แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 758 จุดเด่นที่อันตรายถึงชีวิต

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 758 จุดเด่นที่อันตรายถึงชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงแม้ว่าตอนนี้นิพพานจะเกิดเหตุชุลมุน แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็ยังถูกควบคุมให้อยู่แค่ในพื้นที่ตาข่ายเหล็กนี้เท่านั้น

ส่วนข้างนอก กลับยังคงเงียบงัน นอกจากความมืดที่ปกคลุมไปทุกที่ ก็ไม่มีอะไรสะดุดตาเลย

มีมหาลัยแพทย์อันกว้างใหญ่เป็นกำบังคุ้มกันธรรมชาติอยู่ คนเหล่านี้จึงไม่กลัวว่าเสียงจะดังออกไปข้างนอก ถึงเหตุการณ์จะร้ายแรงขึ้นอีกหน่อย แต่รอบนอกก็ยังมียามลาดตระเวนอยู่อีกหนึ่งชั้น

ไม่มีเรื่องให้ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง คนส่วนใหญ่จึงค่อยๆ แยกย้ายออกจากลานกว้างแห่งนี้ บรรยากาศในที่เกิดเหตุก็ค่อยๆ สงบลงหลังจากที่ผ่านความวุ่นวายมาพักหนึ่ง

ผู้มีความสามารถพิเศษบางส่วนที่สามารถวิ่งเข้าไปในกองเพลิงได้ก็กำลังเตรียมตัวลุยงานภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ยาม ดูออกว่าพวกเขากำลังรอให้สถานการณ์ข้างในมั่นคงก่อน แล้วค่อยเข้าไปเก็บรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นบางอย่างออกมา

ในขณะที่ยังคงมีคนบางกลุ่มสุมหัวกันสองคนบ้าง สามคนบ้าง แล้วซุบซิบกันเสียงเบา

ณ ทางเลี้ยวหนึ่ง หลิงม่อกำลังยืนพิงผนังเพื่อพักเหนื่อย แต่จู่ๆ กลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารีบถามขึ้นว่า “เหล่าหลัน ทรัพยากรของสำนักงานใหญ่ ถูกเก็บไว้ที่นี่หมดเลยใช่ไหม?”

เหล่าหลันกำลังสูดดมกลิ่นบุหรี่ที่อยู่ในมืออย่างเคลิบเคลิ้ม พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง ตอบว่า “ไม่ใช่หรอก ทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกเก็บตุนไว้ที่อื่นต่างหาก”

ไม่น่าล่ะไม่เห็นมีใครรีบวิ่งมาที่นี่เลย…หลิงม่อถามต่อ “แล้วที่ไหนล่ะ?”

“ฉันไม่รู้หรอก ที่รู้จริงๆ มีแค่บอสใหญ่กับคนส่วนน้อยเท่านั้น นายดูคนที่อยู่ข้างนอกพวกนั้นสิ ถึงจะเข้ามาก็เก็บได้แค่อุปกรณ์บางอย่างเท่านั้นแหละ” เหล่าหลันถือว่าตาไว เขาเองก็ไม่ได้อยู่ว่าง เพราะพวกเขายังติดอยู่ในสำนักงานใหญ่อยู่ นอกจากหลิงม่อที่ดูสงบนิ่งแล้ว คนอื่นๆ ต่างลนลานและตื่นตระหนกกันหมด เหล่าหลันเองก็สงบสติอารมณ์ได้บ้างเล็กน้อย หลังจากที่ได้สูดกลิ่นบุหรี่เข้าไป

หลิงม่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วบอกว่า “นิพพานช่างมีความสามารถในการเก็บรวบรวมทรัพยากรที่ยอดเยี่ยม…”

ในที่สุดมู่เฉินก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว “นี่นายยังติดใจต้นทุนเดิมของพวกเขาอยู่อีกหรอ?”

“จะเอาไปก็เอาไปไม่ได้นี่นา” หลิงม่อพูดอย่างเสียดาย

“ความจริงถึงจะเผาทรัพยากรไป ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพราะนั่นไม่ใช่ต้นทุนเดิมของพวกเขา” จู่ๆ เหล่าหลันก็พูดแทรกขึ้น “นายคิดว่าเพราะอะไรบอสใหญ่ถึงได้สร้างนิพพานให้ยิ่งใหญ่ได้รวดเร็วขนาดนี้? เขารู้เรื่องอะไรมากมายเชียวล่ะ”

หลิงม่อชะงัก จากนั้นก็เริ่มสนใจขึ้นมา เรื่องเหล่านี้เหล่าหลันไม่ได้พูดตอนอยู่กับเจ้าหุ่นซอมบี้ หลิงม่อเองก็ลืมถามไปเสียสนิท

แต่ตอนนี้พวกเขาจะไปแล้ว หลิงม่อจึงฉุกคิดถึงทรัพยากรของนิพพานขึ้นมาได้

ของที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นี้เป็นของที่ถูกส่งมาจากสาขาย่อยต่างๆ ซึ่งนั่นแสดงว่าพวกเขามีเสบียงที่อุดมสมบูรณ์!

แต่ตอนนี้ฟังจากที่เหล่าหลันบอก เหมือนบอสใหญ่ท่านนั้นจะมีความลับบางอย่างเก็บซ่อนไว้กับตัว

หลิงม่อยื่นมือล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ของเหล่าหลัน จากนั้นก็ใช้มือตบเบาๆ เพื่อให้บุหรี่ยื่นออกมาหนึ่งมวนอย่างคล่องแคล่ว “ช่วยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดหน่อย อ้อใช่สิ ไฟแช็กล่ะ?”

“หน้าด้าน…” หลันหลันพึมพำเสียงเบาอย่างอารมณ์เสียอยู่อีกด้านหนึ่ง

สายตาของเหล่าหลันมองตามมือของหลิงม่อไปอย่างเสียมิได้ ปากก็พูดว่า “ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัด แค่ได้ยินมาคร่าวๆ ได้ยินมาว่าตอนที่เกิดภัยพิบัติ เขาฉวยโอกาสตอนเหตุการณ์ชุลมุนได้ข้อมูลมามากมาย แถมยังเป็นข้อมูลที่คนทั่วไปไม่มีทางหาได้”

“มันคืออะไร?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย

“คิกคิก บอกแล้วนาจะตกใจ นายว่าอะไรที่สำคัญที่สุดในปีนี้? ธัญพืชกับอาวุธไงล่ะ! ข้อมูลที่อยู่ในมือบอสใหญ่ เกี่ยวข้องกับสองสิ่งนี้แหละ” เหล่าหลันยื่นมือออกไปหมายจะเอาซองบุหรี่คืนจากมือหลิงม่อ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะยัดมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวเองหน้าตาเฉย

รองหัวหน้าท่านี้ถึงกับหางตากระตุกขึ้นมาทันที แต่เขาก็พูดต่อทั้งที่ยังอาลัยอาวรณ์บุหรี่ซองนั้น “โกดังธัญพืชกับโกดังอาวุธ ไม่ใช่แค่เมืองเฮยสุ่ย ได้ยินมาว่ามีที่อื่นด้วย เขารู้หมดเลยว่าอยู่ที่ไหน”

“มีในเมือง X ด้วยไหม?” มือของหลิงม่อชะงักทันที เขาถึงกับลืมจุดบุหรี่ไปชั่วขณะ

“เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก แต่จากที่เห็นเขาเปิดสาขาย่อยที่นั่น ก็น่าจะมีแหละมั้ง” เหล่าหลันพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“ข้อมูลเหล่านี้ เขาได้มาจากไหน?” มู่เฉินตะลึงมาก

เหล่าหลันเผยรอยยิ้มประหลาด แล้วพูดเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่า แรกเริ่มเดิมทีเขาอยู่กับคนใหญ่คนโตกลุ่มหนึ่ง…ทว่าภายหลังพอเขาเริ่มสร้างทีมของตัวเอง คนใหญ่คนโตเหล่านั้นก็หายตัวไปเลย พวกนายว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?”

น้ำเสียงของเขาลับๆ ล่อๆ บวกกับท่าทางมีลับลมคมในของเขา ทำให้คนฟังรู้สึกหนังศีรษะชาเล็กน้อย

สีหน้าของหลิงม่อตึงเกครียดขึ้นมาทันที บอสใหญ่คนนี้…เป็นคนที่โหดเหี้ยมมากจริงๆ!

มู่เฉินได้ยินก็เสียวสันหลังวาบ ตอนนี้เขาทำนิพพานไว้แสบไม่น้อย ยิ่งได้ยินว่าบอสใหญ่ของพวกเขาโหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็ยิ่งหงุดหงิดเท่านั้น

ตรงกันข้าม พอหันมาดู “หัวหน้า” ในปัจจุบันของเขา ถึงแม้เขามักจะทำอะไรไม่เข้าท่า แต่ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องโหดเหี้ยม เขากลับห่างชั้นกับบอสใหญ่ของพวกนั้นมาก!

อย่างกรณีที่แฝงตัวเข้ามาในครั้งนี้ เขาทำเรื่องให้ใหญ่โตและบานปลายขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครต้องตายเพราะเขา

แม้แต่พวกซอมบี้ที่ดูก็รู้ว่าถูกเขาปล่อยออกมา ก็ทำแค่เพียงสร้างความวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้น

ซอมบี้ฝูงนี้ถึงแม้จะถือปืนไว้ก็ไม่มีพลังสังหารแต่อย่างใด! พวกมันทำได้เพียงยิงมั่วๆ อย่างมากก็แค่ขู่ไม่ให้ใครกล้าโผล่หัวออกมาเท่านั้น!

ดังนั้นเมื่อดูจากด้านนี้ หลิงม่อไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับบอสใหญ่คนนั้นเลยแม้แต่น้อย…

“ฉันถูกต้มอีกแล้ว…” มู่เฉินน้ำตานองหน้า

หลิงม่อนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “ลุงจำเขาได้ในทันทีไหม?”

“ถึงเขาจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาสะดุดตา แต่ก็น่าจะพอจำได้แหละ…” เหล่าหลันตอบตามสัญชาตญาณ

ทว่าหลังจากตอบ เหล่าหลันกลับสะดุ้งขึ้นมาทันที จากนั้นก็มองหลิงม่อด้วยสายตาเหลือเชื่อ “นายคงไม่ได้จะ…”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ทำให้เดือดร้อนหรอก” หลิงม่อยิ้มบาง พลางรับปาก

เหล่าหลันจ้องหลิงม่ออย่างสงสัยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ “อย่างนั้นก็ดี อย่าได้คิดจะหมายหัวเขาเชียว”

แต่มู่เฉินที่ยืนอยู่อีกด้านกลับขมวดคิ้ว ไม่ทำให้เดือดร้อน? หลิงม่อเหมือนคนที่จะไม่ทำเรื่องเดือดร้อนหรอ?

จุดเด่นของเขาก็คือชอบทำเรื่องเดือดร้อนนี่แหละ! และนั่นมันก็เป็นอะไรที่อันตรายถึงชีวิตเลยนะโว้ย!

หลันหลันกอดอก แล้วถามแทรกขึ้น “แล้วที่บอกว่าจะช่วยล่ะ?”

“อย่าใจร้อนสิ” หลิงม่อหันไปมองเธอ แล้วบอก

หลันหลันยังอยากจะพูดอะไร แต่พอถูกสายตาคู่นั้นของหลิงม่อจ้อง เธอกลับมักรู้สึกเหมือนพูดไม่ออก

หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็หันหน้ากลับไปอย่างไม่พอใจ พลางพูดเสียงเบา “อย่างกับใช้ยาหยอดตามา…นี่ถ้านายสูง 140 เซนฯ ไปถ่ายโฆษณาได้เลยนะเนี่ย…”

“สวบๆ…”

ท่ามกลางพุ่มหญ้าบางๆ เงาสีขาวกลุ่มใหญ่กำลังไหววูบไปมา จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร้ว

“เป็นยังไงบ้าง?” ซย่าน่าโผล่ออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วถามเสียงเบา

เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวอ้วนยื่นหน้าไปทางอวี๋ซือหราน หลังจากสะบัดหัวไปมาสองสามที มันก็เปล่งเสียงออกมาเบาๆ

หลายวินาทีผ่านไป อวี๋ซือหรานก็ยื่นมือออกมาตบหัวมันเบาๆ แล้วบอกว่า “เสี่ยวป๋ายบอกว่ามีคน 50 – 60 คนล่ะ”

“จำนวนคนง่ายๆ แค่นี้ก็ยังนับไม่แม่น…” ซย่าน่าถลึงตาใส่เจ้าเสี่ยวป๋าย

“แบ๊…” เสี่ยวป๋ายน้อยใจ มันเข้าใจภาษาคน แต่ไม่เคยเรียนวิชาคณิตศาสตร์นี่นา…นับได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไง?” อวี๋ซือหรานถาม พลางหันไปมองพุ่มหญ้ารกร้างข้างหลัง สายตาของเธอฉายแววตื่นเต้นขึ้นมาปราดหนึ่ง

ซย่าน่าครุ่นคิด จากนั้นก็ยิ้ม “จัดเซอร์ไพรส์ให้พวกเขาซักหน่อย”

ตาข่ายเหล็กนี้สูงประมาณเกือบ 5 เมตร แถมยังถูกเชื่อมไว้อย่างแข็งแรง ซ้ำด้านบนสุดยังทำเป็นปลายแหลมๆ ไว้อีก นอกจากนี้ ด้านในตาข่ายเหล็กในรัศมีเกือบห้าเมตรมีเหล็กปลายแหลมที่ชี้ขึ้นฟ้าถูกติดตั้งไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครลักลอบปีนเข้ามา

มีเพียงทางเข้าที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้ ณ จุดนั้นกลับมีเจ้าหน้าที่ยามหลายคนยืนเฝ้าอยู่ ปากประบอกปืนสีดำมากมายนั้นดูน่ากลัวมาก

เจ้าหน้าที่ยามบางส่วนเดินกลับไปกลับมา เพื่อสร้างแนวป้องกันที่แน่นหนา

“พี่หลิงม่อบอกว่า ข้างบนนั้นมีจุดซุ่มยิง” ซย่าน่ามองขึ้นไปบนอาคารสูงเหล่านั้น แต่กลับเห็นแค่เพียงควันโขมง

“ดูเหมือนเจ้ามนุษย์ไส้กรอกจะจัดการเรียบร้อยแล้วนี่” อวี๋ซือหรานบอก

ด้วยความสามารถในการมองเห็นของพวกเธอ การมองหาปากกระบอกปืนในความมืดไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ท่ามกลางกลุ่มควันโมงนั่น สิ่งที่แม้แต่พวกเธอยังมองเห็นไม่ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีมนุษย์คนไหนยืนหยัดอยู่ในนั้นได้

หลิงม่อถือว่าฉลาดมาก ที่ตัดสินใจวางเพลิงที่นี่…

“ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าควันมีผลอย่างนี้กับมนุษย์ด้วย…แต่ปกติพวกเขาก็ชอบดูดควันไม่ใช่หรอ?” อวี๋ซือหรานถามอย่างสงสัย

ซย่าน่าชะงักไป จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “นั่นไม่ได้เรียกว่าดูดควัน เขาเรียกสูบบุหรี่”

“พอเธอพูดอย่างนี้ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่…” อวี๋ซือหรานพึมพำ

“ได้เวลาแล้ว!” แต่จู่ๆ ซย่าน่ากลับทำหน้าจริงจัง แล้วพูดขึ้น

เงาร่างสองเงาพุ่งตัวออกมาจากพุ่มหญ้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยามที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นก็หันไปมอง

ความเร็วในการวิ่งร้อยเมตรของซอมบี้ระดับสูงนั้นน่าทึ่งมาก เจ้าหน้าที่ยามเพียงหันไปมองทางนั้นครู่เดียวก็หันกลับมาทางเดิม แต่ขณะนี้บนถนนเส้นที่อยู่ตรงหน้าเขากลับไม่มีใครอยู่เลย เจ้าหน้าที่ยามกวาดมองไปตามพุ่มหญ้าคร่าวๆ จากนั้นก็ละสายตาออกไป และหันกลับไปสนใจพื้นที่บริเวณตาข่าย

เขาอาจไม่สามารถมองดูในพุ่มไม้เหล่านั้นได้อย่างชัดเจน แต่เขาสามารถเฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณตาข่ายเหล็กได้

ในตอนนั้นเอง ไฟด้านนอกของอาคารหลังหนึ่งพลันสว่างวูบขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นไม่นานก็มืดลงไปทันที

ขณะที่แสงสว่างดับไป หลันหลันสะดุ้งตกใจจนเผลอก้าวถอย

ถึงแม้จุดที่พวกเธออยู่จะมืดมากอยู่แล้ว แต่เมื่อแสงสว่างในอาคารหายไปหมด เธอก็ยังคงอดหวาดกลัวไม่ได้

ในขณะนั้น เธอสังเกตเห็นว่าหลิงม่อกำลังหลับตา และเหมือนกำลังยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตัวเอง

“พิลึกคนจริงๆ…” หลันหลันขมวดคิ้ว

มู่เฉินเองก็สะดุ้งเหมือนกัน แต่พอเห็นท่าทางของหลิงม่อ เขาก็เข้าใจทันที

ฝีมือของหลิงม่ออีกแล้วแน่ๆ!

แต่ว่า เขาทำได้ยังไงกันแน่? ใช้พลังจิตทำให้หลอดไฟระเบิด?

มู่เฉินจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย…

พอไฟดับ สถานการณ์ในตัวอาคารยิ่งวุ่นวายขึ้นกว่าเดิม และเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาจากทางลานกว้างด้านนอก

“สายไฟถูกเผาไหม้แล้วแน่ๆ” มีคนพูดขึ้น

“แย่จริง คราวนี้ก็ยุ่งยากกว่าเดิมน่ะสิ”

“ไม่เป็นไร มีแสงจากเปลวไฟก็ยังพอมองเห็นนี่นา…”

ขณะที่คนเหล่านี้กำลังถกเถียงกันอยู่ เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นก็หันไปมองกลุ่มอาคาร

เขาไม่รู้เลยว่า ในขณะที่ตัวเองกำลังหันไปมองทางนั้นอยู่ เงาร่างสองเงากำลังพุ่งตัวออกมา และพวกเธอสองคนก็กำลังใช้มือเล็กและบอบบางของตัวเอง แหวกตาข่ายเหล็กออกทีละนิดๆ อย่างเงียบเชียบ…

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด