แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 549 ต้องพูดให้ชัดเจน

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 549 ต้องพูดให้ชัดเจน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

หลังกินกันเสร็จพ่อเลี่ยวก็ไปขับรถ พวกเจี่ยซิ่วฟางยืนกันอยู่ข้างทาง

 

 

“รถของอาเลี่ยวไม่รู้จะเบียดกันหมดหรือเปล่า ทำไมหมิงหลางไม่ขับรถมาล่ะ?” เจี่ยซิ่วฟางถามอวี๋หมิงหลาง

 

 

“ดื่มเหล้าไม่ขับรถ” เสี่ยวเชี่ยนตอบแทนอวี๋หมิงหลาง

 

 

“ก็จริง งั้นพวกเราเบียดๆเอา หมิงหลางกลับแท็กซี่เหรอ?”

 

 

อวี๋หมิงหลางแกล้งไอ ฉวยโอกาสตอนเจี่ยซิ่วฟางไม่สนใจส่งซิกให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางร้อนใจแต่ยังต้องแสร้งทำใจเย็นก็แอบขำในใจ อยากจะแกล้งแต่ก็แอบสงสาร

 

 

“หนูจะให้หมิงหลางไปส่งหนูกลับมหาลัย”

 

 

“เฉิน เสี่ยว เชี่ยน” เจี่ยซิ่วฟางกัดฟันพูด อย่าคิดว่าเธอดูไม่ออก เด็กคนนี้คิดจะไปนอนกับอวี๋หมิงหลาง

 

 

เมื่อวานลูกสาวเธอบอกว่าจะกลับมหาวิทยาลัย แต่ปรากฏว่าวันนี้โทรไปไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึง แสดงว่าเมื่อคืนไปนอนกับอวี๋หมิงหลางมาแน่ๆ

 

 

ยังไม่แต่งงานทำแบบนี้ไม่ดี เจี่ยซิ่วฟางรู้นานแล้วว่าลูกสาวกับอวี๋หมิงหลางคงทำกันไปแล้ว แต่นี่ต่อหน้าคนอื่นไม่ไว้หน้าแม่ จะมาบอกว่าไม่กลับบ้านก็ดูเกินไป

 

 

“แม่ หนูรู้ว่าตัวเองทำอะไร แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกดูแลตัวเองก็พอแล้ว”

 

 

อวี๋หมิงหลางยิ้มตาหยีพลางพูด “คุณน้าวางใจเถอะครับ ผมไปส่งเสี่ยวเชี่ยนกลับมหาลัยอย่างปลอดภัยแน่นอน”

 

 

เรื่องไปส่งน่ะเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้

 

 

บอกไว้แล้วว่าสองคืนหนึ่งวัน ขาดไปไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่ได้ นี่คือหลักการ

 

 

“ดึกป่านนี้แล้วไปนอนบ้านสักคืนไม่ได้เหรอ?” เจี่ยซิ่วฟางพยายามส่งซิกให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเสียวเหม่ยของเขาจะติดปีกบินหนีไปแล้ว ว่าที่แม่ยายดูเหมือนจะพาเธอกลับให้ได้

 

 

เสี่ยวเชี่ยนโบกมือให้เขาเป็นสัญญาณว่าให้พาเฉินจื่อหลงออกไป เธอต้องการคุยกับเจี่ยซิ่วฟางตามลำพัง

 

 

“แม่ แม่รู้หรือเปล่าว่าอาเลี่ยวทำงานอะไร?”

 

 

“พูดเรื่องของแกสิ จะลากเขามาเกี่ยวทำไม?” เจี่ยซิ่วฟางไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆลูกสาวก็พูดเรื่องนี้

 

 

“ตั้งแต่อายุสิบแปด ทุกเรื่องที่หนูทำหนูรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่แม่แม้แต่คนรอบตัวทำงานอะไรยังไม่รู้เลย เอาแค่อาเลี่ยวละกัน เขาทำงานอะไรแม่รู้หรือเปล่า?”

 

 

“ก็ทำงานที่ศาลไง ทำไมฉันจะไม่รู้”

 

 

“แล้วเขาอยู่ขั้นไหนแม่รู้ไหม?”

 

 

“ทำงานก็คือทำงาน ยังจะมีขั้นเขิ้นอะไร…ฉันเห็นหน่วยงานเขาสวัสดิการใช้ได้ เทศกาลทีก็แจกผลไม้ ตอนนี้ยังกินไม่หมดเลย”

 

 

ถึงเจี่ยซิ่วฟางจะร่ำรวยขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ เป็นเหมือนกระดาษขาว เธอรู้แค่ว่าหน่วยงานที่แจกผลไม้ก็แสดงว่าสวัสดิการผลตอบแทนดี

 

 

“หนูพูดเรื่องตำแหน่งในศาลให้ฟังแม่อาจไม่เข้าใจ งั้นเอาตรงๆก็ประมาณรองหัวหน้าศาล รายได้ถ้าลองคำนวณดูก็ประมาณกึ่งๆระดับผู้ว่าเมือง ถ้าจะอธิบายตามความเข้าใจของแม่ก็อารมณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบในละครที่แม่ดู ผู้ว่าจังหวัดนะแม่ ไม่ใช่นายอำเภอ เข้าใจหรือยัง?”

 

 

เจี่ยซิ่วฟางอึ้ง

 

 

“แกหมายความว่า ข้างบ้านเรามีคนระดับเปาบุ้นจิ้นที่ซื้อผักกาดขาวยังต่อราคาอาศัยอยู่เหรอ?”

 

 

“เรื่องตำแหน่งอย่างละเอียดดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้ แต่เรื่องค่าตอบแทนที่ได้ก็ราวๆนี้แหละ หนูก็แค่ลองเทียบให้แม่ดู”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนใช้วิธีอธิบายให้เจี่ยซิ่วฟางเข้าใจง่ายๆ ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่แบบนั้น ตำแหน่งแต่ละขั้นยึดหลักตามสมัยราชวงศ์ชิง ระดับนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณระหว่างขุนนางขั้นสี่กับขั้นห้า ค่อนข้างใหญ่พอตัว

 

 

“คุณพระช่วยอกอีแป้นจะแตก ทำไมท่านเปามาอยู่บ้านเก่าๆที่มีแค่สองห้องนอนได้ล่ะ? อีกทั้งยังซื้อผักกาดขาว…รถที่ลูกชายเขาขับยังสู้ลูกเขยฉันไม่ได้เลยนะ”

 

 

ในสายตาของเจี่ยซิ่วฟางคนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลที่ลึกลับซับซ้อนขั้นสุด

 

 

“ขุนนางก็แบ่งชั้นดีชั้นเลว คนที่ซื้อผักกาดขาวยังต่อราคาคนนั้นน่ะเห็นได้ชัดว่าเป็นขุนนางชั้นดี รายได้ใช่ว่าจะหาได้เยอะกว่าแม่ เขาเป็นคนใสสะอาดถ่อมตัวนั่นก็เพราะศีลธรรมสูงส่ง แต่เขาก็ยังแตกต่างจากพวกเราเยอะ”

 

 

“เชี่ยนเอ๋อ ตกลงแกอยากพูดอะไรกันแน่?”

 

 

“หนูไม่คัดค้านถ้าแม่จะหาพ่อเลี้ยงให้ แต่มันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุขในการอยู่ร่วมกันที่จะต้องพูดคุยภาษาเดียวกันด้วย หนูไม่อยากให้แม่แต่งงานครั้งที่สองแล้วก็ยังไม่มีความสุข ถ้าไม่มีภูมิหลังที่เหมือนกัน อย่างน้อยๆก็ต้องเหมือนหนูกับอวี๋หมิงหลางที่พูดจาภาษาเดียวกัน ซึ่งแม่กับอาเลี่ยวไม่มี วันนี้ที่หนูเชิญสองพ่อลูกมากินข้าวก็เพราะไม่อยากติดหนี้บุญคุณ แม่เข้าใจหนูใช่ไหม?”

 

 

เจี่ยซิ่วฟางถลึงตามอง รู้สึกเหมือนลูกสาวได้พูดอะไรที่ยอดเยี่ยมออกมา อยากจะคัดค้านว่าอย่าพูดไร้สาระ แต่ก็เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ พูดไม่ออก

 

 

บางทีเสี่ยวเชี่ยนก็แค่เจาะม่านกระดาษบางๆที่กั้นอยู่ในใจเธอให้ทะลุ

 

 

“หนูก็ยังคงพูดเหมือนเดิม หนูรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร หวังว่าแม่ก็คงจะรู้เหมือนกัน คนเราถ้าไม่มองให้ไกลก็จะเสียใจภายหลังได้”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้พูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของแม่เพียงเพราะอยากจะไปนอนกับอวี๋หมิงหลาง คำพูดนี้พูดออกมาในเวลานี้เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่เจอเรื่องพ่อเฮงซวยเล่นงาน เสี่ยวเชี่ยนอยากให้แม่ที่ไม่ประสีประสาได้มีชีวิตที่สงบสุขเสียที

 

 

พอพูดออกไปแล้วเห็นแม่ดูหน้าเสียมาก เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ร้ายมาก

 

 

แต่ถ้าไม่ร้ายตอนนี้ จะต้องรอจนแม่เสียใจอีกรอบก่อนค่อยร้ายเหรอ?

 

 

“คนเรามีทางให้เลือกเดินเยอะ ตอนอายุน้อยถ้าผิดพลาดไปยังแก้ได้ แต่พอถึงวัยเท่าแม่แล้วก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเริ่มสร้างความรู้สึกกับใครใหม่ได้แล้วนะ หนูอยากให้อนาคตของแม่ทุกอย่างก้าวเดินไปอย่างถูกต้อง”

 

 

เจี่ยซิ่วฟางฟังลูกสาวพูดแล้วก็ขอบตาแดงๆ อยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้แค่เงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองดราม่ามาก เป็นเพราะอวี๋หมิงหลางคนเดียวเลย

 

 

พ่อเลี่ยวขับรถมาแล้วเรียกให้เจี่ยซิ่วฟางขึ้นรถ

 

 

“ไม่รบกวนดีกว่าเดี๋ยวฉันกับลูกจะเรียกรถกลับเอง…” เจี่ยซิ่วฟางหันหน้าหนีไม่อยากให้สองพ่อลูกเห็นว่าเธอสีหน้าไม่ดี เธอจะร้องไห้แล้ว

 

 

“ทางเดียวกันจะเป็นการรบกวนได้ยังไง” พ่อเลี่ยวยังมองไม่ออกว่าเจี่ยซิ่วฟางดูแปลกๆไป

 

 

“ขอบคุณค่ะอาเลี่ยว ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ก่อนหน้านี้แม่หนูไปรบกวนให้อาดูแลบ่อยรู้สึกขอบคุณมาก เป็นความบกพร่องของหนูเองที่ไม่ดูแลแม่ให้ดีค่ะ”

 

 

คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนฟังดูเหมือนขอบคุณ แต่แฝงความนัย

 

 

พ่อเลี่ยวเป็นคนเข้าใจง่าย เขาลงจากรถเดินตรงมาหาเสี่ยวเชี่ยน

 

 

“เสี่ยวเชี่ยน ทำไมพูดจาเกรงใจแบบนั้นล่ะ?”

 

 

“ไม่ได้เกรงใจนะคะ หนูจริงจังค่ะ ว่ากันว่าญาติที่อยู่ไกลหรือจะสู้เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่พวกเราไม่ได้เป็นทั้งญาติทั้งเพื่อน จะรบกวนคุณอาบ่อยๆก็เกรงใจ คู่หมั้นหนูจะช่วยเลือกที่ที่เหมาะสมให้แม่หนู สภาพแวดล้อมจะช่วยให้แม่กับน้องชายหนูโอเคขึ้นเองค่ะ”

 

 

“ฉันเข้าใจแล้ว…” พ่อเลี่ยวเข้าใจความหมายของเสี่ยวเชี่ยน เขานิ่งอยู่สักพัก มองเจี่ยซิ่วฟางที่หันหลังให้ เอ่ยคำลาแล้วเดินขึ้นรถไป

 

 

พอรถไปไกลแล้วเจี่ยซิ่วฟางถึงหันกลับมา เสี่ยวเชี่ยนมองสายตาของแม่ที่ดูเศร้าสร้อย ในใจเหมือนมีฝูงแกะนับหมื่นตัวกำลังวิ่งพล่าน

 

 

ทำไมเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าแม่ซีหวังหมู่ที่หยิบปิ่นปักผมออกมาวาดทางช้างเผือก? สายตาของแม่ทำไมช่างเหมือนกับสาวทอผ้า ส่วนหนุ่มเลี้ยงวัวก็ขับรถพาลูกชายไปทางเหนือแล้ว สาวทอผ้าได้แต่มองตาละห้อยทั้งน้ำตา

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำตัวเป็นคนเลวอีกแล้ว อยากจะได้รับการปลอบใจจากอวี๋หมิงหลางหน่อย แต่พอกวาดตาไปมองเขาก็โมโหควันแทบออกจากจมูก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด