โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 190

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 190 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Provider : Muntra

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.190 – คืบคลานน่าสมเพช

 

หลินเต๋อหรงตะลึงงัน

 

ตลอดทั้งกระบวนการ ฉินเฟิงใช้ออกเพียง 2 – 3 กระบวนท่าเท่านั้น แต่กลับสามารถสยบผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F9 ลงชนิดอีกฝ่ายไร้ซึ่งหนทางขัดขืน

 

ชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง ก้มมองลงเบื้องล่าง แน่นอนว่าพ่อบ้านตระกูลซินยังไม่ตาย อย่างไรก็ตาม สภาพของเขาในเวลานี้น่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง มิเพียง 2 กระดูกไหล่ในตอนแรก ตอนนี้สองกระดูกขายังแตกร้าว ฝืนยืนหยัดแทบไม่ไหว จำต้องใช้แรงส่งจากคางและหน้าท้อง ลากตัวเองที่กำลังบาดเจ็บสาหัสคลานหนีไป ทุ่มสุดแรงไม่กล้าหยุด

 

แม้อีกฝ่ายจะตกอยู่ในสภาพน่าสงสาร แต่หลินเต๋อหรงซึ่งโดยปกติเป็นคนดี มีเมตตาตลอดมาก็ไม่คิดใส่ใจ เพราะนี่คือสิ่งที่เรียกว่าคนชั่วต้องรับกรรม!

 

“ฉินเฟิง เธอนี่จริงๆเลยนะ เจอกันทีไรก็สร้างเรื่องอัศจรรย์ให้ตาแก่อย่างฉันตลอดเลย เจ้าเด็กตัวดี!” หลินเต๋อหรงถอนหายใจ

 

เมื่อเห็นเด็กที่ตนทุ่มเทชุบเลี้ยงมาแต่เล็ก เติบใหญ่สร้างสมชื่อเสียงให้แก่ตนเอง มันช่างมีความสุขซะจริงๆ!

 

“ผู้อำนวยการ ผมสร้างความเดือดร้อนให้กับคุณอีกแล้ว” ฉินเฟิงก้มหน้าสำนึกผิด

 

“ไม่หรอก เป็นตาแก่อย่างฉันต่างหากที่คอยฉุดรั้งเธอ เธอน่ะมีพัฒนาการที่เร็วมาก แต่มีจิตใจภักดีคอยคิดแต่จะตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นเลยเป็นฉันที่คอยรั้งเธอไว้”

 

“ผู้อำนวยการ อย่าพูดแบบนี้เลย สำหรับผู้มีพระคุณอย่างคุณ ต่อให้รั้งผมไว้ชั่วชีวิต ผมก็ยินดี!” ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินเต๋อหรงหัวเราะร่าอย่างมีความสุข

 

แล้วทั้งสองก็สนทนาอย่างเป็นกันเอง เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ทางฝั่งหลินเต๋อหรงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

 

เนื่องจากเขาเป็นคนสนิทของฉินเฟิง และฉินเฟิงคือผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลี การจัดอันดับสถานะระดับสูงในสถานชุมชนเฉิงเป่ยเลยเกิดการเปลี่ยนแปลงจนสับสนวุ่นวาย หลายคนคิดว่าชีวิตจากนี้ของหลินเต๋อหรงคงมิแคล้วโจนทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นเลยมีนักธุรกิจร่ำรวยหลายคนเข้ามาประจบเขา เพื่อดูว่าจะสามารถหาผลประโยชน์อะไรได้หรือไม่

 

และเป็นเรื่องยากที่หลินเต๋อหรงจะปฏิเสธ เนื่องจากคนร่ำรวยเหล่านั้นระวังตัวแจ พวกเขาเพียงบริจาคเงิน แต่ไม่ได้บอกวัตถุประสงค์ว่าให้เอาไปทำอะไร นี่คล้ายกับเป็นการติดสินบนหลินเต๋อหรงทางอ้อม

 

นั่นคือสาเหตุที่หลินเต๋อหรงเก็บเงินเหล่านั้นเอาไว้ ยังไม่ได้ใช้จ่ายออกไป เผื่อไว้ในกรณีที่คนเหล่านั้นเอ่ยข้อเรียกร้องที่มากเกินไปออกมา และตนไม่สามารถตอบสนองได้ ก็แค่คืนเงินที่อีกฝ่ายเคยให้มา เป็นอันจบ

 

และไหนๆฉินเฟิงก็มาเยี่ยมด้วยตัวเองแล้ว หลินเต๋อหรงจึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องนี้ออกไป เพราะเกรงว่าฉินเฟิงจะเข้าใจผิด คิดว่าเขารับบริจาคในนามของฉินเฟิง

 

“ไม่จำเป็นต้องเตรียมคืนเงินบริจาคหรอกครับ ยอมรับมันไว้ทั้งหมดนั่นแหละ เพราะอีกเดี๋ยวคุณคงต้องใช้มัน” ฉินเฟิงกล่าว “ผู้อำนวยการครับ ที่ผมมาในวันนี้ เนื่องจากอยากขอร้องให้คุณย้ายไปสถานชุมชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม เพื่อให้เด็กกำพร้าคนอื่นๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างดี ในอนาคต พวกเขาจะได้เป็นกำลังสำคัญของสถานชุมชนเฟิงหลี”

 

แม้ตอนนี้ต้องเริ่มจากศูนย์ และจำเป็นต้องฝึกฝนเด็กๆให้มีความสามารถ แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า ฉินเฟิงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเขาสามารถสร้างสถานชุมชนเฟิงหลีให้กลายเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน!

 

ความแข็งแกร่งระดับหนึ่ง เขาก็มีมันในครอบครองแล้ว

 

เจตจำนงก็หนักแน่น เป้าหมายก็ชัดเจน

 

ดังนั้นที่ยังขาดอยู่คือการวางรากฐานของสถานชุมชนเฟิงหลีให้พร้อมมุ่งสู่อนาคต!

 

“ถ้าเธอยินดีต้อนรับกระดูกผุๆอย่างฉัน ก็ตกลง!” หลินเต๋อหรงหัวเราะลั่น

 

หลังจากทั้งสองสนทนาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็กล่าวคำร่ำลา ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป

 

บัตรเชิญจากตระกูลซินถูกเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์มิติของเขา ขณะที่ในใจเริ่มขบคิด

 

ไม่คาดเลยว่าตระกูลซินจะทำถึงขนาดนี้ กล้าบุกมาถึงบ้านเขาได้อย่างไร

 

ในเมื่อเล่นกันถึงขนาดนี้ ก็อย่าตำหนิเขาแล้วกันว่าโหดร้าย … ได้เวลาเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว!

 

แต่ในฐานะที่เป็นฉินเฟิง เขาย่อมไม่กระทำการใดๆโดยไม่มีแผนรองรับ งานเลี้ยงวันเกิดผู้นำตระกูลซินจะถูกจัดขึ้นในอีก 3 วัน ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่นิ่งเฉย

 

“พละกำลังกาย และพลังสมาธิต่างก็มาถึงเลเวล E แล้ว ดังนั้นไม่มีทางพัฒนาได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่กำลังภายในของฉันยังไม่เปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปถึงเลเวล E งั้นอันดับแรกคงต้องเริ่มเสริมสร้างกำลังภายในก่อน!”

 

หากเขาไม่ใช้ทักษะลับกลืนดารา งั้นตัวเลือกที่ดีที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นใช้พลังพิเศษติดตัวดูดกลืน ช่วยดูดซับตัวยา

 

เม็ดยาฟ้าฟื้น คือยาในกลุ่มของเลเวล F แต่ฉินเฟิงไม่ตั้งใจจะใช้สิ่งนี้ เนื่องจากมันเสียเวลามากไป

 

“งั้นสิ่งที่ฉันต้องซื้อก็คือ เม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้!”

 

ฉินเฟิงเชื่อมต่อกับเครือข่ายนักสู้ เข้าสู่ห้องประมูลกลุ่มหวันซ่ง ในแต่ละวัน เม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้มีจำหน่ายเป็นจำนวนจำกัด ดังนั้นเลยมีราคาที่แพงมากๆ

 

ทว่าในวันนี้ เม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้กลับถูกขายออกไปหมดแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงทราบดี ว่าในห้องประมูลยังคงมีสต็อกเก็บไว้สำหรับพวกตระกูลใหญ่

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็ติดต่อกับผู้จัดการอันเจิ้งเว่ยที่ประจำสาขาเมืองเฉิงหยาง

 

“สวัสดีผู้ว่าการฉิน” อันเจิ้งเว่ยอีกฝั่งวิดีโอเผยรอยยิ้มพอเป็นพิธีแก่ฉินเฟิง

 

“ไม่ทราบว่าผู้ว่าการฉินมีอะไรให้รับใช้ ทางเราพร้อมยินดีบริการคุณอย่างเต็มที่”

 

ถึงปากจะกำลังกล่าว แต่แนวสายตากลับกวาดมองลง เมื่อเห็นโลโก้เลเวล E ของฉินเฟิง แววตาของเขาก็ทอประกายประหลาดใจ

 

อย่างไรก็ตาม อันเจิ้งเว่ยยังคงปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

 

ในฐานะนักธุรกิจ หน่วยข่าวกรองของอันเจิ้งเว่ยนับว่าทำงานได้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของผู้นำตระกูลซินจะมาถึงในอีก 3 วัน และฉินเฟิงเองก็ได้รับเชิญ ไปในฐานะไก่ที่เตรียมถูกเชือด

 

ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงเพิ่งกลับมาจากเมืองหาน แม้ไม่มีวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้าย แต่ก็ได้รับวัตถุดิบระดับนายพลมามากมาย ดังนั้นอันเจิ้งเว่ยเลยเฝ้าหวังว่าจะได้รับการติดต่อจากฉินเฟิง เฝ้ารอคอยให้อีกฝ่ายขายมันให้แก่ตนเองอย่างใจจดใจจ่อ

 

มิฉะนั้นหากตระกูลซินลงทัณฑ์ฉินเฟิงไปแล้ว เกรงว่าวัตถุดิบที่กล่าวมา ทั้งหมดคงมิแคล้วถูกป้อนเข้ากระเป๋าตระกูลซิน ทางกลุ่มหวันซ่งไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้อีก!

 

แต่ใครจะคิด ว่าฉินเฟิงจะสามารถยกระดับได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ ครั้งก่อนเขาสามารถสังหารเลเวล E ลงได้ทั้งๆที่ตนอยู่ในเลเวล F7 แต่ปัจจุบันเขาทะยานขึ้นสู่เลเวล E เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นมีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะสานต่อตำนานสังหารข้ามระดับเหมือนคราวก่อนอีกครั้ง ซึ่งในกรณีนี้ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลซินเลย

 

ข้อสรุปที่อธิบายมาข้างต้นกำลังกลั่นกรองอยู่ในหัวของอันเจิ้งเว่ย แต่แล้วเจ้าตัวก็ถูกฉินเฟิงเรียกสติกลับมา

 

“ผมต้องการเม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้สักหนึ่งชุด อีกทั้งยังมีบางสิ่งอยากจะเสนอขายในเวลาเดียวกัน และบางสิ่งที่ว่ามานี้ ไม่สะดวกที่จะแสดงมันผ่านวิดีโอ” ฉินเฟิงกล่าว

 

“โอ้ แล้วมันคืออะไรกัน?” อันเจิ้งเว่ยมองฉินเฟิงคล้ายจะหยั่งเชิง เอ่ยถามด้วยท่าทีส่อความหมายประมาณว่า ถ้าไม่น่าสนใจ เขาจะปฏิเสธนะ

 

ฉินเฟิงถอนหายใจ ยอมหยิบอุปกรณ์รูนสีเทาเงิน 4 ชิ้นออกมา

 

ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทั้งหมดนี้คืออุปกรณ์รูนมิติ อีกทั้งความจุยังมีขนาดใหญ่

 

และ3 ใน 4 ชิ้นนี้ เป็นสินสงครามที่ฉินเฟิงชิงมาจากสามคนของตระกูลซิน ที่ส่งมาสังหารตน หนึ่งในนั้นเป็นแหวนของเลเวล E ‘ซินกวง’ ที่เขาสังหารทิ้งไปบนสังเวียน

 

ในเวลานั้น ตอนที่กระบวนท่าวรยุทธพลุไฟสงครามของฉินเฟิงปะทุโหม ทุกคนต่างคาดเดาไปว่าอุปกรณ์รูนมิติของซินกวงคงถูกทำลายลงไปด้วย

 

แต่ที่จริงแล้ว สิ่งพวกนี้มันถือว่าเป็นรางวัลจากการต่อสู้ของฉินเฟิง ดังนั้นเขาเลยไม่คิดทำลายมัน อย่างเช่นอุปกรณ์รูนมิติของศาสตราจารย์หวาง เขาก็เก็บไว้ ของมือปืนบางส่วนในห้องทดลองเองก็เก็บมาเช่นกัน ทำให้ปัจจุบัน ในมือของเขามีอุปกรณ์รูนมิติอยู่กว่า 8 ชิ้น

 

อุปกรณ์รูนมิติเหล่านี้มีค่ามาก

 

หนึ่งตร.ม เทียบเท่ากับ 5 ล้าน ยิ่งขนาดกว้างก็ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

 

และในบรรดาอุปกรณ์รูนมิติในมือฉินเฟิง เป็นของศาสตราจารย์หวางที่มีพื้นที่กว้างขวางถึง 30 ตร. ม. เทียบได้กับมูลค่าถึง 150 ล้าน!

 

เมื่อเห็นอุปกรณ์รูนเหล่านี้ อันเจิ้งเว่ยก็กลายเป็นตะลึงงัน

 

“นี่มัน … ”

 

“คุณก็น่าจะรู้ข่าวแล้ว ว่าตอนนี้ทางตระกูลซินเห็นผมเป็นหนามตำตาของพวกเขา ผมบังเอิญได้รับอุปกรณ์รูนพวกนี้มาระหว่างเดินทางออกจากเมืองเฉิงหยาง พอดีว่ามี 3 คนเข้ามาขวางทาง แล้วจากนั้น … ” ฉินเฟิงไม่ได้กล่าวต่อว่า 3 คนนั้นเป็นอย่างไร แต่เพียงมองอุปกรณ์รูนมิติในมือ ก็ไม่จำเป็นต้องการคำอธิบายใดๆอีก

 

เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคงจบชีวิตลงไปแล้วโดยฉินเฟิง

 

ในขณะเดียวกัน การช่วงชิงสมบัติอย่างอุปกรณ์รูนมิติของผู้อื่น ถือว่าเป็นกระบวนการที่ยากลำบากมาก มันไม่ใช่สิ่งที่จะขายให้ใครก็ได้ แต่สำหรับกลุ่มหวันซ่ง มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

ถึงสิ่งพวกนี้จะขายได้ยากในเมืองเฉิงหยางก็จริง แต่พวกเขาสามารถส่งมันกระจายไปขายในร้านอุปกรณ์เครือหวันซ่งเมืองอื่นได้ แค่นี้ก็เป็นอันจบ!

 

เพราะทางตระกูลซินคงไม่ตั้งใจจะไล่ควานหาอุปกรณ์มิติไปถึงฟูเฉิง หรือเมืองไห่หรอก!

 

สำหรับกลุ่มหวันซ่ง อุปกรณ์มิติจะเป็นของใคร พวกเขาไม่สนขอแค่ทำกำไรได้ก็พอแล้ว!

 

ดังนั้นข้อเสนอขายของฉินเฟิงในครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

“ผู้ว่าการฉิน ฉันคิดว่าพวกเราควรพบกันเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว” อันเจิ้งเว่ยกล่าวอย่างจริงใจ

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “ตกลง ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้าน เชิญคุณเข้ามาได้เลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด