A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1456 โลหิตอัสนีดาวเหนือกับเพลิงวิญญาณอีกาทอง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1456 โลหิตอัสนีดาวเหนือกับเพลิงวิญญาณอีกาทอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชั้นสองของเหวพสุธา บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสี่คน บนหลังมีปีกสีขาวอ่อน เส้นผมสยาย กำลังเดินทางพร้อมต่อสู้กับฝูงแมงป่องพิษสีดำร่างยาวหลายฉื่อ

 

 

แม้ว่าแมงป่องเหล่านี้จะไม่มีปีก ทว่าแต่ละตัวยังสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ด้วยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วผิดปกติ บวกกับความไร้เทียมทานของกรดเหลวที่พ่นออกจากปากและพิษประหลาดที่หางตะขอของพวกมัน ทำให้ชั่วขณะหนึ่ง ชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ยังหาทางหลุดพ้นจากการพัวพันของแมงป่องดำเหล่านี้ในทันทีไม่ได้จริงๆ

 

 

กว่าครึ่งชั่วยามต่อมา หลังจากที่ชาววิญญาณเหาะเหินคนหนึ่งตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว สำแดงอิทธิฤทธิ์อันร้ายกาจสุดๆ ชนิดหนึ่งอย่างไม่เสียดายพลังยุทธ์ ปล่อยลูกไฟสีครามแวววาวออกมาทีละลูกใส่แมงป่องดำสามสี่ตัวที่ล้อมพวกเขาจนกลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมด ในที่สุดแมงป่องดำที่เหลืออยู่ก็หนีไปอย่างไม่ยินยอม

 

 

ชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่จึงค่อยถอนหายใจยาวออกมาและรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

แต่ไม่ทันรอให้พวกเขาได้เอ่ยปากพูดคุยกัน ทันใดนั้น ไกลออกไปบนท้องฟ้า มีแสงวิญญาณเปล่งประกายวูบหนึ่ง หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งพลันม้วนเป็นเกลียวพุ่งมาจากขอบฟ้า

 

 

หมอกโลหิตนี้ไร้สุ้มเสียง เคลื่อนตัวรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ราวกับภูตพราย หลังจากพลิ้วไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏที่บริเวณใกล้เคียงของพวกชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่คนและวนรอบพวกเขาอยู่หลายรอบ

 

 

ด้วยความตื่นตกใจ บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสี่ย่อมต้องตั้งท่าเตรียมพร้อมในทันที

 

 

ภายในหมอกโลหิตมีเสียงคนแค่นเสียงคราหนึ่ง ปรากฏภาพลางๆ ของดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง หลังจากที่กวาดมองมาที่ร่างของชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่ด้วยสายตาโหดเ**้ยม ก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่ชวนให้ชาววิญญาณเหาะเหินรู้สึกหวาดกลัวเป็นการใหญ่

 

 

“แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าพวกนั้น! แต่ในเมื่อถูกข้าพบแล้ว เช่นนั้นก็ยอมรับความซวยเสียเถิด”

 

 

เพิ่งกล่าวคำนี้จบ ภายในหมอกโลหิตก็แผดเสียงฟ้าร้องดัง ทันใดนั้น ท้องฟ้าในบริเวณใกล้เคียงก็กลายเป็นสีแดงโลหิตทั้งผืน เมฆโลหิตพลันปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด เคลื่อนตัวไม่หยุดนิ่ง

 

 

“แย่แล้ว นั่นมันโลหิตอัสนีดาวเหนือ หนีเร็ว!” หนึ่งในชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่เห็นฉากนี้ สีหน้าพลันซีดเผือดอย่างถึงที่สุด ปากพลางส่งเสียงร้องดังลั่น ทั้งร่างกลายเป็นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่ง หนีไปยังทิศทางหนึ่งอย่างลุกลี้ลุกลน

 

 

บุตรศักดิ์สิทธิ์สามคนที่เหลือได้ยินคำว่า “โลหิตอัสนีดาวเหนือ” ก็พากันตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง พลันเปล่งแสงวิญญาณ พากันหันหลังกลับแล้วขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีเช่นเดียวกัน

 

 

ทว่าในชั่วพริบตา กลางอากาศเกิดเสียงอัสนีบาตขึ้น สายฟ้าฟาดสีแดงโลหิตสี่เส้นปรากฏออกมาจากก้อนเมฆ ก่อนที่จะบิดงอแล้วหายไปอย่างไร้สาเหตุ ในเวลาต่อมา โลหิตอัสนีทั้งสี่เส้นก็มาปรากฏเหนือลำแสงหลีกหนีทั้งสี่ที่กำลังหนีอยู่ ผ่าลงมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

เสียงร้องอันน่าเวทนาดังออกมาสี่เสียง ลำแสงหลีกหนีทั้งสี่สายพลันแตกสลายในชั่วพริบตาที่โลหิตอัสนีต้องตัว

 

 

ร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสี่ดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางแสงอัสนีอยู่สองสามหน แล้วกลายเป็นเถ้าธุลีในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแสงวิญญาณคุ้มกันหรือสมบัติคุ้มกายล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

 

 

เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาจากภายในหมอกโลหิต ก่อนที่จะเปล่งแสงโลหิตเจิดจ้าแล้วพวยพุ่งจากไปในอากาศอันไกลโพ้นราวกับดาวตกสีโลหิต เพียงชั่วครู่เดียวก็ไม่เห็นร่องรอยแล้ว

 

 

 

 

ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าไกลออกไปกี่หมื่นลี้ หานลี่ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง มองดูชาววิญญาณเหาะเหินเจ็ดคนที่จู่ๆ ก็เข้ามาห้อมล้อมพวกเขาตรงหน้าด้วยความมุ่งร้าย พลางเอ่ยถามอย่างราบเรียบ “สหายทั้งหลายไม่ได้ตามหาผลเพลิงอเวจี แล้วขวางพวกเราไม่กี่คนไว้ทำไม!”

 

 

“ดูเหมือนเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราจะไม่มีความแค้นอะไรกับเผ่าของเจ้ากระมัง” ไป๋ปี้ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แต่ท่าทีกลับดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“หึๆ ที่จริงแล้วเผ่าวิหคสวรรค์ก็ไม่ได้มีข้อทะเลาะเบาะแว้งใดๆ กับเผ่าวิญญาณทมิฬของพวกเราหรอก แต่ก่อนที่พวกสาขาที่แข็งแกร่งไม่กี่คนของพวกเผ่าแดงสดจะออกได้ทาง ได้แอบติดประกาศรางวัลให้บุตรสวรรค์สาขาอื่นๆ ของพวกเราไว้ว่า เพียงแค่สามารถทำให้พวกเจ้าไม่กี่คนอยู่ในเหวพิภพนี้ไปตลอดกาล พวกเราก็จะได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย หากไม่พบเจอพวกเราก็แล้วไป พวกเราก็ไม่ตั้งใจไปหาพวกเจ้าหรอก แต่ในเมื่อเจอกันแล้ว เรื่องที่ถือโอกาสทำตามความสะดวกเช่นนี้ พวกเราเผ่าวิญญาณทมิฬไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน” ชาววิญญาณทมิฬคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นปีกหรือผิวหนังก็ล้วนเป็นสีดำสนิท กำลังยืนกอดอกพูดกับหานลี่ด้วยท่าทางยโสโอหัง

 

 

ชาววิญญาณทมิฬคนอื่นๆ ที่ล้อมพวกหานลี่ทั้งสี่คนอยู่ ต่างก็ยืนยันรูปร่างลักษณะของพวกเขาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์

 

 

เรื่องนี้ก็ไม่แปลก แม้ว้าเผ่าวิญญาณทมิฬจะไม่ได้เป็นสาขาอันดับต้นๆ ในเจ็ดสิบสองสาขา แต่ก็จัดว่าอยู่ในอันดับที่สูง เหนือกว่าเผ่าวิหคสวรรค์ซึ่งเป็นสาขาอ่อนแอที่แทบจะอยู่รั้งท้ายอย่างลิบลับ

 

 

“ประกาศให้รางวัล?” หานลี่ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ค่อนข้างนอกเหนือจากความคาดหมายของเขา

 

 

“ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้ามาถึงใต้พิภพจะมาทำเป็นเลอะเลือนไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็ไปตายอย่างสงบได้แล้ว” ชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าไม่ยอมพูดอะไรมาก ใบหน้าพลันปรากฏจิตสังหาร พลางโบกมือข้างหนึ่ง

 

 

ชาววิญญาณทมิฬที่อยู่ทิศทางอื่นอ้าปากพร้อมกันโดยไม่พูดจา พลันพ่นขนนกสีดำออกมาคนละหนึ่งก้าน

 

 

เริ่มแรกยังมีขนาดแค่ประมาณชุ่นกว่า แต่เมื่อถูสองมือด้วยกัน ชั่วพริบตาก็มีขนาดฉื่อกว่าขึ้นมา พื้นผิวเปล่งแสงสีดำสลัวๆ มีอักขระพลิกตัวไปมา ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป

 

 

ชาววิญญาณทมิฬหกคนสำแดงอิทธิฤทธิ์ของขนนกในมือใส่พวกหานลี่พร้อมกัน เปลวเพลิงสีดำแต่ละผืนพลันพวยพุ่งออกจากขนนกอย่างน่าประหลาด ก่อนที่จะโบกพัดแล้วฟุ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ

 

 

ตูม!” เพลิงสีดำก่อตัวเป็นม่านเพลิงมหึมาผืนหนึ่ง ปิดล้อมทั้งสี่คนไว้ภายใน

 

 

ชาววิญญาณทมิฬพวกนี้ลงมืออย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย คิดจะสังหารเผ่าวิหคสวรรค์ในคราเดียว สำหรับฉินเสี่ยวที่เป็นเผ่าราตรีเขียว แม้ว่าจะไม่ใช่คนของเผ่าวิหคสวรรค์ แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะละเว้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เหลยหลันเห็นเพลิงนี้ หน้าก็เปลี่ยนสียกใหญ่ บนร่างพลันเกิดประจุไฟฟ้าสีเงินขึ้น ทันใดนั้นก็ก่อตัวเป็นม่านป้องกันหนึ่งชั้น คุ้มกันร่างของตัวเองไว้ ตามด้วยน้ำเต้าสีทองที่ต้นคอสั่นระริก พลันปล่อยเส้นไหมสายฟ้าเรียวเล็กสีเขียวออกมา ประจุไฟฟ้าก็กลายเป็นสีม่วงในชั่วพริบตา อานุภาพน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง

 

 

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาวผู้นี้จึงค่อยถ่ายทอดเสียงกับหานลี่ด้วยความรีบร้อน “พี่หาน นี่ก็คือเพลิงวิญญาณอีกาดำของเผ่าวิญญาณทมิฬ สามารถดูดซับพลังยุทธ์ของพวกเราได้ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง อย่าให้พวกมันแตะถูกตัวเป็นอันขาด”

 

 

ไป๋ปี้กับฉินเสี่ยวต่างก็เผยสีหน้าหวาดผวาออกมา รีบกระวีกระวาดร่ายคาถาด้วยความมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก

 

 

คนหนึ่งปล่อยลำแสงสีทองหมื่นสาย คนหนึ่งเรียกป้ายหยกสีเขียวแก่ออกมา ปล่อยแสงสีเขียวออกมาเป็นเส้นๆ พยายามต้านทานการจู่โจมของเพลิงสีดำอย่างสุดชีวิต

 

 

“เพลิงวิญญาณอีกาทอง! น่าสนุกดีนี่!” หานลี่ยิ้ม แต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ บนร่างปรากฏเพลิงแสงห้าสีออกมาผืนหนึ่ง แม้ว่าเพลิงสีดำเหล่านั้นจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่เมื่อสัมผัสถูกเพลิงแสงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะส่งเสียงฟ้าร้องทุ้มต่ำสะเทือนเลือนลั่น ภายใต้สองสิ่งที่สัมผัสถูกกัน พลันเกิดอาการตอบสนองอย่างรุนแรงผิดปกติ ราวกับน้ำแข็งที่ร่วงลงไปในน้ำมันเดือด

 

 

เมื่อเห็นฉากนี้ ชาววิญญาณทมิฬพวกนั้นก็ตกตะลึง

 

 

ทว่าชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้านั้น รูม่านตาหดเล็กลง พลันร้องเสียงดังอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เพิ่มอานุภาพเพลิงวิญญาณ! พวกเรามีคนมากมายเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าหนูนี่จะมีอิทธิฤทธิ์บางอย่างที่สามารถต้านทานเพลิงวิญญาณไว้ได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่อาจต้านไว้ได้นานหรอก!”

 

 

ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากสำหรับชาววิญญาณทมิฬ คนที่เหลือต่างก็ขานรับ พลันโบกไหวขนนกในมือเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งด้านหลังของแต่ละคนยังปรากฏเงาลวงตาวิหคยักษ์สีดำออกมาหนึ่งตัว ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเลือนรางผิดปกติ มีหนึ่งถึงสองตัวที่ชัดเจนบ้างเป็นบางครั้ง เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไม่อาจคงความเสถียรไว้ได้อย่างเห็นได้ชัด

 

 

แต่หลังจากที่ภาพอาคมวิญญาณเหล่านี้ปรากฏรูปร่าง อานุภาพของขนนกสีดำเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้นมากอย่างฉับพลัน เพลิงที่พ่นออกมาแทบจะกลายเป็นสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึก แม้กระทั่งจุดที่ถูกเพลิงสีดำหอบไว้ รวมทั้งอากาศบริเวณใกล้เคียงก็ยังส่งเสียงเพรียกแผ่วเบา เกิดการบิดงอของรูปร่างอยู่ลางๆ

 

 

นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอานุภาพของเปลวเพลิงมาถึงจุดสุดยอดที่แน่นอนแล้ว

 

 

อานุภาพเช่นนี้ การป้องกันของพวกเหลยหลันกับฉินเสี่ยวในตอนแรกก็เริ่มส่อแววต้านไม่อยู่แล้ว ด้วยความหวาดผวาอย่างหนัก ทั้งสามคนจึงรีบเรียกสมบัติชิ้นอื่นๆ ออกมาอีก แต่ก็ไม่อาจประคองไว้ได้นานนัก

 

 

แต่เพลิงแสงห้าสีบนร่างของหานลี่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่อานุภาพของเพลิงสีดำเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพลิงแสงห้าสีก็ขยายตัวขึ้นหลายฉื่อเช่นเดียวกัน ยังคงต้านทานเพลิงสีดำอยู่ที่ไกลๆ อย่างมั่นคง

 

 

คราวนี้ ชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ยังไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก หานลี่ก็ชำเลืองมองพวกเหลยหลันที่พยายามต้านเพลิงสีดำอย่างสุดชีวิตอยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง พลันอ้าปาก พ่นเพลิงสีเงินออกมา หลังจากส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง

 

 

เมื่อวิหคเพลิงปรากฏกายออกมา ก็จ้องมองไปที่เพลิงสีดำที่อยู่ภายนอกเพลิงแสง มันอ้าปากส่งเสียงเพรียกด้วยความเบิกบานใจ ครั้นสยายปีกคราหนึ่ง รูปร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กลายเป็นวิหคยักษ์สีเงินขนาดประมาณจั้งกว่า

 

 

ไม่รอให้หานลี่ได้ร่ายคาถากระตุ้น วิหคเพลิงสีเงินก็พุ่งกระโจนเข้าไปในเพลิงสีดำที่อยู่ด้านนอก แสงเพลิงสีดำและสีเงินผสมปนเปเข้าด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าจะไร้ซึ่งเสียงใดๆ ทว่าร่างของวิหคเพลิงที่ราวกับกลายเป็นแม่เหล็ก ได้ดูดเพลิงสีดำหายเข้าไปข้างในทั้งหมด

 

 

เดิมทีเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณก็หลอมรวมมาจากเพลิงแท้กลายพันธุ์ที่มีอานุภาพรุนแรงหลายชนิด อีกทั้งตัวมันเองก็มีคุณสมบัติของธาตุวิญญาณ เชี่ยวชาญด้านกลืนกินเพลิงวิญญาณชนิดต่างๆ เป็นที่สุด

 

 

สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเพลิงวิญญาณอีกาทองนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เพลิงเทวะอีกาทองที่สามารถหลอมละลายมิติ เผาราบเป็นวงกว้าง ซึ่งกระตุ้นด้วยวิญญาณแท้อีกาทองจริงๆ แต่ในนั้นได้อาศัยการสนับสนุนจากขนของอีกาทอง ทั้งยังมีอานุภาพของเพลิงเทวะอีกาทองแฝงอยู่ในนั้นเสี้ยวหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่เพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณโปรดปรานที่สุด

 

 

ดังนั้น พอหานลี่ปล่อยวิหคเพลิงกลืนวิญญาณเข้าไปในเพลิงสีดำแล้ว มันก็เริ่มสวาปามอย่างไม่เกรงใจในทันที เพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วอึดใจ เพลิงสีดำที่ลุกมอดไหม้อย่างเกรียงไกรก็ถูกวิหคเพลิงบินวนรอบ กลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่เสี้ยวเดียว

 

 

ทันใดนั้น ชาววิญญาณทมิฬทั้งกลุ่มก็พากันเบิกตาอ้าปากค้างขึ้นมา!

 

 

พวกเหลยหลันกับไป๋ปี้ย่อมดีอกดีใจยกใหญ่อยู่แล้ว!

 

 

“เจ้าเป็นใคร เผ่าวิหคสวรรค์ไม่มีทางมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้แน่” ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าจึงร้องถามออกมาด้วยความรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

 

 

“ดูเหมือนข้าจะไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้าแล้ว” หานลี่กล่าวเบาๆ พลันกางปีกสองข้างบนหลังออก ทันใดนั้นก็กลายเป็นประกายอัสนีสีเขียวขาวแล้วหายไปจากที่เดิม

 

 

เห็นได้ชัดว่าชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้อย่างชกโชนเช่นกัน เมื่อเห็นภาพนี้กับตา มือข้างหนึ่งพลันสั่นแขนเสื้อ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ตั้งท่าร่ายคาถาในเวลาเดียวกันอย่างฉับพลันทันที

 

 

ทันใดนั้น ตาขายเส้นไหมสีดำผืนหนึ่งก็พวยพุ่งออกจากแขนเสื้อ ทว่าเป้าหมายนั้นไม่ใช่หานลี่ แต่ย้อนกลับมาหาตนเอง ชั่วพริบตาก็ก่อรูปร่างเป็นทรายสีดำหนึ่งชั้น ปกคลุมร่างของตนไว้เบื้องล่างอย่างหนาแน่น

 

 

พอโบกมืออีกข้างหนึ่ง กลับมีบอลสายฟ้าสีดำขลับสามลูก ขนาดเท่าปากถ้วยพวยพุ่งออกมา หมุนโคจรรอบกายของตนอย่างไม่หยุดนิ่ง

 

 

หลังสิ้นเสียงฟ้าร้องครั่นครืน หานลี่แทบจะปรากฏกายแนบชิดติดกับทรายสีดำ

 

 

ตูม!” เกิดเสียงระเบิดดังสะนั่นสามครา บอลสายฟ้าสามลูกพวยพุ่งอย่างฉับไว จู่โจมเข้าใส่ร่างของหานลี่อย่างแม่นยำไม่มีพลาดเป้า ทว่าบนร่างหานลี่ไม่รู้ว่ามีชุดเกราะศึกสีดำปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

แม้ว่าบอลสายฟ้าสามลูกนี้จะมีอานุภาพไม่น้อย แต่ก็พอที่จะตีเกราะสังหารแตกได้เสี้ยวเดียวเท่านั้น ไม่อาจทำให้หานลี่บาดเจ็บได้แม้แต่ปลายผม

 

 

กลับเป็นหานลี่ที่ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ บนร่างเปล่งแสงสีทองวูบหนึ่ง ปรากฏเป็นเกราะเกล็ดสีทองออกมาหนึ่งชั้น ห่อหุ้มแขนข้างหนึ่งอย่างเลือนราง พลันยื่นออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ห้านิ้วก็จ้วงแทงไปยังจุดสำคัญที่ด้านหลังของชาววิญญาณทมิฬราวกับตะขอ

 

 

แคว่ก!” ทรายสีดำที่ดูไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าภายใต้ประกายแสงสีทองจากนิ้วทั้งห้า จะถูกฉีกขาดราวกับกระดาษ

 

 

ชายหนุ่มของเผ่าวิญญาณทมิฬรู้สึกเย็นสันหลังวาบ แขนสีทองข้างหนึ่งทะลวงออกมาจากหน้าอก ที่น่าแปลกคือ ตลอดทั้งแขนกลับไม่เปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด