แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 684 จุดเด่นเดียวของซอมบี้ก็คือทนมือทนเท้าไม่ใช่หรอ

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 684 จุดเด่นเดียวของซอมบี้ก็คือทนมือทนเท้าไม่ใช่หรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 684 จุดเด่นเดียวของซอมบี้ก็คือทนมือทนเท้าไม่ใช่หรอ

ท่ามกลางความมืดมิด เงาร่างของคนสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนขั้นบันได

เดิมหลิงม่ออยากพาสวี่ซูหานไปที่ห้อง แต่เห็นสีหน้าของสวี่ซูหานที่เหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ บวกกับอาการไม่สู้ดีของตัวเองแล้ว เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป…

ตอนนี้นอกจากความเหน็ดเหนื่อยทางกาย หลิงม่อยังต้องแบกรับผลกระทบจากการที่เหล่าซอมบี้สาวอัพเกรดพ่วงด้วย

ไม่เพียงอาการมึนขั้นรุนแรงเท่านั้น แต่กล้ามเนื้อในร่างกายยังบิดตัวเหมือนฉีดฮอร์โมนเข้าไป ส่งผลให้สมองของหลิงม่อปวด “ตุบตับ” ไปด้วย

“นายดื่มมาหรอ?” สวี่ซูหานขดตัวอยู่ในมุม มองหลิงม่อนั่งอยู่บนขั้นบันได แล้วถามขึ้น

สภาพของหลิงม่อที่กำลังเอนหัวพิงผนัง แล้วจ้องเธอด้วยสายตาเลื่อนลอยอย่างนั้น เหมือนคนเมามากจริงๆ

“ที่ไหนกัน” หลิงม่อโบกมือไปมา แล้วบอกว่า “ไม่คิดว่าพวกเราหัวอกเดียวกันหรอ?”

“ชิ…” สวี่ซูหานสะบัดเสียงอย่างไม่ปลื้ม

ทิ้งให้เธออยู่ที่โรงแรมตั้งนาน แถมเพิ่งจะเจอกันก็ปล่อยให้เธอวิ่งหัวโขกกำแพง นี่หรอที่เรียกว่า “หัวอกเดียวกัน” ?! ก็รู้อยู่หรอกว่าทั้งหมดคือการแลกเปลี่ยน แต่ “ผู้ร่วมมือ” ที่อวดเก่งอย่างนี้เพิ่งจะเคยเจอครั้งแรกนี่แหละ!

“คือว่า…ฉันเดาว่ามู่เฉินคงยังไม่ได้บอกนาย…” หลังเงียบไปสองวินาที สวี่ซูหานก็ลังเล แล้วก้มหน้าพูดงึมงำเสียงเบา “ขอบใจนายมากนะ”

“ห๊ะ?” หลิงม่อเงยหน้าอย่างมึนๆ งงๆ แต่ดวงตาเหม่อลอยนั่นดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนตื่นดีแล้ว

“ไม่มีอะไร!” สวี่ซุหานหงุดหงิด

“ยังไงก็มีรางวัลตอบแทนนี่…” หลิงม่อเอนหัวกลับไปพิงผนังเหมือนเดิม แล้วหรี่ตาพูด

สวี่ซูหานอึ้ง จากนั้นก็หันไปมองรอบตัวเพื่อหาอาวุธที่พอจะขว้างออกไปโจมตีอีกฝ่ายได้ “นายนี่มัน…” การค้นหาอาวุธไม่เป็นผล เธอทำได้เพียงจ้องหลิงม่ออย่างขุ่นเคือง “ทำไมนายถึงได้โง่อย่างนี้นะ!”

“รางวัลตอบแทนที่ฉันให้มันคุ้มค่ากับชีวิตฉันหรอ? หรือนายคิดว่าแค่ให้เจ้าโง่มู่เฉินทำงานให้ไม่กี่วันก็พอแล้ว?”

สวี่ซูหานถามเขาอย่างโกรธจัด

“นั่นมันแค่ดอกเบี้ย…” หลิงม่อพูดแก้

“ที่นายทำนั่นเรียกว่าช่วยรับเขาไว้! อย่างมากก็ถือว่าเป็นการเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่เรียกว่าดอกเบี้ย!” สวี่ซูหานตัดบทหลิงม่อ แล้วจี้ถามต่อ “แล้วฉันล่ะ? นายคิดว่าอย่างฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าให้นายช่วยชีวิตฉัน?”

หลิงม่อพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ตอนนี้เงินตราก็ไม่มีประโยชน์แล้ว…ถ้าอย่างนั้นก็ 5 เหมา…”

“นายมันโง่เง่า!” สวี่ซูหานทนไม่ไหวแล้ว เธอยกมือขึ้นทึ้งสิ่งของบนร่างกาย แล้วขว้างออกไปทันทีโดยทันมองว่าของสิ่งนั้นคืออะไร

อาการมึนศีรษะของหลิงม่อเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองทางกายที่ย่ำแย่ แต่ด้านพลังจิตนั้นกลับไม่มีปัญหา

พอเห็นว่าของชิ้นนั้นกำลังจะกระแทกหน้าตัวเองแล้ว หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งก็คว้ามันลงมา แล้วหลิงม่อก็นำมากำไว้

“นี่มันจี้สร้อยคอเธอไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อยกขึ้นมาหรี่ตามองดู แล้วถามขึ้น

คุณภาพของจี้นั้นธรรมดา เหมือนเป็นจี้สังเคราะห์ทั่วไป

สามารถเก็บรักษาให้ผิวเรียบเงาได้ถึงขนาดนี้ เห็นชัดว่ามีอายุไม่น้อยแล้ว

สวี่ซูหานตกใจ รีบยกมือขึ้นลูบคอเสื้อตัวเอง แล้วตะโกน “คืนมานะ!”

“ไม่คืนอ่ะ ถือว่ามัดจำไว้ก่อน” หลิงม่อยัดเก็บในกระเป๋า แล้วบอกว่า “ดีไหมล่ะ?”

“ดีกับ…” สวี่ซูหานเกือบจะตบะแตกแล้ว แต่โชคดีที่ระงับไว้ทันในวินาทีสุดท้าย

หลิงม่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เลวนี่ ยังรู้จักรักษาภาพพจน์…ดูเหมือนเธอจะยังห่างไกลจากการกลายร่างโดยสมบูรณ์อยู่ ฉันวางใจแล้วล่ะ”

สวี่ซูหานกัดฟันกรอดมองหน้าหลิงม่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็เอนหลังพิงผนังอย่างหมดแรง “นายเก็บไว้เถอะ…”

“พูดจริงนะ ฉันดูนายไม่ค่อยออก ทำไมนายถึงไม่ยอมรับว่าธาตุแท้นายเป็นคนดีล่ะ? อย่างน้อยบางเรื่อง นายก็มีความเป็นคน…”

“พอๆๆ ฉันไม่รับการ์ดคนดี” หลิงม่อโบกมือไปมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นายช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม!” สวี่ซูหานโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าบ้านี่ขัดจังหวะได้ตลอดเวลาเลยให้ตาย!

“เอาล่ะ มัดจำก็ได้แล้ว…” ท่าทางของหลิงม่อบอกชัดว่าไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้นัก เขายกมือยันกำแพงแล้วพยุงตัวลุกอย่างยากเย็น

“เดี๋ยวก่อน คำถามสุดท้ายแล้ว” สวี่ซูหานเม้มปาก แล้วถามว่า “นาย…นายอยู่กับพวกเธออย่างนี้…เคยคิดบ้างไหมว่าต่อไปจะทำยังไง?”

หลิงม่อสะดุดกึกไปชั่วขณะ เขามองสวี่ซูหานเงียบๆ สายตาพลันประกายขึ้น แต่กลับไม่ได้ฉายแววตื่นตระหนก

“ฉัน…ฉันไม่รู้ว่านายคุมพวกเธอยังไง…แต่ถ้าเกิดว่าในอนาคตพวกเธอหลุดจากการควบคุมล่ะ? นายดูฉันสิ…สัญชาตญาณอย่างนี้ยากที่จะต่อสู้ด้วยได้! หรือถ้าหาก…ถูกใครจับได้ล่ะ?” ตอนแรกสวี่ซูหานดูร้อนรุ่ม แต่ยิ่งพูด เสียงของเธอก็ยิ่งเบาลงอย่างไม่รู้ตัว

หลิงม่อไม่ได้ตัดบทเธอ ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัสคู่นั้น กลับทำให้สวี่ซูหานตระหนักได้ว่า ตัวเองได้ถามคำถามโง่ๆ ออกไปเสียแล้ว

สิ่งที่เธอถาม บางทีหลิงม่ออาจไตร่ตรองผ่านสมองไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ส่วนคำตอบ…ทุกอย่างที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นคำตอบที่ชัดอยู่แล้ว

“แล้ว…นายเหนื่อยไหม?” สวี่ซูหานถามเสียงเบา

หลิงม่อไม่เปล่งเสียงใดๆ หลายวินาทีผ่านไป เขาก็จับราวบันไดแล้วก้าวลงไปหาเธอ จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าเธอ “ดูสิ ตอนนี้เธอสงบกว่าเมื่อกี้เยอะเลย”

นี่มันข้ามประเด็นไปไกลเกินไปไหม!

สวี่ซูหานอึ้งไปครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็ตั้งตัวได้

เธออ้าปากเล็กน้อย แล้วเบิกตากว้างจ้องหลิงม่อ พลางพยักหน้าอย่างเหนือความคาดหมาย “จริงๆ เลยนะ ฉันไม่ได้ร้อนรนเท่าเมื่อกี้แล้ว…แต่นายก็ยัง…”

“แค่เฉไฉไปพูดเรื่องอื่นนิดหน่อย ทำให้เธอเสียสมาธิ แล้วหันไปสนใจเรื่องอื่นแทน ไม่นานร่างกายของเธอก็จะคุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างนั้นไปเอง มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวสูง ซอมบี้ยิ่งเหนือกว่าในด้านนี้ นอกจากนี้เธอก็ยังสามารถประคองสติให้ตื่นได้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ แสดงว่าพลังจิตตานุภาพของเธอก็แกร่งไม่เบาเหมือนกัน”

หลิงม่อหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น

สายตาของสวี่ซูหานไหวระริก ถ้าไม่ใช่เพราะซย่าน่าเตือนเธอ อาศัยแค่เธอลำพังคงจะทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก

“อย่างนี้เองสินะ…”

“แต่ ขั้นตอนการรักษาด้วยบทสนทนาคงต้องจบแต่เพียงเท่านี้ พวกเราคงต้องเริ่มอะไรที่จริงจังกว่านี้หน่อยแล้วล่ะ” หลิงม่อพูดไป ก็ล้วงขวดยาออกมาจากกระเป๋า

“นั่นอะไร?” สวี่ซูหานทำหน้าตกใจ

“ยาที่หมายเลข 0 ใช้ ทำขึ้นจากการใช้หัวเชื้อเดิมที่ถูกปรับส่วนผสมให้เหมาะสม แล้วเอาเชื้อไวรัสของซอมบี้มาเจือจาง ความเข้มข้นถือว่าอยู่ระดับปานกลาง น่าจะรักษาสมดุลกับเชื้อไวรัสในร่างกายเธอได้…” หลิงม่อบิดฝาขวดเพื่อเปิด พลางอธิบายไปด้วย

“ฉันรู้ ฉันรู้จักเจ้านี่! แต่นายเอามันออกมาทำไม?” สวี่ซูหานเห็นเชื้อไวรัสแล้วขนลุกไปทั้งตัว ตอนนี้เธอเกลียดเชื้อไวรัสที่สุด!

ถึงแม้จะคงสติรู้คิดไว้ได้ แต่ความทรงจำของสวี่ซูหานนั้นสับสนยุ่งเหยิงมาก

หรือพูดอีกอย่างคือ เธอได้ลืมเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เธอเคยสัมผัสในเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลเหล่านั้นแล้ว

ถึงแม้มู่เฉินจะเล่าให้เธอฟังไม่น้อยแล้ว แต่บางเรื่องมู่เฉินเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

หลิงม่อวางจมูกตรงปากขวดแล้วสูดดม “หอมมาก”

กลิ่นของเชื้อไวรัสลอยโชยเข้าไปในจมูกของสวี่ซูหาน ลมหายใจของเธอถี่ระรัวขึ้นมาทันใด ร่างกายตึงเกร็งไปทั่ว

“นายอย่าเข้ามานะ…นายจะทำอะไรน่ะ!” สวี่ซูหานร่นถอยอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้ในสายตาเธอ หลิงม่อไม่ต่างจากชายหนุ่มที่กำลังย่างกรายเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ โดยมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมประดับอยู่บนใบหน้า

“มาเถอะน่า” หลิงม่อก้าวตามไป “ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย จะตื่นเต้นไปทำไม…”

“อย่าเข้ามานะ…” สวี่ซูหานนั่งชิดกำแพงไร้ทางหนี สองเท้ายกขึ้นตีไปมา เพื่อไม่ให้หลิงม่อเข้ามาใกล้กว่านี้ “ไปไกลๆ เลยนะ”

หลิงม่อเกือบถูกถีบจนล้ม เขานั่งยองๆ อยู่กับที่แล้วถอนหายใจอย่างหมดคำพูด

นี่คือข้อเสียของการรักษาสติรู้คิดไว้สินะ…

เขาแกว่งขวดยาไปมา จากนั้นก็เป่าปากขวดนั้นแรงๆ สองที “อยากได้ใช่ไหมล่ะ? ยังทนได้อีกหรอ?”

สวี่ซูหานแทบอยากจะมุดเข้าไปในผนังเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้กำลังใช้เล็บขุดและจิกกำแพงไม่หยุด

“นายมัน ไอ้คนเลว…”

แม้สติจะร้องตะโกนว่า “ไม่เอา” แต่สัญชาตญาณทางร่างกายกลับกรีดร้องด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า

นี่มันกลิ่นของเชื้อไวรัสเชียวนะ…

มนุษย์อาจรู้สึกฉุนกับกลิ่นนี้ แต่สำหรับซอมบี้มันช่างหอมหวนชวนหิวจนเลือดในกายพลุ่งพล่าน

ถึงแม้จะสามารถควบคุมความปรารถนาที่มีต่อกลิ่นได้ แต่สุดท้ายเชื้อไวรัสก็จะเป็นตัวครอบงำให้พวกมันยอมแพ้ เพื่อที่จะได้รับการวิวัฒนาการ

“โอ๊ย หยุเตะได้แล้ว นี่มันยาดีเชียวนะ ถ้าเธอไม่อยากกลายร่างจนสมบูรณ์แบบ ก็ต้องดื่มเจ้านี่เท่านั้น…โอ๊ยๆ ยังจะเตะ…”

พอเห็นว่าเป็นตายอย่างไรสวี่ซูหานก็ไม่ยอมฟัง หลิงม่อจึงจำใจต้องใช้หนวดสัมผัส

ขาทั้งสองข้างถูกเชือกที่มองไม่เห็นผูกรัดทันใด ไม่นานแขนที่กำลังเหวี่ยงไปมาก็ถูกยกขึ้นสูงเหนือหัว

สวี่ซูหานเบิกดวงตาแดงก่ำกว้าง มองหลิงม่อที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา ลมหายใจถี่ระรัวขึ้นเรื่อยๆ

“อย่า…”

เธอตัวสั่น และพูดขึ้นอย่างต่อต้านและสับสน

“ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก”

หลิงม่อบีบคางสวี่ซูหาน แล้วยื่นขวดยาเข้ามาใกล้

ยิ่งขวดยาเคลื่อนเข้ามาใกล้ กลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องจากร่างกายของสวี่ซูหานเริ่มกลบเสียงร้องเตือนจากสมองอย่างช้าๆ

และในตอนที่ปากขวดยังยื่นมาไม่ถึงปากเธอ จู่ๆ สวี่ซูหานก็อ้าปากกว้าง แล้วยื่นหน้าเข้าไปงับขวดอย่างห้ามใจไม่ไหวอีกต่อไป

หลิงม่อสะบัดมือข้างที่เกือบถูกกัดออก แล้วจากนั้นก็ยกขวดยาขึ้นสูง มองดูของเหลวในขวดไหลลงไปในปากของสวี่ซูหาน “ช้าหน่อย อย่ากัดขวดจนแตกล่ะ…ช่างเถอะ ยังไงน้ำย่อยในกระเพาะของซอมบี้ก็คงเอาอยู่ทุกอย่าง…มั้งนะ”

เมื่อยาถูกดื่มจนเกลี้ยง สวี่ซูหานยังคงอ้าปากอยู่อย่างนั้น สีแดงเลือดในดวงตากลับเข้มกว่าเมื่อกี้ไม่น้อย

หลิงม่อหยิกแก้มเธอเบาๆ พลางหยิบเศษกระจกที่ติดอยู่ตรงมุมปากของเธอออก “อย่าคิดมาก ฉันกลัวว่าเธอจะกัดฉัน…”

ทว่าสวี่ซูหานกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร เธอดูเหม่อลอย เห็นชัดว่ากำลังเข้าสู่ช่วงการต่อสู้กันระหว่างเชื้อไวรัสอีกครั้ง

“เท่านี้ก็น่าจะพอยืนหยัดได้จนกว่าจะไปถึงสำนักงานใหญ่แล้วล่ะ”หลิงม่อโอบเอวสวี่ซูหาน แล้วแบกเธอขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างเซๆ “นึกว่าพอศักยภาพด้านร่างกายอัพเกรดแล้ว จะสามารถแบกปูนสามกระสอบได้สบายๆ ซะอีก…แต่นี่แค่กระสอบเดียวก็แทบทรุดแล้ว…โชคดีที่อันนี้ทนมือทนเท้าดี”

“ว่าแต่…เจ้าทึ่มนั่นไปไหนซะแล้ว?”

ในขณะที่หลิงม่อกำลังแบกสวี่ซูหานจับราวบันไดและเดินขึ้นข้างบนอย่างยากลำบากอยู่นั้น เจ้าทึ่มที่เขากำลังพูดถึงก็กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในโถงทางเดินเส้นหนึ่ง

มู่เฉินยกมือขึ้นป้องปาก แล้วตะโกนเสียงเบา “สวี่ซูหาน? หัวหน้าทีม? หลิงม่อ? พี่หลิง? พวกนายอยู่ไหนน่ะ…ใครก็ได้ตอบฉันทีสิ…”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด