แม่ครัวยอดเซียน 91 เข้าสู่แดนลี้ลับอสูรเทพ

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 91 เข้าสู่แดนลี้ลับอสูรเทพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่ใน 10 อันดับแรกการประลอง ต่างพากันตามผู้นำสกุลของตัวเองมายังประตูทางเข้าแดนลี้ลับอสูรเทพ แดนลี้ลับแห่งนี้จำเป็นต้องอาศัยห้าสกุล กับลูกหลานของอสูรเทพทั้งห้า ผนึกกำลังกันจึงจะสามารถเปิดแดนนี้ได้ อีกทั้งต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะกลับออกมาได้ ต้องใช้พลังมหาศาลห้าสกุลและอสูรเทพทั้งห้าเผ่าได้ตกลงกันว่าจะเปิดแดนแห่งนี้ในทุกร้อยปี

“ที่นี่ก็คือที่ตั้งของแดนลี้ลับอสูรเทพ พวกเจ้าจะพัฒนาไปได้แค่ไหนก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้าเองแล้ว” หลงเหวินเซวียนพูดขึ้นในฐานะผู้นำคนใหม่ของทั้งห้าสกุล

ผู้นำของห้าสกุลหยิบป้ายหยกออกมา โบกมือไม้แล้วอสูรเทพทั้งห้าคายพลังชีวิตของตัวเองลงไป ป้ายหยก 5 ชิ้นส่องแสงเปล่งประกาย และประตูบานใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนช้าๆ

“รีบเข้าไปเถอะ มีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น” หลงเหวินเซวียนตะโกน

ทั้ง 10 คนทยอยเข้าสู่อุโมงค์ แสงสว่างค่อยๆหายไป และป้ายหยกทั้งหมดก็กลับเข้ามาอยู่ในมือของผู้นำสกุลดังเดิม หลงเหวินเซวียนเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าจ้านเฟิงอวี้ที่เหมือนมีอะไรอยากจะพูดด้วยสักนิด ทำให้จ้านเฟิงอวี้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก เมื่อสามคนที่เหลือเห็นว่าสหายที่สนิทสนมกันมานานหลายปีทะเลาะกันเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงตบไหล่ให้กำลังใจจ้านเฟิงอวี้เท่านั้น

ภายในแดนลี้ลับอสูรเทพ หลิวหลีตื่นก่อนเป็นคนแรก พลังงานภายในแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างก็ไม่ได้สติล้มลงไป หลิวหลีส่ายหัวเบา ๆ นี่ใคร ช่างโรคจิตจริงๆ ทำอุโมงค์เข้ามาแบบนี้ กะจะให้ลูกหลานอย่างพวกเขาไปเฝ้าเทพเจ้าก่อนวัยอันควรหรืออย่างไร

หลิวหลีนั่งทำสมาธิอยู่ข้างๆเพื่อรอคนพวกนี้ฟื้นขึ้นมา หนานกงเวิ่นเทียนกุมหน้าผากมึนๆของตัวเองตื่นขึ้นมา ที่นี่ที่ไหนกัน

“หลิวหลี”

“สมแล้วที่เป็นเสี่ยวเทียน ฟื้นขึ้นมาเป็นคนที่สองเลยนะ พลังบำเพ็ญเพียรแบบข้าเลย อยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลาง” เสียงของหลิวหลีแฝงไปด้วยความประหลาดใจ หนานกงเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน เขาต้องผ่านอะไรมามากมายขนาดไหนถึงจะสามารถเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางได้ แต่ดูเหมือนนางจะบรรลุช่วงพลังได้เร็วกว่าเขา

“หลิวหลี ไม่มีใครพูดจาโจมตีคนอื่นได้เช่นเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดปลงๆ

เดิมคิดจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ทุกคนก็ทยอยฟื้นกันขึ้นมาแล้วต่างจับจ้องไปที่หลิวหลี จ้านอวิ๋นจิ่งรู้สึกหวาดกลัว จ้านอวิ๋นจุนรู้สึกสับสน คนผู้นี้มีสายเลือดสกุลจ้านอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อนึกถึงท่านอาที่เสียสติ จ้านอวิ๋นจุนอ้าปากพะงาบๆอยู่หลายทีแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

“จะเดินทางกันอย่างไร จะไปด้วยกันหรือจะแยกกันไป” หลิวหลีซึ่งเป็นลำดับแรก มีสิทธิ์มีเสียงในการพูด นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมา

“ไปด้วยกันเถอะ” หลินเสี่ยวเสี่ยวในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้หญิงสองคนเอ่ยขึ้น

“ไปด้วยกัน ข้าอยากจะทำความรู้จักนางฟ้าของข้าให้มากขึ้น นางฟ้าจะได้รู้จักข้าให้มากขึ้นด้วย” ฮัวจิงเฟยตัดสินใจยืนกรานจะเดินทางไปกับนางฟ้าของเขาไป

“ไปด้วยกัน” หนานกงเหลยเทียนพูดขึ้น เขาจะไม่มีทางพลาดเป็นอันขาดเพราะสายตาของเวิ่นเทียนแทบจะงอกอยู่บนตัวเด็กปีศาจบ้านสกุลหลงนั่นอยู่แล้ว

“ไปด้วยกัน” แน่นอนว่าหลงเทียนอี้ย่อมรู้สึกว่าไปด้วยกันจะดีกว่า

“ไปด้วยกันเถอะ” จ้านอวิ๋นจุนกล่าว

“ได้ แต่อาจจะต้องขอให้คนสกุลจ้านเดินเป็นรั้งท้าย จะให้ดีช่วยห่างจากข้าสัก 5 เมตร” ความไม่อยากจะสุงสิงด้วยอย่างเปิดเผยของหลิวหลี ทำให้จ้านอวิ๋นจิ่งกับจ้านอวิ๋นจุนถึงกับชะงักไป คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวหลีจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ หลิวหลีไม่สนใจหรอก เกียรติยศต้องไขว่คว้ามาไม่ใช่รอให้คนอื่นยื่นให้

ผลการตัดสินใจครั้งสุดท้ายคือหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเดินอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือพี่น้องบ้านสกุลฮัว ถัดมาคือหนานกงเหลยเทียนกับหลงเทียนอี้ที่ต้องจับกลุ่มกันชั่วคราว ส่วนสองพี่น้องสกุลหลินเดินตามมาและรั้งท้ายด้วยพี่น้องสกุลจ้าน

รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้า สัตว์ปีกสัตว์บกที่ไม่รู้จักผ่านมาให้เห็นเป็นระยะ สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือสถานที่ที่พวกเขาสลบไปตรงนั้น พอเดินเข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนมาเยือนยุคดึกดำบรรพ์

สิ่งของที่เคยคุ้นก็ไม่มีใครกล้าไปแตะต้องอีก แค่ดูจากหน้าบวมๆของหลินเสี่ยวเจียงก็รู้แล้ว

หลินเสี่ยวเจียงเห็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองคุ้นเคยก็คิดไปว่าน่าจะมีอายุกว่าหมื่นปี จึงเดินออกจากกลุ่มไปเด็ดซี้ซั้ว สรุปคือโดนน้ำผลไม้พ่นใส่เต็มหน้า หลังจากนั้นหน้าก็บวมเป่งเป็นหัวหมูเลย

“หลิวหลี ไม่มีวิธีช่วยลดบวมให้เสี่ยวเจียงเลยหรือ” หลินเสี่ยวเสี่ยวถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่ว่าพวกเจ้าแตกกลุ่ม ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องจับกลุ่มกัน” หลิวหลีจับคางที่บวมเป่งของหลินเสี่ยวเจียงแล้วพูดขึ้น

“ทีหลังจะไม่ทำแล้ว หลิวหลีเจ้าช่วยรักษาใบหน้าของเสี่ยวเจียงหน่อยเถอะนะ” เสี่ยวเสี่ยวรู้สึกอึดอัดใจ ที่นี่น่ากลัวมากจริงๆ

“ก็ได้ หวังว่าพวกเจ้าจะจำบทเรียนในครั้งนี้ให้ดี หากออกจากกลุ่มไปโดยพลการ อย่าหาว่าข้าไม่ช่วยอีกก็แล้วกัน” ประโยคสุดท้ายหลิวหลีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นก็โยนยาให้หลินเสี่ยวเสี่ยวหนึ่งเม็ด

“ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าพวกเราตั้งครึ่งหนึ่ง แต่กลับน่ากลัวจริงๆ” ฮัวจิงหงบ่นพึมพำ

คนอื่นพยักหน้าตามอย่างอดไม่ได้ และในทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าอายุไม่ได้มีประโยชน์อะไร

หลังจากนั้นทุกคนก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เพียงแต่ว่าเดินมานานเท่าไรก็ยังคงอยู่ในป่าผืนเดิม หลิวหลีจึงให้ทุกคนพักผ่อน แต่ตัวนางกลับคิดอะไรบางอย่างอยู่

“หลิวหลี เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีไม่ไปพัก จึงอดถามนางไม่ไ่ด้

“กำลังคิดถึงความหมายของแดนลี้ลับแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเรามาไม่ถูกทาง” หลิวหลีมองดูรอบ ๆ แล้วพูดขึ้น

“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร หรือมีวิธีอะไรหรือไม่” หลงเทียนอี้ถาม บทสนทนาของทั้งสองทำให้ทุกคนหยุดการนั่งสมาธิ หันมาฟังว่าน้องสาวผู้มากความคิดคนนี้จะพูดว่าอย่างไร

“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป ทุกคนลองฟังดู ในเมื่อที่นี่เป็นแดนลี้ลับอสูรเทพถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็คงหมายถึงอสูรเทพทั้งห้าเผ่า

ข้ากำลังคิดว่าถ้าพวกเราเดินกันอย่างไร้ทิศทางแบบนี้คงไม่ใช่จะไม่ดีนัก เราควรปล่อยอสูรเทพออกมา ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสามารถสัมผัสอะไรได้” หลิวหลีวิเคราะห์

“ลองดูได้นะ” ทั้ง 9 คนนิ่งไปเล็กน้อย หนานกงเวิ่นเทียนเห็นด้วยเป็นคนแรก

“แปลว่าทุกคนต้องปล่อยคู่พันธสัญญาออกมาหรือ” ฮัวจิงเฟยถาม

“ไม่ต้อง สกุลละตัวก็พอ” หลิวหลีคิดแล้วก็พูดขึ้น

ของสกุลหลงเป็นมังกรเขียวของหลงเทียนอี้ สกุลหนานกงเป็นหงส์เหมันต์ของเวิ่นเทียน สกุลฮัวเป็นพยัคฆ์ทมิฬของฮัวจิงเฟย สกุลหลินเป็นเต่าดำพสุธาของหลินเสี่ยวเจียง และของสกุลจ้านเป็นกิเลนดำของจ้านอวิ๋นจิ่ง เหมือนว่าอสูรเทพทั้งห้าจะสนใจทิศทางหนึ่งเป็นพิเศษ

“ตรงนั้นหรือ ดูใช้ได้ทีเดียว ลองไปดูหน่อยแล้วกัน” หลิวหลีเอ่ยขึ้นขณะมองยังทิศทางดังกล่าว

ทั้งหมดเดินไปตามทางที่เหล่าอสูรเทพบอกอย่างรวดเร็ว มองบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ด้านนอกนั่นมีไว้แกล้งคนจริงๆ บรรยากาศตรงนี้ค่อยดูปกติขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยที่สุดก็บอกพวกเขาว่าพวกเขายังอยู่ในโลกบำเพ็ญ ไม่ได้ออกไปในโลกที่แปลกพิสดาร

“นางฟ้า ท่านคิดออกได้อย่างไร” ฮัวจิงเฟยถาม

“เรื่องนี้หรือ ข้าแค่คิดว่าการจะเปิดแดนลี้ลับนี้ได้จะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอสูรเทพทั้งห้า ว่าแต่พวกเจ้าต่างก็เป็นยอดฝีมือของแต่ละสกุลไม่ใช่หรือ และจะเปิดในทุกร้อยปี เรื่องนี้พวกเจ้าน่าจะรู้กันใช่ไหม อย่างน้อยก็น่าจะรู้มากกว่าคนที่เพิ่งโผล่เข้ามาร่วมวงศาคณาญาติอย่างข้า” หลิวหลีมองทั้งเก้าคนที่เหลืออย่างงุนงง

เอ่อ คนที่กำลังก้มหน้าก็ก้มหน้าต่อไป ส่วนคนที่แหงนหน้ามองฟ้าก็เสสายตามองไปรอบๆ จะพูดอย่างไรดี ผู้นำสกุลของพวกเขาหันไปสนใจเรื่องสายสัมพันธ์ประหลาดระหว่างสกุลหลงและจ้าน ก็เลยลืมบอกพวกเขา

“แย่แล้ว ลืมบอกเทียนอี้กับหลิวหลีว่าจะต้องหาตำแหน่งอย่างไร” หลงเหวินเซวียนกุมหน้าผาก โดยเหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับสี่สกุลที่เหลือเช่นกัน หวังว่าคนรุ่นนี้จะไม่เอาแต่สู้รบนะ อย่างน้อยก็คงจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา

“ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่เราควรจะมา” ฮัวจิงหงกล่าว

“ไม่เลวเลยจริงๆ รู้สึกว่าพอหายใจเข้าไปแล้ว พลังเซียนภายในร่างกายก็เคลื่อนไหวไม่หยุด” หลงเทียนอี้กล่าว

“เชื่อว่าอยู่ที่หนึ่งปี ข้าจะต้องก้าวหน้ามากขึ้นแน่ๆ อย่างน้อยพอออกไปแล้วพลังบำเพ็ญจะต้องอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแน่” หลินเสี่ยวเจียงพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ

หลิวหลีเบะปาก ช่างไม่มีความทะเยอทะยานเลยจริง ๆ ออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องบรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะปลายขั้นสุดยอด ถ้าบรรลุถึงช่วงแยกจิตคงกำลังดี แต่น่าเสียดายใครจะรู้ว่าที่นี่มีเพลิงอัคคีหรือไม่

……………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด