แม่ครัวยอดเซียน 112 ช่วยเหลือจื่อฉี

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 112 ช่วยเหลือจื่อฉี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หลิวหลี เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปโลกมนุษย์หรือ” ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องอดีตของตนเองแล้วหรือ จะไปโลกมนุษย์อีกทำไมกัน

“ใช่ ตอนนั้นเก็บจื่อฉีได้จากที่นั่น อยากกลับไปดูว่าจะได้เจออย่างอื่นอีกไหม” หลิวหลีพูด รีบไปสิ มิเช่นนั้นเดี๋ยวให้นางสอนวิชาอีกจะทำอย่างไร นางไม่มีความรู้จะมอบให้แล้ว

“ช้าลงสักนิดไม่ได้หรือ” เสวียนหั่วเอ่ยถาม ศิษย์น้องเจ้าสำนักตั้งใจจะให้หลิวหลีสอนอีกครั้งหนึ่ง เห็นว่ามีศิษย์ไม่น้อยพบปัญหาในระหว่างที่ตนบำเพ็ญเพียรจึงให้ความสำคัญในการอัดพื้นฐานให้แน่น ทั้งยังมีลูกศิษย์ที่เก่งเพียงด้านเดียวที่หันไปสนใจฝึกฝนวิชาระดับต่ำที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเช่นกัน และก็ได้รับประโยชน์มากมายอีกด้วย ทำไมถึงได้รีบร้อนเช่นนั้นเล่า

“ไม่ได้ ข้าช้ามานานมากแล้ว จริงสิ อาจารย์ นี่คือของขวัญที่ข้ามอบให้โจวอีและโจวมั่ว แม้ไม่อาจพบกัน แต่คงจะส่งของขวัญให้กันได้ใช่หรือไม่” หลิวหลีหยิบถุงเก็บของออกมาสองใบ

“ได้” ศิษย์ของเขาแค้นใจที่ไม่ได้เจอสหาย

“แล้วก็ อาจารย์ สิ่งนี้ ต้องฝากฝังท่านแล้ว” หลิวหลีหยิบกล่องออกมาส่งให้เสวียนหั่วด้วยท่าทางจริงจัง

เสวียนหั่วสงสัยว่าเป็นสิ่งใด ลูกศิษย์ของเขาจึงต้องมอบให้เขาอย่างเป็นทางการเช่นนี้ เมื่อรับมาเปิดดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“หลิวหลี เจ้าเจอหญ้าคืนวิญญาณแล้ว” จะไม่ให้เสวียนหั่วตื่นเต้นได้อย่างไร พืชศักดิ์สิทธิ์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์กลับมาอยู่ตรงหน้าเขา

“ใช่เจ้าค่ะท่านอาจารย์ เรื่องยาคืนวิญญาณคงต้องฝากไว้กับท่านแล้ว” หลิวหลีคำนับอย่างเคารพ

“ข้าจะพยายาม เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ข้าปรุงยาไม่ได้” เสวียนหั่วปิดฝากล่องและกล่าวพลางลูบกล่อง

“เพราะเหตุใดท่านอาจารย์ จะปรุงยายังต้องดูเวลาด้วยหรือ” หลิวหลีคิดว่าปกติแล้วการปรุงไม่จำเป็นต้องดูเวลา หรือว่านักปรุงยาระดับสูงมีเรื่องแปลกประหลาดนี้ด้วย?

“หลิวหลี ข้ารู้ว่าเจ้ารีบ ตอนนี้เจ้าก็เป็นนักปรุงยาระดับ 7 แล้ว ข้าจะมอบความรู้เล็กน้อยให้กับเจ้าแล้วกัน” เห็นสีหน้าสับสนร้อนรนของลูกศิษย์ เสวียนหั่วคิดว่าถึงเวลาที่ต้องมอบความรู้ล่วงหน้าให้นางเสียหน่อย เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ต้องรีบร้อนนัก

“เชิญท่านอาจารย์กล่าว” หลิวหลีรับฟังอย่างตั้งใจ นางอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ที่เป็นนักปรุงยาระดับ 9 ถึงไม่สามารถปรุงเม็ดยาระดับ 8 ได้

“หลิวหลี เจ้ารู้หรือไม่ว่านักปรุงยาระดับ 8 ต้องพบเจอกับอะไร แม้ข้าจะเป็นนักปรุงยาระดับ 9 แต่ก็ปรุงยาระดับ 8 ขึ้นไปไม่บ่อยนัก เจ้ารู้ไหมว่าเพราะเหตุใด”

“ศิษย์ไม่ทราบ”

“การปรุงยาระดับ 8 สามารถทำให้เกิดวิบากเคราะห์ของนักปรุงยา โดยปกติเมื่อปรุงยาระดับ 8 สำเร็จ นักปรุงยาล้วนหมดสิ้นพลังเซียนในการประคับประคองตัว ยากมากที่จะต้านทานต่อวิบากเคราะห์ จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น”

“ถ้าเช่นนี้ อาจารย์ก็มิอาจปรุงยาคืนวิญญาณเพราะอาจารย์ไม่สามารถต้านวิบากอัสนีบาตได้ จึงจำเป็นต้องให้อาจารย์ลุงช่วยต้านอัสนีบาตให้ หมายความเช่นนี้ใช่ไหมคะ” หลิวหลีหัวไวเข้าใจความหมายของเสวียนหั่วได้อย่างรวดเร็ว

“ถูกต้อง ศิษย์ข้า ข้าฟังบทเรียนของเจ้าช้าเกินไป ข้าเป็นนักปรุงยาที่ร่างกายอ่อนแอทรุดง่าย หากไม่มีคนอื่นมาต้านวิบากอัสนีบาตให้ก็ไม่อาจปรุงยาสำเร็จได้”

เสวียนหั่วทอดถอนใจ หากเขาเกิดช้าไปสักหลายร้อยปีแล้วได้ฟังคำพูดของหลิวหลี เขาจะต้องบำเพ็ญร่างกายอย่างดีเป็นแน่ เหตุใดสามารถทนรับอัสนีบาตไปไม่กี่ครั้ง ตอนนี้ถึงต้องขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่ไปเสียทุกเรื่อง

“ฉะนั้นจึงทำได้เพียงรอให้อาจารย์ลุงกลับมา” หลิวหลีร้อนใจเล็กน้อย ได้ยินว่าอาจารย์ลุงท่านนี้เมื่อได้ออกเดินทางแล้วก็จะไปเป็นสิบปี จะให้รอก็คงนานไปเสียหน่อย

“ใช่” ร่วมมือกับศิษย์พี่จะดีที่สุด

 “อาจารย์ พลังบำเพ็ญเพียรใกล้เคียงกันได้หรือไม่” หลิวหลีนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงพูดออกมา

“หลิวหลี เจ้าคิดอย่างไร”

“มีเจ้าค่ะ พลังบำเพ็ญเพียรของอาเลี่ยพอๆกับอาจารย์ลุง อันที่จริงน่าจะมีพลังกว่าอาจารย์ลุงเสียด้วยซ้ำ ให้อาเลี่ยรับวิบากอัสนีบาตแทนแล้วกันเจ้าค่ะ” หลิวหลีคิดว่าวิธีนี้ไม่เลวจริงๆ

“ ลองดูก็ได้” เสวียนหั่วเห็นสายตาเร่งรีบของลูกศิษย์จึงกลับคำพูด

“เยี่ยมไปเลย เช่นนั้นก็ฝากท่านอาจารย์ด้วย รอข้ากลับมาจากโลกมนุษย์” หลิวหลีว่าจบก็เดินจากไป ไม่ให้โอกาสเสวียนหั่วได้ชี้แจงอะไร

“เจ้าเด็กคนนี้” เสวียนหั่วกล่าวอย่างหมดแรง

หลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนรีบเดินทางไปโลกมนุษย์อย่างรวดเร็ว ส่วนพวกเอ๋าเลี่ยก็อาศัยอยู่ในมิติ อิงเสวี่ยอยู่ในมิติอสูรภูตของหนานกงเวิ่นเทียน ทั้งสองไม่อยากเปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นคนจากอสูรเทพ ต้องสนองความปรารถนาของจื่อฉีก่อน พวกเขาถึงจะจัดการขั้นต่อไปได้

“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” หลิวหลีถอนหายใจ พลังบำเพ็ญเพียรพัฒนามากขึ้นแล้วมีประโยชน์มาก แต่ก่อนยังต้องนั่งเรือวิเศษ คราวนี้บินมาเองได้ ทั้งยังเร็วอีกด้วย

“ข้าเก็บจื่อฉีที่ตอนนั้นยังเป็นไข่ได้จากเมืองบาดาลนี้แหละ” หลิวหลีย้อนนึกไปถึงตอนนั้นก็รู้สึกอันตรายอย่างมาก โชคดีที่จื่อฉีมีความสามารถกลืนกินข่ายอาคมได้

“พวกเราลงน้ำกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว หยิบไข่มุกแหวกนทีมาแล้วพาหลิวหลีลงไป

ทั้งสองซ่อนตัวอยู่นาน หลิวหลียังจำงูน้ำที่แสนโชคร้ายตัวนั้นได้ดี พอกำจัดผู้นำทะเลไปได้แล้ว สิ่งมีชีวิตในทะเลอื่นๆก็ล้วนไม่แข็งแรงมากนัก แต่รุ่นหลังก็ยังขยายพันธุ์ได้ไม่น้อย

“ถึงแล้ว ตอนนั้นข้าเก็บจื่อฉีได้จากตรงนี้แหละ” หลิวหลีพูดพลางชี้ไปที่แห่งหนึ่ง ยังสามารถเห็นรอยแตกร้าวที่ยังมีอยู่ของข่ายอาคม หลิวหลีพูดจบก็ปล่อยจื่อฉีออกมา เอ๋าเลี่ยก็ตามออกมาเช่นกัน

“นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เก็บจื่อฉีได้ในตอนนั้นหรอกหรือ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย” เอ๋าเลี่ยพูดพลางมองไปรอบๆ นอกจากจำนวนของสายพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น

“ที่นี่แหละ” จื่อฉีมองข่ายอาคมที่แตกเสียหาย ตอนนั้นมันถูกตนกัดไปบางส่วนและบางส่วนก็ถูกทำลายด้วยเพลิงอัสนีครามอีกครั้ง

“เอ๊ะ เจ้าตัวเล็ก ข้างในนั้นไม่ค่อยเหมือนนักนะ” อยู่ดีๆเอ๋าเลี่ยก็พูดขึ้น

“ไป เข้าไปดูกัน” หลิวหลีว่า

เอ๋าเลี่ยเข้าไปก่อน จากนั้นก็เป็นหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียน สุดท้ายถึงเป็นจื่อฉี

มาถึงสถานที่ที่เอ๋าเลี่ยบอกว่าไม่เหมือน เมื่อเอ๋าเลี่ยออกแรง ถ้ำหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาด้านหน้าพวกเขา ด้านในมีพลังเซียนกระจายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

“มีพลังเซียน ลงไปดูกัน”หลิวหลีรู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย หรือว่าครั้งก่อนอาเลี่ยแยกร่างจึงไม่รู้สึกถึงมันกันนะ

ยังเป็นลำดับแบบเมื่อครู่ เพียงแต่หลายคนรอบคอบขึ้นมาก หลิวหลีลองรู้สึกถึงมันดู

“มีกลิ่นอายบางเบาของอสูรเทพ กลิ่นอายอ่อนแรงมาก อยู่ใกล้ๆนี้” หลิวหลีรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจึงเอ่ยออกมา เป็นเพราะของขวัญอสูรเทพบรรพกาล หลิวหลีจึงมีสัมผัสอ่อนไหวกับกลิ่นอายอสูรเทพมากกว่าพวกเอ๋าเลี่ยมาก

“หลิวหลี เจ้าแยกออกไหมว่าเป็นอสูรเทพอะไร” หนานกงเวิ่นเทียนประหลาดใจกับความสามารถที่อยู่ดีๆออกมามากขึ้นของหลิวหลี

“ไม่ได้ ข้าทำได้เพียงรู้สึกถึงกลิ่นอายของอสูรเทพ อย่างอื่นไม่รู้หรอก” หลิวหลีส่ายหน้ากล่าว

“หมายความว่าพวกเราเข้าใกล้แล้ว ไม่แน่แม่ของจื่อฉีอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้” เอ๋าเลี่ยพูด ตอนนั้นหัวหน้าเผ่ากิเลนบอกว่ากิเลนหยกขาวจากไปพร้อมกับตั้งครรภ์ ทราบว่าเด็กนั้นคือจื่อฉี

“พวกเรารีบไปกันเถอะ” หลิวหลีกล่าวเร่ง

ผ่านไปไม่นาน ด้านหน้าก็มีถ้ำอีกแห่งหนึ่งปรากฎขึ้น มีเสียงทุ้มต่ำดังออกมา ทันใดนั้นจื่อฉีก็เกิดรู้สึกถึงสัมผัสทางสายโลหิตแล้วพุ่งเข้าไปอย่างดุเดือด

“เจ้าตัวเล็กนี่ พวกเราก็รีบเข้าไปกันเถอะ” หลิวหลีดึงจื่อฉีไว้ไม่อยู่ เมื่อครู่ที่จื่อฉีเกิดสัมผัสทางสายโลหิตทำให้ได้รู้ตัวตนของอสูรเทพที่อยู่ในถ้ำแล้ว มารดาของจื่อฉี กิเลนหยกขาวนามว่า อวี่ฉี

เมื่อทั้งสามคนเข้าไปก็เห็นกิเลนสีม่วงน้อยตัวหนึ่งคลอเคลียอยู่ข้างๆกิเลนหยกขาวตัวใหญ่

บนตัวของกิเลนหยกขาวตัวใหญ่ยักษ์ไร้สีสันระยิบระยับ ดวงตาโตทั้งสองข้างปิดสนิท หลิวหลีรู้สึกได้ถึงการไหลผ่านของพลังชีวิตบนร่างของกิเลนหยกขาว

“แม่ของจื่อฉีดูเหมือนใกล้จะไม่ไหวแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดพลางมองอวี่ฉี

หลิวหลีไม่พูดอะไร เพียงใช้ประสาทเซียนมองทะลุร่างกิเลนหยกขาว ภายในร่างกายถูกทำลายแสนสาหัส เส้นลมปราณส่วนใหญ่มีสิ่งอุดตัน อวัยวะภายในร่างกายเสื่อมโทรมรุนแรงยิ่งกว่า

“ท่านพี่ ช่วยแม่ของข้าด้วย” จื่อฉีแปลงร่างกลับมาเป็นคน ดวงตาทั้งสองมีน้ำตาเอ่อล้นดึงเสื้อของหลิวหลีแล้วพูด

“พี่จะพยายามให้ดีที่สุด” อย่างน้อยก็พอมีลมหายใจอยู่ แข็งแกร่งกว่าแม่ของนางเสียอีก

หลิวหลีก็มิได้ใจแคบ นางหยิบขวดเล็กๆและยาระดับ 7 หลายร้อยเม็ดออกมาเพื่อถ่ายเข้าไปในร่างของกิเลนหยกขาว หลิวหลีปล่อยเพลิงวิญญาณไม้ออกมาร่วมกับฤทธิ์ยาเพื่อแผดเผาเส้นลมปราณที่อุดตันในร่างของกิเลนหยกขาว กิเลนหยกขาวแผดเสียงหวีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด จื่อฉีแปลงร่างกลับไปเป็นกิเลนม่วงน้อยอีกครั้ง แลบลิ้นเลียอวี่ฉี หวังให้มารดาของตนดีขึ้น

“เสี่ยวเทียน ถุงนี้เป็นยาศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้ารู้สึกว่าเม็ดยาจะไม่ได้ผลก็ให้แปลงเม็ดยาเป็นฤทธิ์ยาแล้วผสมผสานเข้าไปในร่างของอวี่ฉี” หลิวหลีเบนความสนใจมาโยนถุงใส่ของเล็กๆให้หนานกงเวิ่นเทียน

“เอ๋าเลี่ย ช่วยข้ากดอวี่ฉีไว้ อย่าให้นางขยับ ร่างของนางใหญ่เกินไป ข้าควบคุมไม่ได้” หลิวหลีหันหน้าไปพูดกับเอ๋าเลี่ย เอ๋าเลี่ยแปลงร่างกลับเป็นมังกรทันที อวี่ฉีขยับเมื่อไหร่ เอ๋าเลี่ยก็จะใช้แรงกดนางไว้ ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนกำลังสนใจสภาพฤทธิ์ยาในร่างของอวี่ฉี กลัวว่าตนจะทำช้าไป หนานกงเวิ่นเทียนปล่อยเฟิ่งอิงเสวี่ยออกมาเช่นกัน

หลิวหลีใช้เพลิงวิญญาณไม้ขจัดสิ่งอุดตันในร่างอวี่ฉีอย่างตั้งใจ กระตุ้นพลังชีวิตของอวี่ฉี ตอนท้ายหลิวหลีไม่มีแรงมากพอ เห็นจื่อฉีกอดมารดาของตนด้วยความรักใคร่จึงคิดถึงมารดาของตนที่ยังคงนอนนิทราอยู่

 “โม่หราน ข้าต้องดูดซับพลังเซียนของมิติ เจ้าจำไว้ว่าอย่าให้กระทบกระเทือนต่อท่านแม่ข้าก็พอ” หลิวหลีส่งเสียงหาโม่หรานแล้วเริ่มดูดซับพลังเซียนในมิติ

หลิวหลีรู้สึกชาเล็กร้อย ในที่สุดอวี่ฉีก็ขยับตัว

อวี่ฉีรู้สึกว่าทั้งร่างกายอบอุ่นไปหมด ความรู้สึกแบบนี้ช่างสบายเสียจริง นี่ตนกำลังส่องแสงก่อนสิ้นใจงั้นหรือ เสียดายนักที่นางยังไม่ทันได้เห็นลูกตัวเองเกิดมา ไม่รู้วจะเป็นกิเลนน้อยที่สวยสดงดงามหรือไม่ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ลูกของนางกับอาโม่ต้องเป็นกิเลนน้อยที่เยี่ยมยอดมากอย่างแน่นอน ยังไม่ทันได้ยินลูกเรียกแม่เลยสักครั้ง อวี่ฉีรู้สึกเสียใจ

“ท่านแม่ ท่านแม่”

เสียงเรียกข้างๆทำให้อวี่ฉีมีปฏิกิริยาตอบสนอง ใครกำลังเรียกนางว่าแม่ ลูกของตนงั้นรึ เมื่อคิดถึงตรงนี้ อวี่ฉีออกแรงลืมตาขึ้นมาก็เห็นกิเลนน้อยสีม่วงกำลังโอบกอดนางด้วยความรักใคร่ เรียกนางว่าแม่

“เจ้า คือลูกของข้า” อวี่ฉีพยายามเปิดปากพูด

“ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้ว ดีจริงๆ” จื่อฉีก้มศีรษะน้อยๆลงไปคลอเคลียมารดาของตน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

 “ดีมากจริงๆ” เอ๋าเลี่ยเห็นอวี่ฉีฟื้นขึ้นมาก็วางใจ มองหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนที่ช่วยรักษาหลิวหลีอยู่ เฮ้อ หลิวหลีทำสุดชีวิตจริงๆ การดูดซับพลังเซียนอย่างบ้าคลั่งนี้ทำเอามิติเล็กๆของนางแทบแตกสลาย ตัวนางเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเหมือนกัน จำเป็นต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน

อวี่ฉีลืมตาขึ้นเห็นลูกของตนเองและผู้คนข้างตัว

“พวกเจ้าช่วยข้าไว้หรือ” อวี่ฉีพยายามเอ่ยปากพูด นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง ตอนนี้นางสามารถพักฟื้นได้เองแล้ว

“หลักๆแล้วก็เป็นนังหนูคนนี้ที่ช่วยท่าน นางคือผู้ทำพันธสัญญากับลูกท่าน” เอ๋าเลี่ยพูดพลางชี้ไปทางหลิวหลีที่กำลังรักษาตัวอยู่

 “ผู้ทำพันธสัญญากับลูกข้า นางคือคนสกุลจ้านหรือ” อวี่ฉีตกใจมาก คนจากสกุลจ้านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ไม่ใช่ นางคือคนสกุลหลง คู่พันธสัญญาคนแรกคือข้า ครั้งที่สองถึงเป็นลูกของท่าน” เอ๋าเลี่ยว่าพลางส่ายหน้า

……………………….…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด