A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1612 อีกามารปรากฏ

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1612 อีกามารปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

เป็นทัศนียภาพที่พิลึกเป็นอย่างยิ่ง!  

 

 

บนพื้นดินในรัศมีสามสี่ร้อยจั้ง ล้วนเป็นสีดำสนิท ถูกหมอกสีดำสนิทปกคลุมไว้  

 

 

ส่วนเหนือพื้นราบขึ้นไปสามสี่ร้อยจั้งเป็นสีเทา ทุกแห่งล้วนมีไอมารสีเทาอ่อนลอยพลิ้วไหวอยู่  

 

 

ทั้งสองแบ่งตัวออกจากกันอย่างชัดเจนราวกับแสงอาทิตย์และแสงจันทราอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

หานลี่ชักสีหน้าก้มหน้าลงมองด้านล่างตนเอง  

 

 

เห็นเพียงภูเขายักษ์ด้านล่างโผล่ออกมาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น กว่าครึ่งล้วนยื่นไปในทะเลหมอก มองเห็นได้เพียงในรัศมีสี่บสิบจั้งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นต้นไม้ภูเขาภูผาต่างๆ ยังรางเลือน ลึกลงไปกว่านั้นก็มีเสียงดำสนิท  

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หานลี่พลันขบคิดเล็กน้อย รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สำแดงอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณวารีกระจ่างออกมา  

 

 

ชั่วขณะนั้นทะเลหมอกสีดำในระยะสองสามร้อยจั้งพลันชัดเจนขึ้น  

 

 

ทว่าคิ้วของหานลี่ก็ยังขมวดมุ่น!  

 

 

ส่วนที่ต่ำที่สุดลึกลงไปร้อยจั้งเศษ ยังคงเป็นหมอกหนาๆ เนตรวิญญาณไม่อาจมองทะลุผ่านได้  

 

 

ส่วนเมื่อแผ่จิตสัมผัสลงไปด้านล่าง เมื่อแผ่ลึกลงไปสักยี่สิบสามสิบจั้งก็ถูกขับไล่ออกมา  

 

 

แม้กระทั่งเขาที่อยู่กลางอากาศ เมื่อถูกไอมารสีเทาขัดขวางไว้ จิตสัมผัสที่แผ่ไปรอบด้านก็แผ่ออกไปได้แค่สองสามลี้เท่านั้น  

 

 

อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณไม่ได้มีประโยชน์อันใด!   

 

 

เช่นนั้นก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว!  

 

 

หากไปพบกับมารอสูรระดับสูงที่เชี่ยวชาญการอำพรางกาย แม้ว่าเขาก็อาจจะหามันไม่พบในทันที   

 

 

หานลี่ขบคิดกับตัวเองเงียบๆ  

 

 

“ท่านเซียนเซียน บอกที่ที่จะไปกับข้าน้อยได้แล้วสินะ” ยามนี้เย่ว์จงหันหน้าไปเอ่ยถามหญิงสาวเผ่าผลึกอย่างเคร่งขรึม  

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่บอกสหาย น้องหญิงจะจ้างพี่เย่ว์มานำทางทำไมกัน!” หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้ม  

 

 

ทันใดนั้นพลันพลิกฝ่ามือ แผ่นหินที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วบินไปหาเย่ว์จง   

 

 

เย่ว์จงใช้มือหนึ่งตะปบเอาไว้ แล้วดูดสิ่งนั้นเข้ามาในมือ แปะลงบนหน้าผาก หลับตาทั้งสองข้างลง แล้วแทรกจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน  

 

 

หานลี่มั่นใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีมารอสูรอะไร ก็ชักสายตากลับมา มองการเคลื่อนไหวของเย่ว์จงอยู่ด้านข้างอย่างราบเรียบ  

 

 

“คิดไม่ถึงว่าจะอยากไปที่นี่ ที่นั่นเป็นส่วนที่ลึกที่สุดในรอบนอกของเทือกเขา” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เย่ว์จงก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมาก  

 

 

“พี่เย่ว์เคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขามาแล้วหลายครั้ง น่าจะพาพวกเราไปที่นั่นได้อย่างไม่มีปัญหา” เมื่อได้ฟังเซียนเซียนกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ  

 

 

“หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่ไอมารถูกพ่นออกมา แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา ตอนนี้หรือ เข้าไปในส่วนที่ลึกขนาดนั้นมันเสี่ยงอันตรายมาก และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังอยู่ไกลจากทางเข้ามาก ระหว่างทางย่อมไม่ค่อยปลอดภัยนัก” เย่ว์จงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย  

 

 

“แค่อาจจะเสี่ยง แต่ไม่ได้ต้องเจอมารอสูรระดับสูงแน่ๆ สักหน่อย ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่อาจล้มเลิกกลางคันได้ สหายคุ้นเคยกับเทือกเขามารสีทอง จะผ่านไปอย่างไรรวมทั้งไปเส้นทางไหน ก็มอบให้พี่เย่ว์จัดการแล้ว น้องหญิงขอแค่ไปถึงที่นั่นได้ในเวลาประมาณสิบวันก็พอ” เซียนเซียนหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย  

 

 

“ท่านเซียนวางใจข้าเกินไปแล้ว!” เย่ว์จงได้ฟังแล้วพลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา จากนั้นก็มองมาทางหานลี่แวบหนึ่งตามความรู้สึก  

 

 

ในบรรดาทั้งสามคนผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงสุดก็คือหานลี่ ประกอบกับอิทธิฤทธิ์อันน่าตกตะลึงที่สำแดงออกมาเมื่อครู่ ทำให้นักล่ามารอสูรที่มีชื่อเสียงที่สุดในเทือกเขามารสีทองผู้นี้เคารพยำเกรงเป็นอย่างมาก และต้องซักถามความเห็นของหานลี่ก่อน   

 

 

“ข้าเองก็ไม่มีข้อคิดเห็นอื่นใด สหายเย่ว์ตัดสินใจเถิด” แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรู้เจตนาของอีกฝ่าย จึงเอ่ยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ   

 

 

“ท่านอาวุโสหานกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็จะไม่เกรงใจแล้ว หากไปทางนั้นด้วยทางตรง แน่นอนว่าย่อมอันตรายมาก แต่หากลัดภูเขาที่อยู่รอบนอกสุดไป แม้ว่าจะปลอดภัยมาก แต่ก็อาจจะไม่ทันเวลา ไม่อาจไปถึงได้ในเวลาสิบวัน เช่นนั้นล่ะก็ พวกเราก็ทำได้เพียงเลือกเส้นทางตรงกลางแล้ว เช่นนั้นความเสี่ยงก็จะลดลง และจะบรรลุตามคำขอได้” หลังจากที่เย่ว์จงขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา  

 

 

“เยี่ยม ตามที่พี่เย่ว์กล่าว” เซียนเซียนเห็นด้วย  

 

 

หานลี่ไม่ได้เอ่ยปากแต่พยักหน้าแทน  

 

 

ดังนั้นเย่ว์และอีกสองคนก็ปรึกษารายละเอียดันเล็กน้อย และกำชับเรื่องที่ต้องระวังสองสามเรื่องในเทือกเขา ลำแสงหลีกหนีของทั้งสามพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า  

 

 

แค่พวกเขาจากไปหนึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งใกล้กันนั้นก็มีคนสี่คนพุ่งออกมาจากแดนอัสนี  

 

 

ทั้งสี่คนพิจารณารอบๆ ก่อนด้วยความระมัดระวัง แล้วมารวมตัวกันพร้อมกับเอ่ยซุบซิบอะไรสักอย่าง   

 

 

ให้ชายร่างใหญ่หน้าดำระดับสูญสุญตาขั้นกลางที่มีร่างกายหนาใหญ่คนหนึ่งโบกสะบัดฝ่ามือใหญ่ๆ ทั้งสี่คนควักจานอาคมออกมา แล้วบินไปอีกทางหนึ่ง   

 

 

เช่นนั้นในเวลาต่อมาทุกๆ หนึ่งถึงสองชั่วยาม ก็จะมีคนบุกเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง  

 

 

พวกเขาบ้างก็ตัวคนเดียว บ้างก็ร่วมเดินทางกันสองสามคน  

 

 

หนึ่งในนั้นที่มีจำนวนมากที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่มาจากภายนอกซึ่งมีบุรุษแซ่กุยเป็นผู้นำ อันดับสองก็คือชายชราแซ่เยี่ยนและกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรท้องที่ของหมู่บ้านเมฆาอัสนี  

 

 

ทว่าหลังจากที่ทั้งสองกลุ่มเข้าไปในเทือกเขาแล้ว กลับกระจายตัวกันออก ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน  

 

 

……  

 

 

สามวันต่อมากลางอากาศต่ำๆ แห่งหนึ่งในเทือกเขามารสีทอง เสียงระเบิดทุ้มต่ำดังขึ้น  

 

 

เห็นเพียงลำแสงสีขาวขนาดเท่าล้อรถสองสามกลุ่มระเบิดออกพร้อมกัน กลายเป็นพายุหมุนสีขาว เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางวายุ มีดวายุจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาท่ามกลางเสียงกรีดร้อง  

 

 

ครู่ต่อมาเสียงกรีดร้องสองสามเสียงก็ดังขึ้นท่ามกลางพายุ ทันใดนั้นซากศพที่มีขนปุกปุยยี่สิบกว่าตัวก็ตกลงมาจากกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็จมหายไปท่ามกลางทะเลหมอกอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น พายุหมุนสลายตัวออกราวกับฟองอากาศ  

 

 

กลางอากาศมีเงาร่างคนปรากฏขึ้นสามร่าง  

 

 

หนึ่งในนั้นถือไข่มุกกลมสีขาวเม็ดหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม นั่นก็คือเย่ว์จงผู้นี้  

 

 

หานลี่ที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าราบเรียบ สองมือกอดอกลอยอยู่กลางอากาศ  

 

 

ส่วนร่างของสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นี้กลับมีเกราะสงครามสีแดงอ่อนเพิ่มขึ้นมา บนหัวไหล่มีวิหคประหลาดดวงตาสีทองเรืองรอง เรือนกายเป็นสีดำสนิท แต่ปากเป็นสีแดงสดปรากฏขึ้นตัวหนึ่ง  

 

 

ถอนหายใจออกมาเบาๆ เย่ว์จงเก็บไข่มุกกลมในมือ  

 

 

รอบๆ ยังมีพายุหมุนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แล้วสลายหายไป  

 

 

“นี่มันผิดปกติ!” เย่ว์จงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม  

 

 

“ผิดปกติ! นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่นานก็พบมารอสูรระดับต่ำสองสามตัวมิใช่หรือ? สองสามวันก่อนพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยสังหารวิหคมารระดับต่ำชนิดอื่นไป” เซียนเซียนถามย้อนกลับด้วยความประหลาดใจ  

 

 

“หากเป็นมารอสูรระดับต่ำธรรมดา แน่นอนว่าย่อมไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งสำคัญคืออีกามารฝูงนั้นไม่เคยปรากฏตัวที่รอบนอกมาก่อน แต่ไหนแต่ไรมามักอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา มารอสูรบินและมารอสูรระดับสูงสามหัวเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่คู่กัน หลังจากชนิดหนึ่งปรากฏตัว อีกชนิดหนึ่งก็ต้องปรากฏตัวเช่นกัน ดังนั้นเมื่อครู่ข้าถึงไม่ได้ให้สหายทั้งสองลงมือ และยิ่งไปกว่านั้นยังให้ระวังตัว” เย่ว์จงอธิบาย  

 

 

“หรือว่าเดิมทีวิหคมารฝูงนั้นก็เคลื่อนไหวอยู่เพียงลำพัง แค่พี่เย่ว์เพิ่งเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแล้ว” เซียนเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง  

 

 

“เป็นไปไม่ได้แน่ อีกามารเป็นวิหคมารที่พบเห็นได้มากที่สุดในส่วนลึกของเทือกเขา ไม่ใช่แค่ข้าวิถีชีวิตของอีกามาร ผู้ที่เข้าออกเทือกเขาจำนวนนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ล้วนรู้ดี” เย่ว์จงสั่นศีรษะเป็นพัลวัน  

 

 

“ต่อให้ปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ แล้วมันหมายความว่าอย่างไร” หานลี่แววตาเปล่งประกาย เอ่ยถามขึ้น  

 

 

“นั่นหมายความว่า ไม่อสูรสามหัวที่อยู่กับอีกามารถูกสังหารและไม่อาจหาอสูรสามหัวตนอื่นได้ทัน พวกมันก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาได้ ถึงได้ถูกบีบให้มาที่นี่ ไม่ก็อีกามารฝูงนี้ถูกมารอสูรที่แข็งแกร่งกว่าสามหัวควบคุมอยู่ ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่อย่างผิดวิสัย” เย่ว์จงขบคิด แล้วถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า  

 

 

“อ๋อ แล้วสหายเย่ว์คิดว่าเป็นแบบไหน!” หานลี่หัวเราะออกมา เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ  

 

 

“แบบแรกความเป็นไปได้น้อยมาก ถึงอย่างไรเสียในบรรดามารอสูรระดับต่ำนั้น อีกามารนอกจากบินได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก หากไม่มีการคุ้มครองจากสามหัว พวกมันก็ไม่น่าจะออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขา มารอสูรชนิดอื่นในเทือกเขาไม่ใช่พวกกินมังสวิรัติ” เย่ว์จงเอ่ยอย่างมั่นใจ  

 

 

“เช่นนั้นอีกามารเหล่านี้ก็ถูกมารอสูรที่แข็งแกร่งชนิดอื่นควบคุมให้มาที่นี่ และพวกเราก็ถูกมารอสูรตัวนี้จับตาดูอยู่แล้ว” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แววตาฉายแววเย็นยะเยือก  

 

 

“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นสติปัญญาของมารอสูรตัวนี้น่าจะไม่ต่ำต้อยเลย” เย่ว์จงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม  

 

 

“เช่นนั้นสหายคิดว่าจากนี้พวกเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?” เซียนเซียนขมวดคิ้วดำขลับมุ่น  

 

 

“พวกเราจะเร่งความเร็วดูก่อนว่าจะสลัดมารอสูรนี้ได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเสียอสูรตัวนี้ก็มีสติปัญญาแล้ว มาปรากฏตัวที่นี่น่าจะมีเหตุผลอะไรสักอย่าง หากไม่ได้จริงๆ ไม่อาจสลัดได้ ก็สังหารอสูรตัวนี้ซะ มิเช่นนั้นหากอสูรตัวนี้ไปเรียกมารอสูรอื่นมา หรือเอาแต่ประกบอยู่ด้านหลัง ล้วนจะเป็นภัยใหญ่หลวง หึๆ นี่เป็นเพราะมีท่านอาวุโสหานอยู่ที่นี่ ชนรุ่นหลังถึงได้แนะนำเช่นนี้ หากชนรุ่นหลังอยู่คนเดียว ก็ทำได้เพียงใช้อีกแผน ทว่าวิธีเช่นนั้นมันเสียเวลาไปหน่อย ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้” เย่ว์จงหัวเราะ แล้วประจบหานลี่ประโยคหนึ่ง  

 

 

หานลี่ได้ฟังกลับเผยท่าทีอมยิ้มออกมา ไม่ได้เอ่ยปากอะไร แต่หันหน้าไปเอ่ยถามเซียนเซียนที่อยู่ด้านข้าง  

 

 

“ท่านเซียนเซียน ท่านคิดว่าสหายเย่ว์แนะนำเป็นอย่างไร?”  

 

 

“พี่เย่ว์ย่อมรู้จักมารอสูรของที่นี่มากกว่าเจ้าและข้าแน่นอน และจากอิทธิฤทธิ์ของพี่หาน ขอแค่ไม่ใช่มารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็น่าจะไม่ต้องหวาดกลัว” เซียนเซียนฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย  

 

 

“หากสหายทั้งสองคิดเช่นนั้น ผู้แซ่หานก็ไม่มีข้อคิดเห็นอันใด” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยสนับสนุน  

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ลงมือเถิด น่าเสียดายตอนที่เราบินไม่อาจบินเร็วเกินไปนัก เพื่อไม่ดึงดูดความสนใจของมารอสูรอื่นๆ ไม่เช่นนั้นหากบินเต็มกำลังขอแค่ไม่ใช่มารอสูรที่เชี่ยวชาญการบิน ก็น่าจะสลัดได้หมด” เย่ว์จงเอ่ยอย่างเสียดายเล็กๆ  

 

 

คำพูดของเขาไม่ผิดพลาด  

 

 

หานลี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงจะรวดเร็วมาก และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงหลีกหนีสีเขียวยังเงียบเชียบ ท่าทางมีพละกำลังมาก  

 

 

ใต้ฝ่าเท้าของเย่ว์จงมีกรงล้อสีขาวเพิ่มขึ้นมาคู่หนึ่ง มันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ความเร็วของมันไม่ด้อยไปกว่าระดับสูญสุญตาเลยสักนิด  

 

 

ส่วนหญิงสาวนามว่าเซียนเซียน ผู้นี้ในมือมีธงสีทองปรากฏขึ้นด้ามหนึ่ง นางกลายเป็นสายรุ้งสีทองที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นท่ามกลางลำแสงวิญญาณ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปปรากฏตัวห่างออกไปสิบกว่าจั้ง  

 

 

ความเร็วของมันคาดไม่ถึงว่าจะไล่ตามหานลี่ไป   

 

 

ภายใต้ลำแสงหลีกหนีสามสายที่พุ่งผ่านอากาศไป ชั่วพริบตาก็หายไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกัน บนภูเขาด้านล่างห่างออกไปสิบกว่าลี้ ในส่วนลึกของทะเลหมอกสีดำ เดิมทีเป็นสีดำสนิท ฉับพลันนั้นพลันมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ ดวงตาปีศาจสีแดงก่ำดุจโลหิตสิบกว่าดวงเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด