แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 733 เด็กที่ร้องไห้เป็นใช่ว่าจะมีนมกินเสมอไป

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 733 เด็กที่ร้องไห้เป็นใช่ว่าจะมีนมกินเสมอไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ได้เห็นฟู่กุ้ยตัดสินใจซื้อบ้านด้วยความโมโห เสี่ยวเชี่ยนก็ได้ข้อสรุปความจริงบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้  

 

 

           ผู้ชายที่มีความเป็นลูกผู้ชายสูงทุกคนมักจะกลายร่างเป็นบอสใหญ่จอมบงการยามที่จีบสาว ต่อให้แท้ที่จริงแล้วตัวตนเป็นคนอ่อนโยนก็สามารถถูกแรงกระตุ้นบางอย่างทำให้มีความกล้าทำเรื่องบางอย่างได้  

 

 

           การกระทำแบบนี้เป็นเพียงแค่การประชดของชายหนุ่มผู้ทรงความรู้ที่อายุมาก ทำเพื่อสาวที่ตนเองชอบ แต่กลับทำให้พี่ใหญ่พอใจมาก  

 

 

           ในขณะที่ฟู่กุ้ยไปจ่ายเงินอยู่นั้น พี่ใหญ่ก็เรียกผู้จัดการมาหาแล้วกระซิบบางอย่าง ผู้จัดการพยักหน้าเป็นการตอบรับ  

 

 

           เสี่ยวเชี่ยนเล่นเล็บตัวเองอย่างคนไม่มีอะไรทำ “พี่ใหญ่คิดจะโกงเหรอคะ”  

 

 

“ธุรกิจของครอบครัวตัวเอง น้ำปุ๋ยไม่ไหลลงนาคนนอก” พี่ใหญ่โกงอย่างเปิดเผย  

 

 

           “เห้อ นักธุรกิจเจ้าเล่ห์อย่างพวกพี่นี่นะ จึ๊ๆ”  

 

 

           พี่ใหญ่เห็นท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็ขำ “รางวัลที่หนึ่งให้ฟู่กุ้ย รางวัลที่สองเธอเอาไหม”  

 

 

           “รางวัลคืออะไรคะ”  

 

 

           “ดูเหมือนจะเป็นชุดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านนำเข้าจากเมืองนอก บ้านพวกเธอยังว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ พอดีเลย”  

 

 

           “พี่ควรจะไปดูรสนิยมด้านความงามของน้องชายพี่นะคะ”  

 

 

           “ตอนนี้มันไม่ข้องเกี่ยวกับบ้านเราแล้ว นั่นผู้ชายของเธอ แม่พี่พูดแล้วว่า ต่อไปถ้าเจ้าเล็กทำตัวปัญญาอ่อนถือเป็นเรื่องของบ้านเธอ” พี่ใหญ่ไม่ต้องไปเห็นกับตาก็พอจะจินตนาการได้ว่าน้องชายตัวเองคงไม่ได้ทำเรื่องที่น่าพิสมัยแน่นอน  

 

 

           “แม่พี่ไม่มีทางพูดแบบนั้น พี่พูดเองมากกว่า”  

 

 

           พี่ใหญ่พอถูกจับไต๋ได้ก็ยิ้มแฉ่งเหมือนพระสังกัจจายน์  

 

 

           “เอาจริงๆนะ เสี่ยวเชี่ยน ต่อไปเธอต้องอบรมคนบ้าจอมเผด็จการของบ้านเธอหน่อยละ เรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับเธอนะ ไม่ว่าจะกี่โมงเช้าสายบ่ายค่ำ มันโทรมากวนพี่ได้ตลอด เธอต้องไปสั่งสอนมันบ้าง”  

 

 

           “พี่ใหญ่ ถ้าฉันไปห้ามเขา ต่อไปถ้าฉันมาเที่ยวเล่นที่นี่แล้วจะได้ของรางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านเหรอ แบบนี้เขาเรียกว่าเด็กที่ร้องไห้เป็นย่อมมีนมกิน ฉันกับเสี่ยวเฉียงเป็นพวกมนุษย์เงินเดือน เขาเป็นทหาร ฉันเป็นจิตแพทย์ พวกเราจนมากนะคะ ท่านผู้นำกล่าวไว้ไม่ใช่เหรอว่า ต้องให้คนส่วนหนึ่งมีโอกาสรวยขึ้นมาก่อน จากนั้นทุกคนถึงจะรวยไปด้วยกัน  

 

 

           พี่ใหญ่มุมปากกระตุก “พวกเธอสองคนทำไมถึงได้พูดจาเหมือนกันได้ขนาดนี้นะ เพี้ยนตามเจ้าเล็กใช่มะ อย่างพวกเธอเนี่ยนะมนุษย์เงินเดือน”  

 

 

           มนุษย์เงินเดือนบ้านไหนรักษาคนไข้คิดเงินเป็นนาที นี่มันเศรษฐินีชัดๆ  

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่เพี้ยนเสียหน่อย” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มกว้างออกมา “อีกหน่อยย้ายไปอยู่ด้วยกันไม่แน่อาจเพี้ยนตามกัน”  

 

 

           “…”  

 

 

           ช่วงหลายปีมานี้เสี่ยวเฉียงกับเสียวเหม่ยแยกกันอยู่เสียเป็นส่วนมาก ขนาดแยกกันอยู่ยังมีพลังทำลายล้างขนาดนี้ คนฉลาดสองคนถ้าย้ายไปอยู่ด้วยกันคงมีเรื่องสนุกทุกวันแน่ ต่างเป็นพวกชอบวางแผนแกล้งคนด้วยกันทั้งคู่ ถ้าอยู่ด้วยกัน…  

 

 

           พี่ใหญ่แอบตัดสินใจอย่างเงียบๆแล้วว่า ต่อไปเขาต้องมาเมืองนี้ให้น้อยที่สุด เขาสังหรณ์ใจว่า มาครั้งหนึ่งก็ต้องถูกปอกลอกแน่นอน เมื่อก่อนแยกเป็นอวี๋ปอกลอกกับเฉินปอกลอก ตอนนี้กำลังจะรวมร่างกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดี  

 

 

           แต่ความคิดนี้ก็แค่แวบเข้ามาในหัวชั่วขณะ เพราะพี่ใหญ่รู้ดีว่าตัวเองขาดเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้  

 

 

           “เสี่ยวเชี่ยน ไม่ล้อเล่นละเข้าประเด็นดีกว่า เอกสารที่พี่ให้ไปเมื่อกี้ต้องรักษาคนๆนั้นให้ได้นะ พี่ดันไปโม้เอาไว้เยอะ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงโปรเจ็คต์ใหญ่ ถ้าเธอช่วยพี่ได้อยากได้อะไรก็บอกมาเลย”  

 

 

           “ฉันก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร พี่แค่ไปช่วยทำบ้านที่น้องชายพี่ทำผลงานอันน่าอัศจรรย์เอาไว้ ทำให้มันอยู่ได้ก็พอแล้วค่ะ” ในกระเป๋าของเสี่ยวเชี่ยนมีซองเอกสารสีน้ำตาลที่ถูกปิดผนึกแน่นเพิ่มเข้ามา เดิมเมื่อครู่พี่ใหญ่เรียกเสี่ยวเชี่ยนขึ้นไปกะนั่งคุยดีๆ ปรากฏว่าพอยื่นซองเอกสารให้เสี่ยวเชี่ยนเสร็จยังไม่ทันได้พูดอะไรเขาก็ถูกลูกน้องโทรเร่งให้ลงมา  

 

 

           แต่พอลงมาก็เห็นฟู่กุ้ยกับหม่าลุ่ยกำลังเขม่นกัน เพื่อที่จะได้มีข่าวเม้าท์ไปรายงานศรีภรรยาที่ชอบซุบซิบเรื่องชาวบ้าน พี่ใหญ่จึงทิ้งงานอื่นไว้ก่อนแล้วมาดูละครฉากเด็ด  

 

 

           เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่รีบร้อนดูเอกสาร เธอไม่เชื่อหรอกว่าจะมีเคสที่เธอจัดการไม่ได้ ดังนั้นจึงเหมือนรับปากพี่ใหญ่ไปโดยปริยาย  

 

 

           “ผลงานเจ้าเล็กมันอลังการขนาดไหนเหรอ” พี่ใหญ่ถามเสี่ยวเชี่ยน  

 

 

           เสี่ยวเชี่ยนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเปิดอัลบั้มภาพที่ถูกถ่ายด้วยกล้องมือถือความละเอียดล้านพิกเซล  

 

 

           พี่ใหญ่ดูอย่างเงียบๆพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่  

 

 

           “พี่ว่า…พามันไปหาจิตแพทย์เถอะ บางทีฟู่กุ้ยอาจจะรักษาได้”  

 

 

           นี่มันมิติลี้ลับหรืออะไร ทำไมทุเรศได้ขนาดนี้  

 

 

           เสี่ยวเชี่ยนทำพี่ใหญ่ช็อคได้สำเร็จ พอใจละ แต่ผ่านไปสองวิพี่ใหญ่ก็หัวเราะออกมา  

 

 

           “พี่ใหญ่ขำอะไรคะ”  

 

 

           “ก็ขำที่ ขนาดไอ้เล็กเป็นแบบนี้มันยังหาเมียได้เลยนะ ผู้ชายที่ประหลาดขนาดนี้เธอคงต้องเก็บไว้เองแล้วล่ะ อยากจะคืนตอนนี้ก็เสียใจด้วยนะ บ้านเราไม่รับคืน ฮ่าๆๆ”  

 

 

           “…” ก็ได้ พี่ชนะ  

 

 

           ด้านหน้าออฟฟิศฝ่ายขายมีบ่อน้ำพุอยู่ หากเดินออกไปอีกหน่อยก็คือลานจอดรถ หลิวเหมยเดินออกไปกับหม่าลุ่ย เขายังคงเดินนำหน้าเหมือนเดิม  

 

 

           ก่อนหน้านี้ที่คบกันก็เป็นแบบนี้ ถึงจะเดทกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเขาจะเดินนำหน้าโดยไม่หันมามองเลยสักครั้ง ถ้าเธอเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น เขาก็จะเร่งฝีเท้ายิ่งกว่า เขาให้เหตุผลว่า เขาสวมชุดทหารไม่เหมาะที่จะเดินใกล้ผู้หญิง เธอก็เชื่อ  

 

 

           หลิวเหมยเองก็ไม่ได้แคร์เรื่องระหว่างชายหญิงสักเท่าไร แต่พอมาอยู่กับเสี่ยวเชี่ยน เธอก็เริ่มเปลี่ยนความคิด ท่าทีของพี่ชายกับพี่สะใภ้ที่มีต่อกันล้วนอยู่ในสายตาของเธอ บวกกับเสี่ยวเชี่ยนได้สอนเรื่องบางอย่างให้กับเธอ เธอจึงรู้สึกว่าตอนนี้เธอเริ่มมีความละโมบในเรื่องของความรู้สึกมากขึ้นแล้ว  

 

 

           บางทีการแต่งงานอาจไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่แค่คนสองคนมาอยู่ด้วยกัน สามารถเดินไปคุยไปด้วยกันได้หรือเปล่า พูดคุยภาษาเดียวกันหรือเปล่า เรื่องพวกนี้สำคัญมาก  

 

 

           โดยเฉพาะเมื่อกี้ตอนที่ดูบ้าน พี่ฟู่กุ้ยอยู่ข้างเธอตลอด ทำให้หลิวเหมยรู้สึกว่า ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะเป็นแบบหม่าลุ่ย  

 

 

หม่าลุ่ยไม่สังเกตเห็นเลยว่าหลิวเหมยกำลังคิดหนัก เขาสาวเท้าเดินนำหน้า พอไปถึงลานจอดรถที่ไม่ค่อยมีคนก็หยุดเดิน หลิวเหมยเอาแต่คิดเรื่องอื่นไม่ทันระวังจึงเกือบชนกับหลังของเขา  

 

 

“คุณอายุเท่าไรแล้ว ทำไมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”  

 

 

พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร แต่อยู่ๆหลิวเหมยก็นึกถึงตอนที่หกล้มเมื่อครู่ สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเลี่ยวฟู่กุ้ย รวมถึงท่าทางร้อนใจตอนถามเธอว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า  

 

 

“ตกลงวันนี้มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคุณถึงได้อยู่แต่กับผู้ชายคนนั้น” หม่าลุ่ยเก็บความโมโหไว้ตลอดช่วงเช้า  

 

 

“แล้วทำไมคุณถึงได้อยู่ห่างจากฉันนัก” เห็นอยู่ชัดๆว่าแค่หันมาก็มาอยู่กับเธอได้แล้ว แต่เขากลับเดินห่างออกไปแล้วไปอยู่แต่กับครอบครัวตัวเอง  

 

 

“แล้วคุณจะเดินเข้ามาหาเองไม่ได้เหรอ ผู้ชายบ้านไหนกันที่เขาเข้าหาผู้หญิงก่อน” แต่เล็กจนโตหม่าลุ่ยเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ผู้หญิงต่ำต้อยกว่าผู้ชาย เขารู้สึกว่าการใกล้ชิดกับผู้หญิงมากเกินไปทำให้ภาพลักษณ์เขาดูแย่ลง โดยเฉพาะหลิวเหมยที่ครอบครัวฐานะดีกว่าครอบครัวเขา ถ้าเดินใกล้กับหลิวเหมยคนอื่นก็จะมองว่าเขาเข้าหาเธอเพราะเงิน  

 

 

“เยอะแยะ พี่ชายฉันคอยอยู่ข้างพี่สะใภ้ตลอด แต่ฉันคิดๆดูมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ควรคบกับคุณแต่แรก ทำเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย”  

 

 

หลิวเหมยคิดได้แล้ว  

 

 

“คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่”  

 

 

“พวกเรา…เลิกกันเถอะ”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด