 

หลินฉีเองก็เพิ่งกลับมา เมื่อเห็นหนิงฉิงตัวแข็งทื่อก็อดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะถามอย่างอ่อนโยน “มีอะไรเหรอ? เดี๋ยวเราไปทานข้าวกับพ่อผมที่นั่นกัน”

 

 

ทันใดนั้นหนิงฉิงก็กระวนกระวายใจขึ้นมา หนังตาข้างขวากระตุก เธอจับแขนหลินฉีอย่างแรง “ไป…ไปโรงพยาบาล!”

 

 

เมื่อพูดถึงโรงพยาบาล หลินฉีไม่จำเป็นต้องคิดอะไรก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเฉินซูหลานที่นั่น

 

 

เขาสวมเสื้อนอกที่เพิ่งถอดเมื่อกี้ใส่ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายหานายท่านหลิน

 

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน

 

 

จราจรติดขัดอย่างหนักตลอดเส้นทาง

 

 

พวกเขาใช้เวลากว่าสี่สิบนาทีกว่าจะถึงโรงพยาบาล

 

 

เฉินซูหลานยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน

 

 

“คุณหมอคะ” หนิงฉิงไม่ได้พกกระเป๋ามาด้วย โทรศัพท์ก็ลืมไว้ที่บ้าน เธอตรงเข้าไปคว้าตัวคุณหมอเจ้าของไข้ที่เพิ่งเดินออกจากห้องฉุกเฉิน “แม่ฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

 

 

คุณหมอเจ้าของไข้เฉินซูหลานถอนหายใจ แววตาหม่นหมองเล็กน้อย “ร่างกายของเธอมาถึงจุดสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว สรุปก็คือ…”

 

 

“เป็นไปได้ยังไง? ไหนว่าทำcnsแล้วนี่คะ? ยาก็ไม่มีแล้วเหรอ?” ร่างหนิงฉิงสั่นเล็กน้อย

 

 

“ไม่ใช่ครับ ข่าวเช้านี้…” คุณหมอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ผมโง่เอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น เชิญเข้าไปดูคุณเฉินก่อนเถอะครับ ตอนนี้เธอยังมีสติชัดเจน…สภาพจิตใจก็ยังดีอยู่มาก คนที่ควรแจ้งพวกคุณก็แจ้งเถอะครับ”

 

 

พอพูดเสร็จ เขาก็เดินออกไปข้างนอกและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฉินหร่าน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 198 เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 198 เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้จัดการไม่ได้สั่งอะไรมาเยอะแยะ

 

 

แล้วใครเป็นคนเคาะ?

 

 

ผู้จัดการผงะพลางหันไปมองฉินหร่านกับเหยียนซี “ท่านเทพ เดี๋ยวผมจะไปดูข้างนอกหน่อยว่าเป็นใคร”

 

 

เขาเดินไปทางประตู จากนั้นก็ยื่นมือมาเปิดประตู

 

 

“ไม่ทราบว่า…” ผู้จัดการเปิดประตูด้วยรอยยิ้มดังเช่นเคย

 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาสีพีชเข้มคู่หนึ่ง

 

 

หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับอสูรแห่งความเยือกเย็น

 

 

ผู้จัดการถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของอีกฝ่ายทั้งมืดทั้งล้ำลึก สวมเสื้อกันลมสีเบจซึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าเนือยๆ ที่แผ่กระจายออกมา

 

 

หว่างคิ้วที่บางเบาดูโดดเด่นกลับเต็มไปความน่าเกรงขาม

 

 

ทางเดินด้านนอกยังสามารถรองรับคนได้สามถึงสี่คนในเวลาเดียวกัน แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกคับแคบ

 

 

“อยู่ข้างในกันสองคน?” เฉิงเจวี้ยนมองเขาและพูดเรียบๆ มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนรวบเสื้อกันลมอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ผู้จัดการรับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกราวกับหายใจติดขัด “ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”

 

 

เขาอยากถามว่าคุณผู้ชายท่านนี้เป็นใครกันแน่

 

 

เขาเป็นผู้จัดการเหยียนซีมานานหลายปี คนที่น่าเกรงขามที่สุดที่ผู้จัดการเคยเห็นมาก็คือลูกเถ้าแก่ตระกูลเจียงหรือคุณชายแห่งตระกูลเจียงนั่นเอง บรรดาบริษัทและคนในเมืองหลวงต่างเชิดชูเขา

 

 

แต่ถึงกระนั้นผู้จัดการก็ยังรู้สึกว่าคุณชายตระกูลเจียงยังดูน่าเกรงขามไม่เท่าคนที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาที่แฝงไปด้วยรังสีอันตรายเล็กน้อย เขาไม่ได้รีบร้อนตอบผู้จัดการ เพียงมองไปทางด้านหลังเขา

 

 

หลังจากส่งสายตามองไป ประตูที่อยู่ด้านหลังผู้จัดการก็ถูกเปิดจากด้านใน

 

 

ฉินหร่านถือเสื้อโค้ตสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งกำลังถือรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นที่ผู้จัดการให้มา สอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อส่งๆ

 

 

โดยมีเหยียนซีตามหลังมาติดๆ

 

 

พอเก็บรูปไว้ดีแล้วก็เห็นเฉิงเจวี้ยนกำลังหรี่ตามองมาที่เธอ เธอเลิกคิ้วถาม “มาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนตอบส่งๆ “อืม” สายตาพลันมองไปทางเหยียนซีที่อยู่ข้างหลังเธออย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนนี้เหยียนซีเป็นคนมีชื่อเสียง เวลาออกมาข้างนอกจึงต้องสวมผ้าปิดจมูก หมวกแก๊ป และผ้าพันคอผืนใหญ่

 

 

ขณะที่เขากำลังสวมผ้าปิดจมูกให้ตัวเองก็รับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

มือที่ดึงผ้าปิดจมูกชะงัก พอเหยียนซีเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้าน อีกฝ่ายเบี่ยงสายตาและก้มลงมองคนตรงหน้า

 

 

“ยังมีธุระอะไรอีกไหม?” เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่านและถามอย่างอดกลั้น

 

 

“ไม่มีแล้ว” ฉินหร่านค่อยๆ สวมเสื้อโค้ตขณะที่เดินไปหาเขา “เรากลับกันเถอะ”

 

 

เมื่อได้ยินที่ฉินหร่านพูด เฉิงเจวี้ยนก็พยักหน้าและมองไปทางพวกผู้จัดการเหมือนกำลังคิดอะไร “ไม่ชวนเพื่อนทานข้าวหน่อยเหรอ?”

 

 

เหยียนซีอาจจะฟังไม่ออก แต่ผู้จัดการของเขากลับฟังออกว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างหนึ่ง

 

 

ผู้จัดการถอดสีหน้าพลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองฟังผิดไปใช่หรือไม่?

 

 

บ้าชิบ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะความรักจริงๆ ก็ได้?

 

 

“ไม่ต้อง” ฉินหร่านติดกระดุมหมวกเสื้อสเวตเตอร์แล้วมองมาทางเหยียนซี “คุณยังต้องถ่ายทำเพิ่มไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ”

 

 

หลังจากพูดเสร็จเธอก็เดินตามเฉิงเจวี้ยนลงไปข้างล่าง

 

 

เหยียนซียังโอเค ในหัวของเขานอกจากดนตรีแล้วก็คิดเรื่องอื่นน้อยมาก เขาแค่มองไปยังแผ่นหลังของฉินหร่านพลางครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินตามฉินหร่านไปพร้อมกับผู้จัดการ

 

 

ผู้จัดมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าราวกับมีอะไรระเบิดอยู่ในหัว ตะลึงงันเป็นไก่ตาแตก ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเขาคิดไปเอง?

 

 

ท่านเทพเจียงซานไม่ได้หมายความอย่างที่เขาคิดเลยเหรอ? แล้วทำไมอดีตที่ผ่านมาเธอถึงให้ความสนใจเหยียนซีขนาดนี้?!

 

 

ผู้จัดการคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาไม่ใช่คนอ่อนหัดเหมือนเหยียนซี แน่นอนว่าต้องคิดมาก การที่เหยียนซีเดินมาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับคนคนนั้นที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขามาตลอด?

 

 

จะมีใครที่ไหนมอบความห่วงใยโดยไร้ซึ่งเหตุและผล?

 

 

ผู้จัดการเอาแต่จ้องแผ่นหลังฉินหร่าน หรือว่า…ยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังฉินหร่านอีกอย่างงั้นหรือ?!

 

 

ผู้จัดการรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

 

 

“เหยียนซี นายไม่สงสัยบ้างเลยเหรอว่าผู้ชายคนเมื่อกี้กับท่านเทพมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ผู้จัดการเอียงตัวไปกระซิบถามเหยียนซี

 

 

เหยียนซีเหลือบมองทั้งสองคน ดวงตาคู่นั้นที่อยู่หลังแว่นกันแดดไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด “ความสัมพันธ์อะไร?”

 

 

“ก็…เอ่อ ท่านเทพช่วยเหลือนายมาตั้งนานโดยไม่มีที่มาที่ไป นายไม่แปลกใจเหรอว่าเธอช่วยนายทำไม?” ผู้จัดการถามอีกคำถาม

 

 

“ไม่มีที่มาที่ไปยังไง ผมก็ให้เงินเธอไปแล้ว…” เหยียนซีตอบ

 

 

เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการมองเหยียนซีราวกับยากที่จะอธิบาย “นายก็ดูสิ เสื้อผ้าของท่านเทพล้วนเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ไม่ได้มีขายตามท้องตลาด ทำไมนายถึงคิดว่าเธออยากได้เงินนายแค่ไม่กี่แสนหยวน?”

 

 

เมื่อก่อนผู้จัดการยังคิดว่าเจียงซานอี้เล็งเห็นในรูปร่างหน้าตาและความสามารถของเหยียนซี

 

 

ทว่าตอนนี้…

 

 

แม้เหยียนซีจะกลายเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการบันเทิง แต่ก็เทียบไม่ได้กับสองคนนั้น…

 

 

ที่ฉลาดปราดเปรื่อง…

 

 

เจียงซานอี้นักเรียบเรียงเพลงมือฉมังเป็นสมญานามที่ชาวเน็ตตั้งให้อย่างงั้นหรือ ? !

 

 

**

 

 

ด้านนอก เฉิงมู่ยังอยู่ในรถ

 

 

เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนเดินลงมากับฉินหร่าน เขาก็รีบวางโทรศัพท์และลงจากรถ

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร ฉินหร่านก็พูดแค่“อืม” เพียงคำเดียว

 

 

จากนั้นเธอก็หันไปด้านข้างแล้วโบกมือไปทางเหยียนซีและผู้จัดการ

 

 

“คุณชาย คุณฉิน” เฉิงมู่เรียกทั้งสอง จากนั้นก็มองไปทางด้านหลังฉินหร่านและเห็นเหยียนซีที่พันตัวแทบจะเป็นมัมมี่กำลังยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาทั้งสองคนพอดี

 

 

นั่นคือเพื่อนคุณฉิน?

 

 

ทำไมแต่งตัวประหลาดๆ?

 

 

เฉิงมู่เหลือบดูสักพักก็รู้สึกว่าสองคนนี้ดูดีกว่าหยางเฟยและกู้ซีฉือมาก จากนั้นก็ชักสายตากลับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนขับรถอีกคัน

 

 

เฉิงมู่จึงขับรถกลับไปคนเดียว ตอนที่กลับมาถึงที่นั่งคนขับ เขาหยิบโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ที่เบาะข้างๆ ขึ้นมาดู

 

 

เมื่อกี้เขาเพิ่งส่งข้อความให้โอวหยางเวย แต่โอวหยางเวยยังไม่ตอบ

 

 

เขาจึงวางโทรศัพท์ลง

 

 

บนรถอีกคัน

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เฉิงเจวี้ยนขับรถเข้าสู่เส้นทางจราจร

 

 

เนื่องจากไม่ใช่เทศกาลวันหยุดอะไร จึงไม่มีสิ่งกีดขวางนอกจากสองไฟแดงแรกหรือทางยกระดับอื่นๆ

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถสองคันก็ขับตามกันมาจนถึงโรงจอดรถที่บ้านกู้ซีฉือ

 

 

เฉิงมู่มาช้ากว่าเฉิงเจวี้ยนไปหน่อยเดียว

 

 

เพราะขับมาได้ครึ่งทาง เขาก็ต้องไปรับข้าวกลับมาด้วย

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว คนในคฤหาสน์ของกู้ซีฉือยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันกันเลย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาจัดถ้วยพร้อมตะเกียบไว้อย่างดี

 

 

ตอนที่ฉินหร่านเข้ามาถอดเสื้อโค้ตในบ้าน เขาก็กำลังคุยกับเสี่ยวเอ้อร์ แต่ส่วนใหญ่เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยสนใจเขา

 

 

“กลับมาแล้วเหรอ?” ลู่จ้าวอิ่งหิวจะแย่อยู่แล้ว เขาคิดจะสั่งข้าวแต่คนทั่วไปเข้ามาที่นี่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่รู้จะเปิดประตูบ้านกู้ซีฉือได้อย่างไร

 

 

เขากลัวว่าพอออกไปแล้วจะกลับเข้ามาไม่ได้

 

 

พอเห็นฉินหร่านกลับมาแล้วก็มองตาเขียว

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนกำลังจอดรถไว้ด้านหลัง ฉินหร่านโยนเสื้อโค้ตไว้บนโซฟาส่งๆ “ฉันจะขึ้นไปเรียกสองคนนั้นลงมา”

 

 

ตอนที่ฉินหร่านขึ้นไปชั้นสาม

 

 

กู้ซีฉือก็ยังยืนอยู่ข้างๆ กองเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น แต่เขาก็ไม่สนใจ

 

 

“พี่กู้” เจียงตงเย่หยิบโทรศัพท์เขาขึ้นมาดู “ดูเหมือนจะโทรมาจากต่างแดน”

 

 

กู้ซีฉือไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ตัดสายซะ”

 

 

สายพวกนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสแห่งวงการแพทย์ เนื่องจากองค์กรการแพทย์แถลงการณ์ออกไปในช่วงเช้า จึงทำให้วงการแพทย์เดือดดาล

 

 

“ครับ” เจียงตงเย่วางสายทันที

 

 

ฉินหร่านพิงประตูดูทั้งสองคนได้สักพักพลางเอามือแตะคาง

 

 

จนกระทั่งเจียงตงเย่หันมาเจอเธอเข้า เธอถึงจะเอ่ยถาม “ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่?” 

 

 

“ยี่สิบหก” เจียงตงเย่ผงะไปชั่วขณะก่อนจะตอบ

 

 

“อ๋อ” ฉินหร่านพยักหน้าแล้วมองเขาอีกครั้ง “แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาอายุเท่าไหร่?”

 

 

เธอยื่นมือชี้ไปทางกู้ซีฉือ

 

 

เจียงตงเย่หัวเราะ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามีข้อมูลของกู้ซีฉืออยู่ในมือ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดี “ยี่สิบสี่”

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

ที่แท้เขาก็รู้นี่นา?

 

 

**

 

 

ตอนที่ทั้งสามลงมาข้างล่างพร้อมกัน เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่ก็กลับมาแล้ว

 

 

ส่วนลู่จ้าวอิ่งกำลังจัดจาน

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน ฉันได้ไพ่เทพสามใบแล้วนะ” ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจหลังจากทานอาหารเสร็จ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เธอไปเอาไพ่เทพมาจากไหนตั้งเยอะแยะ?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับไพ่เทพมากนัก

 

 

แต่ตอนที่เห็นชาวเน็ตคุยกันก็จำได้แม่นว่าถึงแม้จะอยู่ในทีมOST แต่ตราบใดที่ไม่ใช่สมาชิกตัวจริง การที่จะได้ไพ่เทพมานั้นไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ

 

 

และฉินหร่านเองก็เคยให้ไพ่เทพสามใบกับเฉิงเจวี้ยนเมื่อสามปีก่อนมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นทีมOSTยังไม่มีไพ่เทพออกมา

 

 

พอตอนเย็นเธอก็ให้ไพ่เทพสามใบกับเขาอย่างง่ายดาย

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสองคนก็ไม่ใช่สมาชิกทีมOST

 

 

“เอามาจากคนอื่น” ฉินหร่านเพิ่งจะทานเค้กที่ร้านกาแฟไปสองชิ้น ตอนนี้เธอจึงไม่ได้หิวมาก เธอตอบลู่จ้าวอิ่งส่งๆ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันแปลกๆ

 

 

ทว่าในหัวของเขากลับนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่ามันแปลกตรงไหน

 

 

เขาจึงลืมมันไปและนึกถึงคำถามอื่น “จริงด้วย วันนี้เธอออกไปเจอเพื่อนที่ไหนน่ะ?”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามนี้กู้ซีฉือก็เงยหน้าพลางถามเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอยังมีเพื่อนคนอื่นในเซี่ยงไฮ้ด้วยเหรอ?”

 

 

“เปล่า” ฉินหร่านหยิบตะเกียบคีบชิ้นเนื้อ “ก็เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตทั่วไป” 

 

 

“เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต?” วันนี้เฉิงเจวี้ยนเห็นหน้าเหยียนซีไม่ค่อยชัด และแน่นอนว่าถึงเขาจะเห็นชัดก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นนักร้องที่โด่งดังมีชื่อเสียง

 

 

“อือ รู้จักกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ฉินหร่านกินเนื้อแล้วค่อยกลืนลงไปก่อนจะตอบ “วันนี้เขาอยู่เซี่ยงไฮ้พอดี เราสองคนก็เลยไปเจอกันหน่อย”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอแล้วพยักหน้า

 

 

เมื่อเจียงตงเย่กับลู่จ้าวอิ่งได้ยินฉินหร่านบอกว่า “เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต” ก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

 

 

เพราะทั้งสองยังจำเฒ่าเว่ย “คนขายศิลปะ” ได้แม่น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองตรงไปที่เฉิงมู่

 

 

เฉิงมู่รับรู้ได้ถึงสายตาของทั้งสองคน เขาวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้าพลางนึกถึงคนที่เจอในวันนี้ “ดูเหมือนจะไม่เคยเจอสองคนนั้นมาก่อน”

 

 

เฉิงมู่มองไม่เห็นหน้าเหยียนซีและไม่เคยเจอผู้จัดการเหยียนซีมาก่อนจริงๆ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดฉินหร่านก็มีเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตอยู่หนึ่งคน ไม่ง่ายเลยจริงๆ

 

 

**

 

 

ห้าโมงเย็น

 

 

อวิ๋นเฉิง

 

 

วันนี้วันจันทร์ ฉินอวี่ได้เดินทางออกจากอวิ๋นเฉิงไปเมืองหลวงแล้ว ก่อนหน้านี้หนิงฉิงก็วางแผนจะไปกับเธอด้วย

 

 

แต่เนื่องจากตอนนี้หนิงเวยกำลังป่วยจึงไม่มีใครคอยดูแลเฉินซูหลาน หนิงฉิงไม่สบายใจ เธอจึงอยู่ที่อวิ๋นเฉิงต่อหลังจากไปส่งฉินอวี่

 

 

ช่วงบ่าย เธอออกจากสถานเสริมความงามกลับไปยังบ้านตระกูลหลิน

 

 

ป้าจางกุลีกุจอขึ้นมาช่วยเธอถอดเสื้อโค้ตออก ท่าทีของเธอที่ปฏิบัติต่อหนิงฉิงแทบจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ปฏิบัติต่อหลินหว่านเมื่อก่อน

 

 

ขณะที่ป้าจางเพิ่งแขวนเสื้อโค้ตไว้บนชั้นแขวน โทรศัพท์ในกระเป๋าหนิงฉิงก็ดังขึ้น

 

 

หนิงฉิงเดินไปที่โซฟาพลางก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า

 

 

เมื่อพบว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล เธอก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็กดรับสาย “คุณหมอ?”

 

 

ทางโรงพยาบาลไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หนิงฉิงรีบไปโรงพยาบาล

 

 

หลินฉีเองก็เพิ่งกลับมา เมื่อเห็นหนิงฉิงตัวแข็งทื่อก็อดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะถามอย่างอ่อนโยน “มีอะไรเหรอ? เดี๋ยวเราไปทานข้าวกับพ่อผมที่นั่นกัน”

 

 

ทันใดนั้นหนิงฉิงก็กระวนกระวายใจขึ้นมา หนังตาข้างขวากระตุก เธอจับแขนหลินฉีอย่างแรง “ไป…ไปโรงพยาบาล!”

 

 

เมื่อพูดถึงโรงพยาบาล หลินฉีไม่จำเป็นต้องคิดอะไรก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเฉินซูหลานที่นั่น

 

 

เขาสวมเสื้อนอกที่เพิ่งถอดเมื่อกี้ใส่ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายหานายท่านหลิน

 

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน

 

 

จราจรติดขัดอย่างหนักตลอดเส้นทาง

 

 

พวกเขาใช้เวลากว่าสี่สิบนาทีกว่าจะถึงโรงพยาบาล

 

 

เฉินซูหลานยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน

 

 

“คุณหมอคะ” หนิงฉิงไม่ได้พกกระเป๋ามาด้วย โทรศัพท์ก็ลืมไว้ที่บ้าน เธอตรงเข้าไปคว้าตัวคุณหมอเจ้าของไข้ที่เพิ่งเดินออกจากห้องฉุกเฉิน “แม่ฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

 

 

คุณหมอเจ้าของไข้เฉินซูหลานถอนหายใจ แววตาหม่นหมองเล็กน้อย “ร่างกายของเธอมาถึงจุดสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว สรุปก็คือ…”

 

 

“เป็นไปได้ยังไง? ไหนว่าทำcnsแล้วนี่คะ? ยาก็ไม่มีแล้วเหรอ?” ร่างหนิงฉิงสั่นเล็กน้อย

 

 

“ไม่ใช่ครับ ข่าวเช้านี้…” คุณหมอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ผมโง่เอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น เชิญเข้าไปดูคุณเฉินก่อนเถอะครับ ตอนนี้เธอยังมีสติชัดเจน…สภาพจิตใจก็ยังดีอยู่มาก คนที่ควรแจ้งพวกคุณก็แจ้งเถอะครับ”

 

 

พอพูดเสร็จ เขาก็เดินออกไปข้างนอกและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฉินหร่าน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+