แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 909 เกียรติ์ของหัวหน้าค่ายอยู่ที่ไหน?!

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 909 เกียรติ์ของหัวหน้าค่ายอยู่ที่ไหน?! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“น่าสนุก? มันคืออะไรกัน…”

ตอนนี้หลิงม่อยังมึนๆ อยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เพราะพลังจิตอ่อนแอ แต่เป็นเพราะใช้สมองมากไปในเวลาสั้นๆ เขาต้องควบคุมหุ่นซอมบี้พร้อมกันสามตัว แถมสองในสามตัวยังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอีกต่างหาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะ “ละทิ้ง” การควบคุมจากร่างจริงไปชั่วคราว เขาคงยืนหยัดไม่ได้จนถึงตอนนี้

แต่ประสบการณ์อันยากลำบากนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดีเลย ในระหว่างที่ผลข้างเคียงค่อยๆ หายไป หลิงม่อรู้สึกเหมือนดวงแสงแห่งจิตของตัวเองกำลังขยายตัว สมองเขาปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือหากพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ เขารู้สึกเหมือนได้สูดลมหายใจลึกๆ หลังจากที่กลั้นหายใจมานาน

ดูเหมือนว่าการควบคุมหุ่นที่เกินขีดจำกัดจะกระตุ้นศักยภาพแฝงของหลิงม่อให้ออกมาด้วยเช่นกัน ทำให้พลังควบคุมของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เมื่อการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ พวกนี้สะสมจนถึงระดับหนึ่ง มันจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพที่แม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน

เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะแก่การคิดเรื่องนี้ เขาเพิ่งจะยกมือนวดหว่างคิ้ว ก็ถูกอวี่เหวินซวนลากไปที่หน้าต่าง

หลิงม่อกลืนคำถามที่กำลังจะถามออกมาลงไปทันที ในอีกด้านก็กำลังสงสัยว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรกัน?

มู่เฉินถูกเบียดออกไปอีกทาง แต่เขายังคงจ้องออกไปข้างนอกอย่างไม่กระพริบตา ขณะเดียวกันก็ถามโดยไม่หันมามอง “สำรวจเจออะไรบ้างไหม?”

“ค่อนข้างซับซ้อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” หลิงม่อตอบกำกวม

“จริงด้วย อย่าเพิ่งรีบถามสิ เล่าเรื่องทางนี้ให้เขาฟังก่อน” อวี่เหวินซวนพูดขึ้นจากอีกฝั่ง

มู่เฉินแค่นเสียงเบาๆ จากนั้นก็ยื่นมือไปแหวกม่านออกเล็กน้อย บอกว่า “เห็นหรือยัง?”

“ตรงนั้นมีคน!” อวี่เหวินซวนพูดขึ้นทันที

หลิงม่อหรี่ตาเล็กน้อย ไม่นานก็ขมวดคิ้ว

มีจริงๆ ด้วย…และคนคนนั้นก็กำลังแนบหลังชิดกำแพงปากซอยแห่งหนึ่ง พลางชะโงกหน้ามองออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง

แวบแรกเขานึกถึงคนที่อยู่ด้านนอกช่องระบายอากาศ แต่พอเห็นจำนวนซอมบี้ที่แออัดกันอยู่บนถนน เขาก็รีบปัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที

คำนวณเวลาแล้ว อีกฝ่ายไม่มีทางวิ่งออกจากบริษัทลอว์สันไปโผล่ที่นั่นได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้แน่นอน ต้องบอกก่อนว่าหลิงม่ออาศัยการสลับมุมมองสายตา ไม่ว่ายังไงก็ต้องเร็วกว่าฝีเท้าของคนคนนั้นอยู่แล้ว นอกเหนือจากว่าคนคนนั้นจะวาร์ปได้

แต่พอคิดอีกที ถึงคนคนนี้จะไม่ใช่คนที่หลี่ย่าหลินเห็น แต่ก็ต้องเป็นพวกเดียวกันแน่ๆ ในพื้นที่เล็กๆ ขนาดนี้ คงไม่มีทางมีผู้รอดชีวิตปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันถึงสามกลุ่มหรอก เหมือนกับอวี่เหวินซวนและมู่เฉิน หลิงม่อลอบตัดความเป็นไปได้ที่คนกลุ่มนี้จะเป็นคนของฟอลคอนออกไปเงียบๆ แม้แต่ความเป็นไปได้ที่จะมาจากนิพพานก็มีต่ำมากเช่นกัน

“ในเมื่อวนเวียนมาเข้าใกล้บริษัทลอว์สันอยู่ตลอด แล้วยังสามารถหาทางเข้าออกได้ ก็แสดงว่าพวกเขาอยู่ที่นี่มานานแล้ว เดาว่าพวกเขาคงเป็นมนุษย์กลุ่มนั้นที่เสี่ยวเยว่เอ๋อพูดถึงสินะ? หรือพูดอีกอย่างก็คือพวกเขาไม่เพียงเข้าใกล้บริษัทลอว์สัน แต่ยังเคยจับตัวซอมบี้ฮวาฮวาสำเร็จมาแล้ว กระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนที่เป็นศพมนุษย์สองคนที่เราเห็นตอนนั้น ก็คือพรรคพวกของพวกเขา…หลังจากผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง วันนี้พวกเขาก็เริ่มคันไม้คันมืออยากลงมืออีกครั้งแล้วงั้นหรอ? หรือเป็นเพราะรู้จุดประสงค์ของพวกเรากันแน่?”

หลิงม่อกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงมู่เฉินพูดเบาๆ ว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นคนคนนั้นแล้วหนึ่งครั้ง ไม่กี่นาทีก่อนเขาโผล่มาอีกครั้ง และยังเริ่มเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ล่อๆ อีกด้วย…ดูสิ เริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว”

หลังจากที่สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง คนคนนั้นก็ค่อยๆ เดินออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาวิ่งพรวดเข้าไปยังร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่ริมถนน ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ชะโงกหน้าออกมาอีกครั้ง และเหมือนจะเหลือบมองมาทางพวกมู่เฉินอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองตึกบริษัทลอว์สัน

“หัวหน้า นายคิดว่าไง?” มู่เฉินถาม “เขาต้องมีพรรคพวกอยู่อีกแน่ๆ และพวกเขาก็รู้แล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี่ อวี่เหวินซวนบอกว่าเป้าหมายของพวกเขาอาจเป็นพวกเรา แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าพวกเขากำลังจับตามองและคอยระวังพวกเรา และเป้าหมายน่าจะเป็นบริษัทลอว์สันมากกว่า”

“ก็เป็นไปได้นะ…” อวี่เหวินซวนบีบคาง “แต่มันก็น่าแปลกนะ พวกเขาน่าจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว ทำไมถึงเพิ่งจะมาสนใจตึกหลังนั้นเอาตอนนี้ล่ะ? ฉันว่า นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเป้าหมายของพวกเราคือตึกหลังนั่นมากกว่า ดังนั้นก็เลยคิดจะชิงลงมือก่อน จากนั้นก็ใช้มันบีบบังคับพวกเรา เพราะถึงยังไงการสู้กันซึ่งๆ หน้ามันไม่คุ้ม วิธีที่ดีที่สุดคือต้องหาวิธีรีดไถอีกฝ่ายต่างหาก”

“ความคิดนายนี่มันชั่วช้าจริงๆ…” มู่เฉียงทำเสียงจิ๊จิ๊ใส่เขา “แต่นายก็พูดถูกเหมือนกันนะ…”

“มู่เฉินพูดถูก” พอหลิงม่อเปิดปากพูด ทั้งสองก็ชะงักไป

โดยเฉพาะมู่เฉิน เขาอ้าปากพึมพำโดยอัตโนมัติ “ฉันแค่เดาไปอย่างนั้น…”

“พวกเขาหมายตาบริษัทแห่งนั้นจริงๆ ส่วนการปรากฏตัวของพวกเรานั้น น่าจะถือว่าเป็นโอกาสสำหรับพวกเขา” นี่ก็เป็นคำอธิบายว่าทำไมคนของพวกเขาถึงได้เอาแต่ลอบสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกตึก แต่กลับไม่บุ่มบ่ามบุกเข้าไป เกรงว่าสำหรับพวกเขา นั่นเป็นเพียงการสำรวจสภาพแวดล้อมล่วงหน้าเท่านั้น การเคลื่อนไหวที่แท้จริง น่าจะเริ่มหลังจากที่พวกหลิงม่อเคลื่อนไหวเสร็จ

ส่วนคนที่รับหน้าที่ “สอดส่อง” คนนี้…

“พวกนายดูสิ ซอมบี้ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสามสิบเมตรด้วยซ้ำ ตรงกลางมีแค่กระถางดอกไม้หนึ่งอันที่แทบไม่เป็นอุปสรรคกีดขวางอะไรเลย คนที่กล้าเคลื่อนไหวใต้เปลือกตาซอมบี้อย่างเงียบเชียบอย่างนี้ จะถูกพวกนายเห็นง่ายๆ ได้ยังไง? ถึงแม้การเคลื่อนไหวของเขาแยบยลไร้ช่องโหว่ แต่แค่จุดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีปัญหา” หลิงม่อบอก

“หมายความไงกัน?” อวี่เหวินซวนขมวดคิ้ว เขากับมู่เฉินฟังไม่เข้าใจ และยิ่งไม่รู้ว่าทำไมหลิงม่อถึงได้พูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ มองแวบเดียวก็สันนิษฐานได้มากมายขนาดนี้แล้ว? มั่นใจเกินไปหรือเปล่า…แต่ทั้งสองมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน คือเชื่อใจหลิงม่อโดยไม่มีข้อแม้ ดังนั้นถึงจะสงสัยขนาดไหน แต่พวกเขากลับไม่ได้คลางแคลงใจ

“พูดอีกอย่างก็คือ เขาตั้งใจให้พวกนายเห็น เป้าหมายก็เพื่อให้พวกนายคาดเดาจุดประสงค์ของพวกเขา จากนั้นก็หลอกให้พวกเราชิงลงมือก่อน พอเห็นพวกเราถอยกลับมาพักกันก่อน พวกเขาคงจะร้อนใจมากสินะ” หลิงม่อยิ้มเย็น แล้วพูดอย่างเย็นชา มีแค่เขาที่คิดได้ลึกซึ้งขนาดนี้ เพราะเขาได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ ผ่านหุ่นซอมบี้ที่อยู่ในบริษัทลอว์สันมาไม่น้อยแล้ว

เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนี้เร็วขนาดนี้ แถมอีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายมาหาถึงที่ก่อนซะด้วย

มู่เฉินยกปืนขึ้นอย่างโมโหเล็กน้อย บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นจัดการเจ้านั่นก่อนเลยไหม? ไม่เอาถึงตาย ฉันจะจับเป็นกลับมา”

หลิงม่อรีบห้ามเขา บอกว่า “อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเขาหลอกใช้เรา แล้วทำไมพวกเราจะหลอกใช้พวกเขาบ้างไม่ได้ล่ะ? ยิ่งกว่านั้น พวกเขากล้าตัดสินใจอย่างนี้ แสดงว่าลอบสังเกตการณ์พวกเรามานานแล้ว ทั้งที่รู้ดีว่าพวกเรามีปืนกันทุกคน และมีความสามารถที่จะเดินทางในเมือง แต่กลับยังคงเลือกที่จะลงมือ หมายความว่าพวกเขาต้องเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองไม่น้อย ตอนนี้พวกเราเพิ่งเห็นพวกของพวกเขาแค่คนเดียว ถ้าลงมือไปก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่นน่ะสิ”

คำพูดนี้อาจฟังเหมือนเป็นการคาดเดา แต่สำหรับหลิงม่อมันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด กลุ่มผู้รอดชีวิตที่สามารถจับเป็นซอมบี้ฮวาฮวาได้ แล้วยังสร้างความเดือนร้อนให้บริษัทลอว์สันไม่เลิก ต้องไม่ใช่พวกอ่อนหัดแน่นอน!

มู่เฉินลดปืนลงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แล้วถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำยังไง?”

“นั่นสิ…” อวี่เหวินซวนพยักหน้าถามอย่างเห็นด้วย

ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะตัดสินใจไม่ถูก ตั้งแต่ที่หลิงม่อตื่น พวกเขาถูกข้อมูลใหม่ทำให้สับสนงุนงงอย่างต่อเนื่อง เห็นพวกเขาตั้งใจฟังอย่างละเอียด แต่ความจริงพอพวกเขามองตากัน ต่างคนต่างเห็นแววตาประมาณว่า “ฟังไม่ออก แต่รู้ว่าร้ายกาจมาก” จากสายตาอีกฝ่าย หลิงม่อเป็นคนวิเคราะห์สถานการณ์ การตัดสินใจก็ย่อมขึ้นอยู่กับหลิงม่อ ส่วนพวกเขา แค่ทำตามที่หลิงม่อบอกก็พอแล้ว

“พวกนายยอมแพ้เร็วไปรึเปล่า! โดยเฉพาะนายเจ้าเฟิ่งจื่อซวน ร้ายดียังไงก็เป็นถึงหัวหน้าค่ายของค่ายปาฏิหาริย์เลยนะ จะไม่แสดงเกียรติ์ในฐานะหัวหน้าค่ายให้เห็นหน่อยหรือไง!” หลิงม่อมองพวกเขาอย่างพูดไม่ออก หลังครุ่นคิดก็บอกว่า “พวกเขากำลังจับตามองพวกเราไม่ใช่หรอ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งไปเลยสิ”

“อันนี้ดี!” อวี่เหวินซวนตบหน้าขาดังฉาด แล้วพูดเสริมอีกว่า “แล้วไงต่อ?”

หลิงม่อยกมือนวดหว่างคิ้วอย่างนึกปวดหัว “เรื่องนั้นพวกนายไม่ต้องรู้แล้ว ใช่สิ พวกเย่ไครู้เรื่องนี้ไหม?”

“ยังไม่ได้บอกเลย ก็พวกฉันต้องเฝ้านายนี่” มู่เฉินบอก

“ไปบอกที แต่กำชับพวกเขาว่าห้ามเคลื่อนไหวส่งเดช ให้อยู่ข้างล่างต่อไป รอให้ฉันได้เรื่อง แล้วค่อยเตรียมตัวเคลื่อนไหว” หลิงม่อบอก

“ได้!”

อวี่เหวินซวนทำหน้าระริกระรี้ เพิ่งจะพักได้ไม่นาน เขาก็เริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

หลิงม่อรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าออกมาคราวนี้ อวี่เหวินซวนดูตื่นเต้นมาก…โดยเฉพาะในระหว่างที่ต้องตรวจค้นอาคารก่อสร้างบางแห่ง เขาก็จะยิ่งดูกระตือรือร้นมากขึ้น ต่างจากอวี่เหวินซวนคนเก่ามาก

“เป็นหัวหน้าได้ไม่นาน กลับยิ่งบ้ากว่าเดิมหรือไงนะ…”

พอคิดดูอีกที ในทีมนี้มีใครบ้างที่ไม่มีเป้าหมายส่วนตัว? สวี่ซูหาน เย่ไค กู่ซวงซวง…แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะให้พวกเย่เลี่ยนวิวัฒนาการและฟื้นฟู…

“เฮ้อ คิดเรื่องทางนี้ก่อนดีกว่า”

ได้ยินเสียงอวี่เหวินซวนกับมู่เฉินเดินผลักกันลงไปข้างล่าง สายตาที่หลิงม่อมองไปที่คนคนนั้นก็เย็นชาขึ้นมาทันที

ไม่ว่าคนพวกนี้จะมีจุดประสงค์อะไร แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ คนกลุ่มนี้ไม่ได้หวังดีกับพวกเขาแน่ๆ…

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ที่เข่นฆ่ากันเองเลย…เหมือนที่ฟางอิ๋งบอก ไม่ว่าทำอะไร สุดท้ายก็เพื่อมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น…”

ในขณะที่หลิงม่อกำลังคิด เขาเห็นคนคนนั้นชะโงกหน้าออกมาอีกครั้ง

เขามองไปรอบทิศ แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้ามองทางหน้าต่างที่หลิงม่ออยู่ ราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

ฟิ้วว…

สายลมพัดผ่าน ม่านหน้าต่างผืนนั้นสั่นไหวเบาๆ แต่ด้านหลังช่องว่างเล็กๆ นั้น กลับมองไม่เห็นเงาร่างของคน…

คนคนนั้นขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตาฝาดไปงั้นหรอ?”

ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็หันไปมองทางตึกใหญ่อีกครั้ง สายตาดูรุ่มร้อนขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด “ไม่ว่ายังไง นี่ก็เป็นโอกาส…ครั้งนี้ ต้องทำสำเร็จให้ได้! ถึงแม้…ถึงแม้คนพวกนั้นจะกลายเป็นเหยื่อล่อทั้งหมดก็ตาม!”

เขาลอบกำหมัดแน่น แล้วสูดหายใจลึกๆ ใบหน้าที่แดงก่ำจึงค่อยๆ กลับไปเป็นปกติ…

“ต้องทำสำเร็จให้ได้!”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด