โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 298

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 298 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.298 – ถึงทีฉันบ้างล่ะ

 

หลังจากคำนวณราคาคร่าวๆ พวกเขาก็พอจะทราบว่ามันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่

 

หากเทียบกันแล้ว มันมีค่ามากกว่าซงหยูเหิงถึง 4 – 5 เท่า!

 

ดวงตาของเหล่าอาวุโสตระกูลซงกลายเป็นสีแดงฉาน

 

“บลัดฮันเตอร์ มอบชีวิตมา!”

 

อาวุโสหลิวแห่งตระกูลซงเป็นคนแรกที่อดไม่ไหว กระโจนเข้าหาฉินเฟิง ฟาดฝ่ามือออกไป

 

“เทคนิคละลายโลหิต -ฝ่ามือหมอกโลหิต!”

 

กำลังภายในอันโหดร้ายปะทุออกมาพร้อมกับหมอกเลือด แพร่กระจายเป็นวงกว้างกว่า 30 เมตร

 

ฉินเฟิงยกฝ่ามือฟาดสวนกลับไป

 

“เทคนิคต่อสู้เหิงหลง – มังกรตะปบ!”

 

นี่คือเทคนิคต่อสู้เหิงหลงที่ฉินเฟิงลักจำมา ในระหว่างการคัดลอกเนื้อหาจากม้วนคัมภีร์

 

ท่ามังกรตะปบนั้นเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก แต่ยามเมื่อมันถูกใช้ออกโดยร่างที่มีพละกำลังเทียบเท่ากับราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล E9 ผสานไปกับกำลังภายในมหาศาล ผลลัพธ์เลยออกมาเกินกว่าจะจินตนาการ!

 

ขณะเดียวกันฝ่ามือหมอกโลหิตก็แพร่กระจายออกไป ครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง เหล่ารุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลฉินเฟิง ส่งเสียงกรีดร้องน่าสังเวช ถูกเปลี่ยนเป็นหมอกเลือดโดยสมบูรณ์

 

โหวฟางที่เป็นคนเปิดโปงฉินเฟิงก่อนหน้านี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

โชคดีที่อีกฝ่ายตายไป ฉินเฟิงเลยสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่โหวฟางพลั้งปากไปมากกว่านี้ได้ –เดิมทีตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานศิลาควบคุมเขตแดน ฉินเฟิงก็ให้โจวฮ่าวอยู่ห่างจากตนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย มิฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟิงกับโจวฮ่าวอาจถูกเปิดเผย

 

โหวฟางสมควรแล้วที่จะถูกสังหาร แต่สำหรับคนอื่นๆ ฉินเฟิงก็ไม่มีเจตนาใดๆที่จะช่วยเหลืออยู่ดี

 

เพราะคนเหล่านี้ เมื่อครู่ต่างมองมาทางเขาด้วยความโลภและเจตนาฆ่า

 

ในยุคโลกาวินาศ ตัวตนทรงอำนาจจะเป็นที่เคารพยำเกรง การเอาตัวรอดถือเป็นที่สุด จักต้องต่อสู้และเข่นฆ่า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่ง!

 

ดังนั้นความเมตตาหรือปรานีไม่ใช่สิ่งจำเป็น!

 

ปัง!

 

ท่ามังกรตะปบปะทะเข้ากับฝ่ามือหมอกโลหิต แสงสีทองสาดไสว เจาะผ่านฝ่ามือเลือดไปในพริบตา

 

เมื่อฝ่าด่านฝ่ามือหมอกโลหิตมาได้ ท่ากรงเล็บที่ผสานไปด้วยกำลังภายในรูปแบบของเหลวก็ฟาดเข้าใส่เจ้าของฝ่ามือโลหิตโดยตรง!

 

แรงปะทะอันหนักหน่วง ส่งเจ้าของฝ่ามือหมอกโลหิตปลิวละลิ่วไปบนฟากฟ้า

 

พรวดดด!

 

เลือดกระอักออกมาเป็นสาย โค้งมนบนท้องฟ้า ราวกับสายรุ้งเลือดก็มิปาน

 

โครม!

 

อาวุโสตระกูลซงร่วงลงกับพื้น ตายคาที่ทันที!

 

ร่างของฉินเฟิงกระพริบไหว โผล่มาย่ำเท้าของหนึ่งลงบนร่างของอาวุโสตระกูลซงที่เพิ่งตายไป สาดสายตามองซงหยูไคและอาวุโสสามด้วยความเย็นชา

 

“ก่อนหน้านี้เอาแต่ไล่ตามฉันไม่หยุดเลยใช่ไหม? งั้นคราวนี้ ถึงตาฉันบ้าง!”

 

แม้ปากจะกล่าวและแสดงท่าทีคุกคาม แต่จริงๆแล้วที่ฉินเฟิงพุ่งเข้ามา ก็เพื่อใช้ทักษะลับกลืนดาราดูดซับกำลังภายในของอาวุโสหก ขณะเดียวกัน พลังสมาธิก็ถูกกวาดออกไป ดึงเอาจี้สีเงินของอาวุโสหกที่น่าจะเป็นอุปกรณ์รูนมิติออกมา

 

ช่วงเวลานี้ ซงหยูไคกับอาวุโสสามถึงสามารถตอบสนอง และล่วงรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

“สหายหก!”

 

“พี่หก!”

 

ทั้งสองเปล่งเสียงร้องสลด

 

แม้พวกเขาทั้งหมดจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็มาจากรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นพี่น้อง ไม่คาดคิดเลย ว่าเหตุการณ์จะพลิกผันรวดเร็วเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หนึ่งในเจ็ดอาวุโสก็จบชีวิตไปแล้ว มาคราวนี้อีกอาวุโสยังตกตายลงอีก!

 

“บลัดฮันเตอร์! หนี้แค้นต้องชำระ เจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือดของเจ้า!”

 

กำลังภายในอาวุโสสามปะทุคลั่งดั่งเฮอริเคน อำนาจในเลเวล D7 ถูกเปิดเผยออกมา

 

ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าชายชราคนนี้ แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

 

หากเป็นฉินเฟิงเมื่อวันก่อนๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกรกับอาวุโสสาม

 

แต่ปัจจุบัน เขาได้รับสืบทอดมรดกจากเทพสงคราม ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก กำลังภายในเองก็ทะยานขึ้นไปถึงเลเวล D และเนื่องจากตันเถียนของเขามีความจุมากกว่าคนปกติถึงสิบเท่า ตอนนี้เลยครอบครองกำลังภายในรูปแบบของเหลวมากถึง 10 กลุ่ม –ซึ่งมันมากกว่าอาวุโสสาม

 

ด้วยประการฉะนี้ ฉินเฟิงจึงไม่หวั่นเกรงใดๆ

 

ตูม!

 

ปราณกำลังภายในลอยล่องอยู่รอบกายของฉินเฟิง ก่อตัวเป็นโล่ลมปราณ โปร่งใสและกระจ่างชัด ราวกับว่ามีชั้นมวลน้ำห่อหุ้มอยู่นอกกายเขา

 

ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D คนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ต่างผงะตกใจ

 

“นั่นกำลังภายในรูปแบบของเหลว!”

 

“เขายกระดับขึ้นเป็นเลเวล D แล้วอย่างงั้นหรอ”

 

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? เขายังอายุไม่ถึง 20 ปีไม่ใช่หรอ”

 

“สัตว์ประหลาดเช่นนี้ผุดออกมาจากที่ใดกัน?”

 

ฝูงชนถูกทำให้ตกตะลึงโดยฉากเบื้องหน้าครั้งแล้ว ครั้งเล่า

 

ตี๋เล่ย , โหวหยางเจียว และหยางเหมา ที่ก่อนหน้านี้คิดจะเข้าร่วมสนุกด้วย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนกลับกลาย เกิดความลังเลว่าจะลงมือดีหรือไม่

 

ในระหว่างที่พวกเขาลังเล สถานการณ์บนสนามรบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!

 

“ตายซะ!” ฉินเฟิงคว้าโอกาสนี้ ทันใดนั้นชั้นแสงสีทองปกคลุมบนฝ่ามือเขา วินาทีต่อมา ฝ่ามือก็ทะลวงหน้าอกอาวุโสสามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

พรวดดด!

 

ลำแสงสีทองตัดผ่านกายอาวุโสสาม พุ่งโฉบข้ามไปเบื้องหลังเขา เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

 

–อาวุโสสามตระกูลซง ตาย!

 

ไม่ใกล้ไม่ไกล ฉินเฟิงดูดซับกำลังภายในของอีกฝ่ายโดยตรง

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

วิสัยทัศน์ของเขาก็ตรึงลงบนร่างของซงหยูไค

 

ซงหยูไคสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้ในหัวใจจะโกรธเกรี้ยวสุดแสน แต่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มากยิ่งกว่า

 

ความแข็งแกร่งของฉินเฟิง มันสูงกว่าที่เคยได้รับชมผ่านวิดีโอมากเกินไป

 

นี่อาจเป็นไปได้ว่าเขาได้รับสมบัติอะไรบางอย่างจากสุสานเทพสงครามใช่หรือไม่?

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นสมบัติห่าเหวอะไร ฉินเฟิงในตอนนี้ ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยโดยเด็ดขาด!

 

‘หนี ฉันต้องหนีแล้ว!’

 

ซงหยูไคเมื่อตระหนักว่าจู่ๆตนก็เกิดความคิดเช่นนี้ อีกทั้งฝีเท้ายังขยับไหว หันหลังให้ศัตรู ใบหน้าของเขาพลันรู้สึกชาวาบ บังเกิดความอับอาย

 

ต้องรู้นะว่าซงหยูไคมิใช่อาวุโสตระกูลซงทั่วๆไป แต่เขายังเป็นถึงผู้รักษาการผู้นำตระกูลซงในปัจจุบัน

 

เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี แต่จู่ๆหากต้องถูกไล่ล่าเหมือนหมาไร้บ้าน คงไม่จำเป็นต้องอธิบายว่ามันจะรู้สึกแย่แค่ไหน

 

“หึ จะหนีไปไหน?”

 

ฉินเฟิงมีหรือจะปล่อยให้ศัตรูหนีไปได้ง่ายๆ?

 

ซงหยูไควิ่งไปข้างหน้า ฉินเฟิงสับฝีเท้าดุเดือดวิ่งตามติด

 

อย่างไรก็ตาม การหลบหนีในครั้งนี้ ซงหยูไคมั่นใจมากว่าเขาจะสลัดฉินเฟิงได้ เพราะเมื่อวันก่อน ระหว่างไล่ล่า วิชาตัวเบาของฉินเฟิงมิได้โดดเด่นอะไรเลย ขอเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง หากไม่มีสุสานเทพสงครามขวางไว้ พวกเขาคงจับตัวฉินเฟิงได้แล้ว

 

แต่สิ่งที่ซงหยูไคไม่ทราบก็คือ ความเร็วในปัจจุบันของฉินเฟิง มันมิใช่แบบเดิมอีกต่อไป เขาเพิ่งได้รับวิชาตัวเบาใหม่มาครอบครอง!

 

บังเกิดเสียงสะท้อนไปทั้งผืนป่า ดั่งเสียงคำรามของมังกร ท่าร่างเหนือชั้นสำแดงฤทธิ์

 

ฉินเฟิงสามารถประชิดตัวซงหยูไคได้อย่างรวดเร็ว

 

“มอบชีวิตมา!”

 

หนึ่งมือของฉินเฟิงฉกออกไป จ้วงเข้าใส่โล่ปราณกำลังภายในของซงหยูไค

 

ซงหยูไคเอี้ยวตัวไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยง

 

ฉัวะ!

 

ฝ่ามือตกลงบนไหล่เขา แสงสีเงินพรั่งพร่าวสาดออกมาพร้อมกัน

 

นี่คืออุปกรณ์รูนของซงหยูไค ทั้งยังเป็นอุปกรณ์ระดับราชันย์สัตว์ร้าย

 

เมื่อปะทะกับพลังป้องกันอันแข็งแกร่ง อานุภาพของฝ่ามือฉินเฟิงก็ลดทอนลงหลายส่วน

 

ซงหยูไคฉวยโอกาสหันกลับมา อัดฉีดกำลังภายในสู่สองมือ ฟาดออกไปตอบโต้ฉินเฟิง

 

“โจมตีเป็นคนเดียวรึไง ชิมฝ่ามือข้าบ้าง!”

 

ใบหน้าของซงหยูไคฟุ้งไปด้วยความดุร้าย เขาอาศัยประโยชน์จากในจังหวะที่กำลังภายในของฉินเฟิงเพิ่งปลดปล่อยออกมา ไม่ทันได้เรียกกลับไปป้องกัน โค่นศัตรูในคราวเดียว

 

เพี๊ยะ!

 

ฝ่ามือของอีกฝ่ายตบเข้าสวนกลับมา อำนาจอันมหาศาลกระจายเข้าสู่ฝ่ามือของซงหยูไค

 

สองมือของซงหยูไคฉีกขาด สาดไปด้วยเลือด

 

สองมือของฉินเฟิงเองก็ปรากฏรอยเลือดในทำนองเดียวกัน

 

อย่างไรก็ตาม ฝั่งฉินเฟิง มันเป็นร่องรอยที่เกิดจากบาดแผลในโซนผิวหนังเท่านั้น

 

“อ๊ากกกกก” ซงหยูไคร้องลั่น

 

ดั่งถูกตบสวนโดยฝ่ามือของราชันย์สัตว์ร้าย สองแขนของซงหยูไคระเบิดออก บิดเบี้ยวไม่น่าดู

 

พละกำลังอันน่าสะพรึงทำลายแขนทั้งสองจนเกือบพิการอย่างกระทันหัน

 

ฉินเฟิงไม่รอช้า อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเจ็บปวด โจมตีถึงชีวิต!

 

กำลังภายในของฉินเฟิงถูกเร่งเร้าอีกครั้ง ฝ่ามือระเบิดออกไปในเฉียบพลัน ตบลงเหนือหัวของซงหยูไค

 

ซงหยูไคยกสองมือที่บิดเบี้ยวขึ้น พยายามจะต้านทาน แต่มันก็ไร้ประโยชน์

 

โผล๊ะ!

 

สองแขนแหลกเป็นเสี่ยงๆ ฝ่ามือของฉินเฟิงปรบลงตรงเป้าหมาย

 

“เทคนิคต่อสู้เหิงหลง – มังกรตะปบ!”

 

ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงราวกับมังกรใหญ่ กรงเล็บมังกรร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ตบเข้าใส่ซงหยูไคอย่างไร้ปรานี ให้ความรู้สึกราวกับช้างบี้มดก็มิปาน

 

ในตอนแรก พวกเขาต่อกรกันด้วยวิชาตัวเบาของแต่ละคน หนึ่งเคลื่อนที่หลบหนี หนึ่งไล่ตาม

 

ปัจจุบัน เคลื่อนที่มาจนถึงหุบเขาเตี้ยๆ ยามมองจากระยะไกล เลยดูเหมือนร่างเงากรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ร่อนตกลงบนภูเขาลูกนี้ บดขยี้ลงบนร่างของซงหยูไค

 

ตูมมมม!

 

ตลอดทั้งขุนเขาและผืนดินเกิดการสั่นสะเทือน ขุนเขาปริร้าว ผืนดินแตกระแหง

 

ราวกับว่าบนภูเขา ถูกประทับลงโดยกรงเล็บขนาดใหญ่

 

ซงหยูไคสิ้นท่าลงภายใต้ฝ่ามือของฉินเฟิง เนื่องจากถูกห่อหุ้มด้วยกำลังภายใน ตัวเขาเลยถูกเจาะลึกลงไปใต้ดินโดยตรง

 

ฉินเฟิงยืนหยัดอยู่ใจกลางหลุม ที่เกิดจากอำนาจทำลายล้างของตน ก้มมองดูซงหยูไคที่ทวารทั้งเจ็ดกำลังหลั่งเลือดออกมา เพียงหายใจยังยากลำบาก

 

“ตระกูลซงของข้า จะไม่มีทาง … ปล่อยเจ้าไป … ” ซงหยูไคกระเสือกกระสนพ่นคำเหล่านี้ออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด