A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1557 เรือสงคราม

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1557 เรือสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในครานั้นเองฉับพลันนั้นพลันมีเสียงอึกทึกดังออกมาจากด้านนอกประตูหิน กำแพงรอบด้านมีลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น กะพริบระยิบระยับ พื้นดินสั่นคลอน ราวกับห้องโถงทั้งหมดจะพังทลายลงมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“นี่มันอะไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

 

 

การสั่นสะเทือนนี้แน่นอนว่าไม่อาจส่งผลกระทบให้คนเบื้องหน้าได้ แต่ก็ทำให้ทั้งสามคนอดที่จะหน้าเหยเก ชนต่างเผ่าผิวสีเขียวร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว จากนั้นชนต่างเผ่าผิวสีเขียวและชนต่างเผ่าหัวโตพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน จากนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป ร่างกายรางเลือน หายวับไปจากที่เดิม

 

 

แม้ว่าจัตุรัสแห่งนี้จะวางเขตอาคมห้ามเหาะเหินเอาไว้ แต่จากพลังยุทธ์อย่างพวกเขา ขอแค่ฝืนควบคุมพลังปราณในร่าง เขตอาคมระดับนี้ย่อมไม่อาจผูกมัดพวกเขาไม่ให้สำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีได้ แต่แค่มันจะเสียลมปราณมากหน่อยเท่านั้น

 

 

ส่วนหานลี่เองก็ไม่ลังเลอะไร หลังจากกวาดสายตาไปที่เขตอาคม ลังเลเล็กน้อย พลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาวนล้อมรอบเขตอาคม

 

 

เสียง  ปังๆ  ดังขึ้น ชั่วพริบตาลำแสงสีเขียวพลันสับมันจนแหลกละเอียด จากนั้นถึงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป

 

 

ยามนี้ผิวของหานลี่ถึงได้มีลำแสงวิญญาณปรากฏขึ้น พาเงาที่ไม่สมบูรณ์แบบออกไป

 

 

เมื่อเขาออกมาจากประตูหิน เห็นเพียงว่าในจัตุรัสกำลังเกิดความวุ่นวาย ผู้คนกำลังวิ่งกรูกันเข้าไปหลบตามอาคารโดยรอบ

 

 

กลางอากาศเหนือจัตุรัส มีม่านลำแสงสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ ห่อหุ้มเมืองทั้งเมืองเอาไว้ ส่วนด้านนอกม่านลำแสงสูงขึ้นไปตั้งไม่รู้เท่าใด ลูกบอลลำแสงสีขาวขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโจมตีลงมาราวกับห่าฝน

 

 

บนม่านลำแสงระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา ในเวลาเดียวกันเสียงอึกทึกพลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เครื่องป้องกันสั่นคลอนไม่หยุด ท่าทางจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว

 

 

หานลี่พลันตะลึงงัน เงยหน้าจ้องมองนอกม่านลำแสงอย่างร้อนรน รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่หางตาของหานลี่กระตุกสองสามครั้ง ก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง

 

 

ภายใต้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณของเขา เขามองเห็นการโจมตีเหล่านั้นอย่างชัดเจน

 

 

สูงขึ้นไปสามสี่พันจั้ง มี ‘หมู่เกาะ’ ยักษ์ปรากฏขึ้น

 

 

ไม่ผิด มันกำลังกะพริบระยิบระยับ ราวกับสร้างขึ้นจากเงินบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น ‘หมู่เกาะเงิน’ มีขนาดเกือบหมื่นจั้ง ส่วนตีนหมู่เกาะนั้นกลับมีเสาผลึกสีขาวเต็มไปหมด ผิวของมันมีอักขระเปล่งแสงวิบวับ กำลังพ่นลูกบอลลำแสงออกมา เดียรดาษเต็มท้องฟ้า

 

 

“แย่แล้ว นี่คือเรือสงครามยักษ์ของเผ่าหนอนมีเขา! จะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าแม่ทัพของเผ่าหนอนมีเขามาถึงแล้ว” ชนต่างเผ่าหัวโตควักกระจกสีฟ้าออกมาตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ จ้องเขม็งไปสองสามแวบ ก็ร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้งออกมา

 

 

“ตอนนี้พูดไปจะมีประโยชน์อะไร พวกเรารีบหนีกันเถิด พี่หยวน เจ้านั่งบัญชาการเมืองนี้มาตั้งหลายปี จะต้องรู้ทางลับหนีออกนอกเมืองอยู่บ้างสินะ” ชนต่างเผ่าผิวสีเขียวที่อยู่ใกล้เคียง ได้ยินคำนี้ พลันรีบร้อนถามขึ้น

 

 

“ข้าน้อยรู้อยู่ทางหนึ่ง ที่สามารถเชื่อมตรงไปยังภูเขาน้อยห่างออกไปสี่สิบลี้เศษ ทว่าในเมืองมีสหายร่วมวิถีเผ่าต่างๆ เยอะขนาดนี้ ก็ไม่อาจปล่อยไว้ได้ ข้าจะให้ทุกคนไปรวมตัวที่ประตูเมือง ให้ทุกคนหนีไปตาโชคชะตาฟ้าลิขิตก็แล้วกัน หากดวงดี ไม่แน่ว่าอาจจะหนีออกมาได้ส่วนหนึ่ง” ชนต่างเผ่าหัวโตมีสีหน้าลังเลฉายแวบผ่าน ทันใดนั้นพลันกัดฟันเอ่ยขึ้น

 

 

“ได้ ตามนั้น” ชนต่างเผ่าที่มีลำแสงสีแดงห่อหุ้มร่างกายพุ่งมาจากอีกด้านของจัตุรัส ได้ยินคำนี้ก็เอ่ยเห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง

 

 

หานลี่และชนต่างเผ่าผิวสีเขียวเองก็ไม่มีความเห็นอื่น

 

 

ชายหัวโตเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ลังเลอีก!

 

 

ผิวของเขาเปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบ ฉับพลันนั้นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพลันพุ่งออกไปจากร่าง พลิ้วไหวเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาลวงตายักษ์สูงร้อยจั้ง

 

 

เครื่องหน้าและอาภรณ์ล้วนเหมือนกับชนต่างเผ่าหัวโตทุกกระเบียดนิ้ว

 

 

เงาลวงตายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ประกอบกับลำแสงสีทองที่เจิดจ้า แน่นอนว่าย่อมแสบตาเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ฉับพลันนั้นเงาลวงตาพลันตะโกนทุ้มต่ำออกมา น้ำเสียงราวกับระฆังโบราณอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนที่ได้ยินเสียงนี้ พลันรู้สึกจิตสัมผัสสั่นคลอน แต่เดิมที่มีสีหน้าตื่นตะลึง อดที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงเป็นอย่างมากไม่ได้

 

 

ชั่วขณะนั้นสายตานับพันนับหมื่นคู่ในจัตุรัสพลันชะงัก ล้วนจ้องมองไปยังเงาลวงตาชายหัวโตกลางอากาศ

 

 

ส่วนเงาลวงตาที่ชนต่างเผ่าหัวโตเอ่ยนั้น ถึงได้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า

 

 

“สหายทุกท่านไม่ต้องร้อนใจ เขตอาคมป้องกันของเมืองเราเพียงพอที่จะต้านทานได้อีกระยะหนึ่ง ไม่มีทางถูกทำลายแน่ ตอนนี้ทุกคนรีบไปรวมตัวกันที่ประตูเมืองทั้งสี่แห่ง อีกหนึ่งเค่อข้าจะถอนเขตอาคมที่ประตูเมือง ให้เหล่าสหายหนีไป ทว่าก่อนที่จะหนีไป ข้าขอเตือนเหล่าสหายก่อน ครั้งนี้เผ่าหนอนมีเขาทำการโจมตีโดยไม่ได้ประกาศล่วงหน้า มีเจตนาจะทำลายล้างเผ่าเมฆาสวรรค์ทั้งสิบสามเผ่าของพวกเรา ทุกคนอย่าคิดจะกดความคับแค้นเข้าข้างคนผิด จากที่ข้ารู้มาผู้ที่ถูกจับได้ ไม่ถูกโยนไปเป็นทาสที่คุกน้ำแข็งเพลิงทมิฬของเผ่าหนอนมีเขา ก็จะถูกค้นวิญญาณไปเป็นยุทธภัณฑ์ปรุงยา” ชนต่างเผ่าหัวโตเอ่ยประโยคที่เคร่งขรึมออกมา!

 

 

ชนต่างเผ่าในจัตุรัสมองสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นพลันร้อนตะโกนออกมา แตกฮือออกหนีไป

 

 

หลังจากออกจากจัตุรัสแล้ว ทุกคนพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนีตรงไปยังประตูเมืองทั้งสี่ทันที

 

 

ชนต่างเผ่าหัวโตเพิ่งร่ายอาคม กลางอากาศมีเงาลวงตาปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป จากนั้นเขาพลันหันหน้าไป เอ่ยกับหานลี่และพวกทั้งสามว่า

 

 

“เหล่าสหายตามข้ามา พวกเราเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างใหญ่ ไม่อาจไปกับพวกเขาได้” คนอื่นๆ เองพลันทยอยกันพยักหน้า

 

 

ดังนั้นทั้งสี่คนจึงกลายเป็นลำแสงสี่สายบินออกจากจัตุรัสในพริบตา

 

 

เวลานี้ม่านลำแสงสีฟ้าเหนือเมืองถูกลูกบอลลำแสงระเบิดออกจนมีลำแสงสีขาวปกคลุมจนมิด

 

 

ลำแสงป้องกันสีฟ้าเริ่มเปล่งแสงครืดๆ ต่ำๆ ออกมา นี่หมายความว่าเขตอาคมขีดจำกัดแล้ว ชนต่างเผ่าหัวโตบินไปพลางมองไปกลางอากาศไม่หยุดไปพลาง ใบหน้าเผยสีหน้าทุกข์ระทม

 

 

“อันใด พี่หยวนยังเสียดายเมืองนี้อีกหรือ!” ชนต่างเผ่าในลำแสงสีแดงเอ่ยประโยคนี้อย่างราบเรียบ

 

 

“ผู้แซ่หยวนนั่งบัญชาการเมืองแสงมรกตมาพันกว่าปี เขตอาคมป้องกันทั้งหมดของเมืองนี้ล้วนเป็นฝีมือของข้าน้อย เวลานี้ต้องจำใจทิ้งไป แน่นอนว่าย่อมรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง” ชนต่างเผ่าหัวโตต่างไม่ได้ปิดบัง ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

 

 

“พี่หยวนไม่ต้องเศร้าใจถึงเพียงนี้ แม้ว่าเผ่าหนอนมีเขาจะยิ่งใหญ่ แต่หากพวกเราเผ่าเมฆาสวรรค์ทั้งสิบสามเผ่าร่วมมือกัน ก็ไม่เห็นว่าจะด้อยกว่าเผ่านี้ตรงไหน ไม่แน่ว่าอาจจะแย่งคืนกลับมาได้สักวัน” ชนต่างเผ่าในลำแสงสีแดงเอ่ยปลุกปลอบ

 

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” ชนต่างเผ่าหัวโตต่างหัวเราะอย่างขมขื่น

 

 

“พี่หยวน แม่ทัพของเผ่าหนอนมีเขาจะมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร สายลับที่ส่งออกไปสองวันก่อนยังบอกว่าพวกเขาต้องใช้เวลาอีกสองวันไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้เรือสงครามของเผ่าหนอนมีเขาถึงมาถึงได้ หรือว่าทัพหน้าของเผ่าหนอนมีเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใด” ชนต่างเผ่าผิวสีเขียวเอ่ยถาม

 

 

“ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทัพหน้าเผ่าหนอนมีเขาไม่ได้นำสิ่งใดที่มีระดับเดียวกับ ‘เรือสงคราม’ มาด้วย แต่เรือสงครามที่ปรากฏในตอนนี้คือเรือสงครามระดับ ‘ป้อมปราการ’ ที่เป็นรองระดับ ‘เขตแดน’ และระดับ ‘เมือง’ ด้านในน่าจะมีผู้ที่มีพลังยุทธ์ถึงเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะต่อกรได้” ชายหัวโตแซ่หยวนสั่นศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“หึ ต่อให้ข้างในไม่มีเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เรือสงครามลำใหญ่เช่นนี้ระดับเดียวกันกับพวกเราก็คงมีแน่ ก็มีเพียงต้องหนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน หวังเพียงว่าผู้ที่อยู่บนเรือสงครามจะไม่สังเกตเห็นพวกเรา ไปสนใจคนอื่นแทน” ชนต่างเผ่าในลำแสงสีแดงต่างหัวเราะ หึๆ ออกมา

 

 

หานลี่ได้ยินแล้วพลันตะลึงงัน อดที่จะมองไปทางชายหัวโตแซ่หยวนแวบหนึ่งไม่ได้ เห็นเขามีสีหน้าราบเรียบไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที!

 

 

ที่แท้เมื่อครู่ที่คนผู้นี้บอกกับคนอื่นๆ ให้หนีไปความจริงแล้วคืออยากให้พวกเขาดึงความสนใจของเผ่าหนอนมีเขาจะได้ทำให้แผนจักจั่นลอกคราบของเขาสำเร็จและหนีไปได้อย่างเงียบๆ

 

 

ทว่าแม้ว่าหานลี่จะรู้สึกใจหายวาบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตน้อยๆ ของตัวเอง แน่นอนว่าไม่อาจกล่าวหาว่าการกระทำของอีกฝ่ายไม่ถูกต้องได้

 

 

ทว่าในใจของหานลี่กลับรู้สึกระมัดระวังตัวต่อชนต่างเผ่าทั้งสามคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

จากพลังยุทธ์ของทั้งสี่คน แน่นอนว่าย่อมบินได้อย่างรวดเร็ว แค่พริบตาพวกเขาก็มาถึงหน้าหอคอยที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง

 

 

ประตูบานใหญ่ของหอคอยนี้ปิดสนิทอยู่!

 

 

ชนต่างเผ่าแซ่หยวนไม่รอให้ร่อนลำแสงหลีกหนีลงไปก็สะบัดแขนเสื้อพายุหอบหนึ่งม้วนวนออกไป

 

 

ประตูใหญ่ดูเหมือนถูกพลังมหาศาลโจมตี ชั่วครู่พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หายวับไป

 

 

หานลี่และพวกเปล่งแสงสว่างวาบตรงเข้าไปในหอคอยในทันที

 

 

ชั้นหนึ่งของหอคอยนั้นว่างเปล่า นอกจากโต๊ะเก้าอี้สองสามตัวแล้วก็มีเพียงเทวรูปนิรนามพิงกำแพงสูงสองสามจั้งองค์หนึ่ง

 

 

เทวรูปนี้มีเรือนกายสีดำกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ท้องใหญ่ดุจหม้อ สี่เนตรสี่กร ขาทั้งสองลีบแบน ท่าทางแปลกพิกล

 

 

หลังจากหานลี่และพวกกวาดตามองหารอบๆ ต่างมองออกว่าอะไรคือทางเข้า อดไม่ได้ที่จะมองทางชนต่างเผ่าแซ่หยวนพร้อมกัน

 

 

ชนต่างเผ่าหัวโตแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของหานลี่และพวก สองเท้าของตนเองไม่เคลื่อนไหว คนกลับลื่นล้มตรงหน้าเทวรูป

 

 

อ้าปากออกพ่นผลึกกลมสีเหลืองออกมาเม็ดหนึ่ง จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในศีรษะของเทวรูปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

เสียง “ครืดๆ” ดังขึ้น ลำแสงเจิดจ้าสว่างวาบ คลื่นที่ดูเหมือนระลอกคลื่นของผิวน้ำปรากฏออกมาจากผิวของเทวรูป

 

 

เทวรูปที่แต่เดิมไม่มีชีวิตชีวา ดวงเนตรทั้งสี่เปล่งแสงสีเหลืองเจิดจ้ากรทั้งสี่โบกสะบัดเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเสียงอึกทึกจะดังขึ้นพร้อมกับหยัดกายลุกขึ้นยืน

 

 

คาดไม่ถึงว่าเทวรูปองค์นี้จะเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง

 

 

แต่เมื่อชนต่างเผ่าหัวโตใช้สองมือร่ายอาคมกระตุ้นหุ่นเชิดนี้ฉากที่น่าตื่นตะลึงพลันปรากฏขึ้น

 

 

เห็นเพียงกรทั้งสี่ของหุ่นเชิดโบกสะบัดลำแสงสีเหลืองสว่างจ้า ร่างกายขยายขึ้นสองสามเท่า จนร่างกายแทบจะคับแน่นชั้นหนึ่ง จากนั้นกรพลันตบไปที่ท้องตนเอง

 

 

ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์เขตอาคมประหลาดปรากฏขึ้น จากนั้นเสียง  ชิ้ง  พลันดังขึ้น ท้องของเทวรูปหุ่นเชิดเผยประตูบานเล็กออกมาบานหนึ่ง และเปิดออกมาด้านนอกโดยอัตโนมัติ

 

 

ที่ว่างขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ส่วนพื้นของที่ว่างมีเขตอาคมส่งตัวขนาดเล็กสองสามจั้งอยู่!

 

 

ชนต่างเผ่าแซ่หยวนก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล เดินเข้าไปในท้องของหุ่นเชิดและยืนอยู่บนเขตอาคมส่งตัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด