แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1002 ทางเลี้ยวมหันตภัย?

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1002 ทางเลี้ยวมหันตภัย? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฮืออออ…”

เสียงร้องไห้ลอยล่องอยู่ในไอหมอกมืด พวกหลิงม่อเดินอยู่ใจกลางช่องทางเดินอย่างระมัดระวัง พวกเขาแทบอาศัยสัญชาตญาณในการคลำทาง ถึงแม้ที่นี่เป็นช่องทางเดินที่ค่อนข้างแคบและปิดสนิท แต่สภาพแวดล้อมอย่างนี้ไม่เพียงทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก แต่กลับทำให้เสียงสะท้อนก้องขึ้นไปอีก

ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ประหลาดแบบไหนส่งเสียงร้องไห้ออกมา และไม่มีใครบอกได้ว่าหากเดินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไปเจอกับอะไรน่ากลัวเข้าหรือไม่…สรุปก็คือ สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้คนมโนภาพไปไกลได้ง่ายๆ…โดยเฉพาะสวี่ซูหานที่อยู่ในกลุ่ม ทั้งที่กลัวมากแต่เธอกลับจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด ไม่กล้าปล่อยผ่านกระทั่งเสียงลมพัดใบหญ้าปลิว

“เหมือนจะใกล้ขึ้นอีกหน่อยแล้ว” สวี่ซูหานจ้องมองเข้าไปในความมืดเขม็ง พลางบอกเสียงเบา

หลิงม่อกับอวี่เหวินซวนพอได้ยินก็รีบกลั้นหายใจ พลางเบิกตากว้างจ้องมองไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ

“ฮือออ…”

ท่ามกลางความมืด เสียงร้องไห้ชัดเจนขึ้นจริงๆ…

“เจอแล้ว…” เสียงของอวี่เหวินซวนแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นเลือนราง ใกล้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงร้องไห้จะได้ยินไหม…แต่เขาคิดว่า ถึงแม้พวกเขาจะส่งเสียงอะไรขึ้นกะทันหัน แต่ขอเพียงไม่ดังกลบเสียงร้องนี้ ก็ไม่น่าจะถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว ดังนั้นถึงแม้เสียงร้องไห้จะประหลาด แต่กลับมีประโยชน์กับพวกเขาไม่น้อยทีเดียว

“ใจเย็นๆ ระวังตัวหน่อย” หลิงม่อเตือนอย่างใจเย็น การตอบสนองอย่างใจเย็นของเขาเตือนสติอวี่เหวินซวนและสวี่ซูหานได้เป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาคนหนึ่งตื่นจากความตื่นเต้นคนหนึ่งตื่นจากความหวาดกลัว

เป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ ตอนนี้คือเวลาที่ควรระวังตัวมากที่สุด…อย่าทำให้เกิดความผิดพลาดอะไรในเวลาสำคัญอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาคงเสียเปล่า

“ไป” หลังจากพิจารณาแยกแยะอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็พูดกับทั้งสอง ขณะเดียวกัน เขาเองก็เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบหนึ่งก้าว ใช้ร่างกายบังสวี่ซูหานไว้ข้างหลังอย่างเป็นธรรมชาติ

สวี่ซูหานที่กำลังตกใจกลัวตัวสั่นพลันชะงักงัน ทว่าไม่นานเธอก็ได้สติอย่างรวดเร็ว กระตุกชายเสื้อหลิงม่อบอกว่า “เดินหน้าต่อ ทางตรง”

ตอนที่ทำนห้าที่นำทางอย่างเดียว แน่นอนว่าซอมบี้สาวอย่างสวี่ซูหานคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญอย่างนี้ คนที่สามารถรับหน้าที่นำทีมได้ดีที่สุด กลับยังคงต้องเป็นหลิงม่อ มีพลังสัมผัสรู้ของเขาอยู่ ไม่ว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะรับรู้ได้ล่วงหน้า อวี่เหวินซวนเดินตามหลังอย่างว่าง่าย ทว่าฟังจากเสียงถูฝ่ามือไปมาเบาๆ ของเขาก็รู้แล้ว เจ้าเฟิ่งจื่อคนนี้แทบรอไม่ไหวแล้ว

“ซ้าย…”

แต่ในตอนนั้นเอง หางตาของหลิงม่อเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกหนังศีรษะตึงชา พลันตวัดสายตามองตามไป

หายไปแล้ว…

ตรงนั้นยังคงมืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย

หรือว่าเขามองผิดไป? ไม่ ไม่มีทาง…จะว่าไปแล้ว เขาอยู่ในความมืดมานานแล้ว ถึงมันจะมืดสนิท แต่ดวงตาเขาก็เริ่มปรับสภาพในความมืดได้แล้ว ดังนั้นสำหรับหลิงม่อการปรากฏตัวของเงาร่างนั้น ก็เหมือนกับไฟดวงหนึ่งที่ปรากฏขึ้นกะทันหันบนผ้าสีดำผืนที่คุ้นเคย ถึงแม้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่กลับมองเห็นได้ในแวบแรก

“เดี๋ยวก่อน!” เขาชะงักเท้าทันที พลางถามว่า “พวกนายเห็นอะไรไหม? เมื่อกี้…”

“มีอะไรงั้นหรอ?!” สวี่ซูหานตระหนก เธอแนบตัวชิดหลิงม่อแล้วถาม

อวี่เหวินซวนตอบ “ไม่นี่…”

“เมื่อกี้ฉันเห็นแล้ว” หลิงม่อพูดเสียงเย็น

“หา?” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง “มะ…หมายความว่าไง? นายเห็น…เห็นอะไร…”

“เงาคน” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ เงาที่เขาเห็นในเสี้ยววินาทีนั้น ความจริงเขาเหลือบเห็นมันอย่างไม่ตั้งใจ ดังนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเงานั้น เขาจึงจำได้ไม่มากนัก ถึงแม้พยายามนึกย้อน กลับนึกออกแค่ว่ามันเป็นเงา แต่อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ เงาเส้นนั้นเป็นเงาคน…

“เป็นเจ้าของเสียงฝีเท้าหรือเปล่า…หรือว่าเจ้าของเสียงร้องไห้?” อวี่เหวินซวนถาม

และขณะนั้นเองสวี่ซูหานได้มองตามสายตาของหลิงม่อไป หลังนิ่งเงียบหนึ่งวินาที อยู่ๆ เธอก็เงยหน้ามองซ้ายขวาแล้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า “สะ…เสียงร้องไห้หายไปแล้ว”

พอเธอพูดอย่างนี้ หลิงม่อกับอวี่เหวินซวนก็เหมือนจะเพิ่งรู้สึก ช่องทางเดินเส้นนี้จู่ๆ ก็เงียบเป็นเป่าสาก…

พอหลิงม่อมองเห็นเงาคน เสียงร้องไห้นั้นก็หายไป…

“บังเอิญเกินไปแล้วมั้ง…รู้สึกอย่างกับมันเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง อีกอย่าง ถ้าหากจะทำให้หลิงม่อมองเห็นเงานั้นพอดี ก็ต้องรีบทำในขณะที่ไอหมอกมืดที่อยู่ระหว่างพวกเขาเลือนหายไปหรือเปล่า” สวี่ซูหานพูดออกมาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด ลางสังหรณ์ในใจเธอำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะหันหลังกลับไปก็คงไม่ทันแล้ว ถึงเธออยากหลับ แล้วสองคนนี้จะยอมหรอ…ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว ตัวเธอเองก็ไม่ได้อยากหันหลังกลับจริงๆ…

“แต่พวกเราไม่เห็นอะไรเลยนี่” อวี่เหวินซวนกลับพูดขึ้น “ถ้าหากเป็นสัญญาณ อีกฝ่ายทำให้หลิงม่อเห็นคนเดียวได้ยังไง? อีกอย่างบอกตามตรง เมื่อกี้ฉันก็จ้องไปข้างหน้าตลอดเหมือนกัน แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย แต่ว่า…อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นความบังเอิญอะไรบางอย่างก็ได้ ฉันเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าเมื่อกี้ได้กระพริบตาหรือเปล่า”

ช่วงเวลาคับขัน การวิเคราะห์ของอวี่เหวินซวนถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว… “เอาเป็นว่าตอนนี้เสียงร้องไห้หายไปแล้ว ถ้าหากเงาคนที่หลิงม่อเห็นเป็นเจ้าของเสียงร้องไห้ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาก็เหลือเพียงเรื่องเดียวแล้ว—จะตามไปหรือไม่?”

เขาสื่อความหมายชัดเจน…ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแผนลวง แต่จนถึงตอนนี้ สิทธิ์ในการเลือกก็ยังอยู่ในมือพวกเขา แต่พวกเขาจะตกใจกับเสียงร้องไห้และเงาคนเงาหนึ่งแล้วหันหลังกลับทั้งที่ยังหาอะไรไม่เจอเลยหรือไม่? เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับหลิงม่อแล้ว …

“พวกเราจะตามไป” หลิงม่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขานวดหว่างคิ้ว “บอกตามตรง ฉันเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน…แต่ไม่ต้องถามฉัน ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเหมือนกัน พอมาถึงที่นี่ พลังของฉันก็ถูกกดไว้ โดยเฉพาะพลังสัมผัสรู้ ไอหมอกมืดพวกนี้เป็นแค่สาเหตุหนึ่งเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าที่นี่ยังมีแหล่งก่อกวนซ่อนอยู่อีก”

“อย่างนั้น…” สวี่ซูหานเม้มปาก ยกมือชี้ออกไปแล้วบอกว่า “ห่างออกไปข้างหน้าสิบเมตร…”

เธอเลือกที่จะนำทางโดยเร็ว…ความจริงที่หลิงม่อยอมพูดออกมา เธอมองว่าเป็นการให้เกียรติ์อย่างหนึ่งแล้ว…อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ลากพวกเธอตามไปโดยที่ไม่บอกอะไรให้พวกเธอรู้เรื่องเลย…

“เร็วเข้า…”

ท่ามกลางเสียงเร่ง พวกหลิงม่อได้รีบเลี้ยวเข้าไปในช่องทางเดินที่อยู่ข้างซ้าย และวิ่งทะยานด้วยความเร็วออกไปในระยะหนึ่ง แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากอีกด้านหนึ่งของทางเลี้ยว

“ตึกๆ…”

—————————–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1002 ทางเลี้ยวมหันตภัย?

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1002 ทางเลี้ยวมหันตภัย? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฮืออออ…”

เสียงร้องไห้ลอยล่องอยู่ในไอหมอกมืด พวกหลิงม่อเดินอยู่ใจกลางช่องทางเดินอย่างระมัดระวัง พวกเขาแทบอาศัยสัญชาตญาณในการคลำทาง ถึงแม้ที่นี่เป็นช่องทางเดินที่ค่อนข้างแคบและปิดสนิท แต่สภาพแวดล้อมอย่างนี้ไม่เพียงทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก แต่กลับทำให้เสียงสะท้อนก้องขึ้นไปอีก

ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ประหลาดแบบไหนส่งเสียงร้องไห้ออกมา และไม่มีใครบอกได้ว่าหากเดินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไปเจอกับอะไรน่ากลัวเข้าหรือไม่…สรุปก็คือ สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้คนมโนภาพไปไกลได้ง่ายๆ…โดยเฉพาะสวี่ซูหานที่อยู่ในกลุ่ม ทั้งที่กลัวมากแต่เธอกลับจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด ไม่กล้าปล่อยผ่านกระทั่งเสียงลมพัดใบหญ้าปลิว

“เหมือนจะใกล้ขึ้นอีกหน่อยแล้ว” สวี่ซูหานจ้องมองเข้าไปในความมืดเขม็ง พลางบอกเสียงเบา

หลิงม่อกับอวี่เหวินซวนพอได้ยินก็รีบกลั้นหายใจ พลางเบิกตากว้างจ้องมองไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ

“ฮือออ…”

ท่ามกลางความมืด เสียงร้องไห้ชัดเจนขึ้นจริงๆ…

“เจอแล้ว…” เสียงของอวี่เหวินซวนแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นเลือนราง ใกล้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงร้องไห้จะได้ยินไหม…แต่เขาคิดว่า ถึงแม้พวกเขาจะส่งเสียงอะไรขึ้นกะทันหัน แต่ขอเพียงไม่ดังกลบเสียงร้องนี้ ก็ไม่น่าจะถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว ดังนั้นถึงแม้เสียงร้องไห้จะประหลาด แต่กลับมีประโยชน์กับพวกเขาไม่น้อยทีเดียว

“ใจเย็นๆ ระวังตัวหน่อย” หลิงม่อเตือนอย่างใจเย็น การตอบสนองอย่างใจเย็นของเขาเตือนสติอวี่เหวินซวนและสวี่ซูหานได้เป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาคนหนึ่งตื่นจากความตื่นเต้นคนหนึ่งตื่นจากความหวาดกลัว

เป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ ตอนนี้คือเวลาที่ควรระวังตัวมากที่สุด…อย่าทำให้เกิดความผิดพลาดอะไรในเวลาสำคัญอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาคงเสียเปล่า

“ไป” หลังจากพิจารณาแยกแยะอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็พูดกับทั้งสอง ขณะเดียวกัน เขาเองก็เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบหนึ่งก้าว ใช้ร่างกายบังสวี่ซูหานไว้ข้างหลังอย่างเป็นธรรมชาติ

สวี่ซูหานที่กำลังตกใจกลัวตัวสั่นพลันชะงักงัน ทว่าไม่นานเธอก็ได้สติอย่างรวดเร็ว กระตุกชายเสื้อหลิงม่อบอกว่า “เดินหน้าต่อ ทางตรง”

ตอนที่ทำนห้าที่นำทางอย่างเดียว แน่นอนว่าซอมบี้สาวอย่างสวี่ซูหานคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญอย่างนี้ คนที่สามารถรับหน้าที่นำทีมได้ดีที่สุด กลับยังคงต้องเป็นหลิงม่อ มีพลังสัมผัสรู้ของเขาอยู่ ไม่ว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะรับรู้ได้ล่วงหน้า อวี่เหวินซวนเดินตามหลังอย่างว่าง่าย ทว่าฟังจากเสียงถูฝ่ามือไปมาเบาๆ ของเขาก็รู้แล้ว เจ้าเฟิ่งจื่อคนนี้แทบรอไม่ไหวแล้ว

“ซ้าย…”

แต่ในตอนนั้นเอง หางตาของหลิงม่อเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกหนังศีรษะตึงชา พลันตวัดสายตามองตามไป

หายไปแล้ว…

ตรงนั้นยังคงมืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย

หรือว่าเขามองผิดไป? ไม่ ไม่มีทาง…จะว่าไปแล้ว เขาอยู่ในความมืดมานานแล้ว ถึงมันจะมืดสนิท แต่ดวงตาเขาก็เริ่มปรับสภาพในความมืดได้แล้ว ดังนั้นสำหรับหลิงม่อการปรากฏตัวของเงาร่างนั้น ก็เหมือนกับไฟดวงหนึ่งที่ปรากฏขึ้นกะทันหันบนผ้าสีดำผืนที่คุ้นเคย ถึงแม้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่กลับมองเห็นได้ในแวบแรก

“เดี๋ยวก่อน!” เขาชะงักเท้าทันที พลางถามว่า “พวกนายเห็นอะไรไหม? เมื่อกี้…”

“มีอะไรงั้นหรอ?!” สวี่ซูหานตระหนก เธอแนบตัวชิดหลิงม่อแล้วถาม

อวี่เหวินซวนตอบ “ไม่นี่…”

“เมื่อกี้ฉันเห็นแล้ว” หลิงม่อพูดเสียงเย็น

“หา?” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง “มะ…หมายความว่าไง? นายเห็น…เห็นอะไร…”

“เงาคน” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ เงาที่เขาเห็นในเสี้ยววินาทีนั้น ความจริงเขาเหลือบเห็นมันอย่างไม่ตั้งใจ ดังนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเงานั้น เขาจึงจำได้ไม่มากนัก ถึงแม้พยายามนึกย้อน กลับนึกออกแค่ว่ามันเป็นเงา แต่อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ เงาเส้นนั้นเป็นเงาคน…

“เป็นเจ้าของเสียงฝีเท้าหรือเปล่า…หรือว่าเจ้าของเสียงร้องไห้?” อวี่เหวินซวนถาม

และขณะนั้นเองสวี่ซูหานได้มองตามสายตาของหลิงม่อไป หลังนิ่งเงียบหนึ่งวินาที อยู่ๆ เธอก็เงยหน้ามองซ้ายขวาแล้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า “สะ…เสียงร้องไห้หายไปแล้ว”

พอเธอพูดอย่างนี้ หลิงม่อกับอวี่เหวินซวนก็เหมือนจะเพิ่งรู้สึก ช่องทางเดินเส้นนี้จู่ๆ ก็เงียบเป็นเป่าสาก…

พอหลิงม่อมองเห็นเงาคน เสียงร้องไห้นั้นก็หายไป…

“บังเอิญเกินไปแล้วมั้ง…รู้สึกอย่างกับมันเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง อีกอย่าง ถ้าหากจะทำให้หลิงม่อมองเห็นเงานั้นพอดี ก็ต้องรีบทำในขณะที่ไอหมอกมืดที่อยู่ระหว่างพวกเขาเลือนหายไปหรือเปล่า” สวี่ซูหานพูดออกมาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด ลางสังหรณ์ในใจเธอำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะหันหลังกลับไปก็คงไม่ทันแล้ว ถึงเธออยากหลับ แล้วสองคนนี้จะยอมหรอ…ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว ตัวเธอเองก็ไม่ได้อยากหันหลังกลับจริงๆ…

“แต่พวกเราไม่เห็นอะไรเลยนี่” อวี่เหวินซวนกลับพูดขึ้น “ถ้าหากเป็นสัญญาณ อีกฝ่ายทำให้หลิงม่อเห็นคนเดียวได้ยังไง? อีกอย่างบอกตามตรง เมื่อกี้ฉันก็จ้องไปข้างหน้าตลอดเหมือนกัน แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย แต่ว่า…อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นความบังเอิญอะไรบางอย่างก็ได้ ฉันเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าเมื่อกี้ได้กระพริบตาหรือเปล่า”

ช่วงเวลาคับขัน การวิเคราะห์ของอวี่เหวินซวนถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว… “เอาเป็นว่าตอนนี้เสียงร้องไห้หายไปแล้ว ถ้าหากเงาคนที่หลิงม่อเห็นเป็นเจ้าของเสียงร้องไห้ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาก็เหลือเพียงเรื่องเดียวแล้ว—จะตามไปหรือไม่?”

เขาสื่อความหมายชัดเจน…ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแผนลวง แต่จนถึงตอนนี้ สิทธิ์ในการเลือกก็ยังอยู่ในมือพวกเขา แต่พวกเขาจะตกใจกับเสียงร้องไห้และเงาคนเงาหนึ่งแล้วหันหลังกลับทั้งที่ยังหาอะไรไม่เจอเลยหรือไม่? เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับหลิงม่อแล้ว …

“พวกเราจะตามไป” หลิงม่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขานวดหว่างคิ้ว “บอกตามตรง ฉันเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน…แต่ไม่ต้องถามฉัน ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเหมือนกัน พอมาถึงที่นี่ พลังของฉันก็ถูกกดไว้ โดยเฉพาะพลังสัมผัสรู้ ไอหมอกมืดพวกนี้เป็นแค่สาเหตุหนึ่งเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าที่นี่ยังมีแหล่งก่อกวนซ่อนอยู่อีก”

“อย่างนั้น…” สวี่ซูหานเม้มปาก ยกมือชี้ออกไปแล้วบอกว่า “ห่างออกไปข้างหน้าสิบเมตร…”

เธอเลือกที่จะนำทางโดยเร็ว…ความจริงที่หลิงม่อยอมพูดออกมา เธอมองว่าเป็นการให้เกียรติ์อย่างหนึ่งแล้ว…อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ลากพวกเธอตามไปโดยที่ไม่บอกอะไรให้พวกเธอรู้เรื่องเลย…

“เร็วเข้า…”

ท่ามกลางเสียงเร่ง พวกหลิงม่อได้รีบเลี้ยวเข้าไปในช่องทางเดินที่อยู่ข้างซ้าย และวิ่งทะยานด้วยความเร็วออกไปในระยะหนึ่ง แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากอีกด้านหนึ่งของทางเลี้ยว

“ตึกๆ…”

—————————–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+