แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 742 ใครเป็นโรคจิตถ้ำมอง!

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 742 ใครเป็นโรคจิตถ้ำมอง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซย่าน่ากำลังจะวางสมุดบันทึกไว้ที่เดิม แต่จู่ๆ ก็ได้รับสัญญาณทางจิตที่หลิงม่อส่งมา มือของเธอจึงชะงักไปชั่วขณะ

เธอร้อง “เอ๋” เบาๆ จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา พลางรีบยัดสมุดเล่มนั้นใส่กระเป๋าเป้ ปากก็บ่นพึมพำ “ฉันไม่อยากเป็นชั้นวางหนังสือให้พี่หรอกนะ…”

“เฮ้ยย! คิดจะเอาไปเลยดื้อๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!” หลิงม่อตกใจ แต่ไม่นานก็ได้สติ สมุดบันทึกเล่มนี้ถูกวางทิ้งไว้ในที่มืดๆ คงเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าแม้แต่นักวิจัยเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้ก็ลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ของแบบนี้ถึงจะเอาไปด้วย ก็คงไม่มีใครรู้หรอก

หลิงม่อยิ้มแห้งๆ เรื่องอย่างนี้กลับฉลาดสู้ซย่าน่าไม่ได้แฮะ…

หลังจากหยิบสมุดบันทึกไป ซย่าน่าก็หันไปมองโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปเปิดลิ้นชัก แล้วควานหาอย่างรวดเร็ว

คราวนี้หลิงม่อถึงกับอึ้ง ยัยเด็กคนนี้รู้สึกคิดเผื่อไปถึงอย่างอื่นด้วย…ช่างน่าชื่นชมจริงๆ…

แต่น่าเสียดาย ที่ในลิ้นชักไม่มีของมีค่าอะไรเลยนอกจากสิ่งของยิบย่อยต่างๆ จำนวนหนึ่ง

ซย่าน่าจัดของให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างผิดหวัง แต่กลับเห็นเย่เลี่ยนยืนมองอย่างสงสัยอยู่ข้างๆ

“พี่เย่เลี่ยน?”

“ทะ…ทำอะไรอยู่?” เย่เลี่ยนถามอย่างสงสัย

ซย่าน่าครุ่นคิด แต่เธอไม่ได้ตอบ กลับกระดกยิ้มมุมปากแทน

เธอกวาดตามองเย่เลี่ยนขึ้นลงสองรอบ จากนั้นก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก

ท่าทางอย่างนี้ของเธอทำให้เย่เลี่ยนงงงวย เธอหันหน้าไปมองด้านหลังโดยสัญชาตญาณ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกใครบางคนกระโจนเข้าใส่

ซย่าน่าฉวยโอกาสตอนที่เย่เลี่ยนเผลอพุ่งเข้าไปด้านหน้า จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นกดยอดภูเขาสูงของเย่เลี่ยนอย่างรวดเร็ว

พอเธอกดลงไปหน้าอกของเย่เลี่ยนก็กระเพื่อมตาม แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและเด้งดึ๋งสุดๆ

เย่เลี่ยนหันหน้ากลับมาด้วยความตกใจ เธอเบิกตากว้างมองซย่าน่าที่ยืนอยู่ใกล้แค่ไม่กี่นิ้ว จากนั้นก็ก้มหน้ามองฝ่ามือของซย่าน่าที่วางอยู่ผิดตำแหน่ง

หลิงม่อเองก็ตะลึงค้างไปแล้วเหมือนกัน เขาไม่ได้ตะลึงเพราะการกระทำของซย่าน่า แต่เป็นเพราะการจู่โจมทางการมองเห็น…

“นี่เป็นของแถมสำหรับโรคจิตถ้ำมอง” ซย่าน่ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดขึ้น

“รู้ใจจริงๆ…แต่เดี๋ยวนะ ใครเป็นโรคจิตถ้ำมองไม่ทราบ!” หลิงม่อเคือง

หลังจากเห็นว่าพวกเย่เลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังตัวมากพอ หลิงม่อก็คลายใจลงมาก เขาสลับมุมมองสายตากลับไปที่หุ่นซอมบี้ในอาคารทดลอง

หุ่นซอมบี้หยุดยืนอยู่กับที่เหมือนหุ่นยนต์สยองขวัญที่ถ่านหมดกะทันหัน ดวงตาสีแดงเลือดจ้องไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย มันยืนค้างในท่ายกมือและไม่ขยับอีก เจ้ามาสเตอร์บอลกำลังวิ่งวนไปวนมาอยู่บนฝ่ามือของมันเหมือนลูกข่างครึ่งวงกลม ตอนที่หลิงม่อสลับมุมมองสายตา เขาได้ผ่อนการควบคุมมันไปด้วย ไม่คิดเลยว่ามันจะเล่นสนุกขนาดนี้

เมื่อสมาธิของหลิงม่อกลับมาจดจ่ออยู่ที่เจ้าหุ่นซอมบี้อีกครั้ง ดวงตาที่เบิกค้างอยู่ตลอดของมันพลันกระพริบปริบๆ ร่างกายที่แข็งทื่อก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ

“กร๊อบๆ…”

เสียงกระดูกเคลื่อนดังเบาๆ เจ้าหุ่นซอมบี้กำลังเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้านบน

ลายมือที่ตรงกันของสมุดบันทึกสองเล่ม ทำให้หลิงม่อเริ่มคาดเดาได้รางๆ แล้วว่านักวิจัยคนนี้เป็นใคร…

บันไดสู่ชั้นหกถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด มีเพียงขอบบันไดซึ่งเคลือบด้วยผิวเหล็กที่กำลังสะท้อนแสงอ่อนๆ เท่านั้น

“แกลองคิดดูดีๆ ตกลงว่าลืมทิ้งไว้ตรงไหนกันแน่?” เสียงพูดคุยค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาทางบันได หนึ่งในนั้นตั้งคำถามขึ้น

“ฉันจะไปรู้ได้ไง ตอนออกมาฉันยังใช้มันล็อกประตูอยู่เลย คราวนี้ซวยแน่ๆ…” อีกคนตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินผ่านบันไดไป คนที่ตั้งคำถามกลับชะงักฝีเท้า แล้วเงยหน้ามองบันไดด้านบนอย่างสงสัย

ชายอีกคนเดินนำไปสองก้าว พอเห็นเพื่อนร่วมทางไม่เดินตามมา เขาก็หันไปถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นอะไรไป?”

ชายคนแรกจ้องบันไดอันมืดมิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร วันนี้ฉันเบลอๆ น่ะ”

ชายอีกคนเงยหน้ามองบันไดตาม จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “แกสูบบุหรี่มากไปแล้วมั้ง! ฉันทำกุญแจหายก็ซวยมากพอแล้ว อย่าไปกวนรองหัวหน้าทีมเลย…”

“วันนี้รองหัวหน้าทีมก็อยู่ด้วยหรอ?”

“ใครจะไปรู้…ยิ่งไม่อยู่ก็ยิ่งไม่กล้าขึ้นไป…”

เมื่อเสียงพูดคุยของทั้งสองค่อยๆ ไกลออกไป ทันใดนั้น แสงสีแดงสองจุดก็ปรากฏขึ้น ณ มุมเลี้ยวบันไดชั้นหก

“เอี๊ยด…”

แผ่นโลหะถูกย่ำผ่าน จนเกิดเป็นเสียงดังเบาๆ ท่ามกลางความมืดเงาร่างอันบิดเบี้ยวเงาหนึ่งกำลังเดินเข้าใกล้ชั้นหกของอาคารทดลองอย่างช้าๆ

ที่นี่ไม่มีโถงทางเดินเหมือนในชั้นห้า แต่กลับเห็นประตูนิรภัยที่เปิดแง้มทิ้งไว้ตรงบันได บานประตูถูกเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆ เมื่อมองเข้าไปจากข้างนอก ในนั้นเหมือนมืดมิดและไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย

“หมับ…”

เล็บมือยาวๆ และนิ้วมือบิดเบี้ยวผิดรูปของมือข้างหนึ่งคว้ามือจับประตู จากนั้นก็ดึงออกมา กลิ่นประหลาดโชยออกมาจากข้างในทันที ทว่ากลิ่นนี้กลับต่างจากกลิ่นที่อยู่ในห้องทดลองเหล่านั้น เพราะนอกจากกลิ่นยาฆ่าเชื้อแล้ว ที่นี่ยังมีกลิ่นของเนื้อเน่าเต็มไปหมด

เมื่อเงาร่างนี้แทรกตัวผ่านเข้าไปในประตู บานประตูก็ค่อยๆ ปิดลงและกลับมาอยู่ในสภาพเดิม…หลังหยุดชะงักไปหนึ่งวินาที เสียง “กริ๊ก” ก็ดังขึ้น เป็นอันบ่งบอกว่าประตูถูกล็อกสนิทแล้ว

หลิงม่อล็อกกลอนประตูจากด้านในเงียบๆ จากนั้นก็กวาดมองรอบทิศด้วยดวงตาสีแดงก่ำ

ที่นี่แตกต่างจากชั้นล่างมาก หน้าต่างทุกบานบนทางเดินถูกตอกปิดตายด้วยแผ่นไม้ อาคารทั้งชั้นกลายเป็นพื้นที่โล่งปิดตายทั้งหมด

ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีแสงสว่าง ถ้าคนธรรมดาเข้ามาในนี้ คงจะมองเห็นแต่ความมืดมิดเท่านั้น

หลิงม่อทอดมองเข้าไป แล้วก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่ามีประตูห้องมากมายถูกเปิดอ้าทิ้งไว้ เพราะนี่มันต่างจากอาคารชั้นล่างๆ ที่ประตูถูกปิดแน่นหนาอย่างชัดเจน

“พั่บ!”

เขาสังเกตโถงทางเดิน พลางโยนเจ้ามาสเตอร์บอลออกไป

เจ้ามาสเตอร์บอลกระเด้งกับพื้นหนึ่งครั้ง จากนั้นก็กระโดดเกาะเพดาน และไต่ไปยังอีกด้านของเพดานอย่างรวดเร็ว ส่วนหลิงม่อหลังจากสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ เดินชิดขอบฝั่งหนึ่งของทางเดินไปข้างหน้าช้าๆ

โครงสร้างอาคารของชั้นนี้ก็แตกต่างจากชั้นล่างเช่นกัน มีห้องหลายห้องที่มีหน้าต่างหน้าหลังสองบาน เมื่อมองทะลุบานกระจกใสเข้าไป หลิงม่อกระทั่งเห็นห้องที่ตั้งอยู่ด้านหลังเหล่านั้นรางๆ

ไม่นานเขาก็เดินผ่านประตูบานหนึ่ง เขามองลอดช่องประตูที่เปิดอ้าไว้เข้าไปข้างใน บนพื้นมีเศษกระดาษมากมายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ข้างผนังมีหนังสือกองอยู่จำนวนหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ในห้องคือตู้เก็บเอกสาร ซึ่งตอนนี้มันกำลังเปิดอ้าทิ้งไว้ เผยให้เห็นเอกสารที่วางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ และบางส่วนก็หล่นไปกองอยู่บนพื้น

หุ่นซอมบี้กระพริบตาปริบๆ แล้วก้มเก็บกระดาษแผ่นหนึ่งที่หล่นอยู่ข้างประตูขึ้นมา

“อะไร X อะไรเอกสารการสอน…ด้านชีววิทยา?” หลิงม่อเห็นแล้วก็งง จึงก้มลงวางมันไว้ที่เดิมเงียบๆ เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะหาเอกสารการวิจัยเจอเร็วขนาดนี้ แต่ต้องบอกว่า สภาพเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก

บรรยากาศในชั้นหกนี้เงียบสงัดมาก ยิ่งประตูห้องถูกเปิดทิ้งไว้อย่างปล่อยปะละเลยอย่างนี้ ยิ่งทำให้ที่นี่ดูเหมือนซากอาคารร้างที่เห็นได้ทั่วไปมากขึ้น

ทว่าในขณะที่กำลังลุกขึ้นยืน เขากลับสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง

การเคลื่อนไหวของหุ่นซอมบี้ ดูเหมือนค่อนข้าง…เหนื่อยล้า?

เกิดอะไรขึ้น? เขาเพิ่งจะเข้ามาในชั้นนี้ไม่ถึงห้านาทีเลยนะ…

ไม่ใช่แค่หุ่นซอมบี้เท่านั้น ไม่นานหลิงม่อก็พบว่าข้อมูลตอบกลับที่ได้รับจากเจ้ามาสเตอร์บอลมีบางอย่างผิดปกติ

ก่อนหน้านี้เขายังสามารถจินตนาการถึงสภาพแวดล้อมโดยอาศัยพลังสัมผัสรู้ของเจ้ามาสเตอร์บอลได้อยู่เลย แต่ตอนนี้เขากลับจินตนาการได้แค่ภาพมโนเท่านั้น!

“หนวดสัมผัสล่ะ!”

หลิงม่อรีบแยกหนวดสัมผัสที่อยู่ในร่างเจ้ามาสเตอร์บอลออกมาอีกเส้น แต่พอหนวดสัมผัสยื่นออกมานอกตัวเจ้ามาสเตอร์บอล พลังสัมผัสรู้ที่ได้รับกลับไม่ได้ดีไปกว่าพลังจากเจ้ามาสเตอร์บอลเท่าไหร่เลย!

“ไม่สิ ที่นี่ต้องมีสิ่งเร้าที่คอยก่อกวนอยู่แน่นอน…”

หลิงม่อมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง แต่รอบข้างก็ยังมีแต่ความเงียบเหมือนเดิม

“ถึงจะถูกจำกัดพลัง แต่ยังไม่ถูกจับได้งั้นหรอ? แต่ที่นี่ดูไม่เหมือนมีคนอยู่เลยนะ…”

พลังทุกด้านถูกจำกัด นี่ไม่ใช่ข่าวดีนักสำหรับหลิงม่อ แต่ถึงอย่างไรคนที่เข้ามาในนี้ก็เป็นแค่หุ่นซอมบี้ อีกอย่างหลังจากที่เจ้า 101 ตาย โอกาสลงมือที่ดีที่สุดของเขาก็คือคืนนี้เท่านั้น…

บวกกับบันทึกการทดลองของเจ้านักวิจัยประสาทกลับคนนั้นอาจถูกเก็บไว้ที่นี่ก็ได้ ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่เพียงชั่วขณะ หลิงม่อก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อไป

มีร่างหุ้มของหุ่นซอมบี้คอยคุ้มครองอยู่ กลัวอะไรกัน…

ถึงจะคิดอย่างนี้ก็จริง แต่หลิงม่อกลับเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังขึ้นมาก หนวดสัมผัสของเขาได้รับผลกระทบอันใหญ่หลวง ดังนั้นเขาจึงควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นซอมบี้ได้ช้าลงครึ่งจังหวะ ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวไม่พร้อมเพรียงกันอย่างนี้ทำให้หลิงม่อรู้สึกอึดอัดมาก และตั้งแต่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอย่างนี้ หลิงม่อก็มักรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ซึ่งพลัง

ทว่าหลิงม่อกลับไม่รู้ตัวเลยว่า ในขณะที่เขาเดินลึกเข้าไปในทางเดิน ทันใดนั้น บริเวณหน้าประตูที่เขายืนอยู่เมื่อกี้ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจับขอบประตูอย่างเงียบเชียบ

และกระดาษแผ่นที่เขาวางกลับไปไว้บนพื้น ก็ถูกมือข้างนั้นหยิบขึ้นมา…

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด