A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1471 เคล็ดวิชาเรียกอัสนี

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1471 เคล็ดวิชาเรียกอัสนี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลายวันต่อมา ประตูใหญ่ของห้องสงบพลันเปิดออก หานลี่ที่เก็บตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลาหกวันก็เดินออกมา

 

 

แม้ว่าใบหน้าจะปรากฏสีหน้าอ่อนล้า แต่รอยยิ้มเล็กๆ ในดวงตากลับไม่อาจปิดบังได้

 

 

ดูเหมือนการหลอมยันต์ในหลายวันนี้จะประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก

 

 

วันนี้ไม่ใช่วันที่มู่ชิงถ่ายทอดหลักแห่งการควบคุมอัสนี หานลี่เดินออกมาเพียงแค่อยากจะผ่อนคลายประสาทที่ตรึงเครียดอยู่ตลอดเท่านั้น

 

 

ถึงอย่างไรการผ่อนคลายก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง

 

 

พื้นที่ของถ้ำแก่นพฤกษาไม่ได้เล็กไปกว่าพระราชวังเพลิงโลหิตสักเท่าไหร่ หานลี่เดินช้าๆ ไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหน้าห้องสงบ แล้วเดินเตร่ไปยังทุกหนทุกแห่งภายในถ้ำ

 

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา หานลี่มาปรากฏตัวที่ประตูข้างบานหนึ่ง มองดูลำแสงสีเขียวมรกตที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนประตูไม่หยุด ก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา

 

 

สถานที่ส่วนใหญ่ของถ้ำแก่นพฤกษานั้นเขาเคยเดินมาแล้วหลายรอบ

 

 

ทว่ามีสถานที่ที่วางอาคมไว้หลายจุด กลับไม่สามารถมองเห็นต้นสายปลายเหตุได้เลย

 

 

โดยเฉพาะสองแห่งที่มีการวางอาคมต้องห้ามอย่างหนาแน่น ทำให้หานลี่มองแล้วเกิดความหวาดกลัวและรู้สึกสงสัยยิ่งนัก

 

 

ลานด้านข้างแห่งหนึ่งที่เรียกว่า “สวนเพลงมรกต” ก็คือหนึ่งในนั้น

 

 

ทว่าทะลุอาคมต้องห้ามที่หนาแน่นนี้เข้าไปนั้นเผยให้เห็นปราณวิญญาณพฤกษาบริสุทธิ์เสี้ยวเล็กๆ ทำให้เขาเดาได้แปดเก้าส่วนว่าที่นี่คือสวนสมุนไพรแห่งหนึ่ง

 

 

ยาวิญญาณที่แม้แต่มู่ชิงซึ่งเป็นถึงราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์ยังให้ความสำคัญ หรือว่าจะเป็นบุปผาวิญญาณหรือผลวิญญาณชนิดใดกัน?

 

 

ขณะที่หานลี่ครุ่นคิดอยู่ก็เกิดรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

 

 

ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดที่เหมือนเป็นการเตือนอย่างไม่หนักหนาอะไรของมู่ชิง หานลี่ก็หัวเราะขื่นๆ ในใจครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้

 

 

อาคมต้องห้ามของที่นี่หนาแน่นเช่นนี้ มู่ชิงจะไม่ใส่ใจที่นี่เป็นพิเศษได้อย่างไร

 

 

อย่ามองว่าตอนนี้รอบๆ ว่างเปล่าไร้ผู้คนเลย ตนอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่ว่าจะถูกจับตามองอยู่หรือไม่ จะสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร

 

 

หานลี่แอบส่ายหน้า พลันเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปยังทิศทางอื่น

 

 

เขาไม่ได้เดินเตร่ไปทางอื่นนานนัก หนึ่งชั่วยามต่อมาก็กลับมายังห้องสงบของตัวเองด้วยสีหน้าผ่อนคลายแล้ว

 

 

 

 

ภายในค่อนปีต่อมา หานลี่ยังคงใช้ชีวิตอย่างจืดชืดวันแล้ววันเล่า

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในด้านหลักแห่งอัสนีนั้น เขามีพรสวรรค์เหนือผู้คนหรือเป็นเพราะเคล็ดวิชาควบคุมอัสนีที่คาดไม่ถึงว่าคนอย่างมู่ชิงจะถ่ายทอดด้วยความลำบากเช่นนั้น

 

 

ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว เหลือเพียงปัญหาเรื่องความคล่องแคล่วที่เพิ่มเข้ามา

 

 

มู่ชิงเห็นดังนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ระยะเวลาสองปีใกล้จะถึงเวลาแล้ว จึงเชิญพวกลิ่วจู๋และหญิงงามมารวมตัวที่วิหารเซียนพฤกษาอีกครั้ง

 

 

สามวันต่อมา หานลี่มาพบราชาปีศาจทั้งเหล่านี้ในวิหารเซียนพฤกษาอีกครั้ง

 

 

แต่ครั้งนี้หยวนเหยากับเหยียนลี่ไม่ได้มาด้วย ให้ความคิดที่ยังลงเหลือในใจเขารู้สึกค่อนข้างผิดหวัง

 

 

ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยยังคงมาในสภาพชายชุดโลหิตสองคนเดินเคียงกันมาซึ่งทำให้แยกแยะจริงเท็จไม่ออก

 

 

“อะไรนะ สหายหานเข้าใจและพลิกแพลงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้แล้ว น้องมู่ เจ้าคงไม่โกหกหลอกหลวงกันกระมัง” หญิงงามผมขาวพูดด้วยความตกตะลึง พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่เชื่อ

 

 

ตัวนางในตอนนี้นั่งอยู่ลำพังที่ด้านหนึ่งภายในวิหารใหญ่

 

 

“เรื่องนี้สำคัญยิ่ง น้องสาวจะโกหกหลอกลวงได้อย่างไร พูดตามจริง ที่สหายหานสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาเรียกอัสนีซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของเคล็ดวิชาควบคุมอัสนีได้เร็วเช่นนี้ แม้แต่น้องสาวเองก็รู้สึกตกตะลึงจริงๆ ภายหลังน้องสาวจึงได้รู้ว่าที่แท้สหายหานก็ใช้สมบัติไผ่อัสนีทองมาทำเป็นศาสตราอาคมประจำกาย หากเป็นเช่นนี้ สามารถควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้รวดเร็วเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้ว” มู่ชิงหัวเราะคิกคักอยู่ในแสงสีดำ

 

 

“ใช้ไผ่อัสนีทองทำเป็นศาสตราอาคมประจำกาย? สหายหาน เจ้าช่างใจกล้ามากพอจริงๆ หรือไม่รู้ว่าทำเช่นนี้แล้ว จะถูกเทวะอัสนีย้อนกลืนกินได้ง่ายสุดๆ? การที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากแล้วจริงๆ” หญิงงามผมขาวตะลึงงัน พลันหันไปมองหานลี่แล้วกล่าวด้วยท่าทางน่าสะพรึงกลัว

 

 

“เทวะอัสนีย้อนกลืนกิน? ดูเหมือนข้าน้อยจะไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน ขอถามสาเหตุของอาวุโสด้วยขอรับ” หานลี่ได้ยินคำนี้กลับรู้สึกตกตะลึงจริงๆ

 

 

“ทำไมล่ะ น้องมู่ไม่มเคยพูดเรื่องนี้กับสหายหานเลยรึ?” หญิงงามผมขาวขมวดคิ้วคราหนึ่ง แล้วถามมู่ชิง

 

 

           “ข้าสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว สหายหานพรสวรรค์ล้ำลึก ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เสถียรเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีแววส่อให้เห็นถึงการโดนย้อนกลืนกินแม้แต่น้อย ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้” มู่ชิงตอบกลับอย่างไม่รู้สึกหนักหนาอะไร

 

 

“หึ นี่ก็แค่คำพูดของเจ้าคนเดียวเท่านั้น พวกข้ายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเลย!” หญิงงามผมขาวแค่นเสียงคราหนึ่ง แล้วมองหานลี่อย่างประเมินอีกรอบ ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

มู่ชิงหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรอีก ลิ่วจู๋ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยโพล่งขึ้นมา “พอแล้ว ไม่ต้องพูดไร้สาระอย่างอื่นแล้ว แม่นางมู่เชิญพวกเรามาคงไม่ได้แค่อยากจะขยับฝีปากพูดสองสามประโยคหรอก สหายหานเรียนรู้เคล็ดวิชาเรียกอัสนีสำเร็จจริงหรือไม่ ย่อมต้องให้พวกเราดูด้วยตาตัวเองถึงจะยอมรับ”

 

 

น้ำเสียงของลิ่วจู๋ราบเรียบไม่ไหวติง ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะมู่ชิงหรือหญิงงามผมขาวได้ยินวาจานี้ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวแล้วเงียบปากกัน

 

 

ส่วนหนึ่งในชายชุดโลหิตโลหิตสองคน ในเวลานี้กลับยิ้มเอ่ยขึ้นมา “สหายน้อยหาน ในเมื่อเจ้าเรียนรู้เคล็ดวิชาเรียกอัสนีของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้สำเร็จแล้ว ก็ลองเรียกหลอมต่อหน้าพวกเราสักหน่อยเถอะ”

 

 

หลังจากได้ยินทั้งสองคนพูดเช่นนี้ หานลี่ก็ข่มความตื่นตระหนกระคนสงสัยเรื่องการย้อนกลืนกิน แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย “อาวุโสทั้งหลายกำชับเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะรีบปฏิบัติตามทันที เพียงแต่อานุภาพของเคล็ดวิชาเรียกอัสนีนั้นไม่เบา หากเป็นที่นี่…”

 

 

หานลี่พูดพลางกวาดสายตามองดูรอบๆ วิหารใหญ่

 

 

“สหายหานพูดมาก็ถูก แม้ว่าวิหารเซียนพฤกษาของข้านี้จะมีอาคมต้องห้ามอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจรับอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายไว้ได้ พวกเราควรไปดูข้างนอกเถอะ” มู่ชิงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินนำไปทางประตูวิหาร

 

 

ราชาปีศาจที่เหลือเห็นดังนี้ก็หันมามองหน้ากันคราหนึ่ง แล้วพากันตามออกไป

 

 

หานลี่ย่อมเดินออกไปด้วยเช่นกัน

 

 

ปีศาจเวรยามของเหวพสุธาที่เฝ้าอยู่นอกประตูวิหาร เมื่อเห็นราชาปีศาจมากมายเช่นนี้ ต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึง

 

 

แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปถามอะไร

 

 

ผ่านไปพักหนึ่ง แต่ละคนก็มาหยุดอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าวิหารเซียนพฤกษา สายตาทุกคนล้วนจับจ้องไปบนร่างของหานลี่

 

 

เมื่ออยู่ภายใต้การจับจ้องของตัวตนระดับที่มากมายสูงเช่นนี้ หานลี่ก็หัวเราะขื่นๆ ในใจคราหนึ่ง แต่ก็ยังเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบบนร่างด้วยอารมณ์เยือกเย็น พลันลอยขึ้นกลางอากาศ

 

 

จนกระทั่งมาถึงกลางอากาศต่ำเหนือพื้นดินยี่สิบจั้งเศษ เขาจึงคอยลอยคว้างกลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ทันทีที่สองมือตั้งท่าร่ายคาถา ก็เกิดเสียงโครมดังสนั่น ประกายแสงสีทองเรียวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าล้อมรอบกายแล้วโคจรไม่หยุด

 

 

ตามด้วยประกายอัสนีที่ค่อยๆ หนาขึ้น ขยายตัวอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทุกสารทิศ

 

 

ชั่วครู่เดียว ภายในแสงอัสนีอันน่าสะพรึงนี้ก็ค่อยๆ ก่อรูปร่างเป็นตาข่ายสายฟ้าทรงกลมขนาดมหึมา

 

 

ในขณะเดียวกันนั้น ภายใต้การกระตุ้นคาถาของหานลี่ อักขระประหลาดก็ทะลักพรั่งพรูอย่างบ้าคลั่งออกจากมือทั้งสอง อักขระแต่ละตัวเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ พากันจมหายเข้าไปในประกายอัสนีที่อยู่รอบด้านอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ฉากอันมหัศจรรย์ล้ำลึกพลันปรากฏขึ้น!

 

 

พริบตาที่อักขระจมเข้าไปในประกายอัสนีรอบทิศทาง ทันใดนั้นทั้งหมดก็แตกออกราวกับฟองสบู่ กลายเป็นรัศมีแสงสีทองสลัวๆ เส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง

 

 

หานลี่ที่อยู่ท่ามกลางรัศมีแสง รูปร่างเลือนรางไม่ชัดเจน ทว่าในปากเปล่งคาถาคลุมเครืออย่างต่อเนื่อง

 

 

ภายใต้การโคจระของรัศมีแสงสีทอง อักขระสีทองที่อยู่ภายในนั้นเกิดการพลิกตัวไม่หยุด พร้อมส่งเสียงหึ่งๆ ดังแว่วออกมา และค่อยๆ กลายเป็นเสียงแหลมแสบแก้วหูขึ้นเรื่อยๆ!

 

 

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอัสนีบาตดังขึ้น!

 

 

ชั่วพริบตาที่รัศมีแสงเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ

 

 

หานลี่ก็ปรากฏร่างออกมาอีกครั้ง

 

 

มือหนึ่งตั้งท่าร่ายคาถา อีกมือหนึ่งคลายนิ้วมือออกเบาๆ ห่างจากฝ่ามือสูงขึ้นไปหลายฉื่อ มีก้อนกลมขนาดใหญ่เท่ากำปั้นลูกหนึ่ง ราวกับทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ กำลังลอยคว้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ก้อนกลมนี้ดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นอกจากลวดลายคล้ายอักขระที่พื้นผิวเว้านูนไม่ราบเรียบแล้ว แสงยังดูหม่นหมองผิดปกติ ไร้ซึ่งแรงกดวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

ราวกับภาชนะธรรมดาทั่วไปชิ้นหนึ่งเท่านั้น

 

 

เมื่อเห็นก้อนกลมสีทองนี้ ใบหน้าราชาปีศาจที่เฝ้าดูอยู่เบื้องล่างต่างก็เผยสายตาประหลาดใจออกมา

 

 

ตัวหานลี่ในตอนนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฝ่ามือที่ประคองก้อนกลมสีทองลอยกลางอากาศ พลันดีดนิ้วทั้งห้าเบาๆ คราหนึ่ง

 

 

ฟ้าว!” ก้อนกลมสีทองกลายเป็นลำแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งทยานไปยังชั้นบรรยากาศสูง

 

 

เพียงแค่แวบเดียวก็หายไปแล้ว

 

 

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ในมืออีกข้างหนึ่งของหานลี่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะคราหนึ่ง เกิดแสงอัสนีสว่างวาบ อักขระสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็พุ่งทยานไปยังที่สูงอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

 

 

โครม!

 

 

กลางอากาศสูงบริเวณใกล้เคียงเกิดพายุหมุนขึ้นอย่างฉับพลัน เมฆดำปกคลุมอย่างหนาแน่น แสงตะวันสีทองดวงหนึ่งพลันปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ ท่ามกลางเมฆดำ ตามด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าสะพรึงของดวงตะวันสีทองที่พุ่งทยานขึ้นสู่ฟ้า

 

 

พื้นผิวของแสงตะวันเปล่งแสงอัสนีนับไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงฟ้าร้องดังเกริกก้องอย่างไม่ขาดสาย เสียงทุ้มตำชวนให้ตกตะลึง

 

 

หญิงงามกับชายชุดโลหิตและคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องล่างต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี

 

 

“ยั้งมือก่อน! หยุดเคล็ดวิชาเรียกอัสนีของเจ้าเดี๋ยวนี้ เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องปล่อยอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาจริงๆ ก็ได้” จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งพูดห้ามปรามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขรึมอย่างกะทันหัน ที่แท้ก็คือลิ่วจู๋

 

 

หานลี่ได้ยินก็ตกตะลึง ทว่าก็ได้แต่พูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “อาวุโสบอกให้ชนรุ่นหลังยั้งมือตอนนี้ คงสายไปหน่อย ชนรุ่นหลังยังควบคุมเคล็ดวิชานี้ไม่คล่องแคล่ว ตอนนี้ไม่อาจหยุดเคล็ดวิชานี้ได้”

 

 

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูดของหานลี่ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องดังลั่นที่ทยอยดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จู่ๆ แสงตะวันสีทองก็พ่นลำแสงสีทองสายหนึ่ง หนาประมาณอ่างน้ำ พุ่งลงไปยังเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

 

 

พุ่งใส่พื้นดินว่างเปล่าไร้ผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าหานลี่พอดี

 

 

สถานการณ์ที่ชวนให้ตกตะลึงพรึงเพริดพลันปรากฏขึ้น

 

 

ทุกที่ที่ลำแสงพุ่งผ่าน พื้นหินสีเขียวที่ก่อตัวมาจากอาคมต้องห้ามจนแข็งราวกับโลหะบริสุทธิ์ เพียงแค่แตะถูกก็สลายกลายเป็นธุลีอย่างไร้สุ้มเสียง ปรากฏเป็นโพรงใหญ่สีดำมืดมิดเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง

 

 

ลำแสงสีทองมีความยาวประมาณฉื่อกว่า พริบตาที่แสงตะวันกลางอากาศแตะสลาย ลำแสงสีทองก็หายไปอย่างน่าประหลาด

 

 

หลังจากปล่อยการโจมตี้นี้ หานลี่กลับมีสีหน้าค่อนข้างซีดเซียว ปีกสองข้างบนแผ่นหลังขยับคราหนึ่ง ก็ค่อยๆ ลอยลงมาข้างล่างอย่างช้าๆ

 

 

ในตอนนี้ เมฆดำพลันกระจายออกรอบด้าน ท้องฟ้าคืนสู่สภาพดังเดิม

 

 

ยามที่ร่างพลิ้วไหว ชายชุดโลหิตคนหนึ่งกับหญิงงามชุดขาวก็ปรากฏตัวที่ข้างๆ ถ้ำใหญ่พร้อมกัน แล้วก้มหน้ามองไปยังเบื้องล่าง

 

 

เห็นเพียงภายในโพรงที่ดำมืด มีกลิ่นเผาไหม้เตะจมูกโชยออกมา และความลึกของถ้ำนี้ลึกจนไม่อาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุดได้

 

 

“เข้าใจเคล็ดวิชาเรียกอัสนีอย่างที่คาดไว้จริงๆ ความน่ากลัวของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายก็สมคำร่ำลือจริงๆ! ต่อให้พวกเราไม่ทันได้ป้องกัน ก็ไม่กล้ารับการโจมตีนี้โดยตรง” หญิงงามผมขาวเผยความประหลาดใจในดวงตา พลางพูดพึมพำคนเดียว

 

 

ชายชุดโลหิตมองดูโพรงถ้ำด้วยแววตาเปล่งประกายไม่หยุด คล้ายกับมีสิ่งอื่นให้ครุ่นคิด

 

 

ลิ่วจู๋กับมู่ชิงกลับไม่ได้เดินเข้ามาดูอย่างละเอียด

 

 

ในสองคนนี้ คนหนึ่งแค่มองครั้งเดียวก็อาจจะมองทะลุถึงอานุภาพของเคล็ดวิชาเรียกอัสนีของหานลี่แล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งเคยเห็นหานลี่สำแดงมาหลายครั้งแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องเข้าไปฮือฮาอะไรด้วย

 

 

“สหายทั้งหลายคงจะพอใจกับเคล็ดวิชาควบคุมอัสนีของสหายหานสินะ!” มู่ชิงพลันยิ้มจางๆ ขึ้นมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด