A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1432 เผ่าวิญญาณเหาะเหิน

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1432 เผ่าวิญญาณเหาะเหิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“สหายหานหลอมขนของวิหคมัจฉาเข้าไปเส้นหนึ่งด้วยตัวเอง ประกอบกับที่พวกเราช่วยเขาผสมโลหิตเที่ยงแท้วิหคมัจฉาและพระสารีริกธาตุเข้าไป หากบอกว่าเขาเป็นวิหคสวรรค์อย่างพวกเรา เผ่าอื่นก็ไม่อาจพูดอะไรได้ แต่อย่าให้เรื่องมากเลย เรื่องที่เกี่ยวกับสหายหาน พวกเจ้าสองคนอย่าเอาไปแพร่งพรายจะดีกว่า แค่บอกว่าเขาเป็นคนของเผ่าที่ถูกส่งออกไปฝึกฝนที่ภายนอกก็พอแล้ว” หญิงสาวเอ่ยกำชับ

 

 

“น้อมรับคำสั่ง” ครั้งนี้บุรุษและสตรีผู้นั้นก้มหน้าลงตอบรับพร้อมกัน

 

 

หญิงสาวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วเอ่ยกับหานลี่อย่างเคร่งขรึมว่า

 

 

“สหายหาน ข้าได้อัญเชิญม้วนคำสาบานของวิหคสวรรค์ออกมาจากห้องลับแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นอาวุโสสือก็กลับมาพอดี จึงได้เข้าร่วมการคลายผนึกของม้วนคัมภีร์ และเตรียมสลักชื่อเจ้าขงไปในม้วนคัมภีร์”

 

 

ที่เรียกว่า ‘ท่านอาวุโสสือ’ แน่นอนว่าก็คือบุรุษสวมชุดสีดำที่อยู่ด้านข้างผู้นั้น

 

 

“รบกวนเหล่าสหายแล้ว” หานลี่ไม่ได้เกรงใจ ปากก็เอ่ยตอบรับ สายตาตกไปที่กล่องไม้บนโต๊ะ

 

 

เมื่อเห็นท่าทีของหานลี่ จินเย่ว์ก็ใช้มือหนึ่งกวักไปที่กล่องไม้

 

 

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ของสิ่งนี้ถูกดูดเข้าไป ตกลงตรงใจกลางฝ่ามือของหญิงสาว

 

 

ครานี้ไม่ใช่แค่หานลี่ สายตาของคนที่เหลือก็รวมตัวกันอยู่ที่นั่น

 

 

จินเย่ว์มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นิ้วเรียวสองสามนิ้วลูบไปบนใบไม้สีเขียวมรกตสองสามใบนั้น

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งประกายเจิดจ้า ใบไม้เหล่านั้นถูกนางดึงออกมาอย่างคล่องแคล่ว

 

 

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ไม่มีแรงกดจากใบไม้สองสามใบนั้น กล่องไม้สีแดงสดก็มีไฟลุกโชน กลายเป็นลูกบอลเพลิงสีแดงสดกลุ่มหนึ่ง

 

 

จินเย่ว์ใช้มือหนึ่งถือเพลิงลูกนั้นเอาไว้ สะบัดออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ลำแสงสีเพลิงหม่นแสงลง เผยม้วนคัมภีร์สีแดงสดความยาวครึ่งฉื่อออกมา สองด้านของม้วนคัมภีร์มีหัวผีสีแดงอยู่ทั้งสองฝั่ง ดูสมจริงราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ปากพลันบริกรรมคาถา โยนม้วนคัมภีร์ขึ้นไปเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นพลันลอยนิ่งอยู่กลางอากาศต่ำๆ

 

 

จากนั้นปีกที่แผ่นหลังของหญิงสาวก็สะบัด ขนนกเส้นหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในม้วนคัมภีร์

 

 

“อาวุโสสือ พวกเจ้าก็ลงมือคลายผนึกเถิด” หญิงสาวสำแดงความสามารถจบ ก็หันหน้าไปเอ่ยกับบุรุษชุดดำ

 

 

 “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าเรา พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่” บุรุษชุดดำฉีกยิ้มน้อยๆ ขณะเอ่ย ปีกสีดำที่แผ่นหลังมีลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาเช่นกัน และดูดขนนกสีดำเข้าไปในม้วนคัมภีร์

 

 

ส่วนชายชราแซ่ซวีและหญิงงามนั้นก็ไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยปากพูดอะไร ก็กระทำเช่นเดียวกัน

 

 

ชั่วครู่ในที่สุดม้วนคัมภีร์ที่ดูดขนนกของอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสี่คนเข้าไป ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

 

 

ลำแสงสีแดงเปล่งประกายระยิบระยับ มันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ในเวลาเดียวกันหัวผีทั้งสองฝั่งที่หลับตาสนิทอยู่ก็ลืมตาขึ้น เผยดวงตาสีแดงสดราวกับโลหิตออกมา อ้าปากทั้งสองออก ในที่สุดม้วนคัมภีร์ที่ปิดผนึกอยู่ก็คลี่ออก

 

 

ในคัมภีร์มีลำแสงสีแดงสว่างวาบ และมีสัญลักษณ์ขนาดน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นพลางหมุนวนติ้วๆ ไม่หยุด

 

 

แววตาของหานลี่มีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ เห็นเนื้อหาในคัมภีร์อย่างชัดเจน

 

 

ในลำแสงสีแดงมีตัวอักษรตัวเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด กว่าครึ่งล้วนเป็นชื่อคน

 

 

ตรงยอดของคัมภีร์ ใช้ตัวอักษรของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเขียนคำว่า ‘คำสาบานของวิหคสวรรค์’ เอาไว้

 

 

จากนั้นก็มีตัวอักษรสีเงินอ่อนที่เป็นเนื้อหาของคำสาบานเรียงรายอยู่ เนื้อหาเหมือนกับในคัมภีร์เผ่าวิหคสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

 

 

ต่ำลงมาถึงจะเป็นชื่อของคนสีดำเขียวเป็นแถวๆ

 

 

หานลี่กวาดจิตสัมผัสเข้าไปในม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง

 

 

ผลคือเมื่อสัมผัสกับลำแสงสีแดง ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเพรียกอันไพเราะดังออกมาจากในม้วนคัมภีร์ ทันใดนั้นลำแสงก็หมุนติ้วๆ เงาวิหคสีเขียวตัวหนึ่งบินออกมาจากในคัมภีร์ เมื่อบินออกมาก็มีขนาดแค่สองสามฉื่อ แต่ทันใดนั้นก็เเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา กลายร่างเป็นมีนาดเท่าภูเขา กินพื้นที่กว่าครึ่งของวิหาร ปกคลุมหานลี่และพวกเอาไว้

 

 

หานลี่และพวกของไป๋ปี้พลันตกตะลึง จินเย่ว์และเหล่าอาวุโสมีสีหน้าราบเรียบ เหมือนว่าจะไม่ได้พบปรากฎการณ์ที่น่าตกตะลึงนี้เป็นครั้งแรก

 

 

“ถอย”

 

 

จินเย่ว์ชูมือหนึ่งขึ้น ในมือมีกระจกสำริดสีเขียวปรากฎขึ้น โบกไปทางเงาวิหคตัวนั้น

 

 

ชั่วขณะนั้นเงาลวงตาเงานั้นพลันเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ร่างกายปริแตกออกเป็นชิ้นๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งจมหายเข้าไปในม้วนคัมภีร์

 

 

“เจ้าใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเอง เซ็นชื่อไปในนั้นเถิด ต้องใช้ชื่อจริงของตนเองนะ มิเช่นนั้นหากถูกคำสาบานแว้งกัดล่ะก็ ผู้ใดก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้” จินเย่ว์เก็บกระจกสำริด พลางเอ่ยกับหานลี่อย่างมีเลศนัย

 

 

หานลี่พลันใจหายวาบ ในที่สุดเดิมทีที่มีความคิดอื่นพลันโยนทิ้งไปชั่วคราว

 

 

เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไป

 

 

พ่นเส้นไหมสีทองสายหนึ่งออกมาจากปาก ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบตวัดไปที่นิ้วชี้จนเกิดเป็นบาดแผลเล็กๆ บีบพลังวิญญาณทั้งหมดในร่าง บีบโลหิตบริสุทธิ์สีทองหยดหนึ่งออกมาจากบาดแผล

 

 

“เอ๋” อาวุโสแซ่สือที่นั่งอยู่ผู้นั้น พลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

 

 

“อันใด อาวุโสสือพบจุดที่ผิดปกติหรือ?” ชายชราแซ่ซวีใช้นิ้วลูบเคราขณะเอ่ยถาม

 

 

“ไม่มีอะไร สหายหานน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่พิเศษอะไร หรืออาจจะเคยกินผลวิเศษเข้าไปสินะ มิเช่นนั้นโลหิตบริสุทธิ์จะมีสีนี้ได้อย่างไร” บุรุษสวมชุดสีดำลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าออกมา

 

 

“นั่นมันก็ใช่ โลหิตบริสุทธิ์สีทองนั้นหายากจริงๆ แต่กว่าครึ่งล้วนต้องมีกายเนื้อในระดับที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงวิเศษนี้ได้” ชายชรากวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างมีความคิด

 

 

บุรุษสวมชุดสีดำฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

 

 

ครานี้หานลี่มาอยู่ตรงหน้าของม้วนคัมภีร์ ใช้นิ้วเขียนชื่อตัวเองลงใบบนคัมภีร์ตรงจุดที่ว่างอยู่อย่างรวดเร็ว

 

 

โลหิตบริสุทธิ์สีทองอ่อนเปื้อนลงไปในคัมภีร์ ตัวอักษรจมหายไปทีละตัวๆ ทันที หลังจากที่เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง ก็กลายเป็นตัวอักษรสีดำเขียวปรากฎขึ้นอีกครั้ง เ**่ยวเฉาไร้แสง ราวกับว่าเขียนมาหลายปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันสัมผัสได้ว่าปราณแท้เหมือนจะมีอะไรจับตาดูอยู่ แต่ทันใดนั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

หานลี่รู้สึกตกตะลึง ดูแล้วคำสาบานของวิหคสวรรค์คงจะมีอะไรแฝงอยู่ดังคาด

 

 

แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น เขากลับรู้สึกวางใจมากกว่าเดิม

 

 

มีของสิ่งนี้เป็นเครื่องผูกมัด คิดดูแล้วเหล่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ คงไม่ข้ามฝั่งแล้วรื้อสะพาน[1]ง่ายๆ แน่

 

 

ไม่เอ่ยถึงหานลี่ที่พึมพำอยู่ในใจไม่หยุด จินเย่ว์สตรีผู้นั้นรอจนเขาเขียนชื่อเสร็จแล้ว ก็ชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์ทันที

 

 

ของสิ่งนี้สั่่นเทาน้อยๆ ม้วนกลับคืนคืนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นม้วนคัมภีร์อีกครั้ง หัวผีทั้งสองขยับ กัดลงไปที่ทั้งสองด้านอีกครั้ง

 

 

มือหนึ่งกวักมือเรียก หลังจากที่คัมภีร์หดเล็กลง ก็บินไปอยู่ในแขนเสื้อของหญิงสาว

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนี้ก็ให้อาวุโสซวีเอ่ยถึงเรื่องการทดสอบหุบเหวและสถานที่ที่ต้องระวังในนั้นก็แล้วกัน พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี หไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยคไหน ที่ช่วยชีวิตเจ้าได้ในการทดสอบ” หลังจากที่หญิงสาวเก็บคัมภีร์แล้ว ก็เอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“การทดสอบหุบเหว คือการทดสอบที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งเจ็ดสิบสองสาขาจะต้องจัดขึ้นทุกๆ สามร้อยปี…” ชายชราแซ่สือที่อยู่ด้านข้างเริ่มเอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

หานลี่และพวกทั้งสามคนพลันตั้งใจฟัง…

 

 

สองสามวันต่อมา วิหคยักษ์ตัวสีขาวราวกับหิมะสองสามตัวบินออกไปจากประตูเมืองศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็บินออกจากเขตอาคม ตรงไปยังที่ใดสักแห่ง

 

 

บนร่างของวิหคยักษ์หนึ่งในนั้นมีหานลี่นั่งอยู่

 

 

วิหคสีขาวเหล่านี้แค่กระพือปีกก็บินห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็บินมาถึงปลายขอบฟ้า กลายเป็นจุดสีดำสองสามจุด หลังจากกระพริบวาบอีกครั้ง ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

สามเดือนต่อมา บนยอดเขายักษ์แห่งหนึ่ง

 

 

กลางจัตุรัสยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างสีเขียวมรกต ชาวเผ่าวิหควิญญาณเหาะเหินติดปีกร้อยกว่าคนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงกลางมีวิหคยักษ์ที่เหมือนกับนกกระสาตัวหนึ่งและวิหคประหลาดที่มีลวดลายหลากสีตัวหนึ่ง กำลังสำแดงความสามารถต่างๆ ต่อสู้กันอยู่

 

 

นกกระสาตัวนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหาที่เปรียบ ตะปบและจิก เปล่งเสียง “แกรกๆ” แหวกอากาศมาไม่หยุด แค่มองก็รู้แล้วว่าแหลมคมมาก

 

 

ส่วนวิหคประหลาดที่มีสีสันแพรวพราวนั้นมีเขางอกออกมาบนศีรษะเขาหนึ่งและปีกสี่ปีก รอบกายถูกลำแสงกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ การโจมต่างๆ ของนกกระสาถูกต้านทานเอาไว้ได้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

นกกระสาเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกโกรธา ฉับพลันนั้นพลันบินไปทางด้านหลังยี่สิบสามสิบจั้ง จากนั้นสองปีกก็สะบัดไปทางวิหคประหลาดอย่างแม่นยำ

 

 

ชั่วขณะนั้นขนนกยาวยี่สิบสามสิบเส้นพุ่งออกมา จากนั้นก็พลิ้วไหวกลางอากาศ ชั่วครู่ก็กลายเป็นใบมีดแหลมคมยี่สิบสามสิบเล่ม เปล่งแสงสว่างวาบแล้วปักไปที่ลำแสงที่อยู่ตรงข้าม

 

 

แม้ว่าลำแสงที่งดงามจะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่ถูกใบมีดแหลมคมจำนวนมากโจมตีเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้ ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมาพลางสั่นเทา ท่าทางเหมือนจะถูกบีบให้แยกออกจากกัน

 

 

แต่นกกระสาเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีใจ หมายจะสแดงความมีดแหลมเหล่านั้นอีกครั้ง วิหคประหลาดที่อยู่ตรงข้ามกลับเปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา อ้าปากออก พายุสีเหลืองทะลักออกมา ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปพัดใบมีดแหลมคมเหล่านั้นจนกระจัดกระจาย หมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่หยุด สูญเสียการควบคุม

 

 

นกกระสาพลันตะลึงงัน และอ้าปากออกในเวลาเดียวกัน พ่นเสาลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งออกมา ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านพายุไปอยู่เบื้องหน้าวิหคประหลาด

 

 

วิหคประหลาดแววตาสีม่วงเปล่งประกาย เขาสีดำบนหัวเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา ปะทะเข้ากับเสาลำแสงอย่างพอดิบพอดี

 

 

หลังจากเสียงตูมๆ ดังขึ้น ทั้งสองก็กลับคืนสู่บ้านเก่า

 

 

“พี่สวิน เจ้ามีความสามารถอะไร ก็สำแดงออกมาเถิด หากไม่มีแล้วล่ะก็ ข้าน้อยจะลงมือแล้ว” เสียงบุรุษดังออกมาจากปากของวิหคประหลาด

 

 

“หึ เผ่านออีแร้งอย่างพวกเจ้านั้นมีความสามารถแค่สองสามชนิดเท่านั้น จะจัดการข้าได้อย่างไร” เสียงเย็นชาดังออกมาจากปากของนกกระสาเช่นกัน

 

 

“เยี่ยม เช่นนั้นต้องให้นายท่านลิ้มรสความสามารถที่ข้าเพิ่งฝึกฝนสำเร็จสักหน่อยแล้ว” นกประหลาดเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ

 

 

ทันใดนั้นปีกทั้งสี่ก็สะบัดออกพร้อมกัน คนที่อยู่ในลำแสงลวงตาพลันกลายเป็นสีเหลือง สูงสองสามจั้ง ท่าทางเก่าแก่และเรียบง่าย

 

 

“แย่แล้ว!” เมื่อเห็นฉากนี้คนจำนวนไม่น้อยพลันถอยกรูดไปด้วยความตกตะลึงในทันที มีเพียงชนชั้นสูงที่มั่นใจในพลังยุทธ์ของตนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

 

 

ระฆังสีเหลืองพลิ้วไหวโดยอัตโนมัติ ระเบิดเสียงระฆังออกมา

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้ ทั้งหัวก็เกิดเสียงเหง่งหง่าง ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

 

 

นกกระสาที่รับอานุภาพกว่าครึ่งเอาไว้ ร่วงลงมาจากกลางอากาศอย่างไม่อาจต้านทานได้

 

 

ในเวลาเดียวกันบนเรือนร่างพลันเปล่งแสงสีขาวออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นบุรุษเผ่าวิญญาณเหาะเหินอายุสามสิบปีเศษ สวมชุดสีขาว

 

 

ในฝูงชนที่่ใกล้ๆ มีเผ่าวิญญาณเหาะเหินอีกคนหนึ่งบินออก รับบุรุษผู้นั้นเอาไว้ จากนั้นก็บินลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล

 

 

ระฆังสีเหลืองพลิ้วไหว กลายเป็นชายหนุ่มชุดสีดำอีกคนหนึ่ง คารวะไปทางด้านล่าง ปากก็เอ่ยคำว่า “ขอบคุณที่ออมมือ” อย่างราบเรียบออกมา

 

 

บุรุษที่กลายเป็นนกกระสาผู้นั้นเพิ่งจะได้สติฟื้นคืนมา ก็ออกห่างจากสหาย มองไปทางชายหนุ่มสวมชุดดำที่อยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าดูไม่ได้

 

 

 

 

——

 

 

[1] ข้ามฝั่งแล้วรื้อสะพาน หมายถึง ไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ผู้อื่น ใช้สำหรับคนแล้งน้ำใจ ขาดคุณธรรม ไม่มีศีลสัจทรยศหักหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด