โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 480

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 480 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.480 – รวมตัวกันอีกครั้ง

 

ช่วงปีก่อน พ่อแม่ของเสี่ยวจิงปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ยุติธรรม นั่นคือเหตุผลที่เสี่ยวจิงตัดสินใจออกล่าสัตว์ร้ายในทุ่งล่า ชักนำเธอก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งผู้ใช้วรยุทธโบราณ

 

แต่ใครจะคาดคิด ว่าหยางเคียนก็กำลังทำแบบเดียวกับเสี่ยวจิง?

 

ริมฝีปากของหยางเคียนจิกเม้มด้วยความลำบากใจ ก่อนเอ่ยปากตอบ “มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันในสถานที่แบบนี้ มาเถอะ ฉันจะพานายไปเลี้ยงข้าวเย็น”

 

ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ พยักหน้าตกลง 

 

ทั้งสองเดินออกจากซอย ฉินเฟิงเปิดประตูรถ แต่หยางเคียนกลับชะงักงัน คล้ายมีกำแพงใสๆมากั้นเบื้องหน้าเธอ

 

“มันก็แค่สองช่วงถนนเอง พวกเราเดินไปกันดีกว่า พอดีว่า .. เสื้อผ้าของฉันมันสกปรกน่ะ” หยางเคียนกล่าว

 

“ฉันไม่รังเกียจเธอหรอก ขึ้นมาเหอะน่า” น้ำเสียงของฉินเฟิงออกแนวสั่งการ หยางเคียนดีดผึง ก้าวขึ้นมาโดยจิตใต้สำนึก ทำตามที่ฉินเฟิงกล่าว

 

พอเข้ามานั่ง หยางเคียนถึงค่อยค้นพบว่า ในตำแหน่งข้างคนขับ ยังมีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่

 

เป็นไป๋หลี

 

“สวัสดี” ไป๋หลีเผยรอยยิ้มจางๆ หันมาทักทายหยางเคียน

 

หยางเคียนสั่นสะท้าน วิสัยทัศน์แทบจะกลายเป็นพร่ามัวด้วยรอยยิ้มสดใสของไป๋หลี เธอเติบโตมานานปี แต่ไม่เคยพบเจอผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อนเลย กระทั่งเกิดความรู้สึกละอายในรูปลักษณ์ของตัวเอง

 

ฉินเฟิงแนะนำ “นี่คือแฟนของฉัน ชื่อไป๋หลี ส่วนนี่เพื่อนร่วมชั้นของฉัน ชื่อหยางเคียน!”

 

ไป๋หลีพยักหน้า “อื้ม ฉันเคยเจอเจอเธอแล้ว”

 

ฉินเฟิงย้อนคิด งานปาร์ตี้ในวันนั้น ดูเหมือนว่าไป๋หลีจะอยู่ในกระเป๋าเป้

 

“อ้อ นั่นสินะ” ฉินเฟิงพยักหน้า

 

มีเพียงหยางเคียนที่มั่นใจว่าเธอไม่เคยเจอกับไป๋หลีมาก่อนแน่ๆ เพราะในสมองของเธอ ไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อไป๋หลีเลย หากได้พบเจอคนที่งดงามมากขนาดนี้แค่เพียงครั้งเดียว เธอย่อมไม่มีวันลืม

 

เมื่อทุกคนคาดเข็มขัด รถก็เริ่มขับออกไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงมันรวดเร็วจนหยางเคียนรู้สึกราวกับแค่พริบตา

 

หยางเคียนเร่งเอ่ยปาก “นั่น ตรงนั้น กลางถนนเส้นนี้ ใช่ ที่นี่แหละ”

 

พาหนะลอยฟ้าหยุดอยู่หน้าทางเข้าของร้านแผงลอยเล็กๆ รูปทรงที่หรูหราละลานตาของมัน ตกเป็นเป้าสายตาของทุกผู้คน

 

จากนั้น ฉินเฟิงและสาวๆก็ลงจากรถ ไปนั่งในร้านริมถนนแผงลอย

 

หยางเคียนบังเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที ว่าการชวนมากินข้าวที่นี่ คงไม่เหมาะกับทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสองดูไม่เข้ากับสถานที่แบบนี้โดยสิ้นเชิง

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับนั่งลง สั่งอาหารอย่างคุ้นเคย หลังได้รับอาหาร เขาก็หันกลับมาพูดกับหยางเคียนอีกครั้ง

 

“ในปีที่แล้ว ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? ทำไมเธอถึงไม่ไปสถานชุมชนเฟิงหลี?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม 

 

หยางเคียนค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าว “เงินที่นายกับโจวฮ่าวให้มา ฉันไม่คิดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ยิ่งไปกว่านั้น ที่ฉันกลับมายังเฉิงเป่ย เพราะมีเหตุผล”

 

ฉินเฟิงทำท่าทีให้หยางเคียนพูดต่อ

 

หยางเคียนไม่ต้องการให้ฉินเฟิงเข้าใจผิด หลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บในช่วงแรก ครอบครัวทุ่มเทค่าจ่ายค่ารักษาไปมาก ต่อมา ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวได้กลายเป็นผู้ใช้พลัง และพวกเขาก็ได้มอบเงินให้กับหยางเคียนอีกเป็นจำนวนมาก

 

แน่นอน สำหรับฉินเฟิงกับโจวฮ่าว มันไม่ได้มากมายอะไร แค่คนละ 100,000 เหรียญเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไป 200,000 เหรียญเป็นเงินที่ต้องทำงานมากถึง 10 ปี มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถหาได้ง่ายๆ

 

หยางเคียนกล่าว “ฉันได้ยินจากโจวฮ่าวมาว่า มีสมุนไพรวิญญาณชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยสร้างแขนหรือขาที่ขาดไป ให้งอกกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ดังนั้นฉันเลยวางแผนเก็บเงินเพื่อซื้อมัน”

 

ดังนั้นเงินของฉินเฟิงกับโจวฮ่าว เธอเลยไม่กล้าหยิบมาใช้ และไม่คิดบอกพ่อแม่ของเธอด้วยซ้ำ ทั้งวางแผนที่จะอยู่ที่นี่ เพื่อรอดูว่าเมื่อไหร่สมุนไพรที่ว่าจะออกวางขาย

 

ฉินเฟิงตกตะลึงไปเล็กน้อย 

 

“แล้วเธอรู้รึเปล่า ว่าสมุนไพรวิญญาณพวกนั้น มันต้องใช้เงินเท่าไหร่”

 

“ฉันไม่รู้หรอก โจวฮ่าวไม่ได้บอก แต่ฉันเชื่อว่ามันแพงแน่นอน บางทีอาจจะหลายล้าน หรือบางทีอาจมากกว่าสิบล้าน แต่ฉันก็หวังว่าจะเก็บเงินซื้อมันได้!” หยางเคียนกล่าว

 

หากจะเอ่ยว่าหยางเคียนยอมรับความจริง สมควรกล่าวว่าเธอยอมรับความทุกข์มากกว่า 

 

และที่สำคัญก็คือ เธอไม่ยอมแพ้ เธอยังมอบความหวังให้กับตัวเอง บางทีอาจเป็นโจวฮ่าวที่มอบมันให้กับเธอเช่นกัน เพราะสำหรับสภาพของหยางเคียนในตอนนี้ หากไม่มุ่งมั่น หรือมีเป้าหมายคลุมเครือเกินไป คงใช้ชีวิตอยู่ต่อไม่ได้

 

แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ เงื่อนไขของการงอกแขนขาใหม่ สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล C มันสามารถรักษาได้ก็จริง แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก , ผู้ใช้พลังเลเวล D ก็สามารถงอกแขนขาใหม่ได้ แต่อาจเกิดอาการบาดเจ็บตามมา

 

ในขณะที่เลเวล E ลงไป ตราบใดที่เกิดอาการบาดเจ็บเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วตลอดชีวิตไม่สามารถรักษาได้ เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถในการทำเงินที่มากพอ และสมบัติที่สามารถใช้รักษา พวกเขาก็ไม่อาจเข้าถึงมันได้เช่นกัน

 

ในมือของฉินเฟิง ปรากฏชิ้นเนื้อของเต่าหมื่นปี กุมมันไว้แน่น

 

มูลค่าของสิ่งนี้ สำหรับคนทั่วไป มันสูงจนน่าใจหาย

 

“ถึงเธออยากจะหาเงิน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ในที่แบบนี้!” ฉินเฟิงขมวดคิ้ว “ในเฟิงหลีเองก็สามารถหาเงินได้เหมือนกัน”

 

หยางเคียนยิ้มขมและกล่าว “ฉันรู้ แต่ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณพวกนายมากเกินไป ตอนนี้ฉันมันไร้ประโยชน์ และไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันกับพวกนายอีกแล้ว ฉันไม่มีความสามารถที่จะตอบแทนบุญคุณ และมีเรื่องหนึ่งที่ฉันได้ยินมา”

 

ฉินเฟิงไม่ได้ขัดอะไร หยางเคียนกล่าวต่อ “ว่าเคยมีผู้ใช้พลังคนหนึ่งเสียชีวิตในซอยของเมืองเฉิงเป่ย และใครบางคนที่บังเอิญเก็บอุปกรณ์รูนมิติของเขามาได้ สามารถสร้างโชคมหาศาล! ถึงแม้เฟิงหลีจะไม่เลวร้าย แต่กฏหมายและระบบรักษาความปลอดภัยเป็นระเบียบมาก ดังนั้นไม่น่าจะมีผู้ใช้พลังระดับสูงจบชีวิตลงที่นั่น และอีกอย่าง ถนนหนทางในเฉิงเป่ย ฉันคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี”

 

ฉินเฟิงในเวลานี้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

 

“ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชค เธอคิดว่า โอกาสที่เธอจะเจอเหตุการณ์แบบนั้น มันมากแค่ไหนกัน!”

 

“แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ไม่ใช่หรอ โชคหล่นทับเพียงครั้งเดียว ได้รับกำไรอย่างงาม!” หยางเคียนกล่าว

 

อย่างน้อย ถ้าทำงานนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าสามารถรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้ได้ ดีกว่าให้คนอื่นยอมรับเข้าทำงานเพราะความเห็นใจและสงสาร แม้จะสร้างรายได้ แต่หยางเคียนรู้สึกไม่สบายใจ

 

หยางเคียนเป็นคนที่มีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง

 

ฉินเฟิงมองไปยังเพื่อนสาวที่แสนจะบอบบาง ในหัวใจเริ่มสั่นไหว

 

ความทรงจำในช่วงวัยเรียนคล้ายถูกเรียกคืนกลับมา

 

ฉินเฟิงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโรงเรียนมาโดยตลอด เป็นนักเรียนชั้นนำ แม้หยางเคียนจะไม่เก่งกาจด้านการฝึกฝน แต่เธอเป็นคนที่อดทน มุ่งมั่นพยายามอย่างมาก แม้ผลลัพธ์จะไม่เป็นที่น่าพอใจก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้

 

ฉินเฟิงตริตรองอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากว่า “หยางเคียนการจู่โจมขององค์กรมืดในครั้งนั้น บางทีอาจเกิดขึ้นเพราะฉัน”

 

“นั่นมันจะเป็นไปได้ยังไง” หยางเคียนบังเกิดความสงสัยในแววตาของเธอ อันที่จริงเธอก็ไม่เข้าใจถึงความจริงในช่วงเวลานั้นเช่นกัน

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว หยางเคียนเป็นแค่คนธรรมดา

 

“ในช่วงเวลานั้น คนขององค์กรมืดกำลังทำการทดลอง ต้องการจับตัวผู้ใช้อบิลิตี้ ดังนั้นพวกเขาเลยคิดจะลักพาตัวจ้าวหยวนหยวน แต่อันที่จริงแล้ว ในวันแรกของการปลุกพลัง ฉันสามารถปลุกอบิลิตี้ขึ้นมาได้ ถ้าเวลานั้นฉันเอ่ยปากออกไป บางทีเหตุการณ์บุกงานปาร์ตี้คงไม่เกิดขึ้น”

 

“บ้า! แบบนั้นก็เป็นนายที่ต้องพบเจออันตรายน่ะสิ ที่นายไม่พูด มันไม่ผิดหรอก และอีกอย่าง นายอย่าพูดคำว่า ‘ถ้า’ ” หยางเคียนกล่าว “เพราะทุกอย่างในโลกใบนี้ ล้วนเกิดจากโชคชะตา ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ หรืออะไรทั้งนั้น”

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงรู้เรื่องราวในชีวิตก่อนดี ว่าหยางเคียนจะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากเพศภัยในครั้งนี้

 

ฉินเฟิงสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำให้ฉินเฟิงรู้สึกผิดได้

 

อย่างหลังการเกิดใหม่ ปรากฏการผีเสื้อขยับปีก(บลัตเตอร์ฟายเอฟเฟค) ที่เกิดขึ้นจากเขา ที่รุนแรงมากที่สุด เกรงว่าคงไม่พ้นการตายของราชาอัคคีชุ่ยเหลียน ทว่าในหัวใจของฉินเฟิงกลับไม่บังเกิดระลอกคลื่นของความรู้สึกผิดใดๆ

 

เพราะผู้ใช้พลังในยุคโลกาวินาศ ย่อมต้องมีการต่อสู้แข่งขันกัน

 

ต่อสู้เพื่อทรัพยากร , แข่งขันกันเพื่อไขว่คว้าโอกาส ฉะนั้นฉินเฟิงไม่ได้คิดว่าที่เขาทำมันผิด

 

แต่ในกรณีที่ชีวิตของคนอ่อนแอ คนธรรมดาๆคนหนึ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะเขา มันทำให้เขารู้สึกผิด

 

ต้องทราบนะว่า ฉินเฟิงไม่เพียงฝึกฝนวรยุทธโบราณ แต่ยังฝึกสมาธิ สภาวะจิตใจและห้วงอารมณ์ของเขาแข็งแกร่งดั่งหินผา การที่จะมีบางสิ่งสามารถเขยื้อนมันได้ ไม่ใช่เรื่องดี เขาไม่ต้องการให้หยางเคียนกลายเป็นรอยร้าวในหัวใจของตน เพราะแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่สุดท้าย–

 

–เธออาจกลายเป็นจุดอ่อนของเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด