แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1029 ช่วงเวลาวิกฤติ

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1029 ช่วงเวลาวิกฤติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นอกจากระยะทางที่สั้นลงเรื่อยๆ แล้ว เย่เลี่ยนยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรงมากอีกเรื่องหนึ่งด้วย—

กระสุนของเธอ เริ่มขาดแคลนแล้ว…

และดูจากพลังที่เด็กผู้หญิงนั่นแสดงออกมาให้เห็น หากการต่อสู้ระหว่างพวกเธอถูกบังคับให้กลายเป็นการต่อสู้ระยะประชิดเมื่อใด เย่เลี่ยนก็จะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที ความจริงแล้ว สาเหตุที่เธอยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้อย่างไร้บาดแผล เป็นเพราะเธอมีอาวุธระยะไกลอยู่ในมือ ภายใต้สถานการณ์ที่พลังความสามารถแตกต่างกันอย่างนี้ บทบาทของอาวุธร้อนนั้นสำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด

แต่ที่แย่ก็คือ ข้อได้เปรียบนี้อยู่ได้ไม่นาน…

“ทำไมล่ะ ไม่ยิงต่อแล้วหรอ? อย่ายอมแพ้สิ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงกระสุนทุกนัดของพี่ทำฉันเจ็บไม่เบาเหมือนกันนะ…” เด็กสาวเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “ใช่สิ ฉันต้องเตือนพี่หน่อยหรือเปล่า…พี่รู้ไหม? ความจริงแล้ว พวกหลิงม่ออย่ใกล้ๆ พี่แล้วล่ะ…”

“อะไรนะ?” เย่เลี่ยนชะงัก เธอหยุดเดินถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ทว่าไม่นานเธอก็เบิกตากว้าง “แย่แล้ว!”

วูบ!

เพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ นี้ เด็กผู้หญิงได้หายตัวไปจากที่เดิม และมาปรากฏตัวอยู่ข้างเย่เลี่ยนในพริบตา ดวงตาที่ยิ้มหยีจนกลายเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว แต่ลึกๆ แล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและความโหดร้ายจ้องมาที่เย่เลี่ยน หัวเราะบอกว่า “คิกๆ เจอจุดอ่อนแล้ว…”

วูบ!

เสียงหัวเราะไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิง ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแหวกอากาศโจมตีมาจากข้างหน้า เย่เลี่ยนที่ม่านตาหดเล็กลงอย่างรวดเร็วทำได้เพียงยกปืนไรเฟิลขึ้นขวางไว้ข้างหน้า ร่างกายเธอกระเด็นลอยไปข้างหลัง และกระแทกเข้าไปในผนังด้านหนึ่งอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ผนังด้านนั้นถล่มไปเกือบครึ่งส่วน แต่ดีที่แรงกระแทกส่วนมาถูกปืนไรเฟิลต้านรับไว้ เย่เลี่ยนจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางเศษปูนได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอยังไม่ทันยืนอย่างมั่นคง เงาร่างของเด็กผู้หญิงนั่นก็หายตัวมาปรากฏอยู่บนผนังที่เหลืออยู่ครึ่งส่วนนั้น มันยังคงมองเย่เลี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ปากก็พูดว่า “น่าแปลกนะ พี่เป็นซอมบี้แท้ๆ ทำไมถึงได้เป็นห่วงความปลอดภัยของมนุษย์นักล่ะ? ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เปิดโอกาสให้พี่หนีมาตลอด…แต่ในเมื่อพี่ไม่ยอมให้ความร่วมมือดีๆ ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงทำได้เพียง…”

โครม!

เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นอีกครั้ง เย่เลี่ยนกระเด็นลอยไปข้างหลังอีกหนึ่งระยะ เธอใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นแน่น หลังจากทิ้งรอยยาวๆ ไว้บนพื้นห้าเส้นเธอก็หยุดในที่สุด

เย่เลี่ยนหมายจะยกปืนขึ้น แต่กลับพบว่าบนกระบอกปืนมีจุดที่ยุบลงไปหนึ่งจุด และรอยยุบนั้น เป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงนั่น เธอพ่นลมหายใจเบาๆ หนึ่งที แล้วค่อยๆ ลดปืนลงช้าๆ พลิกมือหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมา ยังคงอยู่ในท่ากึ่งนั่งยองๆ จ้องเด็กผู้หญิงอย่างระแวดระวัง

ภายใต้การโจมตีรัวเป็นชุดเมื่อกี้ เสื้อผ้าของเย่เลี่ยนเริ่มมีรอยฉีกขาด บนผิวหนังที่เผยออกมาให้เห็นเลอะฝุ่นเต็มไปหมด แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ ผิวของเธอก็ยิ่งดูซีดขาว บางจุดกระทั่งเห็นเส้นเลือดสีเขียวเป็นเส้นๆ เลยด้วยซ้ำ เลือดในเส้นเลือดเหล่านั้นกำลังไหลพล่านอย่างต่อเนื่อง และดวงตาของเธอก็กลอกหมุนเร็วขึ้นกว่าเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด

แม้แต่ความรู้สึกยามมองเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง…ตอนที่ปืนไรเฟิลจู่โจมยังอยู่ในมือ เย่เลี่ยนเหมือนเหยี่ยวที่ลอบสังเกตการณ์จากที่ไกลๆ…แต่เวลานี้ เธอเหมือนอสุรกายที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าร้าง ทว่าภายใต้กลิ่นอายแกร่งกล้าที่แผ่ขยายไปทั่วนี้ สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นดวงหน้าที่งาดหยดย้อย รวมถึงเส้นผมยาวสลวยที่คลอเคลียพวงแก้มงาม และสยายลงที่หัวไหล่…

เอาล่ะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว” เสียงของเด็กผู้หญิงดังมาจากกลุ่มฝุ่นคลุ้ง  ขณะเดียวกันสิ่งที่ปรากฏพร้อมกันยังมีรองเท้าหนังคู่เล็กของมัน รองเท้าหนังคู่นั้นยกขึ้นและย่ำลงครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเป็นเสียงกระทบกับพื้นปูนดัง “ต๊อกแต๊กๆ” “พี่น่าจะรู้ดี เรื่องที่พี่ควรทำเมื่อกี้ก็คือวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมา ไม่ใช่คิดแต่จะโจมตีฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะอธิบายกฎระยะห่างห้าสิบเมตรไว้อย่างนั้น แต่ถ้าพี่คิดให้ดี พี่ก็จะเข้าใจ…ใช่แล้ว ด้วยสติปัญญาของพี่ น่าจะเข้าใจได้สิ? กฎข้อนั้น ความจริงแล้วอธิบายได้อีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ…หากหนีออกจากรัศมีห้าสิบเมตรได้ พี่ก็ปลอดภัย”

เงาร่างของมันเดินออกมาจากม่านฝุ่นเลือนราง “แต่พี่กลับเอาแต่เลือกทางที่ผิดอยู่อย่างนี้…จะว่าไงดีล่ะ…อ้อ ฉันคิดออกแล้ว” ในระยะห่างที่ไม่ถึงสิบเมตร เด็กผู้หญิงยืนส่ายหน้าใส่เย่เลี่ยน “เป็นซอมบี้หัวดื้ออย่างที่คิดจริงๆ…”

สวบ!

เย่เลี่ยนไม่พูดอะไร กระโจนเข้ามาอย่างไม่บอกกล่าว ความเร็วของเธอในตอนนี้สูงขึ้นมา หลังจากผ่านไปไม่ถึงศูนย์จุดหนึ่งวินาที มีดสั้นในมือเย่เลี่ยนพุ่งเฉือนไปที่ลำคอของเด็กผู้หญิง เมื่อประกายอาวุธอันเยือกเย็นสะท้อนแสงแยงตา เงาร่างอันว่องไว รวมถึงดวงหน้างดงามเย็นชา ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

“คิกๆ…” เสียงหัวเราะของเด็กสายังคงดังไม่หยุด เห็นเย่เลี่ยนโจมตีกะทันหัน มันกลับไม่แสดงสีหน้าผิดคาด เพียงแค่ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือเย่เลี่ยน วัดกันเรื่องความเร็ว เย่เลี่ยนช้ากว่ามันหนึ่งก้าวอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะที่มือของมันใกล้คว้าข้อมือเย่เลี่ยน ร่างกายของเย่เลี่ยนกลับเบี่ยงออกด้านข้างทันใด มีดสั้นพุ่งผ่านระหว่างนิ้วมือของมัน และแทงเข้าไปที่ใต้รักแร้ของมันดัง “ฉึก”

“หื้ม?” เด็กผู้หญิงอึ้งงันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากนำภาพเมื่อกี้มาทำเป็นภาพช้า ก็จะเห็นเหมือนว่ามันเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาคมมีดเอง…

ชั่วพริบตา เย่เลี่ยนดึงมีดสั้นออกมา หยดเลือดสาดกระเซ็นกลางอากาศ ทว่าไม่รอช้า เธอพลิกหมุนปลายเท้าไปยังด้านข้างของเด็กผู้หญิง และแทงออกไปอีกครั้ง

ในเวลาสั้นไม่กี่วินาที ร่างกายของเด็กผู้หญิงกระทั่งถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดงไปทั้งตัว ในขณะที่ตัวเย่เลี่ยนเองก็ถูกเลือดกระเด็นใส่ไม่น้อย เมื่อการเคลื่อนไหวของเธอเริ่มช้าลง ดวงตาของเธอก็แดงเข้มจนราวกับจะมีเลือดไหลออกมา เส้นเลือดมากมายแผ่ขยายออกมาจากหางตาของเธอ ดูแล้วเหมือนลวดลายงดงามที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองจุด ทว่าลวดลายนี้ปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ไม่นานก็หายไปแล้ว และลมหายใจของเย่เลี่ยนก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นในขณะเดียวกัน

การโต้กลับของเด็กผู้หญิงพลาดเป้าติดๆ กัน ในที่สุดมันก็มองเห็นโอกาสนี้ มันพลิกข้อมือ คว้าไปที่มีดสั้นของเย่เลี่ยน เดิมที่คมมีดควรพุ่งเฉียดฝ่ามือของมันไป แต่การเคลื่อนไหวของเย่เลี่ยนช้าลง วินาทีถัดมา เธอถูกเหวี่ยงออกไป จนร่างกายกระแทกเข้ากับผนังด้านหนึ่งอีกครั้ง

 “ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว…” เด็กผู้หญิงก้าวข้ามผนังพังๆ ดวงตามองไปที่เย่เลี่ยนที่กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ ในมือถือมีดสั้นที่เลอะคราบเลือดเอาไว้ ในเสี้ยววินาทีที่สายตาของพวกเธอสบประสานกัน เด็กผู้หญิงเผยยิ้ม แล้วบอกว่า “ตาของพี่ ใช่ไหม?”

“ฮั่ก…ฮั่ก…”

หน้าอกของเย่เลี่ยนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ถึงแม้เป็นการโจมตีเพียงไม่กี่วินาที แต่มันกลับเป็นผลที่เกิดจากเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ กลับยังมีชีวิตอยู่…ถึงแม้ว่าทุกย่างก้าวที่มันเดินจะทิ้งรอยเท้าสีเลือดไว้บนพื้น และหากเทียบกับเย่เลี่ยน มันเหมือนเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่าก็ตาม แต่เย่เลี่ยนกลับรู้ดีกว่าใคร ตอนนี้เธอเผาผลาญเรี่ยวแรงไปมหาศาลแล้ว แต่แผลของเด็กผู้หญิงนั่น กลับกำลังค่อยๆ สมานตัวกัน…

“เป็นตาของพี่ที่มองทะลุการเคลื่อนไหวของฉัน และสร้างโอกาสในการหลบหลีกกับโจมตีให้พี่ ใช่ไหม? คิกๆ น่าในใจ…ถ้าพี่ไม่วางของเล่นขิ้นนั้นลง ไม่แน่ว่าฉันอาจดูไม่ออกก็ได้ หรือพี่ถือมันไว้เพื่อปกปิดเรื่องนี้? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่ามันได้ผลมากเลยล่ะ…” เด็กผู้หญิงถือมีด เลือดไหลลงจากปลายมีดทีละหยดๆ ขณะที่ระยะห่างระหว่างมันกับเย่เลี่ยนก็กำลังสั้นลงเรื่อยๆ

“ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาของฉันแล้ว…หลังจากฆ่าพี่ เกมนี้ก็ใกล้จบแล้วล่ะ วางใจเถอะ ฉันจะฆ่าพวกเขาทีละคนๆ แน่นอน ส่วนหลิงม่อ…ฉันจะฆ่าเขา หลังจากที่ทำให้เขาเห็นศพของพี่…อ้อ ใช่สิ พี่ว่าฉันแอบอยู่หลังศพของพี่ดีไหม? คิกๆ ความคิดเข้าท่าใช่ไหมล่ะ?” เด็กผู้หญิงหัวเราะแล้วพูดอย่างตื่นเต้น

“พี่หลิง หนีไปเร็ว…”

ขณะเดียวกันนั้น ณ จุดตัดกันทางเดินสองเส้น…

หลิงม่อพลันชะงักเท้า แล้วมองไปที่ทางเดินที่อยู่ข้างซ้าย

“เป็นอะไรไป?” เสียงถามดังมาจากคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหน้า

สวี่ซูหานก้าวถอยสองก้าว ถามอย่างสงสัยว่า “นี่เป็นทางตันสินะ แถมยังไม่มีอะไรเลยด้วย หลิงม่อ นายเป็นอะไรไป? พวกเรายังต้องรีบไปตามหา…”

หลิงม่อยืนนิ่งและมองไปที่ผนังด้านหนึ่ง อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “ไม่ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”

———————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1029 ช่วงเวลาวิกฤติ

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1029 ช่วงเวลาวิกฤติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นอกจากระยะทางที่สั้นลงเรื่อยๆ แล้ว เย่เลี่ยนยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรงมากอีกเรื่องหนึ่งด้วย—

กระสุนของเธอ เริ่มขาดแคลนแล้ว…

และดูจากพลังที่เด็กผู้หญิงนั่นแสดงออกมาให้เห็น หากการต่อสู้ระหว่างพวกเธอถูกบังคับให้กลายเป็นการต่อสู้ระยะประชิดเมื่อใด เย่เลี่ยนก็จะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที ความจริงแล้ว สาเหตุที่เธอยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้อย่างไร้บาดแผล เป็นเพราะเธอมีอาวุธระยะไกลอยู่ในมือ ภายใต้สถานการณ์ที่พลังความสามารถแตกต่างกันอย่างนี้ บทบาทของอาวุธร้อนนั้นสำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด

แต่ที่แย่ก็คือ ข้อได้เปรียบนี้อยู่ได้ไม่นาน…

“ทำไมล่ะ ไม่ยิงต่อแล้วหรอ? อย่ายอมแพ้สิ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงกระสุนทุกนัดของพี่ทำฉันเจ็บไม่เบาเหมือนกันนะ…” เด็กสาวเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “ใช่สิ ฉันต้องเตือนพี่หน่อยหรือเปล่า…พี่รู้ไหม? ความจริงแล้ว พวกหลิงม่ออย่ใกล้ๆ พี่แล้วล่ะ…”

“อะไรนะ?” เย่เลี่ยนชะงัก เธอหยุดเดินถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ทว่าไม่นานเธอก็เบิกตากว้าง “แย่แล้ว!”

วูบ!

เพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ นี้ เด็กผู้หญิงได้หายตัวไปจากที่เดิม และมาปรากฏตัวอยู่ข้างเย่เลี่ยนในพริบตา ดวงตาที่ยิ้มหยีจนกลายเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว แต่ลึกๆ แล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและความโหดร้ายจ้องมาที่เย่เลี่ยน หัวเราะบอกว่า “คิกๆ เจอจุดอ่อนแล้ว…”

วูบ!

เสียงหัวเราะไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิง ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแหวกอากาศโจมตีมาจากข้างหน้า เย่เลี่ยนที่ม่านตาหดเล็กลงอย่างรวดเร็วทำได้เพียงยกปืนไรเฟิลขึ้นขวางไว้ข้างหน้า ร่างกายเธอกระเด็นลอยไปข้างหลัง และกระแทกเข้าไปในผนังด้านหนึ่งอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ผนังด้านนั้นถล่มไปเกือบครึ่งส่วน แต่ดีที่แรงกระแทกส่วนมาถูกปืนไรเฟิลต้านรับไว้ เย่เลี่ยนจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางเศษปูนได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอยังไม่ทันยืนอย่างมั่นคง เงาร่างของเด็กผู้หญิงนั่นก็หายตัวมาปรากฏอยู่บนผนังที่เหลืออยู่ครึ่งส่วนนั้น มันยังคงมองเย่เลี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ปากก็พูดว่า “น่าแปลกนะ พี่เป็นซอมบี้แท้ๆ ทำไมถึงได้เป็นห่วงความปลอดภัยของมนุษย์นักล่ะ? ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เปิดโอกาสให้พี่หนีมาตลอด…แต่ในเมื่อพี่ไม่ยอมให้ความร่วมมือดีๆ ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงทำได้เพียง…”

โครม!

เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นอีกครั้ง เย่เลี่ยนกระเด็นลอยไปข้างหลังอีกหนึ่งระยะ เธอใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นแน่น หลังจากทิ้งรอยยาวๆ ไว้บนพื้นห้าเส้นเธอก็หยุดในที่สุด

เย่เลี่ยนหมายจะยกปืนขึ้น แต่กลับพบว่าบนกระบอกปืนมีจุดที่ยุบลงไปหนึ่งจุด และรอยยุบนั้น เป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงนั่น เธอพ่นลมหายใจเบาๆ หนึ่งที แล้วค่อยๆ ลดปืนลงช้าๆ พลิกมือหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมา ยังคงอยู่ในท่ากึ่งนั่งยองๆ จ้องเด็กผู้หญิงอย่างระแวดระวัง

ภายใต้การโจมตีรัวเป็นชุดเมื่อกี้ เสื้อผ้าของเย่เลี่ยนเริ่มมีรอยฉีกขาด บนผิวหนังที่เผยออกมาให้เห็นเลอะฝุ่นเต็มไปหมด แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ ผิวของเธอก็ยิ่งดูซีดขาว บางจุดกระทั่งเห็นเส้นเลือดสีเขียวเป็นเส้นๆ เลยด้วยซ้ำ เลือดในเส้นเลือดเหล่านั้นกำลังไหลพล่านอย่างต่อเนื่อง และดวงตาของเธอก็กลอกหมุนเร็วขึ้นกว่าเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด

แม้แต่ความรู้สึกยามมองเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง…ตอนที่ปืนไรเฟิลจู่โจมยังอยู่ในมือ เย่เลี่ยนเหมือนเหยี่ยวที่ลอบสังเกตการณ์จากที่ไกลๆ…แต่เวลานี้ เธอเหมือนอสุรกายที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าร้าง ทว่าภายใต้กลิ่นอายแกร่งกล้าที่แผ่ขยายไปทั่วนี้ สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นดวงหน้าที่งาดหยดย้อย รวมถึงเส้นผมยาวสลวยที่คลอเคลียพวงแก้มงาม และสยายลงที่หัวไหล่…

เอาล่ะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว” เสียงของเด็กผู้หญิงดังมาจากกลุ่มฝุ่นคลุ้ง  ขณะเดียวกันสิ่งที่ปรากฏพร้อมกันยังมีรองเท้าหนังคู่เล็กของมัน รองเท้าหนังคู่นั้นยกขึ้นและย่ำลงครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเป็นเสียงกระทบกับพื้นปูนดัง “ต๊อกแต๊กๆ” “พี่น่าจะรู้ดี เรื่องที่พี่ควรทำเมื่อกี้ก็คือวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมา ไม่ใช่คิดแต่จะโจมตีฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะอธิบายกฎระยะห่างห้าสิบเมตรไว้อย่างนั้น แต่ถ้าพี่คิดให้ดี พี่ก็จะเข้าใจ…ใช่แล้ว ด้วยสติปัญญาของพี่ น่าจะเข้าใจได้สิ? กฎข้อนั้น ความจริงแล้วอธิบายได้อีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ…หากหนีออกจากรัศมีห้าสิบเมตรได้ พี่ก็ปลอดภัย”

เงาร่างของมันเดินออกมาจากม่านฝุ่นเลือนราง “แต่พี่กลับเอาแต่เลือกทางที่ผิดอยู่อย่างนี้…จะว่าไงดีล่ะ…อ้อ ฉันคิดออกแล้ว” ในระยะห่างที่ไม่ถึงสิบเมตร เด็กผู้หญิงยืนส่ายหน้าใส่เย่เลี่ยน “เป็นซอมบี้หัวดื้ออย่างที่คิดจริงๆ…”

สวบ!

เย่เลี่ยนไม่พูดอะไร กระโจนเข้ามาอย่างไม่บอกกล่าว ความเร็วของเธอในตอนนี้สูงขึ้นมา หลังจากผ่านไปไม่ถึงศูนย์จุดหนึ่งวินาที มีดสั้นในมือเย่เลี่ยนพุ่งเฉือนไปที่ลำคอของเด็กผู้หญิง เมื่อประกายอาวุธอันเยือกเย็นสะท้อนแสงแยงตา เงาร่างอันว่องไว รวมถึงดวงหน้างดงามเย็นชา ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

“คิกๆ…” เสียงหัวเราะของเด็กสายังคงดังไม่หยุด เห็นเย่เลี่ยนโจมตีกะทันหัน มันกลับไม่แสดงสีหน้าผิดคาด เพียงแค่ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือเย่เลี่ยน วัดกันเรื่องความเร็ว เย่เลี่ยนช้ากว่ามันหนึ่งก้าวอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะที่มือของมันใกล้คว้าข้อมือเย่เลี่ยน ร่างกายของเย่เลี่ยนกลับเบี่ยงออกด้านข้างทันใด มีดสั้นพุ่งผ่านระหว่างนิ้วมือของมัน และแทงเข้าไปที่ใต้รักแร้ของมันดัง “ฉึก”

“หื้ม?” เด็กผู้หญิงอึ้งงันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากนำภาพเมื่อกี้มาทำเป็นภาพช้า ก็จะเห็นเหมือนว่ามันเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาคมมีดเอง…

ชั่วพริบตา เย่เลี่ยนดึงมีดสั้นออกมา หยดเลือดสาดกระเซ็นกลางอากาศ ทว่าไม่รอช้า เธอพลิกหมุนปลายเท้าไปยังด้านข้างของเด็กผู้หญิง และแทงออกไปอีกครั้ง

ในเวลาสั้นไม่กี่วินาที ร่างกายของเด็กผู้หญิงกระทั่งถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดงไปทั้งตัว ในขณะที่ตัวเย่เลี่ยนเองก็ถูกเลือดกระเด็นใส่ไม่น้อย เมื่อการเคลื่อนไหวของเธอเริ่มช้าลง ดวงตาของเธอก็แดงเข้มจนราวกับจะมีเลือดไหลออกมา เส้นเลือดมากมายแผ่ขยายออกมาจากหางตาของเธอ ดูแล้วเหมือนลวดลายงดงามที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองจุด ทว่าลวดลายนี้ปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ไม่นานก็หายไปแล้ว และลมหายใจของเย่เลี่ยนก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นในขณะเดียวกัน

การโต้กลับของเด็กผู้หญิงพลาดเป้าติดๆ กัน ในที่สุดมันก็มองเห็นโอกาสนี้ มันพลิกข้อมือ คว้าไปที่มีดสั้นของเย่เลี่ยน เดิมที่คมมีดควรพุ่งเฉียดฝ่ามือของมันไป แต่การเคลื่อนไหวของเย่เลี่ยนช้าลง วินาทีถัดมา เธอถูกเหวี่ยงออกไป จนร่างกายกระแทกเข้ากับผนังด้านหนึ่งอีกครั้ง

 “ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว…” เด็กผู้หญิงก้าวข้ามผนังพังๆ ดวงตามองไปที่เย่เลี่ยนที่กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ ในมือถือมีดสั้นที่เลอะคราบเลือดเอาไว้ ในเสี้ยววินาทีที่สายตาของพวกเธอสบประสานกัน เด็กผู้หญิงเผยยิ้ม แล้วบอกว่า “ตาของพี่ ใช่ไหม?”

“ฮั่ก…ฮั่ก…”

หน้าอกของเย่เลี่ยนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ถึงแม้เป็นการโจมตีเพียงไม่กี่วินาที แต่มันกลับเป็นผลที่เกิดจากเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ กลับยังมีชีวิตอยู่…ถึงแม้ว่าทุกย่างก้าวที่มันเดินจะทิ้งรอยเท้าสีเลือดไว้บนพื้น และหากเทียบกับเย่เลี่ยน มันเหมือนเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่าก็ตาม แต่เย่เลี่ยนกลับรู้ดีกว่าใคร ตอนนี้เธอเผาผลาญเรี่ยวแรงไปมหาศาลแล้ว แต่แผลของเด็กผู้หญิงนั่น กลับกำลังค่อยๆ สมานตัวกัน…

“เป็นตาของพี่ที่มองทะลุการเคลื่อนไหวของฉัน และสร้างโอกาสในการหลบหลีกกับโจมตีให้พี่ ใช่ไหม? คิกๆ น่าในใจ…ถ้าพี่ไม่วางของเล่นขิ้นนั้นลง ไม่แน่ว่าฉันอาจดูไม่ออกก็ได้ หรือพี่ถือมันไว้เพื่อปกปิดเรื่องนี้? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่ามันได้ผลมากเลยล่ะ…” เด็กผู้หญิงถือมีด เลือดไหลลงจากปลายมีดทีละหยดๆ ขณะที่ระยะห่างระหว่างมันกับเย่เลี่ยนก็กำลังสั้นลงเรื่อยๆ

“ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาของฉันแล้ว…หลังจากฆ่าพี่ เกมนี้ก็ใกล้จบแล้วล่ะ วางใจเถอะ ฉันจะฆ่าพวกเขาทีละคนๆ แน่นอน ส่วนหลิงม่อ…ฉันจะฆ่าเขา หลังจากที่ทำให้เขาเห็นศพของพี่…อ้อ ใช่สิ พี่ว่าฉันแอบอยู่หลังศพของพี่ดีไหม? คิกๆ ความคิดเข้าท่าใช่ไหมล่ะ?” เด็กผู้หญิงหัวเราะแล้วพูดอย่างตื่นเต้น

“พี่หลิง หนีไปเร็ว…”

ขณะเดียวกันนั้น ณ จุดตัดกันทางเดินสองเส้น…

หลิงม่อพลันชะงักเท้า แล้วมองไปที่ทางเดินที่อยู่ข้างซ้าย

“เป็นอะไรไป?” เสียงถามดังมาจากคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหน้า

สวี่ซูหานก้าวถอยสองก้าว ถามอย่างสงสัยว่า “นี่เป็นทางตันสินะ แถมยังไม่มีอะไรเลยด้วย หลิงม่อ นายเป็นอะไรไป? พวกเรายังต้องรีบไปตามหา…”

หลิงม่อยืนนิ่งและมองไปที่ผนังด้านหนึ่ง อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “ไม่ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”

———————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+