A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1419 วิหารการแลกเปลี่ยน

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1419 วิหารการแลกเปลี่ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ใช่แล้วข้าหมายถึงสิ่งนี้ แม้นว่านายท่านจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา แต่ถึงอย่างไรเสียก็มีต้นกำเนิดมาจากเผ่ามนุษย์ ต่อให้ผ่านการทดสอบไปได้ ก็ไม่อาจรับตำแหน่งประมุขของเผ่าเราได้ แต่สหายหานกลับสามารถใช้ฐานะบุตรชายช่วยบุตรชายทั้งสองอีกแรงให้พวกเขาผ่านการทดสอบ แน่นอนว่าหากทำเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้า ไม่เพียงจะให้เจ้าดูดซึมโลหิตของวิหคมัจฉา และยังจะตอบแทนให้จงหนักด้วย” หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธ พลางเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนออกมา

 

 

เรื่องดีๆ เช่นนี้มาหาถึงที่ หากเป็นคนปกติแล้วเกรงว่าคงตอบรับด้วยอารามดีใจทันที แต่หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย ไม่ได้ตอบกลับในทันที

 

 

หญิงสาวเองก็ไม่ได้เร่งเร้า แค่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลางมองหานลี่อย่างเงียบๆ

 

 

หลังงจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หานลี่ก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า

 

 

“เพื่อบุตรชาย แม้กระทั่งยอมให้คนนอกอย่างข้าเข้าร่วมเผ่าท่าน การทดสอบนี้คงอันตรายไม่น้อยสินะ ลองอธิบายมาให้ข้าน้อยฟังก่อน แล้วผู้แซ่หานค่อยตัดสินใจก็คงไม่สาย”

 

 

“การทดสอบนี้อันตรายมาก โดยปกติแล้ว บุตรชายของเผ่าต่างๆ ที่จะเข้าร่วม จะมีอัตราการเพลี้ยงพล้ำอยู่ที่หกถึงเจ็ดส่วน และปกติแล้วพลังยุทธ์ของบุตรชายก็ต้องอยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหิน เทียบเท่ากับระดับเทพแปลงของเผ่าเท่า ครั้งนี้เป็นเพราะประมุขของเผ่าเราเกิดอุบัติเหตุเพลี้ยงพล้ำไป บุตรชายทั้งสองก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่พร้อมเต็มที่ หากเข้าร่วมการทดสอบ แปดเก้าส่วนคงไม่อาจผ่านได้ ความสามารถของนายท่านนั้นแม้ข้าน้อยจะรู้มาไม่ได้มาก แต่ข้ามผ่านแผ่นดินเฟิงหยวนกว่าครึ่งมาได้ กำลังก็คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้นว่าเนื้อหาในการทดสอบจะอันตราย แต่น่าจะไม่เป็นปัญหากับสาย” แม้นว่าหญิงสาวจะคาดเดาผิดพลาดไปหน่อย แต่ข้อตัดสินสุดท้ายก็ไม่ผิด

 

 

“แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหิน?” หานลี่หางตากระจุก เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

 

“นายท่านโปรดวางใจ อาวุโสอย่างข้าไม่มีทางหลอกลวง” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ออกมา

 

 

“ข้าขอเวลาคิดสักระยะ” ขบคิดเล็กน้อย หานลี่ถึงได้ตัดสินใจ

 

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรจะไตร่ตรองให้รอบคอบถูกแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน หลังจากนี้สามวันข้าจะรอคำตอบของเจ้าอยู่ที่นี่ ช่วงเวลานี้สหายก็อยู่ในเมืองได้อย่างอิสระ จะไม่มีใครไปรบกวนเจ้า อีกอย่างข้าชื่อจินเย่ว์ จำชื่อของข้าเอาไว้ให้ดี”​หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ ดูเหมือนว่าจะคาดเดาคำตอบของหานลี่เอาไว้ตั้งนานแล้ว

 

 

แน่นอนว่าหานลี่พลันเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็กล่าวลาอย่างไม่ลังเลอีก

 

 

เมื่อเห็นหานลี่เดินออกจากประตู ร่างกายก็พลิ้วไหวหายวับไป จินเย่ว์พลันฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา ยกมือขึ้นหยิบถ้วยชาขึ้นมาจากโต๊ะ พลางลิ้มรสชาติมันอึกหนึ่ง

 

 

“ท่านมหาอาวุโสจะปล่อยเขาไปอย่างนี้จริงๆ หรือ” กำแพงหินภายในห้องหินมีลำแสงสีเทาสว่างวาบ ฉับพลันนั้นด้านในพลันมีวิหคสวรรค์อีกสองคนร่างกายสูงคนหนึ่งเตี้ยคนหนึ่งปรากฎขึ้น

 

 

“ทำไม เจ้าจะให้ข้าจัดการเขาอย่างไร?”​ จินเย่ว์เหลือบตามองชายชราเคราสีแดงที่พูดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“ขนวิหคมัจฉาที่อยู่ในปีกคู่นั้น เหตุใดเราต้องให้คนเผ่าประหลาดเข้ามาเป็นบุตรชาย ไม่สู้เอาปีกนั้นมา แล้วเลือกอีกคนมาสืบทอดโลหิตเที่ยงแท้จะดีกว่าหรือ” ชายชราเคราแดงร่างกายสูงใหญ่เอ่ยพร้อมกับถูมือทั้งสองไปมาเบาๆ

 

 

“หากทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะต้องยุ่งยากคุยกับคนเผ่าประหลาดหรือ ไม่สังหารเขาแล้วก็ชิงปีกมาเลยก็ได้แล้ว” มุมปากของหญิงสาวเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ

 

 

“เช่นนั้นความหมายของท่านอาวุโสคือ…” สตรีร่างกายอรชนอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่งเห็นว่าชายชราเคราแดงยังคิดจะเอ่ยอะไรอีก ก็รีบร้อนกระตุกชายเสื้อของเขา ชิงเอ่ยก่อนอย่างนอบน้อม

 

 

“จากความเข้าใจที่มีต่อเผ่ามนุษย์ ข้าว่าในเผ่าวิหคสวรรค์นั้นไม่มีผู้ใดรู้เท่าข้าแน่ เผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีกำลังกายที่ธรรมดามาก กว่าครึ่งล้วนหลอมสมบัติอื่นๆ ใส่เข้าไปในร่าง ดังนั้นจึงสามารถหลอมสมบัติเหล่านั้นได้ในระยะเวลายาวนานจนถึงแก่น สมบัติเหล่านั้นไม่ใช่ว่าจะไม่อาจแย่งชิงได้ แต่หลังจากแย่งมาได้แล้ว ร่องรอยของเจ้าของเดิมนั้นไม่อาจกำจัดได้ง่ายๆ และยิ่งไปกว่านั้นอานุภาพของสมบัติก็จะลดลงเพราะเปลี่ยนเจ้านาย สมบัติปีกของคนผู้นี้ข้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เป็นสมบัติประเภทนั้น และข้าก็ได้ข่าวมาแล้วว่า การทดสอบของบุตรชายใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราไม่มีเวลามาแย่งสมบัติแล้วมอบให้เผ่าอื่นหลอมมันอีกครั้งแล้ว”​ จินเย่ว์ขบคิดเล็กน้อย และยังอธิบายอีกสองสามประโยค

 

 

 “อย่างนี้นี่เอง แต่เช่นนี้โลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้จะไม่ไหลออกไปนอกเผ่าจริงๆ หรือ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย” ชายชราเคราแดงยังคงสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง

 

 

“ท่านอาวุโสซวีเลอะเลือนแล้ว หากครั้งนี้บุตรชายของเผ่าเราไม่ผ่านการทดสอบ ทั้งชนเผ่าก็จะถูกสาขาอื่นๆ กำจัดทิ้ง และเทียบกับเรื่องโลหิตเที่ยงแท้แล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น อีกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ก็ไม่มีทางวิธีการอื่นแล้ว” หญิงสาวดวงตาเปล่งประกายขณะเอ่ย

 

 

“หึๆ ท่านมหาอาวุโสพูดมีเหตุผล หลังจากที่เผ่าประหลาดผู้นี้ช่วยพวกเราผ่านเคราะห์ร้ายไปแล้ว แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง ถึงครานั้นจะสังหารหรือเก็บไว้ มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว” หลังจากที่หญิงสาวหน้าตางดงามวัยกลางคนตกตะลึงแล้ว ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

 

 

“สังหารนั้นเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นคนของเผ่าประหลาด หากมีโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้ผสมเข้าไปแล้ว ก็นับว่าเป็นคนของเผ่าเราครึ่งหนึ่ง พวกเราจะถูกจำกัดด้วยคำสาบานของวิหคสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุนี้หากผ่านภัยพิบัติของเผ่าในครั้งนี้ไปได้ เขาก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเผ่าเรา หากไม่มีความจำเป็นล่ะ อย่าคร่าชีวิตของเขาเลย มากสุดก็แค่กักบริเวณเขาเอาไว้ ไม่ให้ออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์อีก” จินเย่ว์เหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก

 

 

“เช่นนั้นก็ได้ ต้องรายงานเหล่าผู้รักษาประตู และส่งคนสะกดรอยตามคนเผ่าประหลาดผู้นั้น อย่าให้เขาหนีออกไปหรือไม่” ชายชราเคราะแดงกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา

 

 

“ท่านอาวุโสซวีไม่ต้องกังวล เมื่อครู่ข้าได้ทำอะไรกับปีกของเขาไปแล้ว หากเขาออกจากเมือง ข้าจะรู้ได้ในทันที” จินเย่ว์กลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

“ดูแล้วเราสองคนคงกังวลมากไป ท่านมหาอาวุโสขบคิดได้อย่างรอบคอบมาก” สตรีผู้งดงามแววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

 

“กังวลมากหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ในอาวุโสทั้งห้าของเผ่าเรามีแค่พวกเราสามคนที่อยู่ในเผ่า และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าเรา เราสามจำต้องปรึกษากันก่อนค่อยลงมือ มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่มีทางถ่ายทอดเสียงเรียกให้พวกเจ้าสองคนมาระหว่างทาง อาวุโสซวีพวกเจ้ามีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่” หญิงสาวจ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคน แล้วเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า

 

 

“ไม่มีขอรับ วิธีของท่านมหาอาวุโสนั้นปลอดภัยสุดแล้วขอรับ” ครั้งนี้หญิงงามและชายชราล้วนเอ่ยสนับสนุน

 

 

หญิงสาวได้ยินแล้วพลันหยักหน้า

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสามต่างไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หานลี่จะปฏิเสธเลยสักนิด

 

 

นั่นก็ไม่แปลก ในสายตาของท่านมหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้หรือแม้ว่าจะเป็นในสายตาของชายชราและสตรีผู้งดงาม แค่เผ่าประหลาดระดับเทพ

 

 

และครานี้ห่างจากที่หญิงสาวและพวกอยู่ออกไปสองสามร้อยลี้ หานลี่กำลังกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศต่ำๆ

 

 

ดูจากสีหน้าแล้วดูปกติมาก กำลังพิจารณาสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างอย่างสนอกสนใจ แต่ในใจกลับมีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาไม่หยุด กำลังขบคิดถึงสถานการณ์ติดกับของตนเอง

 

 

การเผยฐานะของตนเองออกมาอย่างสับสนในครั้งนี้ สถานการณ์จึงไม่ค่อยสู้ดีนัก

 

 

จากประสบการณ์ที่เฟื่องฟูในอดีตของเขา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าไม่ว่าคำขอของหญิงสาวนั้นจะสำเร็จหรือไม่ จุดจบของเขาก็ไม่มีทางดีแน่

 

 

การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมานั้น ไม่มีทางเป็นไปได้

 

 

ส่วนหนีไปในทันทีนั้น คราที่เพิ่งจะออกจากที่พักของหญิงสาว ก็วนเวียนอยู่ในหัวของเขานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

 

 

แต่หลังจากที่แผ่จิตสัมผัสไปที่ปีกวายุอัสนีที่แผ่นหลังตามความรู้สึกแล้ว หานลี่ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาเท่านั้น

 

 

คาดไม่ถึงว่ามหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้จะทำเครื่องหมายไว้ในปีกของเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หากอยู่ในอาณาเขตตำแหน่งของเขาจะตกอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

 

 

จากพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจกำจัดร่องรอยนี้ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามวันถึงจะทำได้ และระยะเวลานานขนาดนั้นคงถูกท่านมหาอาวุโสพบเข้าตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว

 

 

ดูแล้ววิธีเดียวก็คือมีเพียงต้องชิงเสนอเงื่อนไขที่ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือถึงจะได้

 

 

มิเช่นนั้นหากเขายอมเสี่ยงใช้ลำแสงหลีกหนี ก็ไม่มีทางเป็นบุตรชายอะไรของเผ่าประหลาดนี่ได้จริงๆ

 

 

ส่วนเงื่อนไขอะไรนั้น ก็ต้องดูสถานการณ์ของเผ่าวิหคสวรรค์คร่าวๆ ก่อน ถึงจะค่อยๆ ขบคิดอย่างดีๆ ได้

 

 

โชคดีที่เขาฝึกฝนจนมาถึงทุกวันนี้มีประสบการณ์เสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ตกมาอยู่ในสถานการณ์จำทน ก็ไม่ได้ตกตะลึงนัก

 

 

หานลี่่แค่บินไปเรื่อยๆ ขบคิดอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าไปด้วย

 

 

ดังนั้นเวลาต่อมาหานลี่จึงไปที่เรือนหินสูงใหญ่ที่ดูเหมือนกับหอคัมภีร์

 

 

หลังจากที่เขาอ่านหนังสือตำรากว่าครึ่งไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงได้ออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

 

 

กลับมายังที่พัก หานลี่ปิดประตูเรือนรับแขกโดยไม่ออกมาอีกครั้ง จนถึงเช้าตรู่วันที่สาม เขาถึงได้ออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ ครั้งนี้เป้าหมายก็คือวิหาคการแลกเปลี่ยนที่ิอยากไปตั้งแต่แรก

 

 

ระหว่างทางครั้งนี้ไม่พบความยุ่งยากอะไร

 

 

หลังจากที่หานลี่บินมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงชายแดนของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ยืนอยู่หน้าสิ่งปลูกสร้างประหลาดๆ ที่อยู่ใกล้ภูเขา

 

 

สิ่งปลูกสร้างนี้อยู่ติดกับกำแพงภูเขาที่สูงชันประมาณพันจั้ง และในกำแพงภูเขาก็มีจัตุรัสขนาดยักษ์รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายืนออกมา และมุมหนึ่งของจัตุรัสนั้นก็มีประตูหินรูปทรงโค้งสูงประมาณร้อยจั้งเปิดบนอยู่กำแพงภูเขา

 

 

ทั้งสองฝั่งของประตูยักษ์มีผู้คุ้มกันติดอาวุธสิบกว่าคนยืนเรียงแถวอยู่ ตรงกลางมีวิหคสวรรค์จำนวนมากเข้าๆ ออกๆ ท่าทางคึกคักไม่ธรรมดา

 

 

หานลี่แค่หรี่ตาทั้งสองข้างลงพิจารณาจุดที่ไกลออกไป ปีกที่แผ่นหลังขยับ คนที่มีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มอยู่พลันบินไปข้างหน้า

 

 

ผู้คุ้มกันที่อยู่หน้าประตูคนหนึ่งกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่ แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนกันทำความเคารพหานลี่

 

 

หานลี่พยักหน้าไปทางนั้นเล็กน้อย แล้วเปล่งแสงสว่างวาบบินเข้าไปในประตูยักษ์อย่างเปิดเผย

 

 

เบื้องหน้าเปล่งแสงเจิดจ้า เป็นพื้นที่ว่างที่กว้างใหญ่มาก

 

 

ด้านหลังประตูเหมือนมีอีกโลกหนึ่งปรากฎขึ้น

 

 

มองทางเดียวยาวๆ ที่มองปราดเดียวก็ไม่สุดลูกหูลูกตา ทั้งสองฝั่งล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างวิหารสูงใหญ่เป็นชั้นๆ

 

 

หากพิจารณาอย่างละเอียดสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้แบ่งออกเป็นสิบชั้นเศษ ทุกชั้นมีความสูงสามสิบจั้ง และในทุกๆ ร้อยจั้งของชั้นแต่ละชั้นจะมีประตูวิหารสูงสิบกว่าจั้งปรากฎขึ้น

 

 

คนของวิหคสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนบินไปบินมาระหว่างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ บินขึ้นบินลง ดูแล้วในประตูวิหารคงจะเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนกันของชาววิหคสวรรค์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด