แม่ครัวยอดเซียน 256 ปู้หุ่ย

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 256 ปู้หุ่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวหลีเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจื่อฉี ก็ปล่อยเพลิงเซียนออกมาในทันที

“ เจ้าเด็กนี่ เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือ” ผลคือพอหลิวหลีเดินไปข้างหน้าก็พบดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่ง ทำไมที่นี่ถึงมีคนอยู่ด้วย แต่การโจมตีของตนเองกลับถูกคนผู้นั้นยับยั้งไว้ได้อย่างง่ายดาย ถือเป็นยอดฝีมือ

“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจำศีลอยู่ที่นี่ รบกวนแล้ว” หลิวหลีระสานมือทำความเคารพแล้วพูดขึ้น พอตนเองทำความเคารพเสร็จ ก็สบตาฝ่ายตรงข้าม

“เจ้าเป็นเด็กน้อยที่ดีทีเดียว” ผ่านไปอยู่นานกว่าฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มมีปฏิกิริยา เป็นเหมือนที่กิเลนน้อยพูดไว้ไม่มีผิด ถือเป็นเด็กดีมีมารยาท

“ผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไป” หลิวหลีพูดอย่างอ่อนน้อม เพียงแต่ผู้อาวุโสท่านนี้คือใครกัน ไม่เคยได้ยินปู่ทวดของนางพูดถึงมาก่อน

“นังหนู บนตัวของเจ้ามีสายเลือดบ้านสกุลจ้านที่เข้มข้นแต่ที่น่าแปลกคือ สายเลือดสกุลหลงในตัวของเจ้าก็เข้มข้นมากเช่นเดียวกัน หาได้ยากนัก” คนผู้นั้นรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก

“เป็นอย่างนั้นหรือ ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร” หลิวหลีไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้จริงๆ เรื่องสายเลือดพวกนี้ นางไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก รู้แค่ว่าตัวเองอยู่ในรายชื่อสกุลหลงเท่านั้น

“นังหนู น่าสนใจ น่าสนใจ” ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ยิ้มมาหลายแสนปี ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าค้างแข็ง

“นังหนู ข้าอยากจะถามเจ้า คู่พันธสัญญาของเจ้าคือใคร” ชายผู้นั้นถามต่อ

“หลังจากบรรลุเซียน ก็ยกเลิกพันธสัญญากันหมดไม่ใช่หรือ ผู้อาวุโส ข้าทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตและกิเลนม่วงที่อยู่ข้างๆ” หลิวหลีส่งสายตาไปที่จื่อฉีที่พยายามทำเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น ฮือ ฮือ ฮือ ท่านพี่น่ากลัวกว่าผู้อาวุโสดวงตาสีเลือดผู้นั้นอีก

“พันธสัญญาคู่ นึกไม่ถึงเลยจริงๆในช่วงชีวิตของข้า จะได้เจอกับคนที่ทำพันธสัญญาคู่ได้”

“ทำไมทุกคนถึงรู้สึกดีใจเรื่องพันธสัญญาคู่ ท่านผู้อาวุโส” หลิวหลีงุนงง พันธสัญญาคู่มีอะไรที่แตกต่างไปหรือ

“เจ้าย่อมจะต้องแตกต่าง นังหนู จริงสิ เจ้าชื่ออะไร”

“หลิวหลี”

“หลิวหลี ชื่อไม่เลวเลย ข้ามีนามว่า ปู้หุ่ย” ปู้หุ่ยกล่าว

“ผู้อาวุโสปู้หุ่ย” ทั้งสองคนสบตากันแล้วทำความเคารพด้วยความนอบน้อม

“ดี ดี ดี ข้าไม่ได้สนทนากับคนอื่นมานานมากแล้ว ยังไม่เคยเห็นลูกหลานที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้” ปู้หุ่ยรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าทั้งหมดนี้คุ้มค่ามากอย่างย่ิง

“ผู้อาวุโส ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่” ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่เลว แต่ก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่อาศัย

“หลิวหลี ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับดวงตาสีแดงเลือดของข้าได้เหมือนเช่นเจ้า ตอนนั้นข้าทุ่มเทไปตั้งมากมาย แม้แต่คู่พันธสัญญาก็ถูกข้าทอดทิ้ง แต่สุดท้ายสิ่งที่ข้าได้รับกลับมาคือความหวาดกลัวของคนรุ่นหลัง ข้าทำได้เพียงหลบอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งชาตินี้ข้าหมดความหวังที่จะได้บรรลุแล้ว” ปู้หุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าปนเศร้าใจ

“ท่านควรจะจัดการกับลูกหลานพวกนั้นให้รู้เสียบ้าง พวกคนที่เสวยสุขกับสิ่งที่บรรพบุรุษทำให้ แต่กลับไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของบรรพบุรุษที่เกิดจากการอุทิศตนของพวกเขา คนพวกนั้นไม่สามารถบรรลุได้หรอก” หลิวหลีกล่าวด้วยความรังเกียจ

“พูดได้ดี ข้ามีลูกหลานอย่างเจ้า ถือว่าเป็นความโชคดีของข้า” ปู้หุ่ยรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

“มนุษย์ทุกคนจะต้องพึ่งพาตัวเอง ของที่บรรพบุรุษให้มาเป็นแค่ตัวช่วยเท่านั้น หากว่าอาศัยแต่ของที่บรรพบุรุษให้มาเอาแต่ขี้ขลาดหดหัว ก็ไร้ประโยชน์” หลิวหลีออกตัวว่าของในครอบครองตนเองเท่านั้นถึงจะเป็นของตนจริงๆ พลังบำเพ็ญเพียรสามารถต่อสู้กับสิ่งอื่นได้ ถึงจะถือเป็นพลังบำเพ็ญเพียรที่แท้จริง

“ฮ่าฮ่า คำพูดของเจ้าเหมือนคนแก่ที่ผ่านโลกมามาก นังหนู อายุยังน้อยอย่าใช้น้ำเสียงเช่นนี้เลย” หน้าตาอ่อนวัยแต่คำพูดคำจาราวคนชรา ทำให้ดูน่าขันไม่น้อย

“ข้าอายุตั้งหลายพันปีแล้ว หากว่าอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่รู้ว่าจะเป็นบรรพบุรุษขั้นที่เท่าไหร่แล้ว” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นโบราณวัตถุไปแล้ว

“อายุยังไม่ถึงหมื่นปี ยังเด็กน้อยนัก แต่จุดพรหมจรรย์ของเจ้าหายไป เจ้าแต่งงานมีลูกแล้วหรือ” ปู้หุ่ยกล่าวถาม

“แต่งงานแล้วเจ้าค่ะ ผู้อาวุโสปู้หุ่ย แต่ข้ายังไม่มีลูก” เฮ้อ เมื่อไหร่จะมีซาลาเปาก้อนกลมๆขาวๆออกมาเล่นบ้างนะ หลิวหลีเศร้าใจน้อยๆ ส่วนจื่อฉีส่ายศีรษะ ท่านพี่ไม่เอ็นดูเด็กอย่างเขาเลยด้วยซ้ำ คาดว่าในอนาคตหากนางมีลูก คาดว่านางคงเห็นลูกเป็นของเล่นแน่

“ยิ่งพลังบำเพ็ญเพียรสูง ก็ยิ่งจะมีลูกยาก” ปู้หุ่ยกล่าว

“ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกันเจ้าค่ะ” หลิวหลีไม่ได้ดื้อรั้น เรื่องลูกก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา

“ยังไม่ได้เล่าเลยว่าพวกเจ้าสองคนเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หากว่าปู้หุ่ยจำไม่ผิด ลูกหลานของเขากลุ่มนั้นทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม แล้วไม่ให้เด็กๆที่บรรลุเป็นเซียนเข้าใกล้ที่นี่

“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสปู้หุ่ย ข้ากำลังเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับจื่อฉี ผลปรากฏว่าเจ้าเด็กนี่วิ่งเข้ามา ข้าเลยตามเข้ามาด้วย” หลิวหลีบอกว่าตัวเองเข้ามาด้วยความบังเอิญ แต่ปู่ทวดของนางไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้นางฟังจริงๆ

“คู่ฝึกซ้อม ข้าไม่ได้ขยับตัวมาก็หลายแสนปีให้ข้าเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับพวกเจ้าทั้งสองคนดีไหม” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีคนเข้าตาเขา สอนเด็ก 2 คนนี้หน่อยก็ไม่เลว

“รบกวนผู้อาวุโสด้วย” ทั้งสองคนพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ได้คู่ฝึกซ้อมที่เป็นยอดฝีมือเช่นนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยาก

ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงหายตัวอย่างรื่นเริง ส่วนเอ๋าเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไร เด็ก 2 คนนี้มักจะหายตัวไปอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครตามหา

“แค่กๆ ท่านพี่ ท่านเองก็ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ด้วยหรือ” จื่อฉีก็แอบมีความสุขน้อยๆ เมื่อมองดูหลิวหลีที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม

“แต่ข้าจัดการเจ้าได้ไม่มีปัญหา” ข้าอาจจะสู้ยอดฝีมือไม่ได้ แต่เจ้ากุ้งตัวน้อยอย่างเจ้า เวลาจัดการแทบไม่ต้องใช้แรงอะไรเลย

จื่อฉีทำหน้าเศร้า เขาปากพล่อย พอเห็นท่านพี่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ก็หลงลืมช่วงเวลาที่ตัวเองถูกซ้อมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

“เนตรกิเลนของเจ้าเมื่อไหร่จะหลอมรวมได้สักที ผู้อาวุโสปู้หุ่ยบอกแล้วว่าเจ้ายังไม่ได้นำความสามารถทั้งหมดของเนตรกิเลนออกมาใช้” หลิวหลีเหลือบมองจื่อฉีที่ทำหน้าสำนึกผิด ข้าจะหุบปากแล้ว

“ข้าก็นึกมาตลอดว่า ข้าหลอมรวมจนหมดแล้ว ใครจะรู้ว่ายังไม่ได้หลอมรวมทั้งหมด ตอนนี้เพิ่งจะหลอมรวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จื่อฉีนึกถึงสีหน้าของผู้อาวุโสปู้หุ่ยที่ทำหน้าเหมือนตัวเองไม่รู้คุณค่าของของล้ำค่า ก็รู้สึกอึดอัดใจ

“พวกเจ้าสองคน พักผ่อนกันพอหรือยัง”

“รีบหลบไป” หลิวหลีกับจื่อฉีหลบไปอยู่ข้างๆ

ปู้หุ่ยรู้สึกชื่นชมเด็ก 2 คนนี้มาก เขานึกว่าตัวเองใช้แรงเพียงส่วนเดียวก็เพียงพอแล้ว ใครจะรู้ว่าอยู่ๆตัวเองก็ใช้พลังไปถึง 3 ส่วนโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะนังหนูคนนั้น ยิ่งฝึกซ้อมก็ยิ่งแข็งแรง ฝีมือพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญเลยก็คือนังหนูควบคุมเพลิงเซียนได้ดีราวกับเพลิงเซียนพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนาง ส่วนสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่านังหนูคนนี้ต่างไปจากคนอื่นเลยคือ นังหนูคนนี้สามารถแยกประสาทเซียนออกเป็นพันดวง แถมยังสามารถควบคุมได้ด้วย แต่ก็ไม่ใช่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงแต่ยังผสมผสานกันทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น สมแล้วที่เป็นผู้ที่สามารถทำพันธสัญญาคู่ได้

ทั้งร่างของหลิวหลี เต็มไปด้วยเพลิงเซียนขาวดำสองสี เพลิงเซียนหยินหยางถูกบังคับออกมาใช้ แต่ก็ยังแตกต่างกับอีกฝ่ายอยู่มาก จื่อฉีเองก็หลบได้อย่างหวุดหวิด สามารถพูดได้ว่าการโจมตีสองในสามของปู้หุ่ยนั้น ไว้ใช้โจมตีหลิวหลี ส่วนที่เหลือหนึ่งในสามนั้นไว้ใช้โจมตีจื่อฉี จื่อฉีแอบสาบานในใจ จะต้องพยายามให้มากๆ ไม่จำเป็นต้องให้เท่าหลิวหลี แต่อย่างน้อยจะต้องไม่ถูกนางทิ้งไว้ด้านหลัง

ผลงานย่อมออกมาเป็นที่น่าพอใจ สัญลักษณ์สีหยกบนหน้าผากของหลิวหลีมีสีเข้มขึ้น จื่อฉีเองก็ควบคุมเนตรกิเลนได้ทั้งหมด พลังเซียนภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เข้าสู่ขั้นเซียนนภานพเก้า จากเด็กอายุ 10 ปี ก็กลายเป็นคุณชายอายุ  16 ปีทันที

ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอยู่ในนี้เป็นระยะเวลา 200 ปีโดยไม่รู้ตัว

“ข้าไม่มีอะไรจะสอนพวกเจ้าสองคนแล้ว นี่คือของขวัญชิ้นสุดท้ายจากข้า พวกเจ้าควรจะไปได้แล้ว” ปู้หุ่ยรู้สึกพึงพอใจกับความก้าวหน้าของคนทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหลี นางเป็นคนที่สามารถเรียนรู้อะไรได้มากมาย เดิมทีเขาเตรียมจะสอนอีกฝ่าย 500 ปี แต่แค่ 200 ปีเด็กทั้งสองคนก็ร่ำเรียนทั้งหมด

ปู้หุ่ยดีดของสองอย่างให้หลิวหลีกับจื่อฉีคนละอย่าง

หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็ปรากฏตัวอยู่บริเวณหน้าถ้ำ

“ผู้อาวุโส ต่อไปข้าจะมาเยี่ยมท่าน ได้โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย” ทั้งสองคนทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วเดินจากไป พวกเขาเชื่อว่าจะต้องได้เจอกันอีกแน่

หลังจากทั้งสองคนจากไปได้ไม่นาน ปู้หุ่ยกระอักเลือดออกมา

“ฮ่าฮ่า จ้านปู้หุ่ย ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะสามารถสะกดข้าไว้ได้อีกนานแค่ไหน” เสียงหญิงสาวราวเสียสติลอยเข้ามา

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าร่างกายของข้าจะสลายไป ข้าก็จะต้องพาเจ้าไปด้วยอย่างแน่นอน เผ่าปีศาจเงาของเจ้าถูกทำลายไปแล้ว คนที่หนีไปได้ก็เหมือนเป็นหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนตัว ต้องคอยระวังความปลอดภัยของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะต้องจำไว้ เผ่าปีศาจเงาถูกทำลายก็เพราะตัวเจ้า ข้าขังเจ้าไว้ในดวงตาของข้า เจ้าออกไปไม่ได้หรอก” จ้านปู้หุ่ยพูดอย่างไม่ยี่หระ

“สารเลว เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับทำกับข้าเช่นนี้” เสียงของผู้หญิงเริ่มเสียสติ

“ตั้งแต่เจ้าวางแผนให้หลานซือกลายเป็นมาร ข้าก็ได้เตรียมการไว้แล้ว เรื่องไม่ปล่อยเจ้าไป เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่นานเรื่องก็จะจบลง หลานซือไม่อยู่แล้ว เจ้ากับข้าก็ต้องตามไปเป็นเครื่องสังเวยด้วยเช่นกัน” จ้านปู้หุ่ยดวงตาเป็นสายเลือดแล้วพูดขึ้น

“ไม่ ไม่ เจ้าจะทำเช่นนั้นกับข้าไม่ได้” เสียงหญิงสาวบ้าคลั่งมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมจะไม่ได้ คนในเผ่าของข้าทอดทิ้งข้า อสูรเทพก็อยากจะสังหารข้า แต่ข้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ อยู่ราวซากศพ เจ้าก็รู้ หากไม่จัดการคนที่เหลือในเผ่ามารรัติกาลของเจ้าให้สิ้นซาก ก็จะไม่สามารถดับไฟแค้นที่อยู่ในใจได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มีทายาทคนหนึ่งของข้าไม่กลัวดวงตาสีแดงเลือดที่เกิดขึ้นเพราะต้องพันธนาการเจ้าเอาไว้ ในใจของข้าไม่ได้เสียดายอะไรอีกแล้ว” ปู้หุ่ยนึกถึงหลิวหลีกับจื่อฉี ก็พลันรู้สึกอบอุ่น เจ้าหนูน้อยที่เป็นเด็กดีทั้งสองคนนั้น

หลิวหลีกับจื่อฉีที่จากไปย่อมไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ในตอนที่ทั้งสองคนกลับไป จื่อฉีที่เป็นเซียนนภานพเก้าทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง ได้นังหนูเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ได้ผลเช่นนี้เชียวหรือ

 …………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 256 ปู้หุ่ย

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 256 ปู้หุ่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวหลีเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจื่อฉี ก็ปล่อยเพลิงเซียนออกมาในทันที

“ เจ้าเด็กนี่ เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือ” ผลคือพอหลิวหลีเดินไปข้างหน้าก็พบดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่ง ทำไมที่นี่ถึงมีคนอยู่ด้วย แต่การโจมตีของตนเองกลับถูกคนผู้นั้นยับยั้งไว้ได้อย่างง่ายดาย ถือเป็นยอดฝีมือ

“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจำศีลอยู่ที่นี่ รบกวนแล้ว” หลิวหลีระสานมือทำความเคารพแล้วพูดขึ้น พอตนเองทำความเคารพเสร็จ ก็สบตาฝ่ายตรงข้าม

“เจ้าเป็นเด็กน้อยที่ดีทีเดียว” ผ่านไปอยู่นานกว่าฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มมีปฏิกิริยา เป็นเหมือนที่กิเลนน้อยพูดไว้ไม่มีผิด ถือเป็นเด็กดีมีมารยาท

“ผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไป” หลิวหลีพูดอย่างอ่อนน้อม เพียงแต่ผู้อาวุโสท่านนี้คือใครกัน ไม่เคยได้ยินปู่ทวดของนางพูดถึงมาก่อน

“นังหนู บนตัวของเจ้ามีสายเลือดบ้านสกุลจ้านที่เข้มข้นแต่ที่น่าแปลกคือ สายเลือดสกุลหลงในตัวของเจ้าก็เข้มข้นมากเช่นเดียวกัน หาได้ยากนัก” คนผู้นั้นรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก

“เป็นอย่างนั้นหรือ ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร” หลิวหลีไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้จริงๆ เรื่องสายเลือดพวกนี้ นางไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก รู้แค่ว่าตัวเองอยู่ในรายชื่อสกุลหลงเท่านั้น

“นังหนู น่าสนใจ น่าสนใจ” ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ยิ้มมาหลายแสนปี ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าค้างแข็ง

“นังหนู ข้าอยากจะถามเจ้า คู่พันธสัญญาของเจ้าคือใคร” ชายผู้นั้นถามต่อ

“หลังจากบรรลุเซียน ก็ยกเลิกพันธสัญญากันหมดไม่ใช่หรือ ผู้อาวุโส ข้าทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตและกิเลนม่วงที่อยู่ข้างๆ” หลิวหลีส่งสายตาไปที่จื่อฉีที่พยายามทำเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น ฮือ ฮือ ฮือ ท่านพี่น่ากลัวกว่าผู้อาวุโสดวงตาสีเลือดผู้นั้นอีก

“พันธสัญญาคู่ นึกไม่ถึงเลยจริงๆในช่วงชีวิตของข้า จะได้เจอกับคนที่ทำพันธสัญญาคู่ได้”

“ทำไมทุกคนถึงรู้สึกดีใจเรื่องพันธสัญญาคู่ ท่านผู้อาวุโส” หลิวหลีงุนงง พันธสัญญาคู่มีอะไรที่แตกต่างไปหรือ

“เจ้าย่อมจะต้องแตกต่าง นังหนู จริงสิ เจ้าชื่ออะไร”

“หลิวหลี”

“หลิวหลี ชื่อไม่เลวเลย ข้ามีนามว่า ปู้หุ่ย” ปู้หุ่ยกล่าว

“ผู้อาวุโสปู้หุ่ย” ทั้งสองคนสบตากันแล้วทำความเคารพด้วยความนอบน้อม

“ดี ดี ดี ข้าไม่ได้สนทนากับคนอื่นมานานมากแล้ว ยังไม่เคยเห็นลูกหลานที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้” ปู้หุ่ยรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าทั้งหมดนี้คุ้มค่ามากอย่างย่ิง

“ผู้อาวุโส ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่” ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่เลว แต่ก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่อาศัย

“หลิวหลี ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับดวงตาสีแดงเลือดของข้าได้เหมือนเช่นเจ้า ตอนนั้นข้าทุ่มเทไปตั้งมากมาย แม้แต่คู่พันธสัญญาก็ถูกข้าทอดทิ้ง แต่สุดท้ายสิ่งที่ข้าได้รับกลับมาคือความหวาดกลัวของคนรุ่นหลัง ข้าทำได้เพียงหลบอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งชาตินี้ข้าหมดความหวังที่จะได้บรรลุแล้ว” ปู้หุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าปนเศร้าใจ

“ท่านควรจะจัดการกับลูกหลานพวกนั้นให้รู้เสียบ้าง พวกคนที่เสวยสุขกับสิ่งที่บรรพบุรุษทำให้ แต่กลับไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของบรรพบุรุษที่เกิดจากการอุทิศตนของพวกเขา คนพวกนั้นไม่สามารถบรรลุได้หรอก” หลิวหลีกล่าวด้วยความรังเกียจ

“พูดได้ดี ข้ามีลูกหลานอย่างเจ้า ถือว่าเป็นความโชคดีของข้า” ปู้หุ่ยรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

“มนุษย์ทุกคนจะต้องพึ่งพาตัวเอง ของที่บรรพบุรุษให้มาเป็นแค่ตัวช่วยเท่านั้น หากว่าอาศัยแต่ของที่บรรพบุรุษให้มาเอาแต่ขี้ขลาดหดหัว ก็ไร้ประโยชน์” หลิวหลีออกตัวว่าของในครอบครองตนเองเท่านั้นถึงจะเป็นของตนจริงๆ พลังบำเพ็ญเพียรสามารถต่อสู้กับสิ่งอื่นได้ ถึงจะถือเป็นพลังบำเพ็ญเพียรที่แท้จริง

“ฮ่าฮ่า คำพูดของเจ้าเหมือนคนแก่ที่ผ่านโลกมามาก นังหนู อายุยังน้อยอย่าใช้น้ำเสียงเช่นนี้เลย” หน้าตาอ่อนวัยแต่คำพูดคำจาราวคนชรา ทำให้ดูน่าขันไม่น้อย

“ข้าอายุตั้งหลายพันปีแล้ว หากว่าอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่รู้ว่าจะเป็นบรรพบุรุษขั้นที่เท่าไหร่แล้ว” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นโบราณวัตถุไปแล้ว

“อายุยังไม่ถึงหมื่นปี ยังเด็กน้อยนัก แต่จุดพรหมจรรย์ของเจ้าหายไป เจ้าแต่งงานมีลูกแล้วหรือ” ปู้หุ่ยกล่าวถาม

“แต่งงานแล้วเจ้าค่ะ ผู้อาวุโสปู้หุ่ย แต่ข้ายังไม่มีลูก” เฮ้อ เมื่อไหร่จะมีซาลาเปาก้อนกลมๆขาวๆออกมาเล่นบ้างนะ หลิวหลีเศร้าใจน้อยๆ ส่วนจื่อฉีส่ายศีรษะ ท่านพี่ไม่เอ็นดูเด็กอย่างเขาเลยด้วยซ้ำ คาดว่าในอนาคตหากนางมีลูก คาดว่านางคงเห็นลูกเป็นของเล่นแน่

“ยิ่งพลังบำเพ็ญเพียรสูง ก็ยิ่งจะมีลูกยาก” ปู้หุ่ยกล่าว

“ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกันเจ้าค่ะ” หลิวหลีไม่ได้ดื้อรั้น เรื่องลูกก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา

“ยังไม่ได้เล่าเลยว่าพวกเจ้าสองคนเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หากว่าปู้หุ่ยจำไม่ผิด ลูกหลานของเขากลุ่มนั้นทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม แล้วไม่ให้เด็กๆที่บรรลุเป็นเซียนเข้าใกล้ที่นี่

“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสปู้หุ่ย ข้ากำลังเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับจื่อฉี ผลปรากฏว่าเจ้าเด็กนี่วิ่งเข้ามา ข้าเลยตามเข้ามาด้วย” หลิวหลีบอกว่าตัวเองเข้ามาด้วยความบังเอิญ แต่ปู่ทวดของนางไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้นางฟังจริงๆ

“คู่ฝึกซ้อม ข้าไม่ได้ขยับตัวมาก็หลายแสนปีให้ข้าเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับพวกเจ้าทั้งสองคนดีไหม” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีคนเข้าตาเขา สอนเด็ก 2 คนนี้หน่อยก็ไม่เลว

“รบกวนผู้อาวุโสด้วย” ทั้งสองคนพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ได้คู่ฝึกซ้อมที่เป็นยอดฝีมือเช่นนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยาก

ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงหายตัวอย่างรื่นเริง ส่วนเอ๋าเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไร เด็ก 2 คนนี้มักจะหายตัวไปอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครตามหา

“แค่กๆ ท่านพี่ ท่านเองก็ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ด้วยหรือ” จื่อฉีก็แอบมีความสุขน้อยๆ เมื่อมองดูหลิวหลีที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม

“แต่ข้าจัดการเจ้าได้ไม่มีปัญหา” ข้าอาจจะสู้ยอดฝีมือไม่ได้ แต่เจ้ากุ้งตัวน้อยอย่างเจ้า เวลาจัดการแทบไม่ต้องใช้แรงอะไรเลย

จื่อฉีทำหน้าเศร้า เขาปากพล่อย พอเห็นท่านพี่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ก็หลงลืมช่วงเวลาที่ตัวเองถูกซ้อมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

“เนตรกิเลนของเจ้าเมื่อไหร่จะหลอมรวมได้สักที ผู้อาวุโสปู้หุ่ยบอกแล้วว่าเจ้ายังไม่ได้นำความสามารถทั้งหมดของเนตรกิเลนออกมาใช้” หลิวหลีเหลือบมองจื่อฉีที่ทำหน้าสำนึกผิด ข้าจะหุบปากแล้ว

“ข้าก็นึกมาตลอดว่า ข้าหลอมรวมจนหมดแล้ว ใครจะรู้ว่ายังไม่ได้หลอมรวมทั้งหมด ตอนนี้เพิ่งจะหลอมรวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จื่อฉีนึกถึงสีหน้าของผู้อาวุโสปู้หุ่ยที่ทำหน้าเหมือนตัวเองไม่รู้คุณค่าของของล้ำค่า ก็รู้สึกอึดอัดใจ

“พวกเจ้าสองคน พักผ่อนกันพอหรือยัง”

“รีบหลบไป” หลิวหลีกับจื่อฉีหลบไปอยู่ข้างๆ

ปู้หุ่ยรู้สึกชื่นชมเด็ก 2 คนนี้มาก เขานึกว่าตัวเองใช้แรงเพียงส่วนเดียวก็เพียงพอแล้ว ใครจะรู้ว่าอยู่ๆตัวเองก็ใช้พลังไปถึง 3 ส่วนโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะนังหนูคนนั้น ยิ่งฝึกซ้อมก็ยิ่งแข็งแรง ฝีมือพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญเลยก็คือนังหนูควบคุมเพลิงเซียนได้ดีราวกับเพลิงเซียนพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนาง ส่วนสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่านังหนูคนนี้ต่างไปจากคนอื่นเลยคือ นังหนูคนนี้สามารถแยกประสาทเซียนออกเป็นพันดวง แถมยังสามารถควบคุมได้ด้วย แต่ก็ไม่ใช่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงแต่ยังผสมผสานกันทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น สมแล้วที่เป็นผู้ที่สามารถทำพันธสัญญาคู่ได้

ทั้งร่างของหลิวหลี เต็มไปด้วยเพลิงเซียนขาวดำสองสี เพลิงเซียนหยินหยางถูกบังคับออกมาใช้ แต่ก็ยังแตกต่างกับอีกฝ่ายอยู่มาก จื่อฉีเองก็หลบได้อย่างหวุดหวิด สามารถพูดได้ว่าการโจมตีสองในสามของปู้หุ่ยนั้น ไว้ใช้โจมตีหลิวหลี ส่วนที่เหลือหนึ่งในสามนั้นไว้ใช้โจมตีจื่อฉี จื่อฉีแอบสาบานในใจ จะต้องพยายามให้มากๆ ไม่จำเป็นต้องให้เท่าหลิวหลี แต่อย่างน้อยจะต้องไม่ถูกนางทิ้งไว้ด้านหลัง

ผลงานย่อมออกมาเป็นที่น่าพอใจ สัญลักษณ์สีหยกบนหน้าผากของหลิวหลีมีสีเข้มขึ้น จื่อฉีเองก็ควบคุมเนตรกิเลนได้ทั้งหมด พลังเซียนภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เข้าสู่ขั้นเซียนนภานพเก้า จากเด็กอายุ 10 ปี ก็กลายเป็นคุณชายอายุ  16 ปีทันที

ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอยู่ในนี้เป็นระยะเวลา 200 ปีโดยไม่รู้ตัว

“ข้าไม่มีอะไรจะสอนพวกเจ้าสองคนแล้ว นี่คือของขวัญชิ้นสุดท้ายจากข้า พวกเจ้าควรจะไปได้แล้ว” ปู้หุ่ยรู้สึกพึงพอใจกับความก้าวหน้าของคนทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหลี นางเป็นคนที่สามารถเรียนรู้อะไรได้มากมาย เดิมทีเขาเตรียมจะสอนอีกฝ่าย 500 ปี แต่แค่ 200 ปีเด็กทั้งสองคนก็ร่ำเรียนทั้งหมด

ปู้หุ่ยดีดของสองอย่างให้หลิวหลีกับจื่อฉีคนละอย่าง

หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็ปรากฏตัวอยู่บริเวณหน้าถ้ำ

“ผู้อาวุโส ต่อไปข้าจะมาเยี่ยมท่าน ได้โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย” ทั้งสองคนทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วเดินจากไป พวกเขาเชื่อว่าจะต้องได้เจอกันอีกแน่

หลังจากทั้งสองคนจากไปได้ไม่นาน ปู้หุ่ยกระอักเลือดออกมา

“ฮ่าฮ่า จ้านปู้หุ่ย ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะสามารถสะกดข้าไว้ได้อีกนานแค่ไหน” เสียงหญิงสาวราวเสียสติลอยเข้ามา

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าร่างกายของข้าจะสลายไป ข้าก็จะต้องพาเจ้าไปด้วยอย่างแน่นอน เผ่าปีศาจเงาของเจ้าถูกทำลายไปแล้ว คนที่หนีไปได้ก็เหมือนเป็นหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนตัว ต้องคอยระวังความปลอดภัยของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะต้องจำไว้ เผ่าปีศาจเงาถูกทำลายก็เพราะตัวเจ้า ข้าขังเจ้าไว้ในดวงตาของข้า เจ้าออกไปไม่ได้หรอก” จ้านปู้หุ่ยพูดอย่างไม่ยี่หระ

“สารเลว เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับทำกับข้าเช่นนี้” เสียงของผู้หญิงเริ่มเสียสติ

“ตั้งแต่เจ้าวางแผนให้หลานซือกลายเป็นมาร ข้าก็ได้เตรียมการไว้แล้ว เรื่องไม่ปล่อยเจ้าไป เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่นานเรื่องก็จะจบลง หลานซือไม่อยู่แล้ว เจ้ากับข้าก็ต้องตามไปเป็นเครื่องสังเวยด้วยเช่นกัน” จ้านปู้หุ่ยดวงตาเป็นสายเลือดแล้วพูดขึ้น

“ไม่ ไม่ เจ้าจะทำเช่นนั้นกับข้าไม่ได้” เสียงหญิงสาวบ้าคลั่งมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมจะไม่ได้ คนในเผ่าของข้าทอดทิ้งข้า อสูรเทพก็อยากจะสังหารข้า แต่ข้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ อยู่ราวซากศพ เจ้าก็รู้ หากไม่จัดการคนที่เหลือในเผ่ามารรัติกาลของเจ้าให้สิ้นซาก ก็จะไม่สามารถดับไฟแค้นที่อยู่ในใจได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มีทายาทคนหนึ่งของข้าไม่กลัวดวงตาสีแดงเลือดที่เกิดขึ้นเพราะต้องพันธนาการเจ้าเอาไว้ ในใจของข้าไม่ได้เสียดายอะไรอีกแล้ว” ปู้หุ่ยนึกถึงหลิวหลีกับจื่อฉี ก็พลันรู้สึกอบอุ่น เจ้าหนูน้อยที่เป็นเด็กดีทั้งสองคนนั้น

หลิวหลีกับจื่อฉีที่จากไปย่อมไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ในตอนที่ทั้งสองคนกลับไป จื่อฉีที่เป็นเซียนนภานพเก้าทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง ได้นังหนูเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ได้ผลเช่นนี้เชียวหรือ

 …………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+