A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1574-1 ไข่มุกผสมจิตสัมผัส

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1574-1 ไข่มุกผสมจิตสัมผัส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขาหันหน้าไปมองลำแสงสีทอง

 

 

เห็นเพียงไกลออกไปชนต่างเผ่าผมยาวออกจากลูกบอลยักษ์สีทองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนี้ข้างกายกลับมีหุ่นเชิดร่างมนุษย์สีฟ้าสูงสองจั้งปรากฏขึ้น

 

 

หุ่นเชิดตัวนี้มีลำแสงแผ่ออกมาจากเรือนร่าง ชูแขนข้างหนึ่งขึ้น นิ้วทั้งห้า หว่างนิ้วทั้งห้ามีลำแสงสีทองสว่างวาบ

 

 

ชนต่างเผ่านามว่าเจี่ยเทียนมู่ผู้นี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้พกหุ่นเชิดระดับสูงมาแค่สองตัว และยิ่งไปกว่านั้นหุ่นเชิดที่ปรากฏขึ้นใหม่สามตน ยังสามารถปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้

 

 

นี่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่

 

 

ทว่าหานลี่ตกตะลึงแค่เพียงชั่วครู่!

 

 

ครู่ต่อมาวิหคยักษ์พลันกระพือปีกทั้งสองข้าง ชั่วขณะนั้นพายุลูกใหม่พลันมาอยู่เหนือเรือสงครามสีเงินลำนั้น เรือนร่างเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่งอีกครั้ง

 

 

จากนั้นกรงเล็บยักษ์สองข้างพลันมีสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ตะปบลงมาอย่างแรง

 

 

เสียง “กึกๆ”​ ดังขึ้น กรงเล็บยักษ์สองข้างจมหายเข้าไปในเรือสงครามในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็แยกออกซ้ายขวา

 

 

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าหนาๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา จมหายเข้าไปในรูอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ประจุไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ในเรือสงครามมีเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีเผ่าแมลงมีเขาจำนวนเท่าไหร่ที่ถูกประจุไฟฟ้าสังหารทิ้ง

 

 

วิหคยักษ์ยังไม่หยุดแค่นั้น!

 

 

ปีกทั้งสองกระพือมาด้านล่าง พายุหมุนสีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ

 

 

วิหคยักษ์ปล่อยกรงเล็บทั้งสอง ชั่วขณะนั้นเรือสงครามขนาดยักษ์ที่ถูกพายุหมุนหมุนเข้าไป พลันหมุนติ้วๆ แล้วร่อนลงมาข้างล่าง

 

 

หลังจากเสียง “ตูมๆ”​ ดังขึ้น เรือสงครามก็กดลงมาถึงพื้นดิน

 

 

วิหคยักษ์เปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา หุบปีกทั้งสองข้าง ลำแสงสีเขียวสว่างวาบพลางหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์

 

 

หานลี่กวาดสายตาไปพื้นแวบหนึ่ง สองมือร่ายอาคม

 

 

กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มปรากฏขึ้นรอบๆ ด้าน แค่สั่นเทาก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวยี่สิบสามสิบสายพุ่งลงไปพร้อมกัน

 

 

ชั่วพริบตาเรือสงครามด้านล่างก็ถูกกระบี่ลำแสงจำนวนมากสับออกเป็นเจ็ดแปดส่วน สุดท้ายก็เปล่งเสียงร้องกึกๆ ออกมาแล้วระเบิดออก

 

 

เรือสงครามที่กำลังร่อนลงมาอีกลำ หานลี่เองก็ไม่ใส่ใจ ควบคุมกระบี่บินทั้งหมดไปทำลายมัน

 

 

ยามนี้นักรบชุดเกราะและอินทรียักษ์สองหัวที่กำลังชมการต่อสู้อยู่ ก็ถูกอสูรมิคาทนและอสูรวิญญาณครวญลงมือสังหารไปอีกแปดเก้าส่วน

 

 

มีเพียงสองสามตนที่หนีออกไปไกลแสนไกลตั้งแต่แรก ที่ยังโชคดีรอดชีวิตไปได้

 

 

หานลี่เองก็ขี้เกียจจะออกคำสั่งให้อสูรสองตัวนั้นไปไล่สังหารอะไรอีก แค่ชูมือวงแหวนสีดำสนิทวงหนึ่งก็พุ่งออกไป

 

 

ชั่วพริบตาร่างของวานรยักษ์สีดำพลันหดเล็กลง อสูรมิคาทนพลันกลายเป็นลำแสงสีทองและลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในวงแหวนสีดำอย่างไร้ร่องรอย

 

 

หานลี่สะบัดแขนเสื้อ วงแหวนสีดำเปล่งเสียงร้องกึกๆ แล้วบินกลับมา ถูกเก็บลงไปอีกครั้ง

 

 

ยามนี้หานลี่ถึงได้มองเจี่ยเทียนมู่ที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไป

 

 

แค่กะพริบวาบ เขาก็มาปรากฏหน้าชนต่างเผ่าห่างออกไปสองสามจั้งราวกับภูตผีก็ไม่ปาน ดวงตาทั้งสองข้างมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก

 

 

เจี่ยเทียนมู่ใจหายวาบ แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น สองมือกำหมัดพลางพูดกับหานลี่

 

 

“ขอบพระคุณสหายที่ลงมือช่วยเหลือ ข้าน้อยจะทำตามที่ตกลงกันไว้อย่างแน่นอน รอให้กลับไปที่เผ่าแล้ว จะมอบหุ่นเชิดสะท้านฟ้าให้ตนหนึ่ง”

 

 

“เจ้าช่างกล้าหาญไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะกล้าลากผู้แซ่หานเข้าไปด้วย ไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเจ้าในดาบเดียวเหรอ” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง หว่างคิ้วมีจิตสังหารปรากฏขึ้น

 

 

“สหายล้อเล่นแล้ว! หากนายท่านจะทำเช่นนั้น เมื่อครู่คงสังหารข้าไปด้วยแล้ว จะเก็บผู้แซ่เจี่ยเอาไว้ถึงตอนนี้หรือ! และยิ่งไปกว่านั้นที่รุ่นหลังทำเช่นนี้ ก็เพราะก่อนหน้านี้ไม่อาจปกป้องตนเองได้ จึงไม่มีทางเลือก ท่านอาวุโสโปรดอภัย” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยพร้อมกับยิ้มประจบ

 

 

“เจ้ารู้ว่าข้าอยู่ด้านล่างได้อย่างไร ข้ามั่นใจว่าเคล็ดวิชาอำพรางกายของข้านับว่ายอดเยี่ยม ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าไม่อาจมองออกได้” หานลี่ครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม

 

 

“จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย ข้าน้อยจะพบด้วยพลังยุทธ์ของตนเองได้อย่างไร สาเหตุที่พบร่องรอยของท่านอาวุโส ล้วนเป็นเพราะสิ่งนี้” เจี่ยเทียนมู่ลังเลเล็กน้อย อ้าปากออก พ่นของสิ่งหนึ่งออกมา และคว้าเอาไว้ในมือ พลางถือเอาไว้

 

 

หานลี่ตั้งสมาธิเพ่งมองไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกกลมสีดำสลับขาว แต่ผิวของมันกลับมีไอวิญญาณเป็นรูประลอกคลื่นหมุนวนอยู่รางๆ

 

 

“นี่คืออะไร?” หานลี่รู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

 

“หรือว่าท่านอาวุโสไม่รู้จักสิ่งนี้ นี่คือ ‘ไข่มุกผสมจิตสัมผัส’ สร้างขึ้นจากแก่นอสูรวิญญาณที่หายากอย่าง ‘อสูรชั่ว’ สามารถเพิ่มระดับจิตสัมผัสได้ชั่วคราว จนอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ แม้ว่าทุกครั้งที่ใช้จะเวลาหลอมใหม่สองสามปี ใช้แล้วมีผลข้างเคียงไม่น้อย แต่ในบางเวลาที่สำคัญ ก็มีประโยชน์มาก” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างซื่อสัตย์

 

 

“เพิ่มระดับจิตสัมผัส?” หานลี่พลันตื่นตะลึง

 

 

หากได้ฟังว่าสามารถเพิ่มระดับพลังยุทธ์ได้หลายส่วน เขาก็อาจจะไม่ตกตะลึงขนาดนี้ ถึงอย่างไรเสียการเพิ่มพลังปราณชั่วคราว แม้ว่าในแดนวิญญาณจะมีอยู่น้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่การเพิ่มพลังจิตสัมผัสเต้น เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกหลังจากมาที่แดนวิญญาณ

 

 

ถึงอย่างไรเสียจิตสัมผัสนั้นก็เพิ่มขึ้นตามพลังยุทธ์ และเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาที่ฝึกฝน โดยปกติแล้วสิ่งอื่นล้วนไม่อาจมีผลกระทบต่อจิตสัมผัสได้

 

 

“ไข่มุกผสมจิตวิญญาณ! อสูรชั่ว!” หานลี่พึมพำหนึ่งประโยค จ้องเขม็งไปยังไข่มุกในมือของอีกฝ่าย ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาไม่ได้

 

 

“ทว่าการนำอสูรชั่วมาหลอมเป็นไข่มุกนี้ แทบจะหายไปจากแดนวิญญาณแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไข่มุกเม็ดนี้ก็ถูกคนใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่อาจถูกคนที่สองใช้ได้แล้ว มิเช่นนั้นหากกลืนไข่มุกเม็ดนี้ลงไป จะทำให้จิตสัมผัสถูกปะปนจนเป็นคลุ้มคลั่งตาย” เจี่ยเทียนมู่เห็นหานลี่มีสีหน้าเช่นนั้น ก็เอ่ยขึ้นในทันใด

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” จิตสังหารที่เพิ่งผุดขึ้นมาในใจของหานลี่ ได้ยินคำพูดนี้พลันหมัดหวัง หางตากระตุกถี่ๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมอย่างรวดเร็ว

 

 

ทว่าเขามองไข่มุกสีดำเม็ดนั้น แล้วก็รู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนในกำไลเก็บของของเขาจะมีอยู่เม็ดหนึ่ง

 

 

หานลี่กะพริบตาสองสามครั้ง ฉับพลันนั้นพลันนึกถึงผลเทียนวิญญาณที่เก็บมาจากหุบเขามารโรย แก่นอสูรที่สังหารอสูรนิรนามไปตัวหนึ่ง มีไข่มุกผสมจิตสัมผัสที่คล้ายคลึงกับสิ่งนี้ หรือว่าอสูรประหลาดตัวนั้นคืออสูรชั่ว! หานลี่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

 

 

หากเขามีไข่มุกผสมจิตสัมผัสอยู่เม็ดหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าสามารถกระตุ้นแมลงกลืนทองได้มากขึ้นกว่าครึ่งหรือ เพียงพอจะทำให้ศัตรูขนานใหญ่หวาดกลัวและล่าถอยไป!

 

 

ทว่าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองออก หานลี่จึงไม่ได้ถามเกี่ยวกับไข่มุกผสมจิตสัมผัสเม็ดนี้อีก แต่พิจารณาเขาและหุ่นเชิดร่างมนุษย์ที่อยู่ด้านข้างอีกครึ่งแวบหนึ่ง เอ่ยถามอย่างราบเรียบ

 

 

“ดูท่าทางเผ่าแมลงมีเขาจะให้ความสำคัญกับนายท่านมาก สหายน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาสินะ! ไม่ทราบว่าจะแนะนำตนเองก่อนได้หรือไม่!”

 

 

“ข้าน้อยเป็นแค่เผ่าเบื้องบนคนหนึ่งเท่านั้น แค่รู้เคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิด จึงมีชื่อเสียงอยู่บ้าง” เจี่ยเทียนมู่ฉีกยิ้ม เอ่ยอย่างคลุมเครือ

 

 

 “งั้นหรือ? ทำให้อาวุโสของเผ่าแมลงมีเขาให้ความสำคัญขนาดนี้ได้

 

 

ดูแล้วเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของสหายคงจะไม่ธรรมดา” หานลี่แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม

 

 

เมื่อได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ เจี่ยเทียนมู่ก็หัวเราะหึๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรต่อ กลับกวาดตาไปรอบๆ ด้าน เอ่ยอย่างกังวลใจเล็กๆ

 

 

“ท่านอาวุโส อย่าอยู่ที่นี่นานเลย พวกเราไปกันเถอะ จากนั้นค่อยว่ากันเรื่องอื่น”

 

 

“เหอะ! มีเหตุผล ทว่าผู้แซ่หานไม่เคยพูดว่าจะไปกับนายท่าน เจ้าก็ไปตามสะพานไม้ต้นเดียว[1] ข้าจะไปทางถนนหลวง นายท่านเป็นเป้าหมายขนาดนี้ ข้าน้อยไม่อยากถูกลูกหลงอีก” หานลี่แค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา

 

 

จากนั้นร่างของเขาก็คดงอ ผิวมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ดูเหมือนจะพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศแล้วหลีกหนีไป

 

 

“ช้าก่อน หรือว่าท่านอาวุโสไม่รู้ว่ายิ่งเดินไปข้างหน้า ผู้ที่ปิดล้อมไว้ก็จะยิ่งเข้มงวดขึ้น ต่อให้เคล็ดวิชาหลีกหนีของท่านอาวุโสสูงส่งขนาดไหน เกรงว่าก็ไม่อาจหนีออกจากที่นี่ได้ง่ายๆ ข้าน้อยกลับรู้เขตอาคมส่งตัวลับแห่งหนึ่ง ที่สามารถส่งเราหนีออกจากเขตยึดครองของเผ่าแมลงมีเขาได้” เจี่ยเทียนมู่อยู่ในอารามตกใจ พลันเอ่ยปากงึมงำอย่างรีบร้อน

 

 

กลัวว่าหานลี่จะจากไปทั้งอย่างนั้นจริงๆ!

 

 

“เขตอาคมส่งตัว? สหายคงไม่หลอกลวงสินะ?” ลำแสงวิญญาณของหานลี่หม่นแสง หันกลับมาเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

 

“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ เขตอาคมส่งตัวนี้เป็นเขตอาคมส่งตัวลับที่สมาชิกพิเศษของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราวางเอาไว้ เมื่อถึงที่นั่นก็จะรู้ว่าไม่ได้หลอกลวง หากข้าน้อยพูดปด ก็ยอมให้ท่านอาวุโสจัดการตามแต่ประสงค์” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

หลังจากที่หานลี่ได้ฟังแล้ว ก็เผยสีหน้าขบคิดออกมา

 

 

พวกลาดตระเวนของเผ่าแมลงมีเขาชุกชุมกว่าที่ผ่านมาจริงๆ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ก็มีเรือสงครามสีเงินปรากฏขึ้นอยู่ไม่น้อย

 

 

เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ว่าจะสามารถฝ่าด้านป้องกันไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

 

 

หากมีเขตอาคมส่งตัวส่งตัวออกไปภายนอกได้ละก็ ย่อมมั่นคงกว่ามาก

 

 

แม้ว่าเผ่าแมลงมีเขาและสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ดูท่าทางเหมือนรุกรานเมืองของเผ่าแมลงมีเขาในเมืองลำแสงมรกต ก็รู้ว่าหากเขาเสนอกล่องหยกให้แล้วเข้าข้างเผ่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

 

 

แต่สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ก็ไม่ได้ใช้วิธีการกำจัดเผ่าอื่นนอกเหนือสิบสามเผ่า ไปยังดินแดนที่พวกเขาควบคุมอยู่เพื่อหาที่พักชั่วคราว ค่อยๆ หาวิธีกลับไปแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนก็ได้

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีกล่องหยกอยู่สองใบ ต้องถูกกำจัดทิ้งเช่นกัน คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งในเผ่าหมื่นโบราณที่ไม่เล็กเลยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะอาศัยได้

 

 

เมื่อขบคิดในใจเสร็จ หานลี่ก็พยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงพลางเอ่ยว่า

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็ยินดีทำตามคำบัญชา สหายเจี่ยนำทางเถอะ” น้ำเสียงของเขามีมารยาทขึ้นหลายส่วน

 

 

เจี่ยเทียนมู่ได้ยินพลันดีใจ เอ่ยปากพูดขอบคุณไม่หยุด

 

 

ศิลาวิญญาณวิเศษสองสามชนิดที่เขาใช้กับหุ่นเชิดถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว หากไม่มีการคุ้มครองของชนชั้นสูงอย่างหานลี่ อาศัยระดับเผ่าเบื้องบนขั้นสามของเขา ล้วนไม่อาจหนีไปยังเขตอาคมส่งตัวได้

 

 

ดังนั้นเจี่ยเทียนมู่จึงหมุนวนทันใด เอาหุ่นเชิดทั้งสองที่ถูกคนเผ่าแมลงมีเขาฉกชิงไปกลับมา แล้วเก็บหุ่นเชิดร่างมนุษย์ และพาหานลี่พุ่งไปยังขอบฟ้า

 

 

สายรุ้งสีทองและเขียวสองสายกะพริบสองสามครั้ง ก็หายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] สะพานไม้ต้นเดียว หมายถึง ระยะทางที่อันตราย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด