แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 852 ความเป็นไปได้ในการฉีดน้ำเข้าสมอง

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 852 ความเป็นไปได้ในการฉีดน้ำเข้าสมอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สองวันต่อมา ในบ้านร้างหลังเดิม

มือข้างหนึ่งปัดปากกาที่วางทับกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา

“รอ…สัญญาณหรอ?…”

………..

“ที่นี่คือฐานทัพที่ 2 แล้วนี่นา…” ในทุ่งหญ้า อยู่ๆ เสียงของหวังหลิ่นก็ดังขึ้น เธอใช้มีดแหวกหญ้าด้านหน้าออก แล้วมองไปข้างหน้าอย่างลิงโลด

เวลานี้เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงตอนพลบค่ำแล้ว ภายใต้แสงสลัว ฐานทัพที่ 2 ราวกับดูเลือนรางลง

ด้านล่างตาข่ายเหล็กสูงชะลูด เจ้าหน้าที่ยามในชุดเครื่องแบบและอาวุธเต็มรูปแบบกำลังเดินลาดตระเวนอย่างแข็งขัน

ห่างออกไปไม่ไกลมีหอสังเกตการณ์อยู่แห่งหนึ่ง เมื่อแสงสปอร์ตไลท์ตรวจตราสว่างขึ้น เงาร่างสองเส้นรวมถึงปากปืนดำสนิทก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา

แสงสปอร์ตไลท์ตรวจตราที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากำลังใกล้เข้ามาทางพุ่มหญ้าแล้ว มือข้างหนึ่งพลันยื่นมาจากข้างหลัง จับคอเสื้อหวังหลิ่น แล้วกระชากเธอกลับไปทันที

“อ๊ะ!”

หวังหลิ่นร้องตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพยายามเงยหน้าขึ้น แล้วหันไปพูดใส่ข้างหน้า “ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะใช้แสงสปอร์ตไลท์ตรวจตราด้วย…ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกเราต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนด้วยเล่า! ถึงจะดีกว่าตอนกลางวันหน่อย แต่ก็ยังถูกจับได้ง่ายอยู่ดีนี่นา! สนามบินกว่าเกินไป ไม่มีอะไรมาใช้กำบังได้เลย…ถึงแม้จะเป็นสนามบินของพี่แต่ร้ายดีอย่างไรก็ยังมีสอง…”

เธอยังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆ ก็โดนเขกหัวเสียก่อน

ซย่าน่าเดินออกมาจากด้านข้างเธอ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนที่จะว่าคนอื่นช่วยดูตัวเองก่อนได้ไหม…จะว่าไป ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นป่าร้างนี่นา” อยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด

แม้ในป่าร้างจะมีอันตรายมากมายอยู่เช่นกัน แต่จำนวนซอมบี้กลับน้อยกว่าในเมืองมาก

อาศัยทิศที่ตั้งที่ค่อนข้างพิเศษของฐานทัพที่ 2 พวกเขาย่อมกล้าเปิดไฟสปอร์ตไลท์อยู่แล้ว…

“แต่ประโยชน์ของเจ้าสิ่งนี้มีไม่มาก เกรงว่าคงเป็นเพราะช่วงนี้บรรยากาศตึงเครียด ถึงได้ติดตั้งเจ้านี่ขึ้นมา…” ซย่าน่าวิเคราะห์ต่อไป

“เป็นอย่างนั้นเข้าใกล้ยากเกินไป” หวังหลิ่นขมวดคิ้ว

ด้านหลังพวกเธอมีเงาร่างสองเงาที่กลังนั่งยองๆ อยู่อย่างเงียบสงบ บทสนทนาอย่างนี้ หลี่ย่าหลินไม่มีทางมีส่วนร่วมได้อยู่แล้ว แต่เย่เลี่ยนนั้น นอกจากสีหน้าเหม่อลอย ก็ยังแฝงไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย…เธอมักลูบกระเป๋าเสื้อตัวเองเป็นบางครั้ง จากนั้นก็เหม่อมองไปข้างหน้า

“หลิงม่อล่ะ?” อยู่ๆ หลี่ย่าหลินก็ถามขึ้น

“เห็นว่ามีธุระ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ…” หวังหลิ่นตอบ

ซย่าน่าดวงตาเป็นประกาย เธอมองลึกเข้าไปในทุ่งหญ้าด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นก็หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว “เอาเป็นว่า พวกเรารอสัญญาณก่อนแล้วกัน”

ขณะเดียวกัน ในทิศที่เธอเพิ่งหันไปมองเมื่อกี้ หลิงม่อกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่บนพื้นที่ว่างแคบๆ แห่งหนึ่ง

ร่างกายขนาดใหญ่ของเสี่ยวป๋ายนอนหมอบอยู่ฝั่งหนึ่ง ในขณะที่อวี๋ซือหรานก็นั่งยองๆ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ยกมือขึ้นเท้าคาง แล้วมองหน้าหลิงม่ออย่างเบื่อหน่าย

เธอยังพึมพำเบาๆ อีกว่า “อ่อ…ถ้าอย่างนั้น เขาก็อยากแฝงตัวเข้าไปงั้นสินะ?”

พูดจบ สีหน้าเธอก็แปลกไป น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแห้งผากไร้ความกระปรี้กระเปร่า “ถูกต้องๆ อยู่กับฉันนานๆ เข้าก็เลยฉลาดขึ้นสินะ น่าเสียดายที่มนุษย์ที่ติดตามเขามีเยอะเกินไป ถึงจะแยกสองพ่อลูกคู่นั้นออกไปได้ก็ยังมีเจ้าขอบตาดำนั่นอีก แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับจะไปกับพวกเขาให้ได้เลย…”

“เอ๋…” สีหน้าของอวี๋ซือหรานเปลี่ยนไปอีกครั้ง เธอพยักหน้า แล้วถอนหายใจอย่างเห็นด้วย “มนุษย์ช่างวุ่นวายจริงๆ…”

ขณะที่พูดประโยคนี้เธอแอบช้อนเปลือกตาเหลือบมองหลิงม่อ จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ป้านเยว่จะตามหาฉันเจอซักที…”

“เรื่องที่เธอแอบทำลับๆ ล่อๆ เขาอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้นะ…”

“นี่ เธอจะเสียงดังทำไมเนี่ย!”

“ยัยโง่ นี่ปากของเธอเองนะ!”

“ยัยหมาบ้า รีบออกไปจากร่างฉันซักที!”

“ฉันไม่ใช่ของเสียที่จะขับออกจากร่างกายเมื่อไหร่ก็ได้ซักหน่อย ร้ายดียังไงฉันเป็นอีกครึ่งหนึ่งของเธอ…”

“เธอเป็นตัวเมียนะ!”

“อ้อ ฉันรู้แล้ว เธออยากให้เจ้ามนุษย์คนนี้เป็นอีกครึ่งหนึ่งของเธอสินะ…”

“อีกครึ่งหนึ่งของฉันคือป้านเยว่ต่างหาก! ไม่ได้การแล้ว ฉันจะฆ่าเธอซะ!”

“ก็มาสิ มาเลย…”

อวี๋ซือหรายทะเลาะกับเฮยซืออย่างเอาเป็นเอาตาย หลิงม่อที่นั่งอยู่อีกข้างขยับปากทำท่าเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายก็เงียบ

…………

“ช่วงนี้ต้องลาดตระเวนอย่างเข้มงวดมากขึ้น ตั้งสติและทำงานให้ดี!”

ขณะที่ทีมลาดตระเวนย่อยทีมหนึ่งเดินผ่านบริเวณนี้ หัวหน้าทีมย่อมที่เดินอยู่ข้างหลังพลันพูดขึ้น

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ครั้งนี้พอมองออกไปในป่าร้างที่อยู่ไม่ไกล เขากลับรู้สึกหวาดผวาอย่างไม่รู้สาเหตุ

“คงคิดไปเองมากกว่ามั้ง…”

หัวหน้าทีมเพิ่งจะละสายตาออกไป แต่จู่ๆ หางตากลับเหลือบเห็นประกายแสงสีแดง

“ไม่ได้คิดไปเอง! มีอะไรบางอย่างออกมาจากในนั้น!”

แต่ในขณะที่เขาเพิ่งจะฉายแววตกตะลึง ไม่นานสายตาก็เปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยทันที

ระยะห่างระหว่างเขากับลูกทีมที่อยู่ข้างหน้าค่อยๆ เพิ่มขึ้น หัวหน้าทีมอ้าปากเล็กน้อย ยืนมองเงาร่างที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ เหล่านั้น สายตาสิ้นหวังสะท้อนชัดขึ้นมาทันที…

“ชะ…ช่วยด้วย…”

“อ๊ะ!”

เมื่อเสียงลั่นร้องเบาๆ ดังขึ้น สีหน้าของหัวหน้าทีมคนนี้ก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที…

หลายนาทีต่อมา เขาพลันเบิกตาโพลง เผยให้เห็นประกายสีแดงโลหิตอันขุ่นมัวในดวงตา

แต่ไม่นาน ชั้นตาสีเลือดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เขาลองขยับร่างกายดูเล็กน้อยๆ และบิดคอดัง “กร๊อบแกร๊บ” จากนั้นก็เผยรอยยิ้มมุมปากที่ดูทื่อๆ…

“อ่า…” หลังจากเปล่งเสียงประหลาดๆ ออกมาจากลำคอ เสียงพูดของเขาก็เริ่มทุ้มต่ำลง “ถึงแม้จะเหลือเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ แต่หมอนี่เป็นคนของฟอลคอนจริงๆ ตามคาด…ไม่คิดเลยว่าลองครั้งแรกก็ได้ผลเลย ถือว่าประหยัดเวลาได้ไม่น้อย”

เขายกมือลูบท้ายทอยตัวเองเบาๆ หมวกขยับขึ้นลง แมงกะพรุนตัวเล็กกึ่งโปร่งใสตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาให้เห็นทันที

ในตัวแมงกะพรุนตัวนี้ยังมีเลือดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ขณะเดียวกันมันได้แทงหนวดของมันลึกเข้าไปในสมองของคนคนนี้

“ผ่านการกระตุ้นของเจ้ามาสเตอร์บอล สามารถช่วยเร่งการกลายพันธุ์ให้เร็วขึ้นได้ ถึงแม้ไม่ได้กลายพันธุ์โดยสมบูรณ์ แต่กลับสามารถลดเวลาในการรอให้สั้นลงได้ เพื่อที่เราจะได้ควบคุมได้เร็วขึ้น…”

ระหว่างที่เจ้ามาสเตอร์บอลควบคุมชายแว่นดำ หลิงม่อได้ค้นพบปัญหาไม่น้อย

มันสามารถควบคุมอีกฝ่ายด้วยพลังดูด และสามารถก่อกวนด้วยการฉีดบางอย่างเข้าไปในสมองของอีกฝ่าย แต่พลังทั้งสองรูปแบบล้วนไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้กับพลังจิตเท่านั้น

ถ้าหากหลิงม่อต้องการ เขาทำได้กระทั่งฉีดน้ำเข้าไปในสมองของอีกฝ่ายผ่านเจ้ามาสเตอร์บอลได้เลยทีเดียว…

ทว่าไม่ว่าพลังใดล้วนมีข้อจำกัดด้วยกันทั้งนั้น ความจริงบทบาทสูงสุดของเจ้ามาสเตอร์บอลก็คือการเป็นเวทีให้หลิงม่อได้แสดงพลังหนวดสัมผัสทางจิตต่างหาก ถ้าไม่อย่างนั้นอาศัยแค่มันลำพัง คงไม่มีทางฉีดอะไรเข้าไปในสมองคนได้

และสิ่งที่หลิงม่อฉีดเข้าไปในสมองของคนคนนี้ ก็คือเชื้อไวรัสในรูปของเหลวที่ผ่านการเจือจางมาแล้วนั่นเอง

และของเหลวเหล่านี้ ก็คือสิ่งที่ราชินีแมงมุมหลงเหลือไว้ในตำบลร้างแห้งนั้นนั่นเอง…

ในฐานะร่างแม่ พลังของราชินีนั้นยากจะแบ่งระดับชัดเจน ตัวอย่างเช่น หากกำหนดพลังของตัวเธอเป็นระดับซอมบี้ราชา แต่เธอกลับสามารถสร้างซอมบี้วิวัฒนาการมากมายนับไม่ถ้วนได้ในเวลาสั้นๆ พลังทำลายล้างระดับนั้น ซอมบี้ราชาทั่วไปไม่มีทางทำได้แน่นอน

ตอนนี้หลิงม่อยังไม่มีเวลาศึกษาวิจัยของเหลวเหล่านี้ ทว่าเขากลับสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ในเวลาอย่างนี้

ขณะที่หัวหน้าทีมคนนี้ถูกฉีดเชื้อไวรัสเข้าสมอง โลกแห่งดวงจิตของเขาก็ถูกเจ้ามาสเตอร์บอลควบคุม

ภายใต้สถานการณ์ที่เดิมก็จิตใจว้าวุ่นอยู่แล้ว ความสามารถในการต่อต้านเชื้อไวรัสของเขาจึงลดต่ำลงอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งนั่นทำให้การแพร่เชื้อเร็วขึ้นอีกหลายเท่าทันที

ทว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ การกลายพันธุ์ของเขาจึงสมบูรณ์แค่ร่างกายบางส่วนเท่านั้น

อย่างเช่นร่างกายร่างนี้ ส่วนที่กลายพันธุ์จริงๆ มีแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น …

เมื่อเวลาผ่านไป บางทีอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่คาดไม่ถึงกับร่างกายเขาก็ได้…

“แต่ถึงยังไงเชื้อไวรัสนั่นก็เป็นของที่ร่างแม่เหลือทิ้งไว้ ไม่แน่อาจทำให้เขาทนได้นานหน่อย”

“หัวหน้าทีม” กระพริบตาปริบๆ แล้วยกมือขึ้นลูบเจ้ามาสเตอร์บอล

เจ้ามาสเตอร์บอลร้อง “จิ๊บ” ทันทีๆ จากนั้นก็รีบมุดกลับเข้าไปอยู่ใต้หมวก

หลิงม่อยกมือจัดหมวก จากนั้นก็หันไปมองกลุ่มอาคารที่ตั้งอยู่ภายในสนามบินเหล่านั้น

“ข่าวทีมทำลายล้างถูกฆ่า น่าจะมาถึงแล้ว แต่พวกเขาคงไม่มีทางคาดคิด ว่าเราจะกลับมาในเวลาอย่างนี้สินะ…ซูเชี่ยนโหรวทำข้อตกลงกับเรา ผู้บัญชาการหวังคิดฆ่าเรา แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องทั้งหมด ก็ยังคงอยู่ที่ฐานทัพที่ 2…”

“เป็นเพราะอะไรกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงได้อยากกระชากหน้ากากออก…”

ขณะที่ครุ่นคิดไปเรื่อย หลิงม่อได้ก้าวเท้าเดินไปทางกลุ่มอาคารเหล่านั้นช้าๆ

ด้านหน้าเขาไม่ไกล คือทีมลาดตระเวนทีมเดิมที่เดินวนกลับมาอีกครั้ง…

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด