โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 131

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 131 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Translator : Muntra  / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.131 – การคุกคามของหลินไค

 

คมดาบนั้นไร้ซึ่งดวงตา หากเกิดอุบัติเหตุหรือปะทะกับนักเรียนจากสถาบันอื่นเล่าจะทำอย่างไร?

 

ฉะนั้น การมีคนที่สามารถรักษาได้ในทีม จะเป็นอะไรที่ดีที่สุด!

 

ระหว่างขบคิด การแสดงของหกห้องจากคลาสอาวุธปืนจบลงพอดี อันดับคะแนนของคลาสมือปืนได้ปรากฏขึ้น

 

“ลงไปด้านล่าง ทุกคนมารวมตัวกันที่ในสนาม!”

 

ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ ทุกคนลุกออกจากที่นั่งอัฒจันทร์ แม้ขาจะก้าวเดิน แต่สายตากลับสอดส่องไปมา ดูเหมือนว่าเกือบทุกคนกำลังมองหาเพื่อนร่วมทีมที่พวกตนเล็งไว้

 

“เอาล่ะ ถึงเวลาหาเพื่อนร่วมทีมของพวกเธอแล้ว ครบทั้ง 5 คนเมื่อไหร่ มาลงทะเบียนได้เลย!”

 

สิ้นเสียงของเติ้งเหนียน ฝูงชนพลันแตกฮือทันที มีหลายคนพุ่งเข้ามาหาฉินเฟิง

 

ฉินเฟิงเร่งตะโกนเสียงดัง “ทีมของฉันมีสมาชิกอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังขาดแค่คลาสมือปืน 1 คนที่มีความสามารถในการสอดแนม!”

 

พอได้ยิน คนจากคลาสผู้ใช้วรยุทธเผยถึงความผิดหวัง ส่วนคนจากคลาสอบิลิตี้ เมื่อเห็นจ้าวหยูกับฉินเฟิงยืนอยู่ด้วยกันก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความอิจฉาน้อยๆในจิตใจ

 

แต่พวกเขาก็เข้าใจเช่นกัน ว่าจ้าวหยูน่ะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นคนแข็งแกร่งก็เหมาะสมแล้วที่จะอยู่ด้วยกัน ไหนจะเรื่องทีมยิ่งเก่ง ยิ่งมีโอกาสคว้าคะแนนสูงๆได้อีก

 

ไม่นานนัก โจวฮ่าวก็พาตัวคนจากคลาสเรียนของตนมาสมทบ

 

เขาคือวัยรุ่นชายที่มีท่าทีสุภาพ สวมกรอบแว่นตาสีทอง ใส่เสื้อสีขาว กางเกงผ้าลินิน และรองเท้าผ้าใบสีขาว

 

ชุดนี้เมื่อถูกสวมใส่โดยวัยรุ่นอายุ 16 ปี มันให้ความรู้สึกว่าช่างดูสะอาดสะอ้านเหลือเกิน!

 

สะอาดมากซะจนแม้แต่เชื้อโรคก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้

 

“ยินดีที่ได้รู้จักนะทุกคน ฉันชื่อว่าจางเทียน เป็นผู้ฝึกฝนกำลังภายใน ฉันสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายใน , ฟื้นฟูกำลังภายใน และยังได้รับการฝึกฝนด้านการปฐมพยาบาลและทำการรักษาด้วยตนเองมาแล้วในระดับหนึ่ง!” จางเทียนแนะนำตัวเสร็จสรรพ

 

“อ่า ส่วนฉันเรียกว่าฉินเฟิง , นี่จ้าวหยู จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ” ฉินเฟิงกล่าว

 

จางเทียนพยักหน้า “เคยได้ยินเกี่ยวกับนายมานานแล้ว ชื่อเสียงนี่โด่งดังชนิดสะท้านสะเทือนรูหูฉันเลยล่ะ!”

 

แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ฉินเฟิงก็รับรู้ได้ในจิตใจถึงความสงบจากตัวอีกฝ่าย ถึงจะไม่ทราบว่าเขามีภูมิหลังแบบใด แต่ทัศนคติระหว่างการสนทนา มันระบุว่าน่าจะมาจากตระกูลผู้ดี

 

เลยมีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่และสงบเช่นนี้

 

ซึ่งอันที่จริง ฉินเฟิงย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ถึง 10 ปี ดังนั้นเขาเลยค่อนข้างแปลกแยกกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ

 

เพราะยังไงซะ หัวใจของฉินเฟิงก็แก่กว่าพวกเขามากถึง 10 ปี ฉะนั้นต่อให้พวกเด็กๆแข็งแกร่งกันมากซักแค่ไหน แต่ในความคิดของเขาทั้งหมดก็ยังเด็กเกินไปอยู่ดี

 

ทว่าจางเทียนกลับแตกต่างออกไป เขาสามารถรักษาบุคลิก และสนทนากับฉินเฟิงได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

จ้าวหยูที่อยู่ถัดออกไปเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “พวกนายทั้งสองคนไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากนักก็ได้ เพราะนับจากนี้ไป พวกเราจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทีมกัน!”

 

“ใช่แล้ว ดีนะที่ฉันหาเขาเจอซะก่อน เกือบจะถูกฉกไปอยู่ทีมอื่นอยู่แล้วเชียว” โจวฮ่าวเอ่ยปากบ้าง

 

ทว่าในเวลานั้นเอง เสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่งก็ดังขึ้นจากด้านข้าง ฝูงชนแยกออกจากกัน เปิดเส้นทางโดยอัตโนมัติ

 

พร้อมกับวัยรุ่นที่ทำทรงผมแบนเรียบ สวมใส่ชุดแบรนด์เนม และพ่วงหลังด้วยคนเดินตามอีกหลายคนเดินเข้ามา

 

 

และชายที่ถูกรายล้อมอยู่กลางกลุ่มนี้ ช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสและเอาแต่ใจ!

 

“นายคือฉินเฟิงใช่ไหม?”

 

ชายคนนั้นกวาดมองฉินเฟิงขึ้นๆลงด้วยแววตาเหยีดหยาม แต่หากสังเกตดีๆจะค้นพบถึงร่องรอยของความริษยา

 

“ส่วนนายก็คงจะเป็นโจวฮ่าว อันดับหนึ่งของคลาสผู้ใช้วรยุทธ? ยอดเยี่ยม! ฉันจะยอมเข้าทีมนี้ แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า!”

 

พริบตานั้นบริเวณโดยรอบพลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้น

 

 

หากเป็นคนอื่นพูดจาแบบนี้ออกมา มั่นใจได้เลยว่าต้องมีบางคนถุยน้ำลายสวนกลับไป

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากทางสถาบันระดับสูงเปิดเรียนมาเป็นเวลากว่า 1 เดือน ในชั้นปีที่ 1 ก็ไม่มีใครไม่รู้จักเขา

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือลูกชายของรองผู้ว่าการเขตเฉิงเป่ย!

 

—เป็นหลินไค!

 

ในบรรดานักเรียนใหม่ เขาคือการดำรงอยู่ที่ครอบครองสถานะสูงสุด

 

มีพ่อเป็นผู้ใช้พลังเลเวล E หนึ่งในตัวตนที่ยืนอยู่บนยอดปิรามิดของสถานชุมชนเฉิงเป่ย ไม่มีใครกล้าขัดใจหรือล่วงเกินเขา

 

ขณะเดียวกัน ในตอนนี้ที่ยืนอยู่ข้างกายหลินไค และเดินติดตามมาด้วย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นเฉินหมิง

 

เฉินหมิงยกมุมปากขึ้น พลางมองมาทางฉินเฟิง ในหัวใจเริ่มฟุ้งไปด้วยความสุข

 

นั่นเพราะหลินไคกำลังหาเรื่องฉินเฟิง นี่ไม่ใช่เท่ากับว่าเป็นการได้เห็นฉินเฟิงถูกตบหน้าหรอกหรือ?

 

เรื่องอะไรแบบนี้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เขาก็รักที่จะได้ยิน ชอบที่จะได้เห็นมันซะจริงๆ!

 

ฉินเฟิงมองอีกฝ่าย ปรากฏประกายแสงอันลึกล้ำขึ้นในดวงตาของเขา

 

‘เจ้าสองคนนี่ ถึงจะได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะอยู่ด้วยกันจริงๆ!’

 

ถ้าอย่างนั้นพอจะเป็นไปได้ไหม ว่าเงื่อนงำที่ตนทำหายไปในห้องทดลอง จะสามารถรีดเร้นมันจากเจ้าพวกนี้?

 

ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มจางๆ

 

ช่างน่าเสียดาย เพราะแม้เขาจะกำลังหาเงื่อนงำอยู่ก็ตาม แต่ตนก็ไม่ใช่คนที่ยอมประนีประนอมเพื่อผลประโยชน์ทั่วๆไปเช่นกัน

 

ตรงกันข้าม ในงานสวนล่าใบไม้ผลิ เขาจะทำให้เจ้าสองตัวนี่รู้ว่า หากมากวนตีนตน จะต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นไร

 

“ทีมของฉันมีอยู่ 4 คนแล้ว น่ากลัวว่าจะรับพวกนายเข้าร่วมด้วยไม่ได้!” ฉินเฟิงกล่าว

 

ดวงตาของหลินไคหรี่แคบลง

 

เขากวาดสายตาเป็นแนวขวาง มองไปทางจางเทียนและจ้าวหยู

 

เป็นธรรมดาที่เขาจะประทับใจกับสาวสวยอย่างจ้าวหยู ในแววตาสว่างวาบถึงความหยาบโลน จากนั้นสายตาก็ตกลงบนร่างของจางเทียน

 

“แกไสหัวออกไป” หลินไคชี้มาทางจางเทียนและกล่าวตรงๆ

 

อย่างไรก็ตาม จางเทียนมิได้ขยับเขยื้อนตัวเลย แววตาของเขายังคงสงบ ราวกับว่าหลินไคเป็นเพียงไรฝุ่นที่ไม่มีความสำคัญใดๆ แม้นิ้วของอีกฝ่ายจะกำลังชี้มาทางตนก็ตามที

 

ฉินเฟิงเปล่งเสียงหัวเราะหยัน “นี่นายน้อยหลินหูหนวกหรือว่าโง่กันแน่? พูดถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้เรื่องอีกหรือ? งั้นฉันจะขอบอกให้ชัดๆไปเลยนะ ว่าต่อให้ทีมเรามีที่ว่าง 2 ตำแหน่ง ยังไงก็ไม่มีทางรับคนขี้แพ้อย่างแก! แล้วยังกล้ามาชี้หน้าเพื่อนของฉันแบบนี้อีก! ไม่อยากมีนิ้วไว้ใช้อีกต่อไปแล้วใช่ไหม!!”

 

หลินไคผงะตกใจ เบิกตาโพลงอย่างคาดไม่ถึง

 

ฝูงชนโดยรอบเกิดความโกลาหลขึ้นทันใด

 

เพราะทั้งหมดต่างทราบดีถึงสถานะของหลินไค นับแต่เด็กจนโต หลินไคไม่เคยได้ยินถึงคำดูถูกเช่นนี้มาก่อน ในเวลานี้ ทั้งหน้าทั้งหูเริ่มแดงเรื่อ โพล่งออกมา “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ ไหนลองพูดอีกทีซิ!”

 

“ชัดเจนแล้วว่าแกคงหูหนวกจริงๆ” ฉินเฟิงแสยะริมฝีปากด้วยความหยามเหยียด

 

“ฉินเฟิง!” หลินไคหน้าแดง ตะคอกคำราม “อย่าคิดนะว่าคนทั้งชุมชนจะยกย่องแกจริงๆ! คิดว่านายน้อยอย่างฉันไม่รู้หรือว่าวิดีโอพวกนั้นมันคืออะไร? มันก็เป็นแค่การโปรโมต! แกน่ะมันเป็นฮีโร่จอมปลอมที่ถูกแต่งตั้งขึ้น ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ เชื่อไหมว่าแกจะถูกถอดออกจากโฆษณา!”

 

หลินไคไม่เชื่อโฆษณาที่กำลังโปรโมตในสถานชุมชนเลย เพราะในความคิดของเขา นั่นมันเป็นแค่กระบวนการทางการเมืองอย่างหนึ่งเท่านั้น!

 

ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ หลินไคได้พบ ได้เจอ ได้เห็นมามาก ตัวอย่างเช่นพ่อที่ต้องการพยายามสนับสนุน และป่าวประกาศ โอ้อวดความสำเร็จทางกองทัพของลูกตัวเองแบบเกินจริง เพราะตราบใดที่ใส่สีตีไข่เล็กๆน้อยๆ ตัวลูกก็จะสามารถได้รับหน้าที่การงานที่ดี การทั่งหลินไคเอง ก็ยังได้รับการปูเส้นทางนี้เอาไว้ให้เช่นกัน เขาคือคนที่มีอนาคตอันยิ่งใหญ่เฝ้ารออยู่

 

อีกอย่าง ฉินเฟิงเป็นรุ่นเดียวกันที่เพิ่งปลุกพลังในปีเดียวกันกับตน แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมีความสามารถมากถึงขนาดนั้น

 

มันจะต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน!

 

ขณะเดียวกัน เมื่อได้ยินคำของหลินไค ฝูงชนโดยรอบก็ประหลาดใจเช่นกัน

 

“อะไรนะ วิดีโอนั่นเป็นแค่เรื่องแต่งอย่างงั้นหรอ?”

 

“แต่พอมาลองนึกดูดีๆแล้ว ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ฉินเฟิงจะสามารถครอบครองพลังมากมายถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน!”

 

“ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงได้รับตำแหน่งผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลีหรอกหรอ? แต่เขายังเรียนอยู่นี่ งั้นนั่นก็ต้องเป็นเรื่องโกหกด้วยสิ!”

 

ในพริบตา ฝูงชนส่วนใหญ่พากันมองมาทางฉินเฟิงด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

 

หลินไคคลายกังวล ซึมซับถึงชัยชนะตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ

 

กระทั่งเฉินหมิงก็ยังมองฉินเฟิงด้วยความดูถูก เขากำลังคิดว่าอีกฝ่ายคงจะต้องหน้าซีดเผือด และคุกเข่าลง อ้อนวอนขอความเมตตา

 

ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาต้องผิดหวัง

 

“งั้นก็ไปฟ้องพ่อแกเลยสิ” ฉินเฟิงเอ่ยอย่างปลอดโปร่ง “ไปบอกรองผู้ว่าการหลิน ให้ลบภาพโฆษณาพวกนั้นซะ โอ้ … ถ้าเรียกหน่วยลาดตระเวนมาจับตัวฉันด้วยยิ่งดี! ถึงเวลานั้น เราจะได้รู้กันซักที ว่าใครกันแน่ที่จะจบไม่สวย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด