เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 211 ท่านหร่านแค่ไปเที่ยวเล่น

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 211 ท่านหร่านแค่ไปเที่ยวเล่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หัวหน้าโจวใช้มือยันที่พนักเก้าอี้ไม้ทรงสูงพลางขมวดคิ้ว

 

 

ไม่มีหัวหน้าหน่วยในทีมจัดซื้อคนไหนพูดอะไร เป็นที่แน่นอนว่าซือลี่หมิงสร้างปัญหาให้พวกเขาไม่น้อย

 

 

“คุณเฉิงสุ่ยก็เห็นด้วยหรอ?” หัวหน้าโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองซือลี่หมิง

 

 

ซือลี่หมิงแค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

 

 

“เข้าใจแล้ว” หัวหน้าโจวนวดขมับ “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

 

 

ตอนนี้ซือลี่หมิงเป็นผู้ติดตามฉินหร่าน เมื่อสารถูกถ่ายทอดออกไปแล้ว เขาก็หันหลังเดินออกจากประตู

 

 

หัวหน้าโจวเลิกคิ้วอีกครั้ง “นายจะไปไหน?”

 

 

“อ๊ะ” พอซือลี่หมิงรู้ตัวก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉิงมู่บอกว่าดอกไม้ของคุณฉินอาจจะทนกับสภาพอากาศที่นี่ไม่ได้ ผมก็เลยจะไปหาคนสวนของคฤหาสน์มาขุดดินให้หน่อย”

 

 

พอพูดเสร็จ เขาก็รีบเดินออกไปโดยไม่หยุดฝีเท้า

 

 

ทุกคนในหน่วยจัดซื้อต่างก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าทีมหน่วยจัดซื้อแต่ละคนก็พากันส่ายหน้า “ซือลี่หมิงเป็นคนเก่งคนนึง น่าเสียดายจริงๆ”

 

 

เรื่องนี้ แม้แต่หัวหน้าตู้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครรู้ว่าการที่ซือลี่หมิงรีบไปประจบคนอื่นทุกวันโดยไม่ทำงานทำการแบบนี้…ความสามารถของเขาจะพัฒนาไปได้อย่างไร?

 

 

เฉิงสุ่ยเป็นคนที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดี เวลาสั่งงานลูกน้อง เขาจะยึดความสามารถเป็นหลัก แม้จะเป็นพรรคพวกเดียวกัน

 

 

ไม่เห็นเหรอว่าเฉิงมู่เองก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับงานสำคัญงานไหนเลย?

 

 

หัวหน้าโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร

 

 

ซือลี่หมิงเป็นคนเก่ง หัวหน้าโจวฝึกฝนเขาในฐานะคนสนิทมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้

 

 

หัวหน้าโจวเคาะนิ้วบนพนักเก้าอี้พลางคิดว่าเขาควรจะเปลี่ยนไปฝึกฝนคนสนิทคนอื่นดีหรือไม่

 

 

เพราะเห็นทีว่าซือลี่หมิงคงไม่ผ่าน

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง ในคืนนั้นซือลี่หมิงเดินไปที่พักของคนรับใช้หลังหอคอยเพื่อหาคนสวน หลังจากสอบถามได้สักพัก เขาก็ถือพลั่วพร้อมกับเดินตามคนสวนไปขุดดินที่ห้องเพาะเลี้ยงดอกไม้มาได้บางส่วน

 

 

ตอนที่เขาไปถึงห้องสมุด ฉินหร่านยังคงนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ เธอวางโทรศัพท์อยู่ข้างๆ สายหูฟังสีดำห้อยลงมาตามผมของเธอ

 

 

เธอมีทำนองเพลงหลักของเหยียนซีแล้วตั้งแต่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีเวลาเขียนมันเลย

 

 

เธอเขียนเต็มหน้ากระดาษพลางขมวดคิ้ว ขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งลงข้างเท้า จากนั้นก็หยิบกระดาษออกมาอีกแผ่น

 

 

หน้านิ่วคิ้วขมวดแลดูหงุดหงิดและเย็นชามีความตึงเครียดอยู่รอบตัว

 

 

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

 

 

ผ่านไปได้สักครู่ใหญ่ๆ เธอก็เขียนเสร็จไปหนึ่งหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากดูตั้งแต่ต้นจนจบ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วถ่ายรูปส่งให้เหยียนซีไปก่อนหนึ่งแผ่น

 

 

แล้วถึงจะหยิบปากกาขึ้นมาค่อยๆ เริ่มลงรายละเอียดอย่างเชื่องช้า

 

 

เฉิงมู่ยกน้ำชามาเสิร์ฟให้เธอหลังจากเห็นเธอดูผ่อนคลายลง ไม่ว่าวันนี้เขาจะทำอะไร เขาก็ยังมีอารมณ์คงที่ พอเสิร์ฟชาให้ฉินหร่านเสร็จก็กลับมานั่งครุ่นคิดปัญหาชีวิต

 

 

บรรยากาศทางฝั่งพวกเขาน่าอึดอัด แตกต่างกับฝั่งเฉิงเจวี้ยน“เฉิงมู่” ซือลี่หมิงยื่นดินห่อหนึ่งให้เฉิงมู่พลางมองไปทางฉินหร่านแล้วกระซิบถาม “คุณฉินกำลังทำอะไรน่ะ?”

 

 

ฉินหร่านกำลังเขียนเพลง ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยเศษกระดาษยับยู่ยี่

 

 

ทุกๆ ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนกระดาษแผ่นหนึ่ง

 

 

ในนั้นมีโน้ตเพลงอยู่เป็นกอง โน้ตเพลงรู้จักซือลี่หมิง แต่ซือลี่หมิงไม่รู้จักมัน เขาอ่านออกแค่เพียงไม่กี่ตัว

 

 

พอเฉิงมู่ได้ยินก็เงยหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “น่าจะเขียนอะไรบางอย่างมั้ง? คุณฉินเล่นไวโอลินเป็นน่ะ”

 

 

“อ๋อ” ซือลี่หมิงพยักหน้า “คุณฉินถนัดซ้ายเหรอ? ฉันเห็นเธอใช้มือซ้ายเขียนหนังสือ…”

 

 

ซือลี่หมิงคุมสงบเยือกเย็น การอยู่กับเฉิงมู่ที่นี่ทำให้เขาได้คำตอบมาไม่น้อย

 

 

ห้องหนังสือค่อนข้างใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ล้วนผ่านการฝึกฝนมา แม้ซือลี่หมิงจะคุยกับเฉิงมู่เบาๆ แต่ถ้าตั้งใจฟังก็ยังได้ยินอยู่ดี

 

 

เฉิงสุ่ยถอนหายใจขณะที่ได้ยินทั้งสองคุยกัน

 

 

หลังจากหัวหน้าตู้รายงานเรื่องแมทธิวเสร็จก็หันมามองเฉิงเจวี้ยน “นายท่าน คุณเฉิงหั่วกลับมาหรือยังครับ?”

 

 

หัวหน้าหลายคนต่างรู้ดีว่าเฉิงหั่วเป็นนักแฮกเกอร์

 

 

นอกจากนี้ในคฤหาสน์ยังมีข่าวลือว่าเฉิงหั่วเข้าร่วมสมาคมแฮกเกอร์แล้ว แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเฉิงหั่ว 

 

 

บ่อยครั้งเฉิงหั่วจะหายตัวไปในช่วงที่ไม่มีธุระอะไร หากต้องการพบเขาก็ทำได้แค่ตามตัวเขาผ่านเฉิงสุ่ยเท่านั้น

 

 

ช่วงนี้ทางด้านแมทธิวมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ยังมีอีกหลายข่าวที่หัวหน้าตู้เองก็ไม่รู้ จึงทำได้แค่แจ้งให้เฉิงหั่วไปสืบ

 

 

“เขาไม่อยู่ในรัฐM อีกสองสามวันถึงจะกลับมา” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือเปิดดูโทรศัพท์ เขาคำนวณเวลาแล้วให้คำตอบที่แน่นอนกับหัวหน้าตู้

 

 

หัวหน้าตู้พยักหน้า “ช่วงนี้ผมเองก็เพิ่งได้ข่าวแฮกเกอร์ทางฝั่งแมทธิวมา ไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องภายในคฤหาสน์ของพวกเรามากน้อยแค่ไหน”

 

 

“แฮกเกอร์คนนั้น” เฉิงสุ่ยชักสายตากลับ เขานั่งบนเก้าอี้ ทำท่าฉงนสนเท่ห์ “พวกนายสืบได้ไหมว่าเป็นใคร?”

 

 

“ไม่พบข้อมูลอะไรเลยครับ” หัวหน้าตู้ส่ายหน้าและหันไปถามเฉิงเจวี้ยน “นายท่าน คุณรู้จักแมทธิวนี่ไหม?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ พิงพนักเก้าอี้ มือยังคงถือถ้วยชาพร้อมกับพูดอย่างเฉยเมย “แค่ปะทะกันครั้งนึง เขาเป็นคนรอบคอบ”

 

 

เฉิงมู่ที่กำลังคุยกับซือลี่หมิงอยู่อีกด้านเพิ่งหลุดจากความงงงวยกลับมาได้สติหลังจากได้ยินชื่อแมทธิว

 

 

เขาถึงกับผงะโดยไม่รู้ตัว

 

 

“มีอะไรเหรอ เฉิงมู่?” ซือลี่หมิงตบไหล่เขาพลางกระซิบถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

 

“เปล่า” เฉิงมู่ส่ายหน้า

 

 

เขาแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างแมทธิวสนิทกับกู้ซีฉือมาก และฉินหร่าน เฉิงเจวี้ยน กับกู้ซีฉือเองก็สนิทกันด้วย…

 

 

ซือลี่หมิงยิ้ม “งั้นเรามาคุยเรื่องการเดินทางของวันพรุ่งนี้กันต่อ การเดินทางอาจจะใช้เวลาสองวันครึ่ง ระหว่างทางเราไม่ผ่านโรงแรม พรุ่งนี้เราไปเอาของที่หน่วยจัดซื้อมาให้คุณฉินพกไปเยอะๆ หน่อยดีกว่า เธออาจจะไม่คุ้น…”

 

 

**

 

 

เวลาห้าทุ่มครึ่ง ไฟในคฤหาสน์ยังไม่ดับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนเห็นว่าฉินหร่านเหมือนจะเสร็จงานแล้ว จึงให้หัวหน้าตู้และคนอื่นออกไปก่อน

 

 

ฉินหร่านนอนตั้งแต่ตอนบ่ายยาวถึงตอนนี้จนไม่ง่วงแล้ว เฉิงเจวี้ยนหยุดคิดชั่วครู่ก็พาเธอลงไปเดินเล่นที่คฤหาสน์

 

 

คฤหาสน์มีพื้นที่กว้างมาก ทุกสถานที่เชื่อมต่อกันด้วยถนนคอนกรีตโดยมีทางเดินเท้าที่ปูด้วยหินกรวดอยู่ตรงกลาง

 

 

ตอนนี้พวกฉินหร่านพักอยู่ที่ปราสาทแถวที่สอง

 

 

แถวหน้าสุดเป็นหอคอย หน้าต่างแคบเล็กน้อย มีประตูใหญ่เป็นบานโค้งลวดลายปะติดปะต่อกัน นั่นน่าจะเป็นสถานที่พวกหอประชุมที่มีคนเข้าๆ ออกๆ จำนวนมาก

 

 

สองข้างทางมีสวนผลไม้ขนาดใหญ่และยังมีสนามฝึกซ้อมอีกด้วย สนามฝึกซ้อมไม่ได้มีแค่แห่งเดียว บางแห่งยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง และบางแห่งสร้างเอาไว้อยู่ใต้หอคอย

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจอาคารสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุโรปเหล่านั้น

 

 

เธอแวะที่สนามฝึกซ้อม สนามฝึกซ้อมทั้งหมดเป็นเหมือนสนามประลองที่มีเสาไม้อยู่บริเวณรอบๆ โดยที่พื้นทรุดตัวลงไป 

 

 

หากนั่งมองการฝึกฝนจากด้านบนมันให้ความรู้สึกเหมือนมองจากที่สูงแม้จะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ก็ยังเห็นเงาคนหลายสิบคนอยู่ภายใต้แสงไฟในสนามฝึกซ้อม

 

 

บางคนกำลังซ้อมยิงปืน บางคนตีโปโล และบางคนกำลังซ้อมมวย…มีหลากหลายประเภท

 

 

ฉินหร่านมองดูด้วยความสนใจ พอเห็นร่างคนคนหนึ่งที่อยู่ขอบสนามก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ยื่นมือไปสะกิดเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างๆ “นั่นเฉิงมู่ใช่ไหม?”

 

 

ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปที่รูปร่างกำยำนั้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองด้วยความสนใจเล็กน้อย เอนตัวพิงอยู่ข้างเสาไม้ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “จิตใจถูกกระทบกระเทือน คงกำลังฝึกหนัก”

 

 

หลายปีที่ผ่านมา เฉิงมู่คิดมาเสมอว่าตัวเองเป็นคนสนิทของเฉิงเจวี้ยน

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะส่งผลต่อเขาอย่างหนักหน่วง เขาไม่เพียงแต่เทียบกับพวกเพื่อนๆ ไม่ได้ แม้กระทั่งพวกลูกน้อง เขาก็ยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นแรงจูงใจ

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าโดยไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร เธอลูบคางแล้วส่ายหน้า พูดอย่างไม่แยแสว่า “ท่าไม่ถูก ช่วงล่างไม่มั่นคง”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงเจวี้ยนจึงเหลือบมองเธอด้วยความสนใจ จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับภายใต้แสงไฟ

 

 

เขาจำได้ว่าเขากับลู่จ้าวอิ่งเคยเห็นเธอมีเรื่องชกต่อยเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมอีจงที่เหิงชวนเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว 

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองเขาและเลิกคิ้วถามว่าเขาหัวเราะทำไม

 

 

“เปล่า” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือแตะริมฝีปากพลางเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้เฉิงสุ่ยบอกฉันว่าพรุ่งนี้เธอจะออกไปกับหน่วยจัดซื้อเหรอ?”

 

 

ฉินหร่านกลับไปดูพวกเขาซ้อมกันต่อ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “อือ”

 

 

“ฉันจะให้คนเตรียมของที่จำเป็นไปด้วย พรุ่งนี้ฉันคงไปกับเธอด้วยไม่ได้ เพราะจะต้องไปเจรจาธุรกิจกับตระกูลมาส ให้เฉิงมู่กับซือลี่หมิงไปเป็นเพื่อนเธอแล้วกัน” เฉิงเจวี้ยนสวมฮู้ดหลังเสื้อกันหนาวให้เธอ

 

 

ฉินหร่านผงะ จากนั้นก็พยักหน้า

 

 

**

 

 

หัวหน้าตู้พักอยู่แถวหลังสุด ทางซ้ายมือของปราสาทโบราณเฉิงเจวี้ยน ที่นั่นคือฝ่ายยุติธรรม

 

 

หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ-คฤหาสน์ ก็กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง เขาทำการสืบค้นข้อมูลบนคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้คิดจะพักผ่อน

 

 

มีคนเคาะประตูจากด้านนอก

 

 

เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่เอ่ยไปตรงๆ “เข้ามา”

 

 

คนที่เคาะประตูคือหัวหน้าโจว เขาสวมเสื้อคลุมด้านนอกพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำจัดความกลัดกลุ้มใจไม่ได้

 

 

“มีอะไร?” หัวหน้าหลายฝ่ายสนิทสนมกันมา หัวหน้าตู้วางเมาส์พร้อมกับยืนขึ้น โดยให้สัญญาณหัวหน้าโจวไปนั่งที่โต๊ะรับแขก “มาหาผมดึกขนาดนี้มีอะไร?”

 

 

“ผมต้องการกำลังคนทีมหนึ่งของฝ่ายยุติธรรม” หัวหน้าโจวพูดไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

 

 

ทุกคนทราบกันดีว่าคนของฝ่ายยุติธรรมมีกำลังคนสูงที่สุดในคฤหาสน์แห่งนี้ หัวหน้าทีมฝ่ายยุติธรรมทุกคนล้วนเคยเห็นเลือดและได้ผ่านเวทีการต่อสู้มวยเดนตายมาแล้วทั้งนั้น

 

 

หัวหน้าตู้รินกาแฟให้เขา “ว่ามาสิ”

 

 

ฝ่ายจัดซื้อกับฝ่ายยุติธรรมไม่ทำงานร่วมกัน ฝ่ายจัดซื้อด้อยการต่อสู้ที่สุด แต่กลับมั่งคั่งที่สุด แผนชั่วเยอะ สู้ไม่ไหวก็ลั่นปืน แต่ตอนนี้หัวหน้าโจวมายืมกำลังคนเขา นั่นจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน

 

 

หัวหน้าโจวไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องฉินหร่านมาหมดเปลือก “ผมถามคุณเฉิงเจวี้ยนมาแล้ว ถ้าคุณหนูฉินเป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ พวกเราจะโดนย้ายกันหมด”

 

 

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้หัวหน้าโจวเป็นคนเตือน หัวหน้าตู้เองก็เพิ่งได้รู้มาจากห้องหนังสือเมื่อกี้นี้แล้ว

 

 

เขากระแทกแก้วลงบนโต๊ะ “ปัง” พลางขมวดคิ้ว “พวกคุณไปมอบสินค้า ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย? ไร้สาระจริงๆ”

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่กองกำลังหลายฝ่ายกำลังปะทะกันและอยู่ในช่วงขาดแคลนกำลังคน ซึ่งหัวหน้าตู้เองก็กำลังเตรียมตัวประเมินรับคนใหม่ในเดือนหน้า

 

 

เวลานี้ยังจะมีคนมาหาเรื่องเอากำลังคนไปใช้อีก

 

 

ทั้งสองสบตากันด้วยสายตาที่ซับซ้อน

 

 

โดยทั่วไปแล้วคนที่ติดตามเฉิงเจวี้ยนทำงานอยู่เบื้องหลังจะพิจารณาจากความสามารถ เกณฑ์ประเมินในแต่ละปีก็จะพิจารณาจากส่วนนี้ด้วย เฉิงเจวี้ยนเป็นบอสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ก่อนหน้านี้ ทุกคนในคฤหาสน์ล้วนคิดว่าเฉิงเจวี้ยนแทบจะหาที่ติไม่ได้

 

 

จนกระทั่งวันนี้…

 

 

“พวกเรากำลังตรวจสอบฝ่ายยุติธรรมอยู่ กำลังคนมีไม่มาก พรุ่งนี้ผมจะส่งคนจากทีมหนึ่งของฝ่ายยุติธรรมให้คุณไปจำนวนหนึ่ง” สุดท้ายหัวหน้าตู้ก็ยังต้องมอบทีมที่เก่งที่สุดให้หัวหน้าโจว

 

 

หัวหน้าโจวถึงกับอึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าหัวหน้าตู้จะว่าง่ายแบบนี้ แบ่งคนให้เขาจริงๆ งั้นเหรอ

 

 

เดิมทีเขายังคิดว่าหัวหน้าตู้จะไปหาเฉิงเจวี้ยนโดยตรงเพื่อไม่ใช้ฉินหร่านเข้ามาข้องเกี่ยว

 

 

เขาดื่มกาแฟไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามอีกประโยคโดยไม่ได้รีบร้อนไปไหน “คุณฉินคนนั้นน่ะ…ดูเหมือนวันนี้บอสจะไม่ได้แนะนำให้พวกเรารู้จัก?”

 

 

ทันทีที่หัวหน้าตู้ได้ยินดังนั้นก็รู้ดีว่าหัวหน้าโจวกำลังคิดอะไรอยู่ แค่เหลือบมองเขาก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง “ไม่แนะนำก็ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ”

 

 

**

 

 

เฉิงมู่ฝึกซ้อมจนถึงเที่ยงคืนกว่าจะกลับจากโรงฝึก ตอนที่เขาหยุด ยังมีคนอีกสิบกว่าคนที่ยังอยู่ในสนามฝึกซ้อมกันอยู่

 

 

บางคนก็หยุดแล้วชี้มาทางเขาและหัวเราะอยู่บ่อยๆ

 

 

“คุณชายเจวี้ยน?” พอเดินออกมาข้างนอกก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาชะงัก

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนให้ฉินหร่านกลับไปนอนก่อนแล้ว เขาถือบุหรี่ไว้ในมือด้วยความเคยชิน เลิกคิ้วอย่างเฉยชา “พรุ่งนี้ติดตามคุณหนูฉินให้ดีละ มีอะไรก็ติดต่อฉันได้ทันที”

 

 

เขากำชับหนึ่งประโยค

 

 

เฉิงมู่กลับหยุด เขาเม้มปากและคิดอยู่นาน จากนั้นก้มหน้าด้วยความอับอาย “คุณชายเจวี้ยน คุณเปลี่ยนคนคุ้มครองคุณฉินเถอะ! ผมไม่เก่งพอ!”

 

 

คนที่อ่อนแอที่สุดของฝ่ายยุติธรรมยังต่อยเขาจนทรุด…

 

 

เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขายื่นมือจัดเสื้อคลุมแล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ “นายดูจากตรงไหนถึงคิดว่าฉันให้นายไปคุ้มครองคุณฉิน?”

 

 

เฉิงมู่ชะงัก

 

 

เฉิงเจวี้ยนชักสายตากลับ พูดช้าๆ ชัดๆ ด้วยความเมตตา “ฉันให้นายดูแลดอกไม้เธอและช่วยจัดการปัญหายุ่งยาก”

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

**

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนออกไปตั้งแต่หกโมงเช้า

 

 

ตอนเขาไป ฉินหร่านยังไม่ตื่น เขาเองก็ไม่ได้ปลุกเธอด้วย

 

 

จนกระทั่งฉินหร่านตื่นก็เป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว

 

 

ตอนที่เธออาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วออกไปข้างนอก เฉิงมู่ก็ได้ห่อกระถางดอกไม้ไว้แล้ว ส่วนในมือซือลี่หมิงกำลังถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง “คุณหนูฉิน พวกเราออกเดินทางกันได้แล้วครับ”

 

 

ข้างประตูใหญ่ของคฤหาสน์มีขบวนรถจอดรออยู่แล้ว

 

 

มีคนกว่าสิบคนยืนอยู่สองข้างทางโดยมีหัวหน้าโจวยืนออกคำสั่งด้วยคำพูดเฉียบขาดอยู่ตรงกลาง 

 

 

เมื่อเห็นพวกฉินหร่านมากันแล้ว เสียงของเขาก็หยุดชะงัก

 

 

“คุณหนูฉิน” เขาทักทายฉินหร่านอย่างมีมารยาท “รถพวกคุณอยู่ตรงกลางระหว่างรถสองคันนั้น”

 

 

เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าโจวเห็นฉินหร่าน เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์ของเธอ ในใจก็ยิ่งกังวลมากขึ้น

 

 

ฉินหร่านกำลังเปิดดูข้อความที่เหยียนซีส่งมาให้ เธอตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “อือ” จากนั้นก็เข้าไปนั่งบนรถคันตรงกลางด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย

 

 

ซือลี่หมิงเป็นคนขับ เฉิงมู่นั่งข้างคนขับ

 

 

หลังจากขึ้นรถไปแล้ว คนที่ยืนอยู่สองข้างทางก็มองหัวหน้าโจวด้วยความประหลาดใจ “นั่นน่ะเหรอคุณฉิน? คนที่จะไปกับพวกเรา?”

 

 

นอกจากหัวหน้าทีมไม่กี่คน คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องที่ฉินหร่านจะไปรับสินค้าด้วย

 

 

หัวหน้าโจวพยักหน้าพลางพูดด้วยความลำบากใจ “คุณเฉิงสุ่ยบอกว่าเธอจะไปเที่ยว…”

 

 

คนของหน่วยจัดซื้อต่างก็เงียบไปพักหนึ่ง เธอบ้าไปแล้วหรือไง.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 211 ท่านหร่านแค่ไปเที่ยวเล่น

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 211 ท่านหร่านแค่ไปเที่ยวเล่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หัวหน้าโจวใช้มือยันที่พนักเก้าอี้ไม้ทรงสูงพลางขมวดคิ้ว

 

 

ไม่มีหัวหน้าหน่วยในทีมจัดซื้อคนไหนพูดอะไร เป็นที่แน่นอนว่าซือลี่หมิงสร้างปัญหาให้พวกเขาไม่น้อย

 

 

“คุณเฉิงสุ่ยก็เห็นด้วยหรอ?” หัวหน้าโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองซือลี่หมิง

 

 

ซือลี่หมิงแค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

 

 

“เข้าใจแล้ว” หัวหน้าโจวนวดขมับ “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

 

 

ตอนนี้ซือลี่หมิงเป็นผู้ติดตามฉินหร่าน เมื่อสารถูกถ่ายทอดออกไปแล้ว เขาก็หันหลังเดินออกจากประตู

 

 

หัวหน้าโจวเลิกคิ้วอีกครั้ง “นายจะไปไหน?”

 

 

“อ๊ะ” พอซือลี่หมิงรู้ตัวก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉิงมู่บอกว่าดอกไม้ของคุณฉินอาจจะทนกับสภาพอากาศที่นี่ไม่ได้ ผมก็เลยจะไปหาคนสวนของคฤหาสน์มาขุดดินให้หน่อย”

 

 

พอพูดเสร็จ เขาก็รีบเดินออกไปโดยไม่หยุดฝีเท้า

 

 

ทุกคนในหน่วยจัดซื้อต่างก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าทีมหน่วยจัดซื้อแต่ละคนก็พากันส่ายหน้า “ซือลี่หมิงเป็นคนเก่งคนนึง น่าเสียดายจริงๆ”

 

 

เรื่องนี้ แม้แต่หัวหน้าตู้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครรู้ว่าการที่ซือลี่หมิงรีบไปประจบคนอื่นทุกวันโดยไม่ทำงานทำการแบบนี้…ความสามารถของเขาจะพัฒนาไปได้อย่างไร?

 

 

เฉิงสุ่ยเป็นคนที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดี เวลาสั่งงานลูกน้อง เขาจะยึดความสามารถเป็นหลัก แม้จะเป็นพรรคพวกเดียวกัน

 

 

ไม่เห็นเหรอว่าเฉิงมู่เองก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับงานสำคัญงานไหนเลย?

 

 

หัวหน้าโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร

 

 

ซือลี่หมิงเป็นคนเก่ง หัวหน้าโจวฝึกฝนเขาในฐานะคนสนิทมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้

 

 

หัวหน้าโจวเคาะนิ้วบนพนักเก้าอี้พลางคิดว่าเขาควรจะเปลี่ยนไปฝึกฝนคนสนิทคนอื่นดีหรือไม่

 

 

เพราะเห็นทีว่าซือลี่หมิงคงไม่ผ่าน

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง ในคืนนั้นซือลี่หมิงเดินไปที่พักของคนรับใช้หลังหอคอยเพื่อหาคนสวน หลังจากสอบถามได้สักพัก เขาก็ถือพลั่วพร้อมกับเดินตามคนสวนไปขุดดินที่ห้องเพาะเลี้ยงดอกไม้มาได้บางส่วน

 

 

ตอนที่เขาไปถึงห้องสมุด ฉินหร่านยังคงนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ เธอวางโทรศัพท์อยู่ข้างๆ สายหูฟังสีดำห้อยลงมาตามผมของเธอ

 

 

เธอมีทำนองเพลงหลักของเหยียนซีแล้วตั้งแต่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีเวลาเขียนมันเลย

 

 

เธอเขียนเต็มหน้ากระดาษพลางขมวดคิ้ว ขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งลงข้างเท้า จากนั้นก็หยิบกระดาษออกมาอีกแผ่น

 

 

หน้านิ่วคิ้วขมวดแลดูหงุดหงิดและเย็นชามีความตึงเครียดอยู่รอบตัว

 

 

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

 

 

ผ่านไปได้สักครู่ใหญ่ๆ เธอก็เขียนเสร็จไปหนึ่งหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากดูตั้งแต่ต้นจนจบ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วถ่ายรูปส่งให้เหยียนซีไปก่อนหนึ่งแผ่น

 

 

แล้วถึงจะหยิบปากกาขึ้นมาค่อยๆ เริ่มลงรายละเอียดอย่างเชื่องช้า

 

 

เฉิงมู่ยกน้ำชามาเสิร์ฟให้เธอหลังจากเห็นเธอดูผ่อนคลายลง ไม่ว่าวันนี้เขาจะทำอะไร เขาก็ยังมีอารมณ์คงที่ พอเสิร์ฟชาให้ฉินหร่านเสร็จก็กลับมานั่งครุ่นคิดปัญหาชีวิต

 

 

บรรยากาศทางฝั่งพวกเขาน่าอึดอัด แตกต่างกับฝั่งเฉิงเจวี้ยน“เฉิงมู่” ซือลี่หมิงยื่นดินห่อหนึ่งให้เฉิงมู่พลางมองไปทางฉินหร่านแล้วกระซิบถาม “คุณฉินกำลังทำอะไรน่ะ?”

 

 

ฉินหร่านกำลังเขียนเพลง ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยเศษกระดาษยับยู่ยี่

 

 

ทุกๆ ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนกระดาษแผ่นหนึ่ง

 

 

ในนั้นมีโน้ตเพลงอยู่เป็นกอง โน้ตเพลงรู้จักซือลี่หมิง แต่ซือลี่หมิงไม่รู้จักมัน เขาอ่านออกแค่เพียงไม่กี่ตัว

 

 

พอเฉิงมู่ได้ยินก็เงยหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “น่าจะเขียนอะไรบางอย่างมั้ง? คุณฉินเล่นไวโอลินเป็นน่ะ”

 

 

“อ๋อ” ซือลี่หมิงพยักหน้า “คุณฉินถนัดซ้ายเหรอ? ฉันเห็นเธอใช้มือซ้ายเขียนหนังสือ…”

 

 

ซือลี่หมิงคุมสงบเยือกเย็น การอยู่กับเฉิงมู่ที่นี่ทำให้เขาได้คำตอบมาไม่น้อย

 

 

ห้องหนังสือค่อนข้างใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ล้วนผ่านการฝึกฝนมา แม้ซือลี่หมิงจะคุยกับเฉิงมู่เบาๆ แต่ถ้าตั้งใจฟังก็ยังได้ยินอยู่ดี

 

 

เฉิงสุ่ยถอนหายใจขณะที่ได้ยินทั้งสองคุยกัน

 

 

หลังจากหัวหน้าตู้รายงานเรื่องแมทธิวเสร็จก็หันมามองเฉิงเจวี้ยน “นายท่าน คุณเฉิงหั่วกลับมาหรือยังครับ?”

 

 

หัวหน้าหลายคนต่างรู้ดีว่าเฉิงหั่วเป็นนักแฮกเกอร์

 

 

นอกจากนี้ในคฤหาสน์ยังมีข่าวลือว่าเฉิงหั่วเข้าร่วมสมาคมแฮกเกอร์แล้ว แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเฉิงหั่ว 

 

 

บ่อยครั้งเฉิงหั่วจะหายตัวไปในช่วงที่ไม่มีธุระอะไร หากต้องการพบเขาก็ทำได้แค่ตามตัวเขาผ่านเฉิงสุ่ยเท่านั้น

 

 

ช่วงนี้ทางด้านแมทธิวมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ยังมีอีกหลายข่าวที่หัวหน้าตู้เองก็ไม่รู้ จึงทำได้แค่แจ้งให้เฉิงหั่วไปสืบ

 

 

“เขาไม่อยู่ในรัฐM อีกสองสามวันถึงจะกลับมา” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือเปิดดูโทรศัพท์ เขาคำนวณเวลาแล้วให้คำตอบที่แน่นอนกับหัวหน้าตู้

 

 

หัวหน้าตู้พยักหน้า “ช่วงนี้ผมเองก็เพิ่งได้ข่าวแฮกเกอร์ทางฝั่งแมทธิวมา ไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องภายในคฤหาสน์ของพวกเรามากน้อยแค่ไหน”

 

 

“แฮกเกอร์คนนั้น” เฉิงสุ่ยชักสายตากลับ เขานั่งบนเก้าอี้ ทำท่าฉงนสนเท่ห์ “พวกนายสืบได้ไหมว่าเป็นใคร?”

 

 

“ไม่พบข้อมูลอะไรเลยครับ” หัวหน้าตู้ส่ายหน้าและหันไปถามเฉิงเจวี้ยน “นายท่าน คุณรู้จักแมทธิวนี่ไหม?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ พิงพนักเก้าอี้ มือยังคงถือถ้วยชาพร้อมกับพูดอย่างเฉยเมย “แค่ปะทะกันครั้งนึง เขาเป็นคนรอบคอบ”

 

 

เฉิงมู่ที่กำลังคุยกับซือลี่หมิงอยู่อีกด้านเพิ่งหลุดจากความงงงวยกลับมาได้สติหลังจากได้ยินชื่อแมทธิว

 

 

เขาถึงกับผงะโดยไม่รู้ตัว

 

 

“มีอะไรเหรอ เฉิงมู่?” ซือลี่หมิงตบไหล่เขาพลางกระซิบถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

 

“เปล่า” เฉิงมู่ส่ายหน้า

 

 

เขาแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างแมทธิวสนิทกับกู้ซีฉือมาก และฉินหร่าน เฉิงเจวี้ยน กับกู้ซีฉือเองก็สนิทกันด้วย…

 

 

ซือลี่หมิงยิ้ม “งั้นเรามาคุยเรื่องการเดินทางของวันพรุ่งนี้กันต่อ การเดินทางอาจจะใช้เวลาสองวันครึ่ง ระหว่างทางเราไม่ผ่านโรงแรม พรุ่งนี้เราไปเอาของที่หน่วยจัดซื้อมาให้คุณฉินพกไปเยอะๆ หน่อยดีกว่า เธออาจจะไม่คุ้น…”

 

 

**

 

 

เวลาห้าทุ่มครึ่ง ไฟในคฤหาสน์ยังไม่ดับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนเห็นว่าฉินหร่านเหมือนจะเสร็จงานแล้ว จึงให้หัวหน้าตู้และคนอื่นออกไปก่อน

 

 

ฉินหร่านนอนตั้งแต่ตอนบ่ายยาวถึงตอนนี้จนไม่ง่วงแล้ว เฉิงเจวี้ยนหยุดคิดชั่วครู่ก็พาเธอลงไปเดินเล่นที่คฤหาสน์

 

 

คฤหาสน์มีพื้นที่กว้างมาก ทุกสถานที่เชื่อมต่อกันด้วยถนนคอนกรีตโดยมีทางเดินเท้าที่ปูด้วยหินกรวดอยู่ตรงกลาง

 

 

ตอนนี้พวกฉินหร่านพักอยู่ที่ปราสาทแถวที่สอง

 

 

แถวหน้าสุดเป็นหอคอย หน้าต่างแคบเล็กน้อย มีประตูใหญ่เป็นบานโค้งลวดลายปะติดปะต่อกัน นั่นน่าจะเป็นสถานที่พวกหอประชุมที่มีคนเข้าๆ ออกๆ จำนวนมาก

 

 

สองข้างทางมีสวนผลไม้ขนาดใหญ่และยังมีสนามฝึกซ้อมอีกด้วย สนามฝึกซ้อมไม่ได้มีแค่แห่งเดียว บางแห่งยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง และบางแห่งสร้างเอาไว้อยู่ใต้หอคอย

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจอาคารสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุโรปเหล่านั้น

 

 

เธอแวะที่สนามฝึกซ้อม สนามฝึกซ้อมทั้งหมดเป็นเหมือนสนามประลองที่มีเสาไม้อยู่บริเวณรอบๆ โดยที่พื้นทรุดตัวลงไป 

 

 

หากนั่งมองการฝึกฝนจากด้านบนมันให้ความรู้สึกเหมือนมองจากที่สูงแม้จะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ก็ยังเห็นเงาคนหลายสิบคนอยู่ภายใต้แสงไฟในสนามฝึกซ้อม

 

 

บางคนกำลังซ้อมยิงปืน บางคนตีโปโล และบางคนกำลังซ้อมมวย…มีหลากหลายประเภท

 

 

ฉินหร่านมองดูด้วยความสนใจ พอเห็นร่างคนคนหนึ่งที่อยู่ขอบสนามก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ยื่นมือไปสะกิดเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างๆ “นั่นเฉิงมู่ใช่ไหม?”

 

 

ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปที่รูปร่างกำยำนั้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองด้วยความสนใจเล็กน้อย เอนตัวพิงอยู่ข้างเสาไม้ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “จิตใจถูกกระทบกระเทือน คงกำลังฝึกหนัก”

 

 

หลายปีที่ผ่านมา เฉิงมู่คิดมาเสมอว่าตัวเองเป็นคนสนิทของเฉิงเจวี้ยน

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะส่งผลต่อเขาอย่างหนักหน่วง เขาไม่เพียงแต่เทียบกับพวกเพื่อนๆ ไม่ได้ แม้กระทั่งพวกลูกน้อง เขาก็ยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นแรงจูงใจ

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าโดยไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร เธอลูบคางแล้วส่ายหน้า พูดอย่างไม่แยแสว่า “ท่าไม่ถูก ช่วงล่างไม่มั่นคง”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงเจวี้ยนจึงเหลือบมองเธอด้วยความสนใจ จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับภายใต้แสงไฟ

 

 

เขาจำได้ว่าเขากับลู่จ้าวอิ่งเคยเห็นเธอมีเรื่องชกต่อยเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมอีจงที่เหิงชวนเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว 

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองเขาและเลิกคิ้วถามว่าเขาหัวเราะทำไม

 

 

“เปล่า” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือแตะริมฝีปากพลางเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้เฉิงสุ่ยบอกฉันว่าพรุ่งนี้เธอจะออกไปกับหน่วยจัดซื้อเหรอ?”

 

 

ฉินหร่านกลับไปดูพวกเขาซ้อมกันต่อ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “อือ”

 

 

“ฉันจะให้คนเตรียมของที่จำเป็นไปด้วย พรุ่งนี้ฉันคงไปกับเธอด้วยไม่ได้ เพราะจะต้องไปเจรจาธุรกิจกับตระกูลมาส ให้เฉิงมู่กับซือลี่หมิงไปเป็นเพื่อนเธอแล้วกัน” เฉิงเจวี้ยนสวมฮู้ดหลังเสื้อกันหนาวให้เธอ

 

 

ฉินหร่านผงะ จากนั้นก็พยักหน้า

 

 

**

 

 

หัวหน้าตู้พักอยู่แถวหลังสุด ทางซ้ายมือของปราสาทโบราณเฉิงเจวี้ยน ที่นั่นคือฝ่ายยุติธรรม

 

 

หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ-คฤหาสน์ ก็กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง เขาทำการสืบค้นข้อมูลบนคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้คิดจะพักผ่อน

 

 

มีคนเคาะประตูจากด้านนอก

 

 

เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่เอ่ยไปตรงๆ “เข้ามา”

 

 

คนที่เคาะประตูคือหัวหน้าโจว เขาสวมเสื้อคลุมด้านนอกพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำจัดความกลัดกลุ้มใจไม่ได้

 

 

“มีอะไร?” หัวหน้าหลายฝ่ายสนิทสนมกันมา หัวหน้าตู้วางเมาส์พร้อมกับยืนขึ้น โดยให้สัญญาณหัวหน้าโจวไปนั่งที่โต๊ะรับแขก “มาหาผมดึกขนาดนี้มีอะไร?”

 

 

“ผมต้องการกำลังคนทีมหนึ่งของฝ่ายยุติธรรม” หัวหน้าโจวพูดไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

 

 

ทุกคนทราบกันดีว่าคนของฝ่ายยุติธรรมมีกำลังคนสูงที่สุดในคฤหาสน์แห่งนี้ หัวหน้าทีมฝ่ายยุติธรรมทุกคนล้วนเคยเห็นเลือดและได้ผ่านเวทีการต่อสู้มวยเดนตายมาแล้วทั้งนั้น

 

 

หัวหน้าตู้รินกาแฟให้เขา “ว่ามาสิ”

 

 

ฝ่ายจัดซื้อกับฝ่ายยุติธรรมไม่ทำงานร่วมกัน ฝ่ายจัดซื้อด้อยการต่อสู้ที่สุด แต่กลับมั่งคั่งที่สุด แผนชั่วเยอะ สู้ไม่ไหวก็ลั่นปืน แต่ตอนนี้หัวหน้าโจวมายืมกำลังคนเขา นั่นจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน

 

 

หัวหน้าโจวไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องฉินหร่านมาหมดเปลือก “ผมถามคุณเฉิงเจวี้ยนมาแล้ว ถ้าคุณหนูฉินเป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ พวกเราจะโดนย้ายกันหมด”

 

 

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้หัวหน้าโจวเป็นคนเตือน หัวหน้าตู้เองก็เพิ่งได้รู้มาจากห้องหนังสือเมื่อกี้นี้แล้ว

 

 

เขากระแทกแก้วลงบนโต๊ะ “ปัง” พลางขมวดคิ้ว “พวกคุณไปมอบสินค้า ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย? ไร้สาระจริงๆ”

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่กองกำลังหลายฝ่ายกำลังปะทะกันและอยู่ในช่วงขาดแคลนกำลังคน ซึ่งหัวหน้าตู้เองก็กำลังเตรียมตัวประเมินรับคนใหม่ในเดือนหน้า

 

 

เวลานี้ยังจะมีคนมาหาเรื่องเอากำลังคนไปใช้อีก

 

 

ทั้งสองสบตากันด้วยสายตาที่ซับซ้อน

 

 

โดยทั่วไปแล้วคนที่ติดตามเฉิงเจวี้ยนทำงานอยู่เบื้องหลังจะพิจารณาจากความสามารถ เกณฑ์ประเมินในแต่ละปีก็จะพิจารณาจากส่วนนี้ด้วย เฉิงเจวี้ยนเป็นบอสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ก่อนหน้านี้ ทุกคนในคฤหาสน์ล้วนคิดว่าเฉิงเจวี้ยนแทบจะหาที่ติไม่ได้

 

 

จนกระทั่งวันนี้…

 

 

“พวกเรากำลังตรวจสอบฝ่ายยุติธรรมอยู่ กำลังคนมีไม่มาก พรุ่งนี้ผมจะส่งคนจากทีมหนึ่งของฝ่ายยุติธรรมให้คุณไปจำนวนหนึ่ง” สุดท้ายหัวหน้าตู้ก็ยังต้องมอบทีมที่เก่งที่สุดให้หัวหน้าโจว

 

 

หัวหน้าโจวถึงกับอึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าหัวหน้าตู้จะว่าง่ายแบบนี้ แบ่งคนให้เขาจริงๆ งั้นเหรอ

 

 

เดิมทีเขายังคิดว่าหัวหน้าตู้จะไปหาเฉิงเจวี้ยนโดยตรงเพื่อไม่ใช้ฉินหร่านเข้ามาข้องเกี่ยว

 

 

เขาดื่มกาแฟไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามอีกประโยคโดยไม่ได้รีบร้อนไปไหน “คุณฉินคนนั้นน่ะ…ดูเหมือนวันนี้บอสจะไม่ได้แนะนำให้พวกเรารู้จัก?”

 

 

ทันทีที่หัวหน้าตู้ได้ยินดังนั้นก็รู้ดีว่าหัวหน้าโจวกำลังคิดอะไรอยู่ แค่เหลือบมองเขาก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง “ไม่แนะนำก็ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ”

 

 

**

 

 

เฉิงมู่ฝึกซ้อมจนถึงเที่ยงคืนกว่าจะกลับจากโรงฝึก ตอนที่เขาหยุด ยังมีคนอีกสิบกว่าคนที่ยังอยู่ในสนามฝึกซ้อมกันอยู่

 

 

บางคนก็หยุดแล้วชี้มาทางเขาและหัวเราะอยู่บ่อยๆ

 

 

“คุณชายเจวี้ยน?” พอเดินออกมาข้างนอกก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาชะงัก

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนให้ฉินหร่านกลับไปนอนก่อนแล้ว เขาถือบุหรี่ไว้ในมือด้วยความเคยชิน เลิกคิ้วอย่างเฉยชา “พรุ่งนี้ติดตามคุณหนูฉินให้ดีละ มีอะไรก็ติดต่อฉันได้ทันที”

 

 

เขากำชับหนึ่งประโยค

 

 

เฉิงมู่กลับหยุด เขาเม้มปากและคิดอยู่นาน จากนั้นก้มหน้าด้วยความอับอาย “คุณชายเจวี้ยน คุณเปลี่ยนคนคุ้มครองคุณฉินเถอะ! ผมไม่เก่งพอ!”

 

 

คนที่อ่อนแอที่สุดของฝ่ายยุติธรรมยังต่อยเขาจนทรุด…

 

 

เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขายื่นมือจัดเสื้อคลุมแล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ “นายดูจากตรงไหนถึงคิดว่าฉันให้นายไปคุ้มครองคุณฉิน?”

 

 

เฉิงมู่ชะงัก

 

 

เฉิงเจวี้ยนชักสายตากลับ พูดช้าๆ ชัดๆ ด้วยความเมตตา “ฉันให้นายดูแลดอกไม้เธอและช่วยจัดการปัญหายุ่งยาก”

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

**

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนออกไปตั้งแต่หกโมงเช้า

 

 

ตอนเขาไป ฉินหร่านยังไม่ตื่น เขาเองก็ไม่ได้ปลุกเธอด้วย

 

 

จนกระทั่งฉินหร่านตื่นก็เป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว

 

 

ตอนที่เธออาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วออกไปข้างนอก เฉิงมู่ก็ได้ห่อกระถางดอกไม้ไว้แล้ว ส่วนในมือซือลี่หมิงกำลังถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง “คุณหนูฉิน พวกเราออกเดินทางกันได้แล้วครับ”

 

 

ข้างประตูใหญ่ของคฤหาสน์มีขบวนรถจอดรออยู่แล้ว

 

 

มีคนกว่าสิบคนยืนอยู่สองข้างทางโดยมีหัวหน้าโจวยืนออกคำสั่งด้วยคำพูดเฉียบขาดอยู่ตรงกลาง 

 

 

เมื่อเห็นพวกฉินหร่านมากันแล้ว เสียงของเขาก็หยุดชะงัก

 

 

“คุณหนูฉิน” เขาทักทายฉินหร่านอย่างมีมารยาท “รถพวกคุณอยู่ตรงกลางระหว่างรถสองคันนั้น”

 

 

เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าโจวเห็นฉินหร่าน เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์ของเธอ ในใจก็ยิ่งกังวลมากขึ้น

 

 

ฉินหร่านกำลังเปิดดูข้อความที่เหยียนซีส่งมาให้ เธอตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “อือ” จากนั้นก็เข้าไปนั่งบนรถคันตรงกลางด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย

 

 

ซือลี่หมิงเป็นคนขับ เฉิงมู่นั่งข้างคนขับ

 

 

หลังจากขึ้นรถไปแล้ว คนที่ยืนอยู่สองข้างทางก็มองหัวหน้าโจวด้วยความประหลาดใจ “นั่นน่ะเหรอคุณฉิน? คนที่จะไปกับพวกเรา?”

 

 

นอกจากหัวหน้าทีมไม่กี่คน คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องที่ฉินหร่านจะไปรับสินค้าด้วย

 

 

หัวหน้าโจวพยักหน้าพลางพูดด้วยความลำบากใจ “คุณเฉิงสุ่ยบอกว่าเธอจะไปเที่ยว…”

 

 

คนของหน่วยจัดซื้อต่างก็เงียบไปพักหนึ่ง เธอบ้าไปแล้วหรือไง.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+