แม่ครัวยอดเซียน 221 หลิวหลีผู้แข็งแกร่ง

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 221 หลิวหลีผู้แข็งแกร่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พันปีจากนี้ จะมีการแข่งขันจัดอันดับตำหนักหรือ?” หลิวหลีมองป้ายชื่อตัวเอง

“นายท่าน ท่านจะต้องเข้าร่วมการแข่งขันนะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องที่ดี ทุกตำหนักจะได้รางวัลที่แตกต่างกันออกไปตามอันดับที่ได้รับ ยิ่งอันดับต้นๆ ก็จะยิ่งได้รางวัลจำนวนมาก อย่างตำหนักเหลยถิงที่ได้อันดับหนึ่งมาตลอด รางวัลที่พวกเขาได้ก็จะมากกว่าอันดับสุดท้ายถึงสองเท่า นายท่านเพิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นจะได้รางวัลเป็นจำนวนเฉลี่ยของพวกเขา” อวิ๋นเฟยอธิบาย เพียงแต่นายท่านของพวกเขายังอายุน้อย นางก็เสียเปรียบอยู่แล้ว แถมนางยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายปรุงยาอีก เรื่องอันดับคงไม่ต้องพูดถึง

“เป็นแบบนี้นี่เอง ทั้ง 9 ตำหนัก คงจะจับสลากเพื่อจับคู่ ส่วนอีกตำหนักหนึ่งนั้นเป็นสลากว่างจะสามารถเข้ารอบได้ทันที” หลิวหลีลองคำนวณคร่าวๆ

“นายท่าน จับให้ได้สลากว่างจะเป็นการดีที่สุด เพราจะสามารถเข้ารอบต่อไปได้เลย” ชิงหลิ่วกล่าว หากจับได้สลากว่างได้จะดีมาก ความโชคดีก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง

“หากว่าโชคดีมากๆล่ะก็ สามารถจับได้สลากว่าง จนเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรกได้เลยทีเดียว”หลิวหลีเองก็คิดว่าไม่เลวเหมือนกัน สามารถประหยัดแรงไปได้มาก

“ฝ่าบาทพูดถูก เจ้าตำหนักหงซวี่เป็นคนโชคดีมาก เป็นดังที่นายท่านบอกเลย เขาจับได้สลากว่างจนเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรก คนในวังนภาเพลิงต่างก็เรียกเจ้าตำหนักหงซวี่ว่าเป็นเจ้าตำหนักปลามงคล หมายถึงว่าเป็นคนที่โชคดีมาก มีคนจำนวนไม่น้อยไปที่ตำหนักหงเมิ่งเพื่ออาศัยบารมี เผื่อจะได้โชคดีบ้าง” ชิงหลิ่วกล่าวต่อ

“ข้าก็เป็นคนโชคดีเหมือนกันแต่บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าแต่ละลำดับมีของรางวัลพิเศษอะไรบ้าง ส่วนยาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องไปสนใจ” หลิวหลีจับคางตัวเอง ตอนนางอยู่โลกเบื้องล่าง นางเองก็ถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก แต่ไม่รู้ว่านางกับเจ้าตำหนักหงซวี่ใครจะโชคดีกว่ากัน แต่ถึงต้องต่อสู้ นางก็ไม่กลัว อย่าคิดว่านางบำเพ็ญเพียรในระยะเวลาที่สั้นกว่าพวกเขา แต่ฝีมือของนางไม่ได้อ่อนด้อยเลย ยาที่เป็นรางวัลนั้นไม่ได้มีความจำเป็นเลย ยาที่นางปรุงในตอนนี้ก็เพียงพอต่อปริมาณใช้สอยในตำหนักเวิ่นเทียน

“นายท่าน ท่านจะอาศัยโชคอย่างเดียวไม่ได้ เรื่องอย่างพวกโชคชะตานี้ไม่แน่ไม่นอนหรอก” จื่อจู๋พูดแทรก ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลิวหลีอย่างยิ่ง

“หืม? จื่อจู๋ไม่เชื่อหรอกนะ รอให้ข้ารู้ก่อนเถอะว่าของรางวัลและทรัพยากรที่จะได้มีอะไรบ้าง พวกเราค่อยออกไปลองฝึกฝนกัน” บรรดาข้ารับใช้กลับไม่เชื่อมั่นในตัวนายท่าน นี่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจผ่อนปรน เห็นทีนางคงต้องแสดงฝีมือสักหน่อย เพื่อให้พวกข้ารับใช้ที่คิดว่านางเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอได้เห็นฝีมือของนาง

“ฝ่าบาท นอกจากจำนวนของทรัพยากรแล้ว องค์จักรพรรดิจะทรงประทานรางวัลพิเศษให้อีก  มีสถานที่ชื่อ หอปีศาจเงา ปีศาจเงาที่อยู่ด้านในเป็นเรื่องน่าอับอายของโลกเซียน จัดการได้ยากเย็นอย่างยิ่ง ทุกดินแดนร่วมมือกันเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์นี้ทิ้ง ผู้ที่รอดชีวิตก็ต้องซ่อนตัวและขังปีศาจเงาเอาไว้  มีการแบ่งระดับเพื่อทดสอบความสามารถ แต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าไปด้านในได้ จะมีแต่เจ้าตำหนักที่ได้ 3 อันดับแรกที่จะมีสิทธิ์เข้าไป และเจ้าตำหนักทุกท่านที่ได้เข้าไปในนั้นจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาไม่น้อย” ชิงหลิ่วอธิบาย

“น่าสนใจ ข้าตัดสินใจแล้ว ในสามอันดับแรกก็พอ จื่อจู๋ ไปที่สนามฝึกซ้อม เจ้าตำหนักของเจ้าไม่ได้ขยับเนื้อตัวมา 500 ปีแล้ว รู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก” หลิวหลียิ้มยิงฟันขณะพูดกับจื่อจู๋ อยู่ๆเขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ รู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกหลุมพราง เหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไร้พิษสงอย่างที่เห็นภายนอก

“ขอรับ” แต่จื่อจู๋ก็ยังรู้สึกว่า นายท่านยังอายุยังน้อย จะสู้เขาได้อย่างไรกัน เขาออมมือให้นางก็แล้วกัน นางจะได้ไม่ขายหน้า

“นายท่าน ที่นี่ขอรับ”จื่อจู๋ชี้ไปที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง รอบๆเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่านายท่านของตัวเองมีฝีมือแค่ไหน รวมไปถึงจี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วย พวกเขาก็อยากรู้ฝีมือของศิษย์หลานผู้นี้ ได้ยินจากปากของศิษย์น้องมาว่า ศิษย์หลานผู้นี้ไม่ใช่นักปรุงยาที่อ่อนแอ ต้องให้คนอื่นมาปกป้อง ศิษย์หลานของเขาเป็นบุคคลที่ทำให้คนต้องหวาดกลัว ถึงแม้ว่าศิษย์หลานจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว แต่ก็ยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในการจัดอันดับผู้โหดร้ายในโลกเบื้องล่าง

“ดีมาก เริ่มเลย ไม่ต้องออมมือให้ข้า” หลิวหลีออกตัวว่าไม่ต้องออมมือให้นาง ตอนนี้นางเพิ่งจะได้ประลองเป็นครั้งแรกจึงคาดคะเนอะไรไม่ถูก

“นายท่าน ล่วงเกินแล้ว” จื่อจู๋พูดจบ ก็ตั้งท่าแต่ยังไม่ได้ออกจนสุดแรง

ในตอนที่หมัดของจื่อจู๋กำลังจะทาบประทับลงบนหน้าหลิวหลีนั้นเอง นางเพียงแค่ยื่นมือออกมารับเอาไว้อย่างสบายๆ จื่อจู๋ลงแรงมากขึ้นแต่ก็ยังคงไม่คืบหน้า เขาใจเต้นรัวอย่างตกใจ เป็นไปได้อย่างไร นายท่านแรงเยอะเหลือเกิน เขาใช้แรงไปถึง 7 ส่วนแล้ว

“เจ้าไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด” หลิวหลีขมวดคิ้ว นางเพิ่งจะออกแรงไป 5 ส่วนเอง

เมื่อหลิวหลีรับหมัดของจื่อจู๋แล้วก็เริ่มโจมตีกลับ แต่ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าจื่อจู๋จึงหลบพ้น แต่ในใจสั่นรัวกระวนกระวาย เมื่อครู่เขาเกือบจะพลาดไปแล้ว

พลังเพลิงรอบตัวของหลิวหลีทะลักหลั่งไหลรุนแรง ปรากฏเปลวเพลิงสีฟ้าบนมือ

“เพลิงเซียน” ทุกคนตกตะลึง แม้แต่จื่อจู๋ก็เช่นกัน หลิวหลีตวัดเชือกเพลิงออกไปรัดตัวจื่อจู๋

“นายท่าน เก็บเพลิงเซียนเถิด” เฟยอวิ๋ยตะโกนขึ้น จื่อจู๋แพ้แล้ว

หลิวหลีเก็บเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์กลับเข้าไป

“สวรรค์ สีแบบนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ที่เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นาน ทำไมถึงอยู่ในมือของนายท่านได้”

“จริงๆด้วย คนจำนวนไม่น้อยด้านนอกนั้นต่างอยากได้เพลิงเซียนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ในมือของนาง”

“ไม่สิ พวกเจ้าเห็นไหมล่ะว่าคราวก่อนที่นายท่านเข้าฌานก็มีเพลิงเซียนวิญญาณไม้ปรากฏขึ้น พอนายท่านเข้าฌาณรอบนี้ก็มีเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ปรากฏขึ้นมา แล้วตอนนี้นางครอบครองเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ถ้าเช่นนั้นหรือว่าเพลิงเซียนวิญญาณไม้ก็อยู่กับนางด้วยเช่นกัน”

“นายท่านบอกพวกเราได้หรือไม่” พวกอวิ๋นเฟยตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ไม่มีอะไรหรอก เพลิงเซียนวิญญาณไม้กับเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์เดิมป็นเพลิงอัคคีของข้า พอมาอยู่ในโลกเซียนจึงจำเป็นจะต้องบรรลุขั้นจึงจะสามารถใช้การได้” หลิวหลีบอกว่าไม่มีอะไรจริงๆ อย่างไรพวกมันก็ยอมรับนางเป็นนาย มีนางใช้ได้คนเดียว

“นายท่าน ท่านช่างเก่งกาจเหลือเกิน” อวิ๋นเฟยรู้สึกว่าตัวเองเลือกนายถูกแล้ว

“ยังด้อยชั้นนัก นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสามตอนยุครุ่งเรืองของข้าเลย” หลิวหลีรู้สึกเศร้าใจ หนทางที่เพลิงอัคคีของนางจะบรรลุเป็นเพลิงเซียนยังอีกยาวไกล

“นายท่าน ท่านมีเพลิงเซียนกี่ชนิดกันแน่เจ้าคะ” ชิงหลิ่วรวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้น

“สองชนิดอย่างไร” เรื่องนี้รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ตอนแรกที่ท่านอยู่ที่โลกเบื้องล่าง ท่านมีเพลิงอัคคีกี่ชนิด” ชิงหลิ่วอธิบาย

“สิบชนิด เคล็ดวิชาที่ข้าบำเพ็ญฝึกฝนค่อนข้างจะพิเศษ ทุกครั้งที่จะบรรลุช่วงพลังจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี”

“ศิษย์น้อง ศิษย์หลานฝึกฝนคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณใช่หรือไม่” จี้เผิงเฟยพูดอย่างตื่นเต้นน้อยๆ

“ใช่แล้ว นังหนูฝึกสำเร็จคนแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่นังหนูบรรลุเป็นเซียน ก็มีหลายคนลองฝึกตามแต่ก็ล้มเหลว” เจียงหรูชวนกล่าวพลางพยักหน้า

“ทว่าเพลิงอัคคีเพียง 9 ชนิดก็พอแล้ว ทำไมถึงมี 10 ชนิด” ซ่งอิงซิงลองคำนวณระดับช่วงพลังแล้วก็พบว่าไม่จำเป็นต้องใช้ถึง 10 ชนิด

“เฮ้อ ก็ตอนนั้นที่เยี่ยซิงหวงแห่งโลกมารพ่ายแพ้สงครามและระเบิดฆ่าตัวตาย เขาพันธนาการเพลิงหยินหยางเอาไว้ จนเพลิงชนิดนั้นเกือบจะหายไปจากโลกนี้ หลิวหลีจึงเก็บมาไว้ในร่างกายตนเอง นางเลยมีเพลิงอัคคี 10 ชนิด” เจียงหรูชวนอธิบาย

“นายท่าน เพลิงอัคคีทั้ง 10 ชนิดของท่านต้องบรรลุเป็นเพลิงเซียนก่อน จึงจะใช้ได้ใช่หรือไม่” จื่อจู๋กล่าว หากเพลิงอัคคีทั้ง 10 ชนิดของฝ่าบาทบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนแล้ว จะกลายเป็นพลังแบบใดคงต้องเก่งกาจกว่าตอนนี้แน่

“ตามหลักการแล้วเป็นเช่นนั้น แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบร้อน” หลิวหลีถอนหายใจ เฮ้อ นางยังต้องการเพลิงเซียนกับพลังเพลิงจำนวนมหาศาล อีกอย่างนางคาดการณ์เอาไว้ว่าหลังจากที่เพลิงอัคคีชนิดที่ 3 กลายเป็นเพลิงเซียนแล้ว พลังเพลิงก็จะใช้ไม่ได้แล้ว และหลังจากที่เพลิงอัคคีชนิดที่ 5 กลายเป็นเพลิงเซียน เพลิงเซียนของคลังเพลิงเซียนก็จะใช้ไม่ได้อีก พอคิดแล้วก็ชวนเศร้าใจ ทั้งๆที่ในตัวนางมีของล้ำค่าแต่กลับไม่สามารถใช้ได้

“นายท่าน พวกข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จดั่งใจปรารถนา” ไม่ว่าอย่างไรขอแค่นายท่านแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยินดีจะติดตาม ความจริงจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า พวกเขาไม่ได้ติดตามคนผิด นายท่านไม่ได้เป็นเซียนนักปรุงยาที่อ่อนแอ แต่ทรงพลังเก่งกาจ จื่อจู๋ก็เข้าใจ ถึงแม้หลิวหลีจะไม่ใช้เพลิงเซียน เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง อีกอย่างเขาดูออกว่านายท่านจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้อย่างง่ายดาย

“กล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อทุกคนติดตามข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ให้พวกเขาลำบากแน่นอน” หลิวหลีบอกกับข้ารับใช้ว่าในเมื่อพวกเขาติดตามนางแล้ว นางจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องลำบาก

“ขอบคุณนายท่าน” ทุกคนต่างพากันตื้นตันใจ

“แต่พวกเจ้าจะต้องคอยระวังปากเอาไว้ให้ดีๆ สิ่งนี้คืออาวุธลับของข้า”หลิวหลีพูดด้วยท่าทีจริงจัง

“ขอรับ นายท่าน” ทุกคนพูดพร้อมเพรียงกัน

“ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกพันปี ข้าต้องพยายามจึงจะถูก อวิ๋นเฟย ข้าจะเข้าฌาน หากอาจารย์ของข้าเจียงหรูชวนต้องการพืชเซียนเพื่อใช้ปรุงยา เจ้าก็อย่าลืมไปเอามาให้เขา แล้วถ้าหากอาจารย์ของข้าทำสำเร็จ เขาจะเป็นนักปรุงยาให้กับตำหนักเวิ่นเทียนของเราโดยเฉพาะ” หลิวหลีให้อภิสิทธิ์อาจารย์ต่อหน้าทุกคนอย่างเปิดเผย

“ขอรับ นายท่าน” อวิ๋นเฟยรับคำสั่ง มีนักปรุงยาเพิ่มขึ้นมาอีกคน อย่างไรเสียก็ส่งผลดีกับพวกเขา อย่างไรเสียยาที่นายท่านปรุงขึ้นในตอนแรกก็ยังเหลือใช้

จี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงตบไหล่ของเจียงหรูชวน รับศิษย์ได้ดีนัก เจียงหรูชวนยิ่งรู้สึกภูมิใจ

“อีกอย่าง ไม่แค่การปรุงยาเท่านั้น หากทุกท่านมีความสามารถด้านอื่นๆ เชิญแสดงได้อย่างเต็มที่ ของที่จำเป็นต้องใช้ ให้อวิ๋นเฟยใช้ชื่อของข้าไปรับมา” หลิวหลีบอกว่านางต้องการให้ทุกคนพัฒนาความสามารถ

“ขอบคุณนายท่าน”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 221 หลิวหลีผู้แข็งแกร่ง

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 221 หลิวหลีผู้แข็งแกร่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พันปีจากนี้ จะมีการแข่งขันจัดอันดับตำหนักหรือ?” หลิวหลีมองป้ายชื่อตัวเอง

“นายท่าน ท่านจะต้องเข้าร่วมการแข่งขันนะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องที่ดี ทุกตำหนักจะได้รางวัลที่แตกต่างกันออกไปตามอันดับที่ได้รับ ยิ่งอันดับต้นๆ ก็จะยิ่งได้รางวัลจำนวนมาก อย่างตำหนักเหลยถิงที่ได้อันดับหนึ่งมาตลอด รางวัลที่พวกเขาได้ก็จะมากกว่าอันดับสุดท้ายถึงสองเท่า นายท่านเพิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นจะได้รางวัลเป็นจำนวนเฉลี่ยของพวกเขา” อวิ๋นเฟยอธิบาย เพียงแต่นายท่านของพวกเขายังอายุน้อย นางก็เสียเปรียบอยู่แล้ว แถมนางยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายปรุงยาอีก เรื่องอันดับคงไม่ต้องพูดถึง

“เป็นแบบนี้นี่เอง ทั้ง 9 ตำหนัก คงจะจับสลากเพื่อจับคู่ ส่วนอีกตำหนักหนึ่งนั้นเป็นสลากว่างจะสามารถเข้ารอบได้ทันที” หลิวหลีลองคำนวณคร่าวๆ

“นายท่าน จับให้ได้สลากว่างจะเป็นการดีที่สุด เพราจะสามารถเข้ารอบต่อไปได้เลย” ชิงหลิ่วกล่าว หากจับได้สลากว่างได้จะดีมาก ความโชคดีก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง

“หากว่าโชคดีมากๆล่ะก็ สามารถจับได้สลากว่าง จนเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรกได้เลยทีเดียว”หลิวหลีเองก็คิดว่าไม่เลวเหมือนกัน สามารถประหยัดแรงไปได้มาก

“ฝ่าบาทพูดถูก เจ้าตำหนักหงซวี่เป็นคนโชคดีมาก เป็นดังที่นายท่านบอกเลย เขาจับได้สลากว่างจนเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรก คนในวังนภาเพลิงต่างก็เรียกเจ้าตำหนักหงซวี่ว่าเป็นเจ้าตำหนักปลามงคล หมายถึงว่าเป็นคนที่โชคดีมาก มีคนจำนวนไม่น้อยไปที่ตำหนักหงเมิ่งเพื่ออาศัยบารมี เผื่อจะได้โชคดีบ้าง” ชิงหลิ่วกล่าวต่อ

“ข้าก็เป็นคนโชคดีเหมือนกันแต่บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าแต่ละลำดับมีของรางวัลพิเศษอะไรบ้าง ส่วนยาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องไปสนใจ” หลิวหลีจับคางตัวเอง ตอนนางอยู่โลกเบื้องล่าง นางเองก็ถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก แต่ไม่รู้ว่านางกับเจ้าตำหนักหงซวี่ใครจะโชคดีกว่ากัน แต่ถึงต้องต่อสู้ นางก็ไม่กลัว อย่าคิดว่านางบำเพ็ญเพียรในระยะเวลาที่สั้นกว่าพวกเขา แต่ฝีมือของนางไม่ได้อ่อนด้อยเลย ยาที่เป็นรางวัลนั้นไม่ได้มีความจำเป็นเลย ยาที่นางปรุงในตอนนี้ก็เพียงพอต่อปริมาณใช้สอยในตำหนักเวิ่นเทียน

“นายท่าน ท่านจะอาศัยโชคอย่างเดียวไม่ได้ เรื่องอย่างพวกโชคชะตานี้ไม่แน่ไม่นอนหรอก” จื่อจู๋พูดแทรก ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลิวหลีอย่างยิ่ง

“หืม? จื่อจู๋ไม่เชื่อหรอกนะ รอให้ข้ารู้ก่อนเถอะว่าของรางวัลและทรัพยากรที่จะได้มีอะไรบ้าง พวกเราค่อยออกไปลองฝึกฝนกัน” บรรดาข้ารับใช้กลับไม่เชื่อมั่นในตัวนายท่าน นี่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจผ่อนปรน เห็นทีนางคงต้องแสดงฝีมือสักหน่อย เพื่อให้พวกข้ารับใช้ที่คิดว่านางเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอได้เห็นฝีมือของนาง

“ฝ่าบาท นอกจากจำนวนของทรัพยากรแล้ว องค์จักรพรรดิจะทรงประทานรางวัลพิเศษให้อีก  มีสถานที่ชื่อ หอปีศาจเงา ปีศาจเงาที่อยู่ด้านในเป็นเรื่องน่าอับอายของโลกเซียน จัดการได้ยากเย็นอย่างยิ่ง ทุกดินแดนร่วมมือกันเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์นี้ทิ้ง ผู้ที่รอดชีวิตก็ต้องซ่อนตัวและขังปีศาจเงาเอาไว้  มีการแบ่งระดับเพื่อทดสอบความสามารถ แต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าไปด้านในได้ จะมีแต่เจ้าตำหนักที่ได้ 3 อันดับแรกที่จะมีสิทธิ์เข้าไป และเจ้าตำหนักทุกท่านที่ได้เข้าไปในนั้นจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาไม่น้อย” ชิงหลิ่วอธิบาย

“น่าสนใจ ข้าตัดสินใจแล้ว ในสามอันดับแรกก็พอ จื่อจู๋ ไปที่สนามฝึกซ้อม เจ้าตำหนักของเจ้าไม่ได้ขยับเนื้อตัวมา 500 ปีแล้ว รู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก” หลิวหลียิ้มยิงฟันขณะพูดกับจื่อจู๋ อยู่ๆเขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ รู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกหลุมพราง เหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไร้พิษสงอย่างที่เห็นภายนอก

“ขอรับ” แต่จื่อจู๋ก็ยังรู้สึกว่า นายท่านยังอายุยังน้อย จะสู้เขาได้อย่างไรกัน เขาออมมือให้นางก็แล้วกัน นางจะได้ไม่ขายหน้า

“นายท่าน ที่นี่ขอรับ”จื่อจู๋ชี้ไปที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง รอบๆเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่านายท่านของตัวเองมีฝีมือแค่ไหน รวมไปถึงจี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วย พวกเขาก็อยากรู้ฝีมือของศิษย์หลานผู้นี้ ได้ยินจากปากของศิษย์น้องมาว่า ศิษย์หลานผู้นี้ไม่ใช่นักปรุงยาที่อ่อนแอ ต้องให้คนอื่นมาปกป้อง ศิษย์หลานของเขาเป็นบุคคลที่ทำให้คนต้องหวาดกลัว ถึงแม้ว่าศิษย์หลานจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว แต่ก็ยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในการจัดอันดับผู้โหดร้ายในโลกเบื้องล่าง

“ดีมาก เริ่มเลย ไม่ต้องออมมือให้ข้า” หลิวหลีออกตัวว่าไม่ต้องออมมือให้นาง ตอนนี้นางเพิ่งจะได้ประลองเป็นครั้งแรกจึงคาดคะเนอะไรไม่ถูก

“นายท่าน ล่วงเกินแล้ว” จื่อจู๋พูดจบ ก็ตั้งท่าแต่ยังไม่ได้ออกจนสุดแรง

ในตอนที่หมัดของจื่อจู๋กำลังจะทาบประทับลงบนหน้าหลิวหลีนั้นเอง นางเพียงแค่ยื่นมือออกมารับเอาไว้อย่างสบายๆ จื่อจู๋ลงแรงมากขึ้นแต่ก็ยังคงไม่คืบหน้า เขาใจเต้นรัวอย่างตกใจ เป็นไปได้อย่างไร นายท่านแรงเยอะเหลือเกิน เขาใช้แรงไปถึง 7 ส่วนแล้ว

“เจ้าไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด” หลิวหลีขมวดคิ้ว นางเพิ่งจะออกแรงไป 5 ส่วนเอง

เมื่อหลิวหลีรับหมัดของจื่อจู๋แล้วก็เริ่มโจมตีกลับ แต่ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าจื่อจู๋จึงหลบพ้น แต่ในใจสั่นรัวกระวนกระวาย เมื่อครู่เขาเกือบจะพลาดไปแล้ว

พลังเพลิงรอบตัวของหลิวหลีทะลักหลั่งไหลรุนแรง ปรากฏเปลวเพลิงสีฟ้าบนมือ

“เพลิงเซียน” ทุกคนตกตะลึง แม้แต่จื่อจู๋ก็เช่นกัน หลิวหลีตวัดเชือกเพลิงออกไปรัดตัวจื่อจู๋

“นายท่าน เก็บเพลิงเซียนเถิด” เฟยอวิ๋ยตะโกนขึ้น จื่อจู๋แพ้แล้ว

หลิวหลีเก็บเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์กลับเข้าไป

“สวรรค์ สีแบบนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ที่เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นาน ทำไมถึงอยู่ในมือของนายท่านได้”

“จริงๆด้วย คนจำนวนไม่น้อยด้านนอกนั้นต่างอยากได้เพลิงเซียนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ในมือของนาง”

“ไม่สิ พวกเจ้าเห็นไหมล่ะว่าคราวก่อนที่นายท่านเข้าฌานก็มีเพลิงเซียนวิญญาณไม้ปรากฏขึ้น พอนายท่านเข้าฌาณรอบนี้ก็มีเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ปรากฏขึ้นมา แล้วตอนนี้นางครอบครองเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ถ้าเช่นนั้นหรือว่าเพลิงเซียนวิญญาณไม้ก็อยู่กับนางด้วยเช่นกัน”

“นายท่านบอกพวกเราได้หรือไม่” พวกอวิ๋นเฟยตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ไม่มีอะไรหรอก เพลิงเซียนวิญญาณไม้กับเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์เดิมป็นเพลิงอัคคีของข้า พอมาอยู่ในโลกเซียนจึงจำเป็นจะต้องบรรลุขั้นจึงจะสามารถใช้การได้” หลิวหลีบอกว่าไม่มีอะไรจริงๆ อย่างไรพวกมันก็ยอมรับนางเป็นนาย มีนางใช้ได้คนเดียว

“นายท่าน ท่านช่างเก่งกาจเหลือเกิน” อวิ๋นเฟยรู้สึกว่าตัวเองเลือกนายถูกแล้ว

“ยังด้อยชั้นนัก นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสามตอนยุครุ่งเรืองของข้าเลย” หลิวหลีรู้สึกเศร้าใจ หนทางที่เพลิงอัคคีของนางจะบรรลุเป็นเพลิงเซียนยังอีกยาวไกล

“นายท่าน ท่านมีเพลิงเซียนกี่ชนิดกันแน่เจ้าคะ” ชิงหลิ่วรวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้น

“สองชนิดอย่างไร” เรื่องนี้รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ตอนแรกที่ท่านอยู่ที่โลกเบื้องล่าง ท่านมีเพลิงอัคคีกี่ชนิด” ชิงหลิ่วอธิบาย

“สิบชนิด เคล็ดวิชาที่ข้าบำเพ็ญฝึกฝนค่อนข้างจะพิเศษ ทุกครั้งที่จะบรรลุช่วงพลังจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี”

“ศิษย์น้อง ศิษย์หลานฝึกฝนคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณใช่หรือไม่” จี้เผิงเฟยพูดอย่างตื่นเต้นน้อยๆ

“ใช่แล้ว นังหนูฝึกสำเร็จคนแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่นังหนูบรรลุเป็นเซียน ก็มีหลายคนลองฝึกตามแต่ก็ล้มเหลว” เจียงหรูชวนกล่าวพลางพยักหน้า

“ทว่าเพลิงอัคคีเพียง 9 ชนิดก็พอแล้ว ทำไมถึงมี 10 ชนิด” ซ่งอิงซิงลองคำนวณระดับช่วงพลังแล้วก็พบว่าไม่จำเป็นต้องใช้ถึง 10 ชนิด

“เฮ้อ ก็ตอนนั้นที่เยี่ยซิงหวงแห่งโลกมารพ่ายแพ้สงครามและระเบิดฆ่าตัวตาย เขาพันธนาการเพลิงหยินหยางเอาไว้ จนเพลิงชนิดนั้นเกือบจะหายไปจากโลกนี้ หลิวหลีจึงเก็บมาไว้ในร่างกายตนเอง นางเลยมีเพลิงอัคคี 10 ชนิด” เจียงหรูชวนอธิบาย

“นายท่าน เพลิงอัคคีทั้ง 10 ชนิดของท่านต้องบรรลุเป็นเพลิงเซียนก่อน จึงจะใช้ได้ใช่หรือไม่” จื่อจู๋กล่าว หากเพลิงอัคคีทั้ง 10 ชนิดของฝ่าบาทบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนแล้ว จะกลายเป็นพลังแบบใดคงต้องเก่งกาจกว่าตอนนี้แน่

“ตามหลักการแล้วเป็นเช่นนั้น แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบร้อน” หลิวหลีถอนหายใจ เฮ้อ นางยังต้องการเพลิงเซียนกับพลังเพลิงจำนวนมหาศาล อีกอย่างนางคาดการณ์เอาไว้ว่าหลังจากที่เพลิงอัคคีชนิดที่ 3 กลายเป็นเพลิงเซียนแล้ว พลังเพลิงก็จะใช้ไม่ได้แล้ว และหลังจากที่เพลิงอัคคีชนิดที่ 5 กลายเป็นเพลิงเซียน เพลิงเซียนของคลังเพลิงเซียนก็จะใช้ไม่ได้อีก พอคิดแล้วก็ชวนเศร้าใจ ทั้งๆที่ในตัวนางมีของล้ำค่าแต่กลับไม่สามารถใช้ได้

“นายท่าน พวกข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จดั่งใจปรารถนา” ไม่ว่าอย่างไรขอแค่นายท่านแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยินดีจะติดตาม ความจริงจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า พวกเขาไม่ได้ติดตามคนผิด นายท่านไม่ได้เป็นเซียนนักปรุงยาที่อ่อนแอ แต่ทรงพลังเก่งกาจ จื่อจู๋ก็เข้าใจ ถึงแม้หลิวหลีจะไม่ใช้เพลิงเซียน เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง อีกอย่างเขาดูออกว่านายท่านจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้อย่างง่ายดาย

“กล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อทุกคนติดตามข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ให้พวกเขาลำบากแน่นอน” หลิวหลีบอกกับข้ารับใช้ว่าในเมื่อพวกเขาติดตามนางแล้ว นางจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องลำบาก

“ขอบคุณนายท่าน” ทุกคนต่างพากันตื้นตันใจ

“แต่พวกเจ้าจะต้องคอยระวังปากเอาไว้ให้ดีๆ สิ่งนี้คืออาวุธลับของข้า”หลิวหลีพูดด้วยท่าทีจริงจัง

“ขอรับ นายท่าน” ทุกคนพูดพร้อมเพรียงกัน

“ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกพันปี ข้าต้องพยายามจึงจะถูก อวิ๋นเฟย ข้าจะเข้าฌาน หากอาจารย์ของข้าเจียงหรูชวนต้องการพืชเซียนเพื่อใช้ปรุงยา เจ้าก็อย่าลืมไปเอามาให้เขา แล้วถ้าหากอาจารย์ของข้าทำสำเร็จ เขาจะเป็นนักปรุงยาให้กับตำหนักเวิ่นเทียนของเราโดยเฉพาะ” หลิวหลีให้อภิสิทธิ์อาจารย์ต่อหน้าทุกคนอย่างเปิดเผย

“ขอรับ นายท่าน” อวิ๋นเฟยรับคำสั่ง มีนักปรุงยาเพิ่มขึ้นมาอีกคน อย่างไรเสียก็ส่งผลดีกับพวกเขา อย่างไรเสียยาที่นายท่านปรุงขึ้นในตอนแรกก็ยังเหลือใช้

จี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงตบไหล่ของเจียงหรูชวน รับศิษย์ได้ดีนัก เจียงหรูชวนยิ่งรู้สึกภูมิใจ

“อีกอย่าง ไม่แค่การปรุงยาเท่านั้น หากทุกท่านมีความสามารถด้านอื่นๆ เชิญแสดงได้อย่างเต็มที่ ของที่จำเป็นต้องใช้ ให้อวิ๋นเฟยใช้ชื่อของข้าไปรับมา” หลิวหลีบอกว่านางต้องการให้ทุกคนพัฒนาความสามารถ

“ขอบคุณนายท่าน”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+