A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1508 พลังของหานลี่

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1508 พลังของหานลี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ได้ยินชายชุดโลหิตกล่าวเช่นนี้ หญิงงามผมขาวก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายไม่หยุด

 

 

“หากไปที่สุสานมาร เกรงว่าจะต้องเสียเวลาไม่น้อย ถ้าเกิดกองกำลังเสริมของเผ่าแมงเม่ามาถึงอย่างกะทันหัน ไม่ว่าใครก็หนีไม่พน” น้ำเสียงของลิ่วจู๋กลับไม่ได้เด็ดขาดเช่นนั้น

 

 

“หึๆ หากเผ่าแมงเม่าสามารถเข้ามาในช่องว่างมิตินี้ได้รวดเร็วขนาดนั้น แล้วทำไมเผ่าแมงเม่าที่สิงร่างหุ่นเชิดที่เหลืออยู่จะต้องทุ่มสุดชีวิตกับพวกเราเพียงนี้ด้วย แค่รอกำลังเสริมอย่างเดียว จะมีอะไรดีขึ้นอย่างนั้นหรือ ภายในระยะเวลาอันสั้น ลำพังเผ่าแมงเม่าไม่น่าจะมีใครเข้ามาในดินแดนนี้ได้ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่พี่ลิ่วจู๋ได้รับน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีไปคนเดียวแล้ว จะเสี่ยงเพื่อพวกข้าหน่อยก็น่าจะเป็นเรื่องสมควรแล้วกระมัง” ชายชุดโลหิตหัวเราะหึๆ คราหนึ่ง

 

 

ใบหน้าของลิ่วจู๋ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่าดวงตาที่ซับซ้อนของเขากลอกไปมาครู่หนึ่ง กำลังแอบชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียอยู่ ผ่านไปพักหนึ่ง จึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ได้ ข้าไปที่สุสานมารเป็นเพื่อนพวกเจ้าได้ แต่ทำได้แค่ช่วยพวกเจ้าเก็บศาสตรามารสองชิ้นเท่านั้น ถ้าอยากได้สมบัติมากกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวสหายเองแล้ว”

 

 

“ฮ่าๆ คำไหนคำนั้น! สำหรับเรื่องของอิฐผลึกชุบไฟ ข้าน้อยเชื่อคำพูดของพี่ลิ่วจู๋ ไม่จำเป็นต้องลงมือแล้ว” ชายชุดโลหิตหัวเราะดังลั่น พลันขยับร่างพลิ้วไหว คิดไม่ถึงว่าจะลอยไปด้านหลังหลายจั้งอย่างช้าๆ

 

 

ที่ด้านข้าง หุ่นเชิดโลหิตม่วงที่เปลี่ยนสภาพเหมือนคนปกติไม่ผิดเพี้ยนก็ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างซึมกะทือเช่นเดียวกัน

 

 

“สหายหลาน ความเห็นของเจ้าล่ะ?” เมื่อเห็นว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยตกลงเงื่อนไขแล้ว ลิ่วจู๋ก็กลอกตาทีหนึ่ง ดวงตาที่ซับซ้อนจ้องมองหญิงงามผมขาว ปรากฏความเย็นยะเยือกออกมาลางๆ

 

 

“เงื่อนไขของข้าก็เหมือนกับสหายตี้เซวี่ย ทว่าข้ายังต้องลองดูสักหน่อยว่าอิฐผลึกชุบไฟนี้แข็งแรงไม่มีทางหักจริงๆ” รูม่านตาของหญิงงามผมขาวหดเล็กลง นางลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยกล่าวอย่างเยือกเย็น

 

 

“ได้สิ สหายลงมือโจมตีเถอะ” ลิ่วจู๋กลับแสดงท่าทีเด็ดขาด หลังจากรับปาก ก็ชูมือขึ้นคราหนึ่ง ทันใดนั้นอิฐผลึกชุบไฟก้อนนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศเหนือศีรษะเจ็ดแปดจั้ง แล้วลอยคว้างไม่ขยับเขยื้อน

 

 

หญิงงามผมข้าวจ้องมองอิฐผลึก นัยน์ตาเผยจิตใจต่อสู้อันร้อนแรงออกมาแวบหนึ่ง ครั้นสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง ราชาภูตแปดตนที่อยู่เบื้องหลังก็กระโจนเข้าใส่ร่างของนางในชั่วพริบตา

 

 

ขณะที่แสงสีดำเปล่งประกาย หญิงงามผมขาวก็สวมชุดเกราะสีดำขลับอีกครั้ง ในมือพลันปรากฏค้อนประหลาดด้ามหนึ่ง

 

 

มือข้างหนึ่งสั่นเบาๆ ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังออกมาจากค้อนระลอกหนึ่ง เงาลวงตาหัวกะโหลกทั้งแปดหัวก็ปรากฏออกมาโลดเต้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

 

 

หลังจากที่ลิ่วจู๋กวาดสายตามองไปที่ค้อนด้ามนั้น ก็เอ่ยขึ้นโดยที่น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้ของสหายจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่เบา แต่คิดจะทำลายอิฐผลึกชุบไฟนั้นไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อน ทางที่ดีสหายหลานแค่โจมตีอิฐผลึกชุบไฟอย่างเดียวเท่านั้น หากคิดจะเล่นลูกไม้อื่นๆ ในขณะที่โจมตี ก็อย่าหาว่าข้าน้อยไร้น้ำใจไมตรีเลย”

 

 

“จะแข็งแรงไม่มีทางหักได้จริงๆ หรือไม่ ลองดูแล้วค่อยว่ากันทีหลังเถอะ” หญิงงามผมขาวไม่สนใจคำพูดวางมาดของลิ่วจู๋ที่อยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย พลันโยนค้อนประหลาดในมือไปตรงหน้า

 

 

ภายในชั่วพริบตา ปราณภูตอันน่าสะพรึงกลัวก็ก่อตัวเป็นพายุทมิฬรุนแรง! ครู่ต่อมาค้อนประหลาดก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า หัวกะโหลกทั้งแปดที่ฝังอยู่บนพื้นผิวของค้อนเลื้อยขยุกขยิกไม่หยุดนิ่ง ในปากส่งเสียงขบเคี้ยวและเสียงร้องประหลาดไม่หยุด

 

 

จากนั้นเพลิงสีเขียวแต่ละกองก็ปรากฏออกมาในบริเวณใกล้เคียงของค้อนด้ามนี้อย่างไร้สาเหตุ ทำให้ค้อนกลายเป็นลูกไฟขนาดมหึมาลูกหนึ่ง

 

 

เพลิงสีเขียวเหล่านี้ดูเหมือนจะมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ ภายใต้การลุกไหม้อย่างดุดัน แม้กระทั่งอากาศในบริเวณใกล้เคียงยังกลายเป็นภาพเลือนรางไม่ชัดเจน คล้ายกับถูกทำให้บิดเบี้ยวก็มิปาน

 

 

ลิ่วจู๋ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ เพียงแค่ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น รอดูหญิงงามผมขาวลงมือ

 

 

ชายชุดโลหิตได้ประจักษ์กับอานุภาพของค้อนประหลาดด้ามนี้ กลับหรี่ตาลงคราหนึ่ง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายในลำแสงโลหิตเผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่รู้สึกเหลือเชื่อ

 

 

ปากของหญิงงามส่งเสียงร้องดังลั่น!

 

 

ค้อนประหลาดหมุนเคว้งรอบหนึ่ง ก่อนที่จะทุบลงบนอิฐผลึกที่มีขนาดราวๆ ฉื่อกว่าเท่านั้น

 

 

ทว่าขณะที่ค้อนกำลังร่วงลงมานั้น ตัวค้อนก็สั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน เพลิงสีเขียวก่อตัวสูงขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาค้อนจำนวนนับไม่ถ้วน โจมตีอิฐผลึกจากสี่ทิศแปดทางพร้อมกัน

 

 

การโจมตีนี้แทบจะเท่ากับการโจมตีร้อยกว่าทีในครั้งเดียว

 

 

ดวงตาของลิ่วจู๋แสดงความตกตะลึงเล็กน้อย แต่มุมปากก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมา

 

 

กลางอากาศเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอย่างไม่ขาดสาย ราวกับมีอัสนีบาตนับร้อยผ่าลงมาจากท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน ทำให้อากาศในบริเวณใกล้เคียงส่งเสียงสะท้อนอื้ออึงไม่หยุด

 

 

ชายชุดโลหิตสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

ขณะที่ค้อนด้ามนี้กำลังต้านกับเขตอาคมแสงสีดำภายในพระราชวังใหญ่ใต้ดินนั้น ก็ยังดูไม่ออกว่ามีอานุภาพเพียงใด แต่การโจมตีของจริงแค่ครั้งเดียว คิดไม่ถึงว่าจะทรงอานุภาพเช่นนี้!

 

 

สำหรับอิฐผลึกชุบไฟก้อนนั้น ได้ถูกลำแสงสีเขียวเจิดจ้าห่อหุ้มไว้ข้างในก่อนแล้ว จึงยังมองไม่ออกชั่วครู่

 

 

ครู่ต่อมา หญิงงามผมขาวก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าไปในอากาศ

 

 

ทันใดนั้น เงาค้อนทั้งหมดก็สลายหายไป เหลือเพียงตัวค้อนประหลาดที่กลายเป็นดวงแสงสีเขียวพุ่งทยานกลับมา

 

 

จากนั้นหญิงผู้นี้ก็จ้องมองไปที่อิฐผลึก สีหน้าดูย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง

 

 

คาดไม่ถึงว่าภายใต้การโจมตีอันรุนแรงเช่นนี้ อิฐผลึกชุบไฟก้อนนั้นจะคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย พื้นผิวเรียบลื่นผิดปกติ แม้แต่รอยเว้าหรือร่องของการปริแตกก็ไม่มี

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้สหายหลานคงจะเชื่อคำพูดของข้าน้อยแล้วสินะ น้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีนี้ข้าน้อยเองก็ไม่สามารถเก็บมาได้ในระหว่างทาง ต้องใช้วิธีขโมยสับเปลี่ยน” ลิ่วจู๋กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

“เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด น้ำเทวะเป็นของท่านแล้ว ท่านต้องไปที่สุสานมารเป็นเพื่อนพวกเราสองคนด้วย” หญิงงามถอนหายใจยาวคราหนึ่งแล้วกล่าว ราวกับจะพ่นความกลัดกลุ้มภายในใจออกไปให้หมด

 

 

ต่อมาหญิงผู้นี้ก็ตั้งท่าร่ายคาถาสองมือ เกราะศึกบนร่างกับค้อนประหลาดในมือก็สลายหายไปอีกครั้ง กลายเป็นเงาสีดำแปดเงาเรียงรายอยู่ข้างหลัง

 

 

“เรื่องนี้เป็นอันตกลง จากที่นี้ไปยังสุสานมารนั้นไม่ได้ใกล้เลย ต่อให้พวกเราเร็วแค่ไหนก็ต้องเสียเวลานานถึงครึ่งเดือน ทว่าก่อนที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ควรหาคนๆ หนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากันใช่หรือไม่” ลิ่วจู๋ผงกศีรษะเล็กน้อย พลันกวัดมือไปในอากาศคราหนึ่งแล้วกล่าว

 

 

อิฐผลึกชุบไฟพลิ้วไหวคราหนึ่ง แล้วอันตรธานหายไปอย่างไร้สาเหตุ

 

 

แม้แต่สองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดูไม่ออกว่าสมบัติชิ้นนี้ถูกลิ่วจู๋เก็บไปได้อย่างไร หลังจากที่หญิงงามกับชายชุดโลหิตหันมาสบตากันทีหนึ่ง จิตใจที่หวาดกลัวลิ่วจู๋ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

“ภายในร่างของเจ้าเด็กแซ่หานมีสัญลักษณ์ที่พวกเราฝังไว้อยู่ แม้ว่าจะอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็อย่าได้คิดว่าพวกเราจะไม่รับรู้ อีกเดี๋ยวข้าจะกระตุ้นสัญลักษณ์สักหน่อย ดูซิว่าเจ้าเด็กนี่หนีไปที่ใด คนผู้นี้ใจกล้าพอสมควร กล้าฉวยโอกาสตอนชุลมุนลักพาตัวศิษย์ของข้าไป” เมื่อหญิงงามผมขาวพูดถึงหานลี่ขึ้นมา ใบหน้าก็ปรากฏไอสังหารออกมาชั้นหนึ่ง

 

 

“เหอะๆ! สหายหลาน เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้าเด็กแซ่หานกับศิษย์หญิงทั้งสองของเจ้ามีความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่แน่ชัด ยังจะวางแผดดูดปราณทมิฬของพวกนาง ก็ไม่แปลกที่เขาจะช่วยหญิงงามหนีไป ข้ากลับรู้สึกนับถือเจ้าเด็กนี่มาก ไม่เพียงแต่หนีรอดออกมาจากปากของอสูรวชิระอเวจีได้อย่างปลอดภัย ยังกล้าแย่งคนไปต่อหน้าต่อตาพวกเราอย่างโจ่งแจ้งอีก จุ๊ๆ แม้แต่หุ่นเชิดโลหิตแปลงกายที่ข้าพากเพียรฝึกฝนมาหลายปีก็ยังไม่สามารถขวางเอาไว้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้เยาว์ทั่วไปจะกล้าทำได้!” ชายชุดโลหิตกลับหัวเราะประหลาดคราหนึ่ง แล้วเอ่ยปากชมขึ้นมา

 

 

“หึ! ตัวประหลาดเฒ่า เจ้าเห็นเด็กนี่ดีขนาดนี้ ไยไม่รับเป็นศิษย์เสียเลยล่ะ ดีไม่ดีต่อไปศิษย์อาจจะเก่งกว่าครูเสียด้วยซ้ำ!” หญิงงามผมขาวสีหน้ามืดครึ้ม พลันพูดอย่างไม่เกรงใจ

 

 

“ที่ผู้เฒ่าฝึกเป็นศาสตร์แห่งโลหิต นอกเสียจากว่าเจ้าเด็กนี่ยินดีที่จะถูกดัดเอ็นเปลี่ยนโลหิต ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้คิดเลย อีกทั้งผู้เฒ่าก็เป็นผู้สันโดษมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดจะถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ของตัวเองให้ผู้ใด ยังจะต้องการลูกศิษย์อะไรอีก?” ตี้เซวี่ยหัวเราะเยาะคราหนึ่ง

 

 

“แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเด็กนั่นไม่นับว่าสูงมาก แต่เกรงว่าจะมีความลับอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังกล้าเลือกเส้นทางฝึกฝนของคู่บำเพ็ญเพียร แต่ยังสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ได้ ไม่ว่าจะอิทธิฤทธิ์หรือพลังยุทธ์ก็เหนือกว่าระดับเดียวกันอย่างลิบลับ หากมีวันหนึ่ง เขาสามารถเข้าสู่ระดับเดียวกับพวกเราได้จริงๆ เกรงว่าพวกเราทั้งหลายร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขา ดังนั้นนี่จึงทำให้คนผู้นี้สามารถฝึกฝนมาถึงแค่ขั้นนี้เท่านั้น ความยากในการทะลวงระดับของคู่บำเพ็ญเพียร เหนือกว่าวิธีการฝึกฝนทั่วไปหลายเท่า” ลิ่วจู๋กล่าวอย่างช้าๆ

 

 

“คู่บำเพ็ญเพียร? สหายคงไม่ได้มองผิดหรอกนะ รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” เสียงอุทานเบาๆ ดังมาจากปากของหญิงงามผมขาว นางรู้สึกค่อนข้างตกตะลึง

 

 

ชายชุดโลหิตได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งแสงโลหิตออกมาวาบหนึ่ง คล้ายจะตะลึงเช่นกัน

 

 

“ไม่มีอะไรมาก ข้าน้อยมีอิทธิฤทธิ์ฟ้าประทานชนิดหนึ่ง ซึ่งบังเอิญสามารถมองทะลุระดับความแข็งแกร่งคร่าวๆ ของกายเนื้อคนๆ หนึ่งได้ เจ้าเด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่มาจากมุมอันไกลโพ้นของทวีปเทียนหยวน ไม่ใช่คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินอะไรหรอก เพียงแต่ไม่รู้ว่าปะปนเข้ามาในการทดสอบของบุตรสวรรค์เผ่าวิญญาณเหาะเหินได้อย่างไร เท่าที่ข้ารู้มา เผ่ามนุษย์เป็นหนึ่งในไม่กี่เผ่าในทวีปเทียนหยวนที่กายเนื้ออ่อนแอที่สุด แต่กายเนื้อของเจ้าเด็กคนนี้แข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าพวกเราเลย สมบัติศาสตราแหลมคมทั่วไปเกรงว่าก็ไม่สามารถตัดกายเนื้อของเขาลงได้อย่างง่ายดาย ในด้านอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริง น่าจะสามารถต่อกรตัวตนระดับผู้บำบัญชาการวิญญาณขั้นปลายได้ ยิ่งกว่านั้น หากคนผู้นี้ยังมีอิทธิฤทธิ์ที่พิเศษอะไรอีก เป็นไปได้มากว่าระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นปลายทั่วไปก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขา” ลิ่วจู๋พูดด้วยจิตใจเยือกเย็น ราวกับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของหานลี่เป็นอย่างดี

 

 

ได้ยินลิ่วจู๋ประเมินหานลี่สูงเช่นนี้ หญิงงามผมขาวกับชายชุดโลหิตก็สมตากันทีหนึ่ง ต่างก็เห็นอาการตกตะลึงพรึงเพลิดของอีกฝ่าย

 

 

แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหานลี่ไม่ใช่ตัวตนระดับทั่วไป แต่ก็ไม่มีทางมองเขาสูงถึงขั้นนี้เป็นอันขาด อย่างมากก็มองว่าเขาเป็นตัวตนระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นหรือขั้นปลายเท่านั้น แต่ได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋ในตอนนี้ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนขั้นสุดยอดที่รอลงมาจากระดับผสานอินทรีย์ไปแล้ว

 

 

“ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นปลายก็สามารถต่อกรระดับผู้บัญชากรวิญญาณขั้นปลาย! แม้ว่าในโลกนี้จะมีอิทธิฤทธิ์ที่ฝืนธรรมชาติอยู่จริงๆ แต่บอกว่าพลังของคนผู้นี้ทยานระดับได้สามสี่ขั้น นี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว” หญิงงามผมขาวพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ

 

 

“หึๆ สหายหลาน คำพูดของพี่ลิ่วจู๋ข้ากลับเชื่อ ในอดีตข้าก็เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ระดับหลอมสูญคนหนึ่งมาเหมือนกัน ผลลัพธ์คือ คนผู้นี้อาศัยเพียงเขตอาคมกระบี่ชุดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับตัวตนระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นอย่างทรหดได้ แม้ว่าเผ่ามนุษย์จะอ่อนแอ แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์และวิชาแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย ไม่อาจดูถูกได้เชียวล่ะ” ดวงตาของชายชุดโลหิตเปล่งแสงประหลาดระยิบระยับ คิดไม่ถึงว่าจะพูดออกมาเช่นนี้

 

 

หญิงงามผมขาวแค่นเสียงคราหนึ่ง ใบหน้าปรากฏสีหน้าลังเลออกมาเช่นกัน นางไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดของสองคนนี้ได้จริงๆ หรือไม่

 

 

“เอาล่ะ แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะมีความลับอยู่ไม่น้อย พลังแฝงก็ไม่น้อยจริงๆ และทำให้เขาสามารถเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการตามหาคนผู้นี้ก่อน ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร คิดไม่ถึงว่าจะปิดการรับรู้ของพวกเราได้ แต่ถ้าหากกระตุ้นสัญลักษณ์พร้อมกัน การอำพรางเช่นนี้ก็ไม่สามารถทนทานต่อไปได้นานนัก คิดจะไปที่สุสานมารโดยเร็วที่สุด สหายทั้งสองก็ควรรีบร่ายคาถากันเถอะ” ลิ่วจู๋กล่าวอย่างเยือกเย็น

 

 

“คำพูดของพี่ลิ่วจู๋จริงที่สุด สหายหลาน พวกเรา…แย่แล้ว! สัญลักษณ์ของข้าถูกทำลายได้อย่างไร” ชายชุดโลหิตหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง พลันพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่คิดจะพูดบางอย่างกับหญิงงาม จู่ๆ หมอกโลหิตรอบกายก็สั่นสะเทือนขึ้น ในปากก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธอย่างฉับพลัน

 

 

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? เดี๋ยวข้าลองดูบ้าง!” หญิงงามผมขาวตกตะลึง รีบหลับตาทั้งสองข้างลง พลางบริกรรมคาถาเพื่อกระตุ้นสัญลักษณ์

 

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลังจากผ่านไปชั่วคณู่หนึ่ง หญิงงามก็ลืมตาขึ้น พลันพูดด้วยใบหน้าดุร้าย “สัญลักษณ์ของข้ายังอยู่ แค่ถูกปิดบังอย่างหนาแน่น ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถทะลวงสัญลักษณ์ได้ พี่ลิ่วจู๋ เราสองคนมาลองกระตุ้นพร้อมกันดูเถอะ”

 

 

“กระตุ้นพร้อมกัน เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ก่อนหน้าสหายตี้เซวี่ย สัญลักษณ์ของข้าก็หายไปตั้งนานแล้ว” ลิ่วจู๋พูดน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

“อะไรนะ!”

 

 

หญิงงามผมขาวกับชายชุดโลหิตได้ยินวาจานี้ ถึงกับเบิกตาโต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด